LOGINดวง ตาสีเขียวมองร่างเปลือยของสาวน้อยตรงหน้าด้วยสายตาแค้นเคือง ดุดัน เธอถอยร่นหนีเขาอย่างหวาดผวา ตื่นกลัว ตกใจ ดวงหน้างามสั่นไปมาจนเส้นผมสลวยปลิวไสว เมื่อเห็นเขาถอดเสื้อผ้าทีละชิ้นๆ อย่างใจเย็น ปรางค์รวีพยายามถอดโซ่ตรวนที่จองจำอยู่ที่ข้อเท้า เพื่อที่เธอจะหนีอสูรร้ายที่กำลังย่างกรายขึ้นมาบนเตียง ในสภาพที่ไร้ซึ่งอาภรณ์
View More“ปรางค์ วันนี้รายงานตัวเข้าฝึกงานไม่ใช่เหรอลูก รีบแต่งตัวสิ เดี๋ยวรถจะติดไปไม่ทันกันพอดี”
สดศรีมารดาของปรางค์รวีเอิ่นบอกลูกสาวที่กำลังแต่งตัวอยู่ในห้อง เมื่อมองดูนาฬิกาบนฝาบ้านที่บอกเวลาหกโมงครึ่ง นางกลัวว่าการจราจรอันแสนคับคั่งจะทำให้เธอไปสายในวันแรกของการฝึกงาน
“ค่ะแม่ ปรางค์เสร็จแล้วค่ะ” เจ้าของเสียงเดินออกมาจากห้องพร้อมรอยยิ้มแสนหวาน
“แม่ไม่อยากให้ปรางค์ไปสาย ไปทำงานวันแรกเราก็ต้องตรงต่อเวลา ถึงแม้ว่าจะเป็นแค่การฝึกงานก็เถอะ”
สดศรีเป็นคนตรงต่อเวลา นางจะไปไหนมาไหนต้องเผื่อเวลารถติดเสมอ หากไปถึงก่อนเวลาก็ไม่มีอะไรเสียหาย แต่ถ้าไปถึงหลังเวลานัดอาจจะถูกมองในแง่ไม่ดีได้ และส่งผลตรงถึงหน้าที่การงาน
“ปรางค์รู้ค่ะแม่ ปรางค์ถึงรีบออกจากบ้านเร็วไงคะ กว่าจะฝ่าดงรถยนต์ไปถึงที่ทำงานได้ก็คงใช้เวลาชั่วโมงนึง แต่ถ้าไม่ทันจริงๆ ปรางค์จะขึ้นวินมอ’ ไซค์ค่ะ รับรองไปทันแน่ๆ ค่ะ”
ปรางค์รวีเตรียมแผนการเดินทางของตนไว้เรียบร้อย เนื่องจากระยะทางระหว่างบ้านหลังนี้ไปที่ทำงานไม่ไกลเท่าไหร่มากนัก แต่ทว่ารถติดเหลือกำลัง จึงต้องเผื่อเวลาไว้เรื่องนี้ด้วย
“แม่ไปซื้อโจ๊กกับปาท่องโก๋มาให้ปรางค์ด้วย กินก่อนแล้วค่อยไปนะลูก มีอะไรรองท้องบ้างเพราะกว่าจะได้กินอีกทีก็เที่ยง”
พูดจบก็เดินไปหยิบอาหารที่เตรียมไว้ให้หลานสาวมาว่งไว้บนโต๊ะตัวเล็กที่นั่งประจำของปรางค์รวี
“ขอบคุณค่ะแม่” ปรางค์รวีลงมือทานอาหารเช้าที่มารดาเตรียมไว้ให้ เธอใช้เวลาทานประมาณสิบนาทีโจ๊กในชามก็เกลี้ยง “ปรางค์ไปก่อนนะคะแม่ สวัสดีค่ะ”
“โชคดีนะลูก ขอให้ลูกแม่เจอแต่คนดีๆ ให้ความเมตตานะลูก”
“ขอบคุณค่ะแม่” ปรางค์รวีไหว้และกล่าวขอบคุณในคำอวยพรของผู้เป็นแม่ แล้วเดินทางออกจากบ้านทันที
สดศรีมองตามร่างของปรางค์รวีด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะยกมือท่วมหัว ภาวนาขอให้เพื่อนร่วมงานและเจ้านายของลูกสาวเป็นคนดี มีจิตใจเมตตา มีความเอื้อเฟื้อต่อปรางค์รวี นางคิดว่าหากเจ้านายและเพื่อนร่วมงานดี การทำงานก็ราบรื่น
แต่นางจะรู้หรือไม่ว่า กำลังมีเสือร้ายรอเขมือบร่างของปรางค์รวี ที่ไม่เพียงแค่นั้นยังเป็นคนที่สร้างความเสียใจให้กับเธออย่างมากมายด้วย
ตึกสูงระฟ้าตรงหน้าทำให้ปรางค์รวีต้องรีบเร่งฝีเท้าให้เร็วมากยิ่งขึ้น อีกสิบห้านาทีเธอจะต้องเข้าไปรายงานตัวกับแผนกบุคคล เป็นนักศึกษาฝึกงานคนแรกของบริษัททีทีอาร์ กรุ๊ป เธอถูกคัดเลือกจากหนึ่งในร้อยของนักศึกษาที่ยื่นความจำนงขอฝึกงานด้วย
“ทำไมมาช้าจังยัยปรางค์ นี่ได้เวลาแล้วนะ” ภัทราหันมาต่อว่าเพื่อนสนิท ที่วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาในตัวอาคาร
“รถติดมากเลย นี่ก็รีบสุดๆ แล้วนะ” ปรางค์รวีพูดเสียงปนเหนื่อยหอบ
“ไปเถอะ กว่าจะรอลิฟต์อีกเดี๋ยวสายกันพอดี”
ภัทราบ่นอุบ วันนี้ทั้งสองสาวต้องมารายงานตัวเป็นนักศึกษาฝึกงานที่นี่ หากแต่คนละบริษัท ภัทราฝึกงานในบริษัทประกันชีวิต ที่เช่าสำนักงานในอาคารแห่งนี้ ส่วนปรางค์รวีโชคดีได้ฝึกงานกับบริษัทเจ้าของตึก เพื่อนรักทั้งสองจึงนัดหมายเจอกันที่นี่
สองสาวยืนรอลิฟต์อยู่เกือบห้านาที หากแต่ลิฟต์ยังไม่เดินทางมาถึงชั้นล่าง ปรางค์รวีก้มมองดูนาฬิกาข้อมือหลายครั้ง ด้วยความกระวนกระวายใจ เหลือเวลาอีกไม่ถึงสิบนาทีเท่านั้นก้จะถึงเวลานัดหมายเข้ารายงานตัว เวลาที่เหลือน้อยนิด เธอจึงภาวนาขอให้ลิฟต์มาจอดถึงชั้นล่างเร็วๆ
ขณะเดียวกันประธานหนุ่มไฟแรงของบริษัททีทีอาร์ กรุ๊ป บุรุษที่มากด้วยเสน่ห์และเจ้าชู้อย่างร้ายกาจ เดินมายังลิฟต์โดยสารของอาคาร โดยมีลูกน้องคนสนิทที่เป็นทั้งคนไทยและอิตาลี เดินขนาบเจ้านายหนุ่ม ก่อนที่ทั้งหมดจะมาหยุดยืนหน้าลิฟต์สำหรับเจ้าของบริษัทดังกล่าวใช้งานได้เพียงคนเดียว
รังสรรค์เสียบการ์ดลงไปในช่องหน้าลิฟต์ ก่อนจะกดปุ่มเปิดลิฟต์ เมื่อลิฟต์เปิดออกทั้งหมดก็ก้าวเข้าไปภายใน ในช่วงจังหวะนั้นเอง ภัทราหันมามองทางด้านหลังเมื่อเห็นว่าลิฟต์อีกตัวเปิดอยู่ มีกลุ่มชายฉกรรจ์ยืนอยู่ภายใน เธอจับข้อมือของเพื่อนสาว ลากเดินเข้าไปในลิฟต์ ไม่ทันได้อ่านป้ายที่เขียนว่า “สำหรับผู้บริหารเท่านั้น” คนที่อยู่ภายในลิฟต์จะบอกก็บอกไม่ทัน เพราะประตูลิฟต์ปิดเสียก่อน
“โชคดีนะเนี่ยที่ลิฟต์ตัวนี้มาเสียก่อน ไม่งั้นไม่ทันแน่เลย”
ภัทราบ่นอีกตามเคย เอื้อมมือไปกดปุ่มชั้นที่เธอต้องการ หากแต่ไม่มีตัวเลขชั้นที่เธอต้องการ เพราะมีอยู่สามหมายเลขเท่านั้นคือ 46, 47, 48
“อ้าวแล้วเธอจะไปชั้นที่ยี่สิบสองได้ยังไงล่ะ มันไม่มีหมายเลขชั้นนั้นนี่” ปรางค์รวีเอ่ยถามเพื่อนรัก เมื่อนิ้วเรียวยาวเอื้อมมือไปกดปุ่มหมายเลขชั้นที่ต้องการ แต่ไม่มีหมายเลขชั้นที่ภัทราฝึกงานอยู่
“สงสัยเมื่อกี้รีบร้อนเลยเข้าลิฟต์ผิด ไม่เป็นไร.ถือว่าภัทรมาส่งปรางค์ก็แล้วกัน” ภัทราพูดด้วยรอยยิ้ม ลิฟต์บางอาคารแยกเป็นสัดส่วนชั้นคี่กับชั้นคู่ เธอจึงไม่ติดใจอะไรกับลิฟต์ตัวนี้
ปรางค์รวีมองไปรอบๆ ตัวลิฟต์ บุคคลที่อยู่ในลิฟต์ตัวนี้ดูน่าเกรงขาม แต่ละคนใบหน้านิ่งราวกับเป็นหุ่นยนต์ มีจุดเด่นอยู่คนเดียว ใบหน้าของเขาดูมีเสน่ห์น่าหลงใหล หล่อเหลาผิวขาว เส้นผมของเขาสีน้ำตาลประกายทองถูกจัดแต่งทรงอย่างสวยงาม หนวดเคราขึ้นบางๆ ที่สันแก้มทั้งสองข้าง โดดเด่นมากที่สุดคงเป็นดวงตาสีเขียว
เขาช่างหล่อบาดใจเธอยิ่งนัก หัวใจของปรางค์รวีเต้นรัวเมื่อได้ที่สบสายตาแสนเสน่ห์นั้น เหมือนมีแรงดึงดูดมหาศาล ยิ่งมองยิ่งร้อนวูบวาบ จนเธอต้องเบนหน้าหนีก่อนที่ร่างกายของเธอจะละลาย สติของเธอถูกดึงกลับมาเมื่อเพื่อนสาวเอ่ยถามคำถามบางอย่าง
Chapter 70“เกี๊ยะ คุณพ่อคุณแม่ของพี่วิโต คุณลุงลิปโป้ และก็คุณฟรานโก้ เป็นเพื่อนของพี่วิโต” กมลเนตรแนะนำตัวบุคคลที่เดินทางมาพร้อมกับตัวเอง โดยที่เธอไม่รู้ว่า ภัทรารู้จักทุกคนที่กมลเนตรแนะนำตัว แต่เธอก็ทำนิ่งเฉย ทำราวกับว่าเพิ่งรู้จักกัน“เชิญด้านในค่ะ” ภัทราเชื้อเชิญบุคคลทั้งหมดเข้าไปภายในศาลา หลังจากที่ทำความเคารพตามมารยาทเสร็จ“ปรางค์” กมลเนตรเรียกชื่อของเพื่อนรัก ปรางค์รวีเงยหน้ามองผู้พูด เมื่อเห็นว่าเป็นกมลเนตรเพื่อนสนิทที่ไม่ได้เจอกันมานาน หญิงสาวโผกอดร่างของกมลเนตรแน่น ร้องไห้ออกมาอย่างสุดกลั้น น้ำตาแห่งความเสียใจที่มารดาจากไป ความรู้สึกผิดที่หลงรักผู้ชายคนเดียวกับเพื่อน และอีกมากมายที่อัดแน่นอยู่ในสมองน้อยๆ ของหญิงสาวหัวใจช้ำ“ปรางค์เป็นไงบ้าง”“แม่ แม่ไม่อยู่แล้ว แม่จากปรางค์ไปแล้ว ต่อไปนี้ปรางค์จะอยู่ยังไง” ความอ้างว้างเกาะกินหัวใจของปรางค์รวี เธอไม่รู้ว่าจะยืนจุดไหนบนโลกใบนี้ ความสูญเสียที่ได้รับ มันมากพอที่จะทำลายความเข้มแข็งที่พยายามก่อสร้างมันขึ้นมาได้ทั้งหมดในคราวเดียว“ปรางค์ยังมีตา มีเกี๊ยะนะ” กมลเนตรปลอบเพื่อน“ปรางค์ยังมีผมด้วย ผมจะอยู่ข้างๆ ปรางค์นะ” ศาสตราพูดเสริ
Chapter 69“เกี๊ยะอยู่ที่นี่ดีกว่าค่ะ เกี๊ยะจะได้ดูแลปรางค์ด้วย บอกตรงๆ ว่าเป็นห่วง ไม่อยากละสายตาเลยค่ะ”“งั้นผมอยู่ด้วยดีกว่า มีอะไรจะได้ช่วยเหลือกัน ผมนอนที่ห้องข้างนอกเอง”“ตามใจคุณศาสตราเถอะคะ ตอนนี้เกี๊ยะคิดอะไรไม่ออกจริงๆ”ภัทราเหนื่อยทั้งกายและจิตใจ ทุกข์ใจเป็นอย่างมากที่เห็นเพื่อนเป็นเช่นนี้ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะช่วยอะไรได้มากกว่าปลอบโยนในขณะที่เธอเดินลงมานั่งอยู่ในห้องรับแขกเสียงโทรศัพท์มือถือของภัทราดังขึ้นหลายครั้ง ก่อนที่เจ้าตัวจะกดรับสาย เสียงเนือยๆ คล้ายกับอ่อนล้าของภัทรา ทำให้บุคคลที่โทรศัพท์มาหาจับความผิดปกติได้“หวัดดีตา” ภัทราทักปลายสาย“ทำไมทำเสียงแบบนั้นล่ะ เป็นอะไรหรือเปล่าเกี๊ยะ” กมลเนตรคิดถึงเพื่อนสาวคนสนิททั้งสองคนขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เธอโทรศัพท์ไปหาปรางค์รวีหลายสิบครั้ง หากแต่ไม่ประสบความสำเร็จเลยสักครั้ง เธอจึงตัดสินใจโทรศัพท์มาหาภัทราแทน“ตา แม่ของปรางค์เสียแล้วนะ เสียเมื่อวานนี้เอง ปรางค์ดูแย่มากเลย แย่จนเกี๊ยะใจไม่ดีเลย...ฮือ” ภัทราพูดทั้งน้ำตา กมลเนตรอึ้งไปชั่วขณะหนึ่ง คาดไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องเลวร้ายเช่นนี้ แม้ว่าจะเป็นสัจธรรมของชีวิตก็ตาม แล้วรู้ดีว่าปรางค์
Chapter 68ภัทราเดินมาที่หน้าประตูรั้วบ้าน และเดินไปเดินมาอย่างกังวลใจ สดศรีออกไปตลาดที่หน้าปากซอยร่วมสองชั่วโมงแล้ว ยังไม่กลับมา เธอคิดไปในทางที่ดีว่า สดศรีอาจจะแวะคุยกับคนรู้จัก แต่ก็ไม่น่าจะนานเป็นชั่วโมง เพราะซื้อของสดมาด้วย หากไม่รีบนำกลับมาแช่ตู้เย็น เนื้อสัตว์อาจจะมีกลิ่นก็เป็นได้ ที่สำคัญที่สุด สดศรีไปซื้อของในตลาดที่อยู่หน้าปากซอยไม่เคยเกินหนึ่งชั่วโมง รีบไปรีบกลับด้วยซ้ำไป“ออกไปตามดีกว่า” ภัทราพูดกับตัวเอง คิดว่าอยู่อย่างนี้ความไม่สบายใจคงไม่หาย เธอจึงก้าวเท้าเดินไปยังหน้าปากซอยบ้านที่อยู่ไม่ไกลนัก เพื่อไปตามหาสดศรีอีกประมาณยี่สิบเมตรก่อนจะถึงหน้าปากซอย ภัทรามองเห็นคนกลุ่มหนึ่งมุงดูบางอย่าง โดยมีรถของมูลนิธิชื่อดังจอดอยู่ใกล้ๆ ทำให้ภัทราเกิดความอยากรู้อยากเห็น เดินแทรกไทยมุงเข้าดู ดวงตาคมหวานมองดูหน่วยอาสาสมัครกำลังช่วยชีวิตประสบอุบัติเหตุ ซึ่งเธอไม่รู้ว่าเป็นหญิงหรือชาย เพราะร่างสูงใหญ่ของหน่วยอาสาอีกคนบังจนมิด“ใครเป็นอะไรเหรอคะคุณลุง” ภัทราเอ่ยถามชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่ข้างเธอ“คนโดนรถเชี่ยวน่ะ โดนไม่แรงหรอกนะ แต่ว่าหัวของแกไปกระแทกกับขอบปูนทางเดิน ก็เลยน็อกไม่ได้สติ ไม่
Chapter 67“ขอโทษนะคะคุณเสก เผอิญว่าฉันเป็นลูกคนเดียวไม่มีพี่ ไม่มีน้อง คุณจึงไม่ใช่พี่ชายของฉัน ไม่ต้องมาเรียกแทนตัวเองว่าพี่เลย ฟังแล้วจะอ้วก”“อะไรจะอ้วกแล้ว ยังไม่ทันทำอะไรเลยแค่จูบไม่กี่นาทีเอง ท้องแล้วเหรอ” รังสรรค์ทำเสียงทะเล้นใส่“นี่อย่ามาทำปากดีนะ ถ้าจะโทรมากวนฉัน ฉันจะวางสายแล้วนะ” เขาพูดเรื่องจูบแรกของเธอในวันนั้น ยิ่งทำให้ใบหน้างามแดงซ่าน ตั้งท่าจะวางสายเพื่อเป็นการตัดบท แก้ขวยเขิน“ผมคิดถึงคุณนะ” คราวนี้น้ำเสียงจริงจัง คนที่ได้ฟังถึงกับยิ้มไม่หุบ ตัวแทบลอย ทำท่ากรี๊ดแต่ไม่มีเสียง“...”“คุณคิดถึงผมหรือเปล่า” เขาถามเมื่อปลายสายเงียบไป“โทรมาแค่นี้เนี่ยนะ เปลืองเงินแย่” เธอเลี่ยงที่จะไม่ตอบคำถามเขา จะตอบไปได้ยังไงว่าคิดถึง อายแย่เลย“ไม่เปลืองหรอก โทรมาหาคนที่เรารักเปลืองแค่ไหนผมก็ยอม” เขายังคงหยอดคำหวานต่อไป“ใครคนรักของคุณ พูดให้ดีๆ นะ”“ก็ใครล่ะที่ผมคุยอยู่ด้วย ก็คนนั้นแหละ ว่าแต่คุณอยู่ที่ไหนเนี่ย” ถ้าใครมาเห็นเธอตอนนี้ คงต้องบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าบ้า เพราะเธอกระโดดโลดเต้น ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่คนเดียว“กำลังจะเดินไปบ้านปรางค์” เธอตอบ“แล้วคุณปรางค์เป็นยังไงบ้าง” รังสรร