“มะนาว!! เป็นอะไรคะ แล้วทำไมหนูร้องไห้” เมื่อเห็นลูกสาวที่เดินเข้ามา ผู้เป็นแม่รีบวิ่งเข้าไปโอบกอดด้วยความห่วงใย เธอคุยงานเสร็จเรียบร้อย หันมามองยังที่นอนของลูกสาวแต่กลับไม่เห็นแม้แต่เงา จึงกังวลและเป็นห่วง ตามหาในห้องแต่งตัวหรือบริเวณใกล้ ๆ ก็ไม่เห็นจนได้ออกตามหา ทำเอาทีมงานวุ่นวายไปด้วย
ผู้หญิงตรงหน้าทำให้เขานั้นถึงกับอึ้งไปถนัดตา เธอดูมีเสน่ห์และน่ารัก จนเขานั้นจ้องมองไม่อยากจะละสายตา ยิ่งสีหน้าที่ติดกังวลและมีความห่วงใย ยิ่งทำให้เขานั้นลุ่มหลงอย่างกับโดนมนสะกด แม้จะอยู่ในสังคมที่เปิดกว้าง พบเจอผู้หญิงมากมายก็ไม่ต้องตาถูกใจเท่าเธอคนนี้
“น้องปวดฉิ่งฉ่องเลยไปห้องน้ำ พุงน้องติดบนอ่างล้างมือลงไม่ได้ น้องกลัว ฮือ” เด็กหญิงบอกเล่าแล้วร้องไห้อีกครั้ง เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา กอดคอของผู้เป็นแม่แน่นอย่างต้องการปกป้อง
“ไม่ร้องนะคะ ไม่ต้องกลัว แม่อยู่นี่แล้วนะลูกปลอดภัยแล้วนะคะ” ผู้เป็นแม่พูดปลอบ เธอใจหายเกือบแทบไม่เป็นอันทำอะไร เมื่อไม่เห็นลูกสาวอยู่ในที่จัดหาให้
“คุณอาสุดหล่อช่วยน้องค่ะคุณแม่” เด็กหญิงบอกกล่าว ทำให้ผู้เป็นแม่นั้นเงยหน้ามอง คนตัวสูงที่ยืนอยู่ตรงหน้า ทั้งที่เขายืนอยู่นานแต่เธอกลับมองไม่เห็น เพราะห่วงใยลูกสาวจนสิ่งรอบข้างไม่อยู่ในสายตา
“น้องขอบคุณคุณอาหรือยังคะที่ช่วยน้องไว้” ผู้เป็นแม่บอกย้ำลูกสาวตัวน้อย
“ขอบคุณค่ะคุณอาสุดหล่อ” เด็กหญิงผละกอดจากแม่ แล้วยกมือไหว้ด้วยความนอบน้อม ทำเอาชายปริศนายิ้มให้ลูบหัวของเด็กน้อยด้วยความอ่อนโยน
“ไม่เป็นไรครับ ต่อไปจะไปไหนให้บอกคุณแม่ด้วย เข้าใจไหมคนเก่ง” เขาบอกย้ำเด็กหญิง
“ค่ะ”
“ขอบคุณนะคะที่ช่วยลูกสาวของดิฉันไว้ และขอโทษด้วยหากแกรบกวนคุณ” เธอลุกยืนเต็มความสูงและยกมือไหวชายตรงหน้า รู้สึกขอบคุณที่มีคนช่วยเหลือลูกน้อยของเธอไว้ ไม่ทำให้เธอกลัวไปมากกว่านี้ แม้จะไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร แต่ภายนอกตอนนี้เธอสัมผัสได้ว่าเขาไม่น่าจะใช่คนเลวร้าย
“ไม่เป็นไรครับ ดีแล้วล่ะที่เธออยู่ในสตูไม่ไปเจอสถานการณ์แบบนี้ข้างนอก ไม่งั้นคงจะอันตราย” เขาพูดตอบโต้ ท่าทางของเขาดูเป็นผู้ชายอบอุ่นและมีเสน่ห์ในคราวเดียวกัน
“ขอบคุณอีกครั้งนะคะ” เธอไม่รู้จะพูดคำไหนนอกจากคำนี้
“ครับ...ผมขอตัวก่อนนะ” เขายิ้มและพยักหน้ารับ จากนั้นจึงเดินเบี่ยงหลบทางด้านซ้าย เพื่อเดินไปทำงานที่อยู่ไม่ไกล
“ค่ะ”
(คุณนักรบ!) ยังไม่ทันได้ก้าวขาเดินเท่าไหร่ เสียงของทีมงานเรียกขาน ทำให้เขาหยุดเดินแล้วหันหลังกลับไปมอง
“ครับ” เขาตอบรับด้วยท่าทางสุขุม
“พอดีเลยค่ะ จ๋าว่าจะปรึกษาเรื่องแบบเสื้อผ้า” ทีมงานบอกกล่าวถึงจุดประสงค์ “นางแบบก็อยู่พอดีเลย งั้นจ๋าขอแนะนำนะคะ...นี่น้องน้ำส้มค่ะ เธอจะเป็นนางแบบเสื้อผ้าคอลเลกชั่นของบริษัท และนี่คุณนักรบค่ะน้องน้ำส้ม เป็นเจ้าของโปรเจ็คและเป็นเจ้าของสตูดิโอนี้ แล้วก็เป็นเจ้าของบริษัทด้วยค่ะ” ทีมงานแนะนำอย่างเป็นทางการ ทำเอาน้ำส้มถึงจ้องมองด้วยความหวาดหวั่น ไม่คิดว่าการมาทำงานที่นี่ครั้งแรก ก็เหมือนจะสร้างความวุ่นวายให้เสียแล้ว พลันคิดไปไกลว่าเขาคงจะไม่ปลดเธอกลางอากาศหรอกใช่ไหม?
“สะ สวัสดีค่ะคุณนักรบ” เมื่อรับรู้ถึงสถานะที่แท้จริง กลับทำให้เธอรู้สึกประหม่า ยิ่งมองหน้าเขาก็ยิ่งใจสั่น จนพูดติดขัดออกไปต่อหน้าเขา
“ยินดีที่ได้รู้จักนะครับคุณน้ำส้ม” เขายื่นมือมาทักทายพร้อมกับรอยยิ้มที่ทรงเสน่ห์ การพบเจอกันครั้งแรกใบหน้าของเธอทำให้เขานั้นอยากจ้องมองมันดึงดูดสายตาของเขาเหลือเกิน ช่างเป็นความโชคดีเสียจริง เขาก้มมองต่ำไปยังเด็กหญิงตัวน้อยอย่างขอบคุณ ที่นำพาความโชคดีมาให้ นั่นคือสิ่งที่เขาคิดในใจ
“ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกัน ยังไงก็แนะนำด้วยนะคะและต้องขอโทษเรื่องของลูกสาวที่ทำให้วุ่นวาย หวังว่าคุณจะไม่ถือสานะคะ...ฉันจะตั้งใจทำงานให้เต็มที่ค่ะ” เธอรู้สึกอายที่สร้างความวุ่นวายให้กับทีมงาน ตามหาลูกสาวของเธอจนวุ่น รีบแก้ต่างหวังให้เขาไม่ถือสากับความผิดพลาดเล็กน้อยที่เธอก่อ
“ไม่เลยครับ น้องน่ารักออก” เขาตอบเธอและไม่อยากให้เธอรู้สึกเป็นกังวลเพียงเรื่องเล็กน้อย ที่เขาไม่เคยคิดต่อว่า กลับดีใจเสียมากกว่ากับการได้พบกัน แต่น่าเสียดายคงไม่ได้สานสัมพันธ์ต่อเพราะเธอมีครอบครัวเสียแล้ว เพราะลูกสาวตัวน้อยคือสิ่งยืนยัน
“น้องชื่อมะนาวค่ะคุณอาสุดหล่อ” เด็กหญิงที่ได้แต่ฟังผู้ใหญ่คุยกัน จนเธออยากมีส่วนร่วมจึงเอ่ยแนะนำตัวเองขึ้นทันที ด้วยท่าทียิ้มแย้มแจ่มใส จนผู้ใหญ่รอบด้านนั้นยิ้มตามเธอไปด้วย
“ยินดีที่ได้รู้จักครับน้องมะนาวคนสวย” เขาย่อตัวลงต่ำให้เสมอเด็กหญิง แล้วหยิบพวงแก้มกลมอย่างมันเขี้ยว
“น้องสวยเหมือนคุณแม่ใช่ไหมคะ” เด็กหญิงย้อนอย่างไร้เดียงสา
“ครับ...สวยเหมือนคุณแม่” เขาพยักหน้าตอบรับ และเว้นวรรคคำพูด จ้องมองหน้าแม่ของเด็กหญิงมะนาว แววตาสื่อเป็นนัยจนเธอนั้นไม่กล้าสบตา และมองไปทางอื่นอย่างเคอะเขินสายตาของเขา
“โอเคค่ะรู้จักกันแล้ว งั้นเราเริ่มทำงานกันเลยไหมคะคุณนักรบ” จ๋าที่เป็นทีมงานพูดขึ้นตัดบท นั่นจึงทำให้นักรบหลุดจากภวังค์ที่จ้องมอง
“ได้ครับ”
เมื่อได้ทำความรู้จักกันเป็นที่เรียบร้อย การเริ่มงานก็ค่อย ๆ ดำเนินไปเรื่อย ๆ นักรบผู้เป็นเจ้าของบริษัท นั่งมองนางแบบคนใหม่ในทุก ๆ การเคลื่อนไหวของเธอ ทุกท่วงท่าและรอยยิ้มมันทำให้เขาไม่อยากละสายตาไปไหน เธอดึงดูดเขาอย่างอัตโนมัติ โดยที่เธอแทบไม่ได้มองมาทางเขาเลย มีแต่นักรบเท่านั้นที่มองอยู่ฝ่ายเดียว
“คุณอาสุดหล่อ น้องขอนั่งด้วยได้ไหมคะ” เด็กหญิงตัวน้อยที่นอนเล่นในที่ของตัวเอง รู้สึกเบื่อหน่ายเมื่อโทรศัพท์ที่ใช้สำหรับดูการ์ตูนของเธอแบตหมด จึงเดินเข้ามาหาคนที่ช่วยเหลือเธอไว้ พูดคุยอย่างสนิทสนมเชื่อใจ
“ไม่ดูการ์ตูนแล้วเหรอครับน้องมะนาว” เขาหันมามองตามเสียง แล้วเอ่ยถามเด็กหญิงตัวกลม
“โทรศัพท์น้องแบตหมดแล้วค่ะ ไม่มีการ์ตูนให้ดูอยู่คนเดียวแล้วน้องเหงา” เด็กหญิงให้คำตอบตามความจริง พร้อมกับปีนขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้ข้างคุณอานักรบ
“เวลาคุณแม่ไปทำงาน น้องมะนาวไปกับคุณแม่แบบนี้ตลอดเลยเหรอคะ” เขาหันไปถามเด็กหญิงที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ท่าทางเป็นมิตรและใจดี ทำให้เด็กหญิงตัวกลมนั้นไว้วางใจ กล้าที่จะพูดคุยเล่นด้วย
“ใช่ค่ะ คุณแม่บอกว่าไม่กล้าให้น้องอยู่บ้านคนเดียว เลยต้องเอาน้องมาทำงานด้วยค่ะ” เด็กหญิงตอบอย่างฉะฉาน ตามสิ่งที่เธอจดจำจากคำพูดของผู้เป็นแม่ คำตอบที่ไร้เดียงสาของเด็กทำให้นักรบนั้นเริ่มสงสัยลึกเข้าไปอีก เหมือนกับว่าพวกเธออยู่กันสองคนแม่ลูก
“ทำไมน้องมะนาวพูดเหมือนว่าอยู่กับคุณแม่แค่สองคน” เขาถามย้ำ ทั้งที่ในใจนั้นก็พอจะเดาออกจากคำพูดของเด็กหญิงมะนาว
“ใช่ค่ะ คุณแม่บอกว่าคุณพ่ออยู่บนฟ้า” เด็กหญิงเงยหน้าตอบพร้อมรอยยิ้มสดใสไร้เดียงสา ทว่ากลับทำให้ผู้ชายตัวใหญ่อย่างนักรบนั้นหัวใจเต้นระส่ำสงสาร เมื่อเห็นใบหน้าของเด็กน้อยที่สื่อความหมายว่าเธอนั้นกำพร้าพ่อ จากนั้นจึงมองไปยังผู้หญิงที่อยู่หน้ากล้อง โพสต์ท่าตามคำสั่ง เธอตั้งใจทำงานโดยไม่บ่นว่าเหนื่อยสักคำ นั่นยิ่งทำให้เขารู้สึกตกหลุมรักผู้หญิงคนนี้ โดยไม่มีอะไรขวางกั้น แม้การพบกันวันนี้เป็นครั้งแรก มันก็สร้างความรู้สึกประทับใจแก่เขา จนอยากกลายเป็นคนดูแลหากเธอให้โอกาส
“พักเบรกค่ะ” เสียงของพนักงานดังขึ้นเป็นสัญญาณ การถ่ายแบบที่ใช้เวลานานติดต่อกัน จนทำให้นางแบบรู้สึกเหนื่อยล้า แต่ว่าเธอก็ไม่ปริปากบ่น ทำงานอย่างมืออาชีพ ไม่มีชักสีหน้าแม้ว่าจะต้องเปลี่ยนท่วงท่าตามคำสั่งหลายรอบ
“คุณแม่ขา” เด็กหญิงตัวกลมวิ่งเข้าไปหาผู้เป็นแม่ด้วยความดีใจ เรียกขานเสียงดังตามประสา แต่ว่าน่าเอ็นดูเหลือเกิน
“มะนาวกวนอะไรคุณอาคะ ทำไมไม่นอนเล่นบนที่นอนของหนู” ผู้เป็นแม่ถามขึ้น เธอกลัวว่าลูกสาวจะสร้างปัญหาให้กับคนอื่น เพราะวัยเด็กกำลังขี้สงสัย อาจจะทำให้เผอเรอไปเล่นของสำคัญ
“น้องแค่เหงา เลยมานั่งกับคุณอา น้องไม่ได้ซนเลยนะคะคุณแม่” เด็กหญิงรีบแก้ต่างให้ตัวเอง
“น้ำครับ” เขายื่นขวดน้ำเย็นให้ เมื่อเธอเดินออกมาจากกองถ่ายในถัดมา
“ขอบคุณค่ะ” เธอรับน้ำเย็นจากเขา พร้อมกับส่งรอยยิ้มอ่อนอย่างเป็นมิตร
“ง่วงไหมคะ คุณแม่พาไปนอนนะ”
“ง่วงก็ได้ค่ะ”
“งั้นคุณแม่พาไปนอนนะคะ”
“ค่ะ”
“ขอตัวก่อนนะคะคุณนักรบ”
“ตามสบายครับ”
เธอพูดคุยตกลงกับลูกสาวพลางยกน้ำขึ้นดื่ม จากนั้นจึงส่งยิ้มให้กับผู้ที่เป็นเสมือนเจ้านาย ก่อนจะจูงมือลูกสาวแล้วเดินไปยังที่นอนปิกนิกที่เตรียมไว้ เขาได้แต่ยิ้มและมองตามหลังของผู้หญิงต่างวัย ไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงได้ดึงดูดเขาขนาดนี้ เป็นผู้หญิงที่แข็งแกร่งเลี้ยงลูกมาเพียงลำพัง แถมยังใจสู้ไม่ท้อถอย มันทำให้เขาอยากเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งและคอยปกป้องพวกเธอ
“จ๋า เดี๋ยวพักอีกสักครึ่งชั่วโมงนะ”
“ได้ค่ะ”
เขาเดินไปสั่งกับพนักงานที่ดูแล เมื่อเห็นว่าคุณแม่ลูกติดนั้นคงต้องการเวลาพักเหนื่อยมากกว่านี้ เขาไม่อยากให้เธอหักโหมจนเกินไป ไหนจะดูแลลูกน้อย กว่าจะหลับเธอก็คงไม่ได้พักให้หายเหนื่อย เขาไม่ใช่คนใจร้ายใจดำ ที่จะทำแต่งานจนไม่สนใจคนรอบข้าง เขาเป็นผู้ชายที่ผู้หญิงต้องการครอบครอง แต่กลับยังไม่มีใครพิชิตใจของผู้ชายเช่นเขาได้สักคน การถูกนัดดูตัวมากมายแต่ยังไม่ใครต้องใจ แต่แล้วก็เหมือนพรหมลิขิต ที่เบี่ยงมาให้เขาได้เจอกับเธอพร้อมกับกามเทพตัวน้อยนำทาง
“คุณมีใครในใจหรือยังนะคุณน้ำส้ม” เขามองไปยังแม่ลูกที่นั่งเล่นด้วยกันหยอกล้ออย่างสนุกสนาน เด็กหญิงดูมีความสุขที่ได้อยู่กับแม่ และเธอก็เช่นกัน แม้จะเหนื่อยแต่ก็ยังสามารถยิ้มให้กับลูกได้ ทำให้เขามองจนเพลิดเพลิน
“ทำหน้าให้มันดี ๆ หน่อยสิครับว่าที่ภรรยา” นักรบแซวขึ้นในขณะที่น้ำส้มกำลังถูกรุมด้วยพนักงานร้านวิวาห์ ที่กำลังวัดสัดส่วนเพื่อเก็บรายละเอียดของชุดแต่งงานสีขาวระยิบ ประดับประดาด้วยเลื่อมและไข่มุกแท้ ที่นักรบวางแผนเลือกดีไซเนอร์ระดับแถวหน้าชื่อดัง“ยังจะมาพูดอีก ฉันผู้ไม่รู้เรื่องอะไรเลย จู่ ๆ ได้มาลองชุดเจ้าสาว คุณควรให้ฉันทำหน้าแบบไหนดีละคะ” น้ำส้มตอบกลับอย่างกระแนะกระแหน สีหน้าของเธอขุ่นเคืองกับการถูกบีบ แม้มันจะเป็นเรื่องราวที่ดี แต่เขาก็ควรให้เธอได้ตั้งหลักบ้าง“แต่งงานกับผมที่หล่อเหลาอย่างกับพระเจ้าปั้นมา แถมทั้งเก่ง หน้าที่การงานก็โคตรจะดี เพอร์เฟ็คแบบผมนี่หายากนะจะบอกให้ คุณก็ต้องทำหน้าดีใจสิครับถึงจะถูก มีผู้หญิงมากมายอยากจะได้ผมนะ คุณไม่อยากได้ผมหรือไง” เขาปั้นหน้าพูดด้วยความมั่นอกมั่นใจ เยินยอคุณลักษณะของตัวเองอย่างภาคภูมิ“เรื่องหลงตัวเองนี่เก่งเหลือเกิน” จากที่ยืนฟังคำเยินยอของนักรบ ทำให้น้ำส้มถึงกับกลอกตามองบนด้วยความระอา“หรือว่าไม่จริง...ไม่เชื่อคุณลองถามพวกเธอดูสิว่าผมเป็นอย่างที่พูดหรือเปล่า พวกคุณว่ายังไงครับ” เขายังคงตีสีหน้ามาดมั่น แถมยังหาแนวร่วมเอ่ยถามความเห็นเหล่าพ
หลายเดือนผ่านไป“นั่นไม่ใช่ทางกลับบ้านของฉันนี่คะ?” น้ำส้มเอ่ยขึ้นพร้อมกับหันไปมองหน้านักรบที่กำลังขับรถบนท้องถนน ในเส้นทางไม่ใช่ทางกลับบ้านของตนเอง“แล้วใครบอกว่าผมจะพาคุณกลับบ้าน” นักรบพูดตอบกลับด้วยความทะเล้น นั่นยิ่งทำให้น้ำส้มรู้สึกฉงนใจ“แล้วจะพาฉันไปไหน?” เธอย้อนถามอีกครั้ง“ถึงก็รู้เองแหละ” เขาตอบเธอด้วยความยียวน“ไม่ได้พาไปขายใช่ไหม?” น้ำส้มเอ่ยทีเล่นทีจริง พร้อมกับรอยยิ้มกริ่มมุมปาก“มันจะได้ราคาเท่าไหร่กันเชียว” นักรบตอบสบประมาท พร้อมกับเลี้ยวซ้ายในซอยหนึ่งที่เป็นปลายทางของสถานที่จะไป“ก็ลองดูไหมล่ะ?” คำหยามที่ไม่จริงจังแต่ช่างปั่นอารมณ์ผู้หญิงให้หัวร้อนได้ จนน้ำส้มต้องเอ่ยประโยคนี้ออกไปด้วยความท้าทาย“ไม่!!!” ทำให้นักรบรีบตอบทันควันด้วยน้ำเสียงแข็งและสีหน้าบึ้งตึง หันมองน้ำส้มตาเขม็ง เขาพูดแซวเล่นเพื่ออยากแกล้ง แต่เธอตลบคำปั่นอารมณ์เขาแทนเสียอย่างนั้น“หวงละสิ” เธอเย้ยเขาและพูดเข้าข้างตัวเอง สะบัดผมไปข้างหลังด้วยความเชิดมั่นใจ“..........” นักรบไม่ได้ตอบกลับเขาเลือกที่จะเงียบและเขารถนิ่ง ๆ ไปตามเส้นทาง เพราะหากพูดมากกว่านี้กลัวว่าน้ำส้มจะสวนคำจนทำให้เขาหน้าเสีย“ไม่ตอบซะด้
“เปรี้ยวจี๊ดแดดดี๊มาแล้วครับ” เสียงของนักรบดังมาแต่ไกล เรียกขานว่าที่ลูกเลี้ยงที่เขารักปานดวงใจ ข้าวของในมือที่เขาซื้อมาให้เธอ ทุกอย่างเป็นของโปรดปรานของน้องมะนาวทั้งนั้น“ว้าว...แดดดี๊ของน้องตัวจริงหล่อเวอร์ ๆ เลยค่ะ” น้องมะนาวที่อยู่ในชุดนักเรียนน่ารัก เดินลงมาจากบันไดพร้อมแม่มองเห็นใบหน้าที่เปลี่ยนไปของนักรบ จนเบิกตาร้องว้าวด้วยความตื่นตา เขามาในมาดนักรบคนเดิมหล่อเหลาและมีเสน่ห์“เดี๋ยววันนี้คนหล่อเวอร์ ๆ ของน้องจะไปส่งที่โรงเรียนดีไหม?” เขาย่อตัวลงให้เสมอเด็กหญิง แล้วบอกในสิ่งที่จะทำหลังจากนี้ เธอจะมีรอยยิ้มแห่งความสุขทุกครั้งที่นักรบและน้ำส้มไปส่งที่โรงเรียนพร้อมกัน และวันนี้ก็เป็นการไปโรงเรียนวันแรก หลังจากที่เรียนออนไลน์มาเป็นเดือน เขารู้เพราะน้องสาวบอกเล่า“เย่ เย่ ดีเวอร์ ๆ ไปเลยค่ะแดดดี๊...คอยดูนะวันนี้น้องจะเอาแดดดี๊ไปอวดกรีนเพื่อนที่มาใหม่ ชอบพูดอวดพ่อกับน้องตลอดเลย” น้องมะนาวชูสองมือท่วมหัว กระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ การไปโรงเรียนของเธอไม่ได้มีความสุขเหมือนกับสีหน้าและท่าทาง บางวันเธอถูกเพื่อนล้อว่าไม่มีพ่อ จนทำให้เธอต้องแอบร้องไห้อยู่ในมุมอับที่ไม่มีใครเห็น เมื่อถึงเวลาที
“มะนาวเรามีเรื่องต้องเคลียร์กันหรือเปล่าคะ” ผู้เป็นแม่เอ่ยกับลูกสาวตัวกลมที่วิ่งเข้ามาในห้อง ทุกคนล้วนตามเธอขึ้นมาเพื่อรอจับพิรุธเด็กอ้วนผู้ปั่นป่วน“เรื่องอะไรเหรอคะคุณขา” น้องมะนาวแกล้งทำเหมือนไม่รู้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น นั่งเล่นตุ๊กตาวางท่านิ่งทั้งที่ตอนนี้เธอหัวใจเต้นตุบตุบด้วยความพะวงกลัวแม่จะดุ แม้เธอเป็นคนจุดประทัดจนเสียงดังลั่นบ้าน“ยังจะมาตีหน้าใสซื่ออีกนะเปรี้ยวจี๊ด” เป็นเอมอรที่ยืนมือกอดอกพิงขอบประตูพูดขึ้น ท่าทางของน้องมะนาวในตอนนี้ทำเอาผู้ใหญ่อยากจะขำลั่น แต่ต้องวางฟอร์มนิ่งไว้ไม่อยากให้เธอได้ใจ “ใครกันที่โทรบอกแม่อรว่า ‘แม่อรเกิดเรื่องแล้วค่ะกำลังจะกินหัวกันแล้วค่า’ ประโยคใครพูดน้าคิดสิคิด...ติ๊กต๊อก ติ๊กต๊อก ใครนะใครที่เป็นคนพูดแบบนี้”“ใครเหรอคะแม่อร” น้องมะนาวก็ยังคงไม่ยอมรับ เธอจดจำประโยคพูดได้ดีว่าเป็นเธอ แต่ก็ยังไงเฉไฉตาใส เธอหันไปสบตากับนักรบแววตาเปล่งประกายระริกขยิบตาส่งสัญญาณเพื่อขอความช่วยเหลือจากแดดดี๊ของเธอ เพราะตอนนี้สายตาพิฆาตของผู้เป็นแม่กำลังจดจ้องอย่างจับผิด“ไม่รู้สิ สงสัยลูกหมูแถวนี้มั้ง” เอมอรตอบกลับอย่างเย้าแหย่“เอาล่ะ ๆ ผมว่าให้มันแล้วกันไปดีกว่า
“คุณใจร้ายกับผมมากเลยรู้ไหมส้ม ทำผมเกือบร้องไห้ ขอผมกอดอีกหน่อยให้หายคิดถึงแล้วกัน” เขาพูดกับเธอทันทีเมื่อเดินเข้ามาภายในตัวบ้าน โอบกอดเธอแน่นด้วยความคิดถึง ดอมดมตามผิวกายและพวงแก้มจนมันแทบจะช้ำ(“ไม่นะไม่! จะกินหัวกันแล้ว น้องจะทำยังไงดีต้องหาคนมาช่วย”)“แม่อร แม่อร ตอนนี้เกิดเรื่องใหญ่เวอร์ ๆ แล้วค่า แดดดี๊กับคุณแม่ขาจะกินหัวกันแล้วค่า”((“อะไรกินหัวคะมะนาวแม่อรไม่เข้าใจ”) )“แดดดี๊ไง น้องบอกว่าแดดดี๊กับคุณแม่กินหัวกันแล้ว แม่อรรีบมาช่วยหน่อยสิคะ เร็ว ๆ นะคะมาตอนนี้เลย”((“แดดดี๊กลับมาแล้วเหรอ?”) )“ใช่นะสิคะตอนนี้อยู่บ้านของน้อง กำลังงาบหัวกันอยู่ข้างล่าง แม่อรต้องรีบมานะ”((“มันรุนแรงขนาดนั้นเลยเหรอลูก”) )“ก็ใช่สิคะ น้องเห็นเต็มฉองตาเลยรีบโทรหาแม่อรนี่ไง แดดดี๊กัดคุณแม่ แล้วคุณแม่ก็กัดคอแดดดี๊ขยุ้มผมแดดดี๊ด้วย มันรุนแรงเวอร์ ๆ เลยค่ะแม่อร”((“โอเค ๆ เดี๋ยวแม่อรรีบไปตอนนี้เลย”) )“โอเคค่ะ”พฤติกรรมระหว่างน้ำส้มและนักรบที่น้องมะนาวเห็น สร้างความเข้าใจผิดไปคนละทิศคนละทาง ความเดียงสาที่ยากจะเข้าใจทำให้เด็กหญิงคิดว่าการสัมผัสกันที่เหมือนรุนแรงเป็นการตบตีทะเลาะวิวาท ความคิดของเด็กน้อยท
ก๊อก ก๊อก เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นทำให้การสนทนาที่กำลังสนุกสนานต้องหยุดชะงักลง(น้องลงมาล้างมือเตรียมทานข้าวได้แล้วค่ะ) เสียงบอกของผู้เป็นแม่ดังลอดผ่านเข้ามาในห้อง“ค่ะคุณแม่...ไปกันค่ะแดดดี๊ คุณแม่ขามาเรียกแล้ว” คำพูดแรกเธอตอบผู้เป็นแม่ จากนั้นจึงหันไปเอ่ยปากชวนนักรบด้วยสีหน้าระรื่นสดใส(รีบลงมานะคะ เดี๋ยวคุณอาธันวาจะรอนาน)“ค่ะ...”(แม่ไปรอที่โต๊ะอาหารนะคะ)“ลุกสิคะแดดดี๊เราไปทานข้าวกัน”“น้องไปเถอะ แดดดี๊ว่าจะกลับแล้วล่ะ”“ทำไมละคะ?”คำเอ่ยชวนของน้องมะนาวแต่นักรบปฏิเสธ ทำเอาเด็กน้อยย้อนถามทันควัน แต่สำหรับนักรบนั้นเขารู้สึกเหมือนตัวเองไร้ค่า ไร้ตัวตนในสายตาของน้ำส้ม ก็ตั้งแต่ที่เขาก้าวขาเข้ามาเธอก็ไม่ได้สนใจเขาเลยแม้แต่น้อย แม้ว่าเธอจะไม่ได้ขับไล่ที่เข้ามาในบ้าน ความเมินเย็นชาทำให้นักรบเกิดประหม่าและสู้หน้าเธอไม่ไหว เขาคิดถึงแทบขาดใจ แต่พอได้อยู่ใกล้ตรงหน้าก็ไม่สามารถกอดเธอให้หายคิดถึง...มันท้อแท้ใจจนต้องบอกกับตัวเองว่าเขาควรพอแค่นี้“แดดดี๊แค่รู้สึกเหนื่อย ๆ น่ะ” เขาตอบเด็กหญิงพลางลูบหัวของเธอเบา ๆ คำพูดของเขาทำเอาเด็กหญิงหน้าเศร้าในทันที“อยู่กับน้องไม่ได้เหรอ น้องยังไม่หายคิดถึ