1
It’ s Bad! แย่แล้ว…เพื่อนสนิทฉันเป็นมาเฟีย
จุดเริ่มต้น
คฤหาสน์ Black swan
แสงแดดช่วงยามสายสาดส่องเข้ามาภายในห้องนอนหรู ปลุกให้คนตัวเล็กที่นอนหลับใหลอยู่บนเตียงนอนขนาดหกฟุตรู้สึกตัวขึ้นมา ขนมผิงขยับร่างกายเอนหลังพิงกับหัวเตียงแล้วกวาดสายตามองบริเวณรอบห้องนอน ที่นี่ไม่ใช่ห้องทำงานบนตึกสูงสีดำตระหง่าน แต่เป็นห้องของใครบางคน
เธอสำรวจมองร่างกายตนเองที่มีเพียงเชิ้ตขาวสวมอยู่เพียงชิ้นเดียว หรือเมื่อคืนไม่ใช่ความฝันแต่เป็นความจริง นี่เธอนอนกับเพื่อนตัวเองที่มีแฟนอยู่แล้วจริง ๆ เหรอ รอยดูดบนร่างกายและร่องรอยการร่วมรักบนเตียงบ่งบอกชัดเจน ขนมผิงมีสีหน้าเศร้า นึกละอายแก่ใจที่ทำอะไรแบบนั้นลงไป ขาเรียวก้าวลงมาจากเตียง ดวงตามองหาข้าวของของตนเอง แต่ไม่ทันที่เท้าจะแตะลงบนพื้นเสียงของใครบางคนก็เอ่ยขึ้นจากทางประตูห้อง
“จะไปไหน”
“ริว” เธออุทานชื่อเขาออกมาเสียงเบาพร้อมกับชักเท้าขึ้นบนเตียงด้วยท่าทางตกใจ ริวเซย์เดินเข้ามาใกล้แล้วหย่อนตัวนั่งลงปลายเตียง สายตาไล่มองสภาพคนตรงหน้า
“จำได้ไหม ว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น”
“ผิงโดนแขกวางยา แล้วหลังจากนั้น…”
“เราเอากัน” พอได้ยินคำนั้นออกมาจากปากริวเซย์ใบหน้าก็เห่อร้อนขึ้นมา ขนมผิงไม่กล้ามองหน้าเขา เธอหลบสายตา เข่าชันขึ้นแล้วใช้อ้อมแขนกอดตนเองขดอยู่บนเตียงต่อหน้าทายาทมาเฟียในคราบนักศึกษาคณะวิศวะ ขนมผิงไม่เคยรู้เบื้องหลังของริวเซย์มาก่อน พอมารู้แบบนี้ เธอเองก็ทำตัวไม่ถูก
“ผิงจำไม่ค่อยได้ แล้วเราจะทำยังไงดี”
“ข้อตกลงเมื่อคืนห้ามบอกใคร ยังจำได้รึเปล่า”
“ตรงนี้จำได้ ห้ามบอกใคร โดยเฉพาะไดอาน่า” เธอทวนเบา ๆ ด้วยความเจ็บถึงก้นบึ้งหัวใจ เจ็บที่ตนเองปล่อยครั้งแรกกับคนมีเจ้าของ แต่เธอจะคิดซะว่าทำเพื่อพ่อที่กำลังนอนรอความตาย ทำเพื่อแม่ที่เสียชีวิตไปอย่างอนาถ
“ผิงบอกว่าต้องการเงินไปจ่ายค่าผ่าตัดของพ่อ ริวจะรักษาคำพูด” พูดจบร่างหนาในชุดเสื้อเชิ้ตสีดำและกางเกงขายาวตัวแพงสีเดียวกันก็ลุกขึ้นจากปลายเตียงแล้วเดินไปยังลิ้นชัก ริวเซย์หยิบเช็คเงินสดออกมาก่อนจะเขียนจำนวนเงินและฉีกออกมายื่นให้เพื่อนสาวคนสนิทที่นั่งอยู่บนเตียงในท่าเดิม ท่าทางของขนมผิงดูอิดโรยและเหนื่อยล้า
“ขอบคุณริวนะ ที่ช่วยเมื่อคืน แล้วเรื่องเงินนี่ด้วย”
“ผิงเองก็แลกมันมาด้วยร่างกายไม่ใช่เหรอ ถือว่าริวช่วยในฐานะเพื่อน”
“ผิงขอถามอะไรหน่อยได้ไหม” ปากถามมือก็ขยํ้าผ้าห่มแน่นด้วยอาการประหม่า
“ว่ามาสิ”
“สัญลักษณ์ไม้กางเขน มันคืออะไร…”
“มันไม่ใช่เรื่องที่ผิงควรยุ่ง”
“…ริวไม่ใช่แค่นักศึกษาธรรมดาใช่ไหม”
“อืม ที่ไม่ได้บอกผิงกับยูเพราะกลัวตกใจกัน”
“อื้อ ผะ ผิง ขอตัวกลับก่อนนะ” ขนมผิงเอ่ยออกมาเสียงสั่นด้วยความตกใจ ใครจะไปนึกว่าเพื่อนสนิทของตนเองจะกลายมาเป็นทายาทมาเฟียในวัยแค่ 22 ปี
ริวเซย์ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป เขามองตามร่างคนตัวเล็กที่เดินไม่ถนัดจนกระทั่งเธอเดินออกไปจากห้องของเขาพร้อมกับข้าวของของตนเอง ก่อนจะออกจากห้องไปขนมผิงก็ไม่ลืมสวมซับในตัวเมื่อคืนแบบลวก ๆ เมื่อคืนขนมผิงจำอะไรไม่ค่อยได้ แต่เขาจำได้ทุกคำพูดและทุกการกระทำ บทสวาทเมื่อคืนมันไม่ได้หยุดแค่ที่ห้องทำงาน พอกลับมาที่คฤหาสน์ เขาและเธอก็ยังทำต่อจนหมดแรง
“เพื่อนคุณริวขึ้นแท็กซี่กลับไปแล้วครับ” ไม่นานมากนิกมือขวาของริวเซย์ก็เดินเข้ามารายงาน
“ไปสืบเรื่องอุบัติเหตุครั้งล่าสุดของพ่อเธอมา”
“ครับ” มือขวาอย่างนิกรับคำสั่งก่อนจะเดินออกจากห้องนอนของริวเซย์
ย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อน
เสียงรถกระบะคันเก่าเลี้ยวเข้ามาจอดที่หน้าบ้านสองชั้นหลังใหญ่แต่ข้าวของภายในบ้านกลับไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ‘อนุพงศ์’ พาร่างกายที่เต็มไปด้วยบาดแผลเข้ามาในบ้านก่อนจะทรุดตัวหมดเรี่ยวแรงลงบนพื้น
“พ่อ !”
เด็กหญิงวัยสิบขวดพูดออกมาเสียงดังด้วยความตกใจพร้อมกับวิ่งเข้ามาหาอนุพงศ์
“พ่อ พ่อคะ…แม่ ! พ่อบาดเจ็บอีกแล้วค่ะ มาดูพ่อหน่อย”
‘ขนมผิง’ เรียกให้ ‘ใบบัว’ แม่แท้ ๆ ของเธอให้เข้ามาดูอาการอนุพงศ์ที่นอนครวญครางเจ็บเจียนตาย ดวงตากลมโตมองสำรวจร่างกายอนุพงศ์ก็พบว่าเขาโดนยิง เด็กสาวสั่นระริกด้วยความสงสารพ่อ ไม่นานมากใบบัวก็รีบวิ่งออกมาจากห้องครัวด้วยความตกใจ
“คุณคะ…ผิงไปหยิบโทรศัพท์มาให้แม่”
“อย่า อย่าเรียกรถพยาบาล…”
นํ้าเสียงของคนใกล้จะหมดแรงเอ่ยออกมา ขนมผิงไม่ได้ฟังคำพูดอนุพงศ์ เธอรีบวิ่งไปหยิบโทรศัพท์ปุ่มกดเครื่องเก่ามายื่นให้ใบบัว
“แต่คุณโดนยิงต้องไปโรงพยาบาล ฉันขอร้องเถอะค่ะ รอบนี้มันหนักมากจริง ๆ” ใบบัวเอ่ยพูดเสียงสั่น
“เราตายแน่ถ้าผมไปโรงพยาบาล”
“แล้วคุณจะให้ฉันทำยังไงพงศ์”
“ทำแผลให้ผม มันไม่ได้โดนจุดสำคัญ”
อนุพงศ์พยายามเค้นเสียงพูด ทั้งใบบัวและขนมผิงก็พากันพยุงร่างอนุพงศ์มานอนลงบนเตียงนอนก่อนจะหยิบกล่องอุปกรณ์ทำแผลออกมา ขนมผิงนั่งกอดเข่ามองอนุพงศ์ที่กำลังใช้แอลกอฮอล์ราดลงแผลตนเองพร้อมกับเสียงครวญครางที่ร้องออกมาด้วยความทรมาน ข้างกายกันมีใบบัวที่นั่งร้องไห้และคอยช่วยสามีทำแผล ยังโชคดีที่กระสุนแค่เฉียดและไม่โดนจุดสำคัญจึงทำให้การทำแผลผ่านไปได้ด้วยดี ตอนนี้ร่างของอนุพงศ์เองก็ยังคงนอนพักรักษาตัวอยู่บนเตียงหลังทำแผลเสร็จ
“เมื่อไหร่คุณจะเลิกทำงานนี้สักที หรือต้องรอให้ตายไปก่อนถึงจะเลิก”
“ถ้าผมหยุด แล้วครอบครัวเราจะอยู่ยังไง ไหนจะหนี้อีกหลายล้าน คุณกับลูกรับผิดชอบไหวเหรอ”
“คุณไปทำงานอื่นก็ได้นี่ งานที่มันไม่อันตรายแบบนี้”
“ไม่มีงานอื่นที่ได้เงินดีขนาดนี้แล้ว…”
ขนมผิงนั่งฟังพ่อกับแม่คุยกันด้วยความอยากรู้ เธอรู้แค่ว่างานของอนุพงศ์อันตรายมาก แต่มันก็แลกมาด้วยเงินก้อนโต อนุพงศ์ไม่เคยบอกใบบัวหรือเธอเลยว่างานของเขาเกี่ยวกับอะไรและทำที่ไหน อนุพงศ์จะชอบหายไปทำงานทีละสองสามอาทิตย์หรือบางทีเป็นเดือน ไปแต่ละทีก็ติดต่อยาก ทิ้งให้เธอกับแม่ต้องอยู่ด้วยความหวังอย่างลำพัง หวังว่าทุกครั้งที่อนุพงศ์รอดกลับมาเขาจะไม่เป็นอะไรมาก และเหตุการณ์อย่างวันนี้มันไม่เคยเกิดขึ้นแค่ครั้งเดียว
“คุณบอกฉันสักทีได้มั้ยว่าคุณไม่ได้ทำงานผิดกฎหมายพงศ์”
“ผมสัญญา หมดนี้แล้วผมจะหยุด”
มันเป็นเหมือนเดิมอีกแล้ว อนุพงศ์ไม่ยอมบอกถึงงานที่ตนเองทำอยู่ สาเหตุที่พ่อของเธอต้องทำงานเสี่ยงอันตรายแบบนี้เพราะครอบครัวถูกคนไว้ใจหักหลัง ขโมยเงินและของสำคัญไปหมด แถมยังทำให้กิจการรับจำนำของครอบครัวขนมผิงต้องพังยับเยินไม่เป็นท่า ถึงแม้ตำรวจจะจับตัวคนร้ายได้แต่ทรัพย์สินของครอบครัวเธอก็ถูกนำไปละลายลงบ่อนพนันหมดแล้ว แถมคนร้ายยังถูกประกันตัวออกมาและหนีออกนอกประเทศไป พอตกที่นั่งลำบาก ไม่มีเงินสำรองในการหมุนก็เกิดปัญหาจนต้องไปกู้ยืมธนาคาร ธุรกิจโรงรับจำนำปิดตัวลงเพราะปัญหาหลายอย่าง พอเริ่มธุรกิจใหม่ก็มีแต่พังกับพัง ขาดทุน และเป็นหนี้เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ จนอนุพงศ์ต้องถอนตัวออกมาและก้าวเข้าสู่อาชีพนี้
5 ปีต่อมา
เกือบสิบปีแล้วที่อนุพงศ์พงศ์ทำงานเสี่ยงอันตรายแบบนี้ ตั้งแต่ขนมผิงอายุ 5 ขวบ จนตอนนี้อายุของเธอครบ 15 ขนมผิงเรียนจบชั้นมัธยมต้น เธอถือใบประกาศนียบัตรกลับมาที่บ้านเพื่อจะอวดกับพ่อแม่ แต่พอกลับมาถึงก็เห็นตำรวจและเจ้าหน้าที่รายล้อมบริเวณบ้านเอาไว้หมด ชาวบ้านแถวนั้นมามุงดูขนมผิงยืนตัวแข็ง หัวใจเต้นแรง งุนงงว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับบ้านของเธอ
“หนู…”
เสียงของใครบางคนแทรกเข้ามาในโซนประสาท จนทำให้ขนมผิงดึงสติกลับมา ปรากฏว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ
“คะ ?”
“หนูคือขวัญจิราลูกสาวของใบบัวใช่ไหม”
“ค่ะ…มันเกิดอะไรขึ้นเหรอคะ ทะ ทำไม…”
“หนูฟังลุงให้ดีนะลูก แม่ของหนู ไม่อยู่แล้ว”
เมื่อได้ยินคำพูดนั้นสมองของเธอก็อื้ออึงไปหมด หัวใจแตกสลายร่างกายแทบหมดเรี่ยวแรง นํ้าตามันไหลพรากออกมาจากดวงตาแบบไม่มีเหตุผล
“ไม่จริง…”
“…”
“แม่หนู ไม่ได้เป็นอะไรใช่ไหมคะ”
ขนมผิงราวกับคนเสียสติ เธอทิ้งใบประกาศนียบัตรแล้ววิ่งฝ่าเจ้าหน้าที่เข้าไปภายในบ้านเพื่อจะดูศพของใบบัว
“ใบบัว…อย่าทิ้งผมไป ใบบัว !”
เธอยืนนิ่งเมื่อเห็นอนุพงศ์ร้องไห้โวยวายเหมือนคนเสียสติ เจ้าหน้าที่กำลังพยายามพาร่างเขาออกจากศพที่นอนจมกองเลือด ชิ้นส่วนของศพแทบแยกไม่ออกว่าส่วนไหนเป็นส่วนไหน ขนมผิงสติหลุด ภาพตรงหน้าพร่าเบลอ กลิ่นคาวเลือดลอยคละคลุ้ง เธอกรีดร้องออกมา พยายามสะบัดร่างกายออกเจ้าหน้าที่แล้วเข้าไปกอดอนุพงศ์
“พ่อคะ…พ่อ หนูอยู่นี่ ฮึก…”
กลั้นไม่ไหวแล้ว นํ้าตามันไหลออกมาไม่หยุด สองพ่อลูกถูกเจ้าหน้าที่นำตัวออกไปจากเหตุการณ์น่าสลด
หลังจากเหตุการณ์ในวันนั้นอนุพงศ์และขนมผิงก็จัดทำพิธีศพง่าย ๆ ให้กับใบบัว อนุพงศ์เชื่อว่าการตายของภรรยาไม่ปกติ แต่ตำรวจหรือเจ้าหน้าที่ก็สรุปตรงกันว่าเป็นอุบัติเหตุ ทั้งที่สภาพศพมันไม่ควรสรุปการตายเป็นแบบนั้น อนุพงศ์เสียใจกับการจากไปของภรรยา เขาทำทุกวิถีทางเพื่อทวงคืนความยุติธรรมให้กับเธอแต่ก็ไม่เป็นผล สุดท้ายอนุพงศ์ก็กลายเป็นคนเสียสติจากเหตุการณ์ในครั้งนั้น ส่วนขนมผิงก็ยังติดใจกับสาเหตุการเสียชีวิตของใบบัวมาตลอด และสักวันเธอจะต้องหาคำตอบให้ได้
เวลาล่วงเลยผ่านมาจนกระทั่งขนมผิงเรียนจบมัธยมปลาย โดยที่เธอเป็นคนหาเงินส่งตัวเองเรียนมาตลอดและยังคอยดูแลพ่อที่เสียสติอย่างอนุพงศ์ หลังจากการจากไปของใบบัว อนุพงศ์ก็ไม่ได้กลับไปทำงานอีกเลย ถึงแม้บางครั้งจะมีคนแปลก ๆ มาคอยจับตามองที่หน้าบ้านของเธอก็ตาม
“พ่อคะ…หนูสอบได้ทุนเรียนมหาลัยที่กรุงเทพ ฯ เราย้ายไปอยู่กรุงเทพ ฯ กันนะ” เสียงหวานเอ่ยกับชายเสียสติตรงหน้า
“ไม่ไป…ฉันไม่ไป ฉันจะอยู่กับภรรยาที่นี่”
“เราต้องไปค่ะ แล้วจะพาแม่ไปด้วย ดีมั้ยคะ ?”
“ไปด้วย ไปด้วย…ใบบัวไปด้วย”
“ใช่ค่ะ แม่ไปด้วย”
กริ๊ง~
เสียงกดกริ่งหน้าบ้านดังขึ้น ขนมผิงหยุดคุยกับอนุพงศ์แล้วมองไปยังต้นเสียง
“รอหนูอยู่ตรงนี้นะคะ เดี๋ยวมาค่ะ”
เธอเอ่ยด้วยรอยยิ้มก็เดินไปที่หน้าบ้าน มีชายสวมสูทดำลงมาจากรถตู้ยืนอยู่หน้ารั้ว
“มีจดหมายมาส่งครับ”
พูดจบชายคนนั้นก็ยื่นจดหมายให้ ขนมผิงรับจากช่องระหว่างรั้วแล้วเอ่ยถามออกไป
“ของใครคะ…”
“ของคุณอนุพงศ์”
“ค่ะ” เธอพยักหน้าตอบน้อย ๆ แล้วชายในชุดสูทก็หายขึ้นไปบนรถตู้
ขนมผิงมองตามจนลับสายตาก่อนจะเดินกลับเข้ามาในบ้าน เธอเก็บจดหมายฉบับนั้นไว้แล้วพาพ่อขึ้นรถเพื่อย้ายไปอยู่กรุงเทพทันที
โรงพยาบาลจิตเวช
ชีวิตใหม่ของเธอและอนุพงศ์เริ่มต้นขึ้นด้วยเงินเก็บหนึ่งก้อน ถึงจะไม่มากนักแต่ก็พอตั้งหลักได้ ขนมผิงอยู่ห้องเช่าเล็ก ๆ ส่วนพ่อของเธอได้รับการรักษาที่โรงพยาบาลรัฐ โดยมีพยาบาลจิตใจดีอย่างฉัตรสุดาเป็นคนดูแลและคอยติดต่อรายงานพฤติกรรมของอนุพงศ์กับขนมผิงเสมอ
“พ่อชอบที่นี่ไหมคะ ที่นี่มีเพื่อนเยอะเลยนะ ต่อจากนี้พ่อจะได้ไม่ต้องเหงาอีกต่อไป”
ขนมผิงชวนอนุพงศ์คุยในตอนที่เธอมาเยี่ยม แล้วในตอนนั้นเอง ฉัตรสุดาก็เดินเข้ามาหา
“น้องผิงคะ มีคนมาขอเยี่ยมคุณอนุพงศ์ค่ะ”
“พอทราบไหมคะว่าเขาเป็นใคร”
“เห็นบอกว่าเป็นคนรู้จักค่ะ”
“ให้เขาเข้ามาเลยค่ะ”
ขนมผิงตอบออกไปไม่นานมาก ก็มีชายสวมสูทดำแต่งตัวเหมือนคนส่งจดหมายแต่คนละคนเดินตรงมาหาเธอและอนุพงศ์
“พี่ฉัตรคะ ผิงฝากดูพ่อแป๊บนึงได้ไหมคะ”
“ได้ค่ะ” ฉัตรสุดาขานรับและพาอนุพงศ์ที่นั่งอยู่บนวิวแชร์เดินออกไปทางอื่น
“สวัสดีค่ะ คุณคือ ?”
“หัวหน้าในที่ทำงานของพ่อเธอ” ชายวัยกลางคนตอบ
“คุณมาพบพ่อของหนู เพราะอะไร…”
“พ่อเธอไม่ได้ทำงานนานมากแล้ว เจ้านายส่งฉันมาตามตัว”
“แต่พ่อของหนูสติไม่ดีนะคะ หนูขอยุติงานของพ่อได้ไหม เขาเป็นแบบนี้คงทำงานต่อไม่ได้แล้ว”
“ฉันเห็นสภาพแล้วก็คงกลับไปทำงานไม่ได้จริง ๆ ไว้ฉันจะรายงานกับเจ้านายให้ แล้วก็ขอแสดงความเสียใจเรื่องแม่ของเธอด้วยนะ”
ชายกลางคนตอบก่อนจะลุกขึ้นจากม้านั่งตัวยาวเพื่อเดินห่างจากขนมผิงไป แต่ขนมผิงกลับเรียกเขาเอาไว้ก่อน
“คุณคะ…”
“…” ชายคนนั้นหยุดยืนนิ่งแต่ไม่ได้หันกลับมามอง
“คุณบอกหนูได้ไหมว่าพ่อทำงานอะไร”
“เธอไม่ควรยุ่งเรื่องนี้” จากนั้นเขาก็เดินห่างออกไป
ทิ้งเพียงความสงสัยที่มันมากกว่าเดิมให้กับคนตัวเล็ก ก่อนที่เธอจะหยิบจดหมายฉบับนั้นออกมาจากกระเป๋าสะพายแล้วเปิดอ่านดู มันเป็นจดหมายเรียกตัวกลับไปทำงานและมีตราสัญลักษณ์ไม้กางเขน เหมือนเป็นองค์กรหรือสัญลักษณ์ของแก๊งมาเฟีย…
——————————————————
ตอนนี้มีทั้งตอนปัจจุบันและย้อนจุดเริ่มต้นเรื่องราวทั้งหมดในวัยเด็กของขนมผิงนะคะ จะเล่าจนมาถึงเหตุการณ์ปัจจุบันก่อนขนมผิงเข้ามาทำงานที่ตึก Black เลย แนะนำอย่าอ่านข้ามเนื้อหาส่วนนี้นะคะ เดี๋ยวอ่านไม่เข้าใจกัน เพราะค่อนข้างเป็นจุดสำคัญเลย 🫶🏻💖✨