(ย้อนเวลาไป 5 ปีก่อน – ลาสเวกัส)
เสียงไซเรนของรถตำรวจดังห่างออกไปเรื่อยๆ ท่ามกลางแสงนีออนกระพริบระยิบระยับในย่านคาสิโนกลางกรุงลาสเวกัส หญิงสาวในเสื้อโค้ทสีเทาขาดรุ่งริ่งวิ่งหัวซุกหัวซุนหลบหลีกจากกลุ่มชายฉกรรจ์ที่ตามล่าเธอมาอย่างไม่ลดละ ร่างบางหอบหายใจแรง ดวงตาสั่นไหวอย่างตื่นตระหนกเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง
เมลิน วิริยะวาณิชย์ ไม่เคยคิดมาก่อนว่าการมาเที่ยวพักผ่อนกับครอบครัวในต่างแดน จะกลายเป็นฝันร้ายที่พรากทุกคนไปจากเธอในพริบตา
เลือด…เปื้อนเต็มมือเธอจนล้างไม่ออก
เสียงกรีดร้องสุดท้ายของแม่ยังหลอกหลอนในหัว
เธอหนีมาได้เพียงลำพังโดยไม่มีแม้แต่พาสปอร์ตหรือเงินติดตัวสักบาท
"หยุดตรงนั้น!!"
เสียงตะโกนของชายแปลกหน้าด้านหลัง ทำให้เมลินหันขวับ เธอกัดฟัน วิ่งพรวดเข้าไปในตรอกแคบที่มืดสนิท แต่นั่นคือกับดัก—ทางตัน
เธอหันกลับ เตรียมสู้ตาย หากนั่นจะเป็นทางเดียวที่จะหนีพ้นฝันร้ายเสียที...
“อย่าขยับ” เสียงเข้มเจือเย็นดังขึ้นจากมุมมืดของตรอก
ชายในชุดสูทสีดำสนิทก้าวออกมาจากเงามืดอย่างสง่างาม ปืนพกในมือเขาถูกเหน็บแนบลำตัวอย่างมืออาชีพ ใบหน้าเรียบเฉยไร้ความรู้สึก แม้จะหล่อเหลาราวเทพเจ้าก็ตามที
เสียงปัง! ดังขึ้นอย่างเฉียบขาด ร่างของชายที่ไล่ล่าเธอทรุดฮวบลงไปนอนจมกองเลือด
เมลินตัวสั่น ดวงตาเบิกโพลง ทั้งตกใจ ทั้งหวาดกลัว และทั้ง...ประหลาดใจในเวลาเดียวกัน
เขาเดินเข้ามาใกล้ ก่อนจะถอดเสื้อโค้ทตัวนอกของตัวเองคลุมให้เธอโดยไม่พูดสักคำ
“ตามฉันมา” น้ำเสียงทุ้มต่ำเย็นชาสั่งสั้นๆ แล้วหมุนตัวเดินนำหน้าไป
เธอควรหนี แต่ขาไม่ยอมขยับ
เธอควรหวาดกลัว แต่กลับรู้สึกปลอดภัยในรัศมีอันตรายของเขา
เพียงแววตาสีดำสนิทคู่นั้นที่จ้องกลับมา—เย็นชา เยือกเย็น แต่แฝงไว้ด้วยแรงบางอย่างที่ฉุดเธอลงสู่ความมืด
คืนนั้น เขาพาเธอไปยังห้องพักชั้นบนสุดของคาสิโนหรูซึ่งเขาเป็นเจ้าของ
ไม่มีคำถามว่าเธอเป็นใคร
ไม่มีคำอธิบายว่าเขาเป็นใคร
ความเงียบของเขาไม่ได้น่ากลัว แต่น่าค้นหา
แววตาคู่นั้นไม่เคยละไปจากใบหน้าเธอเลย แม้สักวินาที
“คุณชื่ออะไร...” เมลินถามเบาๆ ขณะนั่งซุกกายอยู่ที่โซฟา ดวงตายังมีน้ำตาเกาะหน่วย
“...” เขาเงียบ ลุกขึ้นรินวิสกี้ใส่แก้วให้เธอ ก่อนพูดคำเดียว “ปลอดภัยแล้ว”
เธอหลุดหัวเราะทั้งน้ำตา “ฉันเสียทุกอย่าง...คุณเรียกว่านี่คือความปลอดภัยเหรอ...”
เขาไม่ได้ตอบ แต่เดินเข้ามานั่งตรงหน้า มองลึกเข้าไปในดวงตาเธอราวกับอ่านใจออกทุกอย่าง
และเมลิน...ก็ยอมแพ้
เธอเหนื่อยเกินจะปกป้องตัวเองอีกต่อไป
เหนื่อยเกินจะหวาดระแวงแม้แต่นาทีเดียว
มือหนาของเขาแตะลงที่แก้มเธอเบาๆ ก่อนจะเอื้อนเอ่ยคำหนึ่งด้วยน้ำเสียงต่ำแผ่วราวกระซิบ
“คืนนี้...ฉันจะอยู่ตรงนี้—ถ้าเธอยอมให้ฉันเป็นคนเดียวที่ได้รู้ว่าเธอร้องไห้เพราะอะไร”
เมลินหลับตา ปล่อยให้น้ำตาไหลอย่างไม่ห้ามอีกต่อไป
และเมื่อมือเขาแตะลงบนหลังคอ กอบกุมเธอไว้แนบอกอุ่น
เธอก็รู้ดี…เธอจะไม่มีทางลืมผู้ชายคนนี้ไปตลอดชีวิต
กลิ่นวิสกี้อ่อน ๆ คลุ้งบนปลายลมหายใจที่แทรกซึมเข้ามาใกล้ทุกที
มือของเขาไล้จากท้ายทอยลงสู่แผ่นหลังอย่างแผ่วเบา ก่อนจะจูบซับน้ำตาจากเปลือกตาเธอ
สัมผัสแรก...นุ่มนวลและอ่อนโยนเกินกว่าจะมาจากมาเฟีย
แต่กลับเร่าร้อนราวไฟลุกเมื่อเขากดริมฝีปากลงอย่างแนบแน่น
"อย่าทำแบบนี้กับฉัน..." เมลินพึมพำเสียงสั่นเมื่อเขาแนบตัวเข้ามาใกล้เกินต้าน
"ถ้าเธอไม่ต้องการ ฉันจะหยุด" เขากระซิบข้างหู มือที่วางบนบ่าหยุดนิ่ง
แต่เมลินกลับเป็นฝ่ายพยักหน้าช้า ๆ ดวงตาแดงช้ำเอ่ยขอเสียงเบา
“แค่คืนนี้...แค่ครั้งเดียวก็พอ อย่า...ถามอะไรเลย”
เขาไม่พูดอะไรอีก—และไม่รออีกเช่นกัน
ร่างของเขาโถมลงหาเธอด้วยความต้องการที่ปะทุจากก้นบึ้งของความเจ็บลึก
แรงจูบของเขาทั้งขบ เม้ม ลาก บดเคล้าลงมาตามลำคอจนถึงไหล่ขาว มือสั่นเล็กน้อยเมื่อปลดกระดุมตัวเองออก—ไม่ใช่เพราะความอยาก แต่เพราะกลัวจะทำลายเธอ
แต่เมลินกลับเอื้อมมือมากุมมือเขาไว้
จ้องตาเขานิ่งก่อนจะดึงเขาเข้ามาใกล้อีก
คืนนี้...เธอยอมเป็นของเขาทั้งกายและใจ
เพื่อหนีจากโลกใบเก่าที่พังทลาย—แม้จะรู้ดีว่ามันจะกลายเป็นตราบาปติดตัวตลอดชีวิต
และในห้วงรักเร่าร้อนนั้น
เขาก็ไม่ได้พูดชื่อของตัวเองออกไป
เช่นเดียวกับเธอ—ที่ไม่กล้าเอ่ยแม้แต่ตัวอักษรเดียวของชื่อจริง
แสงแดดอ่อนของเช้าวันใหม่สาดลอดผ่านม่านโปร่งสีขาว คิรินทร์รู้สึกตัวตื่นพร้อมแรงขยับเบา ๆ ข้างกาย แขนของเขายังพาดอยู่เหนือเอวบางของหญิงสาวที่นอนซุกอยู่ในอ้อมกอด ขนตายาวงอนกระพือเบา ๆ ก่อนที่ดวงตากลมจะลืมขึ้นช้า ๆ
“ตื่นแล้วเหรอ…” เสียงทุ้มของเขาเอ่ยแผ่ว พลางขยับปลายนิ้วลูบปอยผมของเธอเบา ๆ
เมลินยิ้มบาง ๆ ราวกับฝันไป “ขอบคุณนะ...ที่ช่วยฉันไว้เมื่อวาน”
คิรินทร์มองใบหน้าเธออย่างพินิจ ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งแต่จริงใจ “เธอไม่จำเป็นต้องขอบคุณ แค่ปลอดภัยก็พอ”
“ฉันชื่อเมลิน…” หญิงสาวเอ่ยเสียงแผ่ว ขณะห่มผ้าปิดเรือนกายเปลือยเปล่าของตน
คิรินทร์นิ่งไปนิด ก่อนจะเอ่ยตอบกลับบ้าง “ฉัน...คิรินทร์ ทำธุรกิจนิดหน่อยที่นี่”
เขาเลือกที่จะปกปิดตัวตนของตนเอง ไม่ใช่เพราะไม่ไว้ใจ แต่เพราะไม่อยากให้เธอต้องตกใจที่คนที่เธอยอมมีอะไรด้วยในคืนที่อ่อนแอที่สุดของชีวิต เป็นมาเฟียที่ทั่วทั้งลาสเวกัสต่างหวาดกลัว
“ไม่มีพาสปอร์ต ไม่มีเงิน แล้วจะอยู่ยังไง?” เขาถามขึ้นอย่างตรงไปตรงมา ขณะดึงร่างบางให้พิงอก
“ฉัน...ยังไม่รู้เลยค่ะ” เธอก้มหน้าซ่อนแววตาหวาดหวั่น
“อยู่ที่นี่ไปก่อน” คิรินทร์เอ่ยเด็ดขาด “ไปทำงานกับฉัน เป็นผู้ช่วยเลขา ฉันจะให้คนจัดการทำพาสปอร์ตใหม่ให้”
เมลินเงยหน้าขึ้นสบตาเขา ความจริงใจและความปลอดภัยที่ได้จากผู้ชายตรงหน้าทำให้เธอไม่ลังเล
นั่นคือจุดเริ่มต้นของช่วงเวลาสั้น ๆ ที่เหมือนฝัน...
“คุณคิรินทร์คะ เอกสารเช้านี้พร้อมแล้วค่ะ” เสียงของลิซ่า—เลขาสาวหน้าตายที่ไม่เคยแสดงอารมณ์ใดนอกจากความเย็นชาเอ่ยขึ้นในห้องทำงานใหญ่กลางคาสิโน
เมลินนั่งข้างเขา กำลังช่วยจัดเรียงแฟ้มเอกสาร คิรินทร์หันไปมองเธอแล้วเอื้อมมือมาดึงปากกาในมือเธอ
“เลอะหมดแล้ว” เขาว่า พลางเช็ดคราบหมึกจากปลายนิ้วให้
เธอเงยหน้าขึ้น ยิ้มอาย ๆ “ขอโทษค่ะ ฉันยังไม่ชินกับระบบที่นี่”
“ไม่เป็นไร หัดไปเรื่อย ๆ” เสียงเขานุ่มขึ้นเมื่อพูดกับเธอ ต่างจากน้ำเสียงปกติที่เย็นจัดจนใครก็ไม่กล้าเข้าใกล้
พวกเขากินข้าวด้วยกันทุกมื้อ นอนด้วยกันทุกคืน อยู่ร่วมกันในอพาร์ตเมนต์ส่วนตัวของเขาที่ชั้นบนสุดของคาสิโน ทั้งหมดเหมือนจะเริ่มต้นได้ดี
จนกระทั่งเช้าวันนั้น…
คิรินทร์ลืมตาตื่นขึ้นพร้อมความเงียบผิดปกติ ข้างกายว่างเปล่า เย็นเยียบไร้ไออุ่นของเธอ ผ้าห่มยังคงพับเรียบร้อย ราวกับไม่มีใครเคยนอนตรงนั้น
เขาขมวดคิ้วลุกขึ้นนั่งอย่างสงสัย ก่อนจะมองเห็นกระดาษพับแผ่นหนึ่งวางอยู่บนหมอน
มือใหญ่เอื้อมหยิบขึ้นมาช้า ๆ แต่ยังไม่ทันได้เปิดอ่าน...
เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น
“ลิซ่า มีอะไร” น้ำเสียงของเขาเย็นเฉียบ
“คุณเมลินมารับพาสปอร์ตเมื่อเช้าค่ะ และตอนนี้...เธอกำลังอยู่บนเครื่องบิน มุ่งหน้ากลับประเทศไทย”
เขานิ่งไป ราวกับเวลาทั้งหมดหยุดลง
“กลับไป?” น้ำเสียงทุ้มต่ำเต็มไปด้วยแรงอารมณ์ “โดยไม่บอกอะไรสักคำ?”
“ใช่ค่ะ เธอฝากบอกว่า...ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง”
สายตาเย็นชาแปรเปลี่ยนเป็นแววแค้นในเสี้ยววินาที เขามองกระดาษในมือแน่น ก่อนจะโยนมันลงในลิ้นชักโดยไม่แม้แต่จะเปิดอ่าน
5 ปีต่อมา – ปัจจุบัน
เสียงเปิดลิ้นชักทำลายความเงียบในห้องนอนหรู
คิรินทร์ยืนอยู่หน้าเตียง สายตานิ่งจ้องมองกระดาษแผ่นนั้นที่ถูกเก็บไว้ตลอดห้าปี มันยังอยู่ในสภาพเดิม ไม่แม้แต่จะมีรอยเปิด
มือเขาสั่นเล็กน้อย...แต่สุดท้ายก็ค่อย ๆ คลี่มันออก
“...ขอบคุณสำหรับคืนที่ฉันได้รู้ว่าความปลอดภัยเป็นยังไง ขอโทษที่ฉันต้องไปโดยไม่ร่ำลา ฉันไม่อยากให้คุณต้องลำบากเพราะฉันอีก ขอบคุณจริง ๆ ที่มีคุณอยู่ในวันที่โลกของฉันแทบแตกสลาย…”
น้ำเสียงในหัวเขาเหมือนสะท้อนคำเขียนนั้นซ้ำ ๆ ก่อนที่มือใหญ่จะขยำกระดาษแผ่นนั้นแน่น แล้วโยนมันลงพื้นอย่างไร้เยื่อใย
“โกหก… เธอมันก็แค่ผู้หญิงที่ใช้ร่างกายแลกชีวิต… แล้วสุดท้ายก็หนีไปพร้อมคำลวง!”
ดวงตาคมเข้มเปลี่ยนเป็นมืดดำ สะท้อนความเจ็บที่ไม่เคยหาย…
เสียงร้องไห้โหยหวนดังก้องไปทั่วห้องนอนใต้ดินหรูที่ถูกออกแบบให้ดูสวยงามในรูปแบบคฤหาสน์ชั้นสูง หากแต่กลิ่นอายของการกักขังก็ยังไม่สามารถปกปิดได้หมด — โดยเฉพาะเมื่อคนที่ถูกขังอยู่คือเมลิน ผู้หญิงที่กำลังจะเสียสติเพราะถูกพรากลูกไป“ปล่อยฉันออกไป! ได้ยินไหม! ฉันต้องไปหาน้องน็อต! ลูกฉันกำลังป่วย!” เสียงร้องของเธอปนเปื้อนด้วยน้ำตาและความเจ็บปวด มือทุบประตูอย่างสิ้นหวังบนชั้นบน ลิซ่า เลขาคนสนิทที่ฟื้นขึ้นมาเรียบร้อย เดินตรงเข้าไปหานายของตนที่ยืนกอดอกอยู่ปลายเตียง มองดูเด็กชายตัวน้อยที่นอนดิ้นไปดิ้นมาไม่ยอมให้หมอตรวจอยู่กลางเตียงด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก“ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป เด็กอาจจะไม่รอดนะคะคุณคีรินทร์” ลิซ่าพูดตรง ๆ แม้จะรู้ว่าอาจโดนสายตานั้นเฉือนให้เลือดซึม“…”คีรินทร์ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ลึกลงไปในอกมีบางอย่างกระตุกวูบ ความรู้สึกที่เขาพยายามฝังกลบมันไว้ใต้บาดแผลของความแค้นพลันถูกรบกวน“พาเธอมาหาลูก” เขาออกคำสั่งเสียงเบาแต่เฉียบขาดไม่นานนัก เมลินก็ถูกพาตัวมายังห้องนอนใหญ่ เด็
ใต้ดิน…ในห้องนอนที่ดูหรูหราแต่ไร้ซึ่งความรู้สึกอบอุ่น เมลินยังคงถูกขังไว้ที่นั่น วันที่เท่าไรแล้วเธอไม่รู้ รู้เพียงว่าทุกเช้าและเย็น คีรินทร์จะเปิดประตูเข้ามาพร้อมแววตาแข็งกร้าว"บอกฉัน…ว่าเธอทำไปทำไม"ประโยคนั้นซ้ำซากราวกับบทสวด คีรินทร์ยังคงสงสัยว่าเมลินมีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของน้องชายเขาเมื่อหลายปีก่อน เขาเชื่อว่าเธอคือจุดเชื่อมโยงกับสปายที่ทำให้ทุกอย่างพังเมลินเงียบ…ดวงตานิ่งสงบซ่อนแผลในใจเอาไว้ เธอไม่เคยตอบอะไรมากไปกว่าเดิม"ฉันไม่ได้เกี่ยวข้อง ฉันแค่ต้องไป…เพราะมีเหตุผลของฉัน"ทุกเย็น เขาจะพาเธอไปยังห้องกระจกอีกห้องหนึ่ง ที่ซึ่งเธอจะได้มองลูกชายของเธอ—น้องน็อต—ผ่านกระจกหนา เด็กน้อยนั้นผอมลงทุกวัน เธอเห็นได้จากเงาร่างที่เคยสดใส เริ่มหม่นหมองลงอย่างชัดเจน เขาไม่พูด ไม่เล่น เพียงนั่งเหม่อจ้องออกไปอย่างเงียบงันเมลินเจ็บ…เจ็บจนแทบขาดใจ“นายมันอำมหิต!” เสียงเธอสั่นพร่า “แค่เพราะความเชื่อที่ไม่มีหลักฐาน นายถึงกับพรากแม่ออกจากลูก?”คีรินทร์ขบกรามแน่น ดวงต
“อย่าคิดว่าหนีไปแล้วจะจบ…”“ทุกวินาทีที่ฉันเฝ้าคิดถึงเธอ…”“…เธอจะต้องจ่าย...ด้วยตัวเธอเอง”คีรินทร์ครางต่ำในลำคอ ร่างหนากระแทกกระทั้นอีกครั้งในจังหวะหนักหน่วง ไม่ให้โอกาสเธอได้พักหายใจ มือแกร่งตรึงขาเรียวขึ้นแนบไหล่ แล้วดันลึกจนสุดราวกับต้องการบดขยี้ลมหายใจของเธอให้ดับสิ้นเมลินร้องเสียงหลง ดวงตาพร่ามัวด้วยน้ำตาและแรงปรารถนาที่ท่วมท้น เธอเหนื่อยจนหายใจแทบไม่ทัน แต่ชายหนุ่มไม่มีท่าทีว่าจะหยุดเขาไม่คิดหยุดครั้งแล้ว…ครั้งเล่า…แม้เธอจะตัวสั่นไปหมด ร่างกายแทบรับไม่ไหว เขาก็ยังฝืนกระแทกใส่เธอด้วยความต้องการที่เหมือนสัตว์ป่าบ้าคลั่ง ร้อนแรง รุนแรง จนเสียงร่างกายที่ปะทะกันดังสะท้อนกับผนังห้อง“อึ่ก…เมลิน…เธอมัน...”เสียงหอบพร่าของเขาแหบเครือ มือที่เคยแน่นหนาบีบจับอย่างไร้ปรานีเริ่มสั่นคล้ายจะสิ้นเรี่ยวแรงสุดท้าย...ในครั้งสุดท้ายเขากระแทกลึกในจังหวะสุดท้าย ดวงตาคมหลับแน่นในขณะที่ปลดปล่อยอย่างรุนแรงออกมาอีกระลอกหนึ่
เสียงฝีเท้าหนัก ๆ เดินกระแทกลงบนพื้นไม้ลามิเนตอย่างไร้ความปรานี คีรินทร์ปิดประตูห้องด้วยความแรงจนเมลินสะดุ้งเฮือก หัวใจเต้นรัวเหมือนจะหลุดออกมานอกอก เมื่อแววตาคมดุของเขาตรึงเธอไว้ราวกับถูกล่ามโซ่ไว้กับที่"เธอคิดจะหนีไปอีกไหม?" เสียงทุ้มต่ำลอดไรฟัน ข่มอารมณ์เดือดเอาไว้จนเส้นเลือดตรงขมับเต้นตุบๆเมลินเม้มปากแน่น ร่างเล็กถอยกรูดไปติดผนัง แม้สายตาจะไม่ยอมหลบแต่หัวใจในอกกลับเต้นรัวด้วยความกลัวปนเจ็บปวด "ฉันไม่เคยคิดจะหนี ถ้าคุณตั้งใจจะฟังฉันตั้งแต่แรก—""เธอไม่มีสิทธิ์พูด!" เขาตะคอก ร่างสูงใหญ่พุ่งเข้าหาอย่างไม่ให้ตั้งตัว ก่อนจะคว้าข้อมือบางทั้งสองข้างยกขึ้นตรึงไว้เหนือศีรษะติดกับผนังดวงตาคมพร่าด้วยอารมณ์หลากหลาย—ความรัก ความเจ็บ ความแค้น และไฟราคะที่สุมอยู่ในอกจนปะทุออกมาเป็นแรงขับดัน"เธอมีสิทธิ์อะไรไปจากฉัน?!" คำพูดหลุดออกจากริมฝีปากหยักอย่างเจ็บปวด"รู้ไหม…กี่คืนที่ฉันฝันถึงเธอ…กี่ครั้งที่ฉันอยากจะตาย เพราะคิดว่าเธอไม่รัก"น้ำตารื้นขึ้นที่ขอบตาเมลินทันที แต่เธอกลั้นไว้ ไม่ยอมให้มันไหล เธอไม่ใช่ผู้หญิงที่อ่อน
สองวันแล้ว...เมลินยังคงถูกขังอยู่ในห้องเดิม ห้องที่ไม่มีหน้าต่าง ไม่มีนาฬิกา ไม่มีอะไรบอกเวลา มีเพียงแสงไฟเพดานจาง ๆ กับผนังสีเทาอึมครึมที่แทบไม่สะท้อนอารมณ์อะไรนอกจากความอ้างว้าง อาหารและน้ำถูกส่งมาให้ตรงเวลา แต่เธอแทบไม่แตะต้องมันเลย หญิงสาวเพียงกอดเข่าตัวเองอยู่ตรงมุมห้อง เงียบงัน และเปล่งเสียงร้องไห้เบา ๆ อยู่กับตัวเอง"ลูกของแม่...น้องน๊อต..." เสียงกระซิบเจือสะอื้นดังแทบไม่ได้ยิน เธอหลับตาแน่น กัดริมฝีปากกลั้นสะอื้น ความคิดถึงลูกกัดกินหัวใจไม่ต่างจากเข็มพันเล่มที่ทิ่มแทงซ้ำ ๆ ทุกนาทีแต่ทั้งหมดนั้น...อยู่ในสายตาของเขาชายหนุ่มเจ้าของใบหน้าเย็นชา คิรินทร์ กัลย์พิทักษ์ นั่งกอดอกเงียบ ๆ อยู่หน้าจอมอนิเตอร์หลายจอในห้องควบคุมส่วนตัว สายตาเย็นจับจ้องภาพหญิงสาวในห้องขังนิ่ง ๆ“จะใจแข็งไปได้สักแค่ไหน…” เขาพึมพำกับตัวเอง ดวงตาคมเฉียบไหววูบเพียงเล็กน้อย“บอสค่ะ”เสียงเรียกของเลขาสาวคนสนิท ลิซ่า ทำให้เขาหันขวับ“ลูกของเธอ...อาการไม่ค่อยดีนะคะ”คิรินทร์ขมวดคิ้วแน่นทันที“
ห้องใต้ดินที่ถูกดัดแปลงให้คล้ายห้องนอนทั่วไปกลับเย็นเยียบจนแทบหยุดลมหายใจ เมลินรู้สึกเหมือนถูกจองจำอยู่ในคุกที่โหดร้ายยิ่งกว่าคุกจริง—คุกที่กล่อมเธอด้วยม่านหนา เตียงนุ่ม และแสงไฟหลอกตา หญิงสาวนั่งนิ่งอยู่ที่มุมเตียง กอดเข่าตัวเองเอาไว้แน่น ดวงตาแดงช้ำบวมเป่งจากการร้องไห้ไม่หยุดตั้งแต่ถูกจับแยกจากลูกชายที่สนามบิน“น๊อต...” เธอพึมพำชื่อเขาแผ่วเบา ปลายนิ้วเย็นเฉียบกำแน่นจนเล็บจิกเข้าเนื้อหนัง เธอไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน ไม่รู้ว่าตอนนี้เขากำลังกลัวหรือร้องไห้หรือเปล่า เด็กชายวัยสี่ขวบที่ไม่ค่อยเข้าใจโลกใบนี้มากนัก เติบโตมากับแม่เพียงคนเดียว ไม่มีญาติ ไม่มีใคร แม้แต่พ่อของเขา...คนที่ควรจะรักเขาเป็นคนแรก ก็ไม่เคยแม้แต่จะถามถึงตอนที่ถูกชายแปลกหน้าลากตัวเธอขึ้นรถ เมลินดิ้นสุดแรงแต่ไร้ประโยชน์ และภาพสุดท้ายที่เธอเห็นก่อนที่รถจะเคลื่อนตัวออกไปก็คือเด็กชายในอ้อมแขนของชายคนหนึ่ง เขาถูกอุ้มขึ้นรถอีกคันที่จอดรออยู่ แววตากลมโตของลูกชายที่เต็มไปด้วยความตื่นกลัว ฝังลึกอยู่ในหัวใจของเธอราวกับแผลสาหัสที่ไม่มีวันสมาน“หนูจะต้องไม่เป็นอะไร... แม่จะหาทางไปหาหนู