เวลาผ่านไปเกือบสองชั่วโมง อธีน่าถูกช่างแต่งหน้าทั้งสองรุมกันช่วยแปลงโฉมให้เธอกันยกใหญ่ จนรู้สึกเหมือนกับตัวเองเป็นเจ้าหญิงซินเดอเรลล่าในตอนที่ได้นางฟ้าใจดีมาช่วยแปลงโฉมให้ไปเข้าร่วมงานเต้นรำกับเจ้าชาย
แต่น่าเสียดายที่เธอไม่อาจเป็นเจ้าหญิงได้ หากแต่จะกลายเป็นแม่มดร้ายที่หมายจะปลิดชีพของเจ้าชายคนนั้นเสียมากกว่า...
ใบหน้าสวยหวานเป็นเค้าโครงเดิมมาตั้งแต่ต้น ถูกบรรจงแต่งเติมด้วยเครื่องสำอางคุณภาพดีอย่างละเมียดละไม เก็บรายละเอียดทุกอณูบนใบหน้า กระทั่งเผยให้เห็นความงดงามจนยากที่จะละสายตาเมื่อได้มอง
อาจเป็นเพราะหญิงสาวไม่ใช่คนขี้ริ่วขี้เหร่อะไรอยู่แล้ว เมื่อถูกจับมาแปลงโฉมเพียงเล็กน้อยก็กลับกลายเป็นเจ้าหญิงขึ้นมาในระยะเวลาอันสั้น
“สวย... สวยมากเลย” น้ำเสียงเอ่ยอย่างตกตะลึงของช่างแต่งหน้าทำเอาออเดียน่าถึงกับทำตัวไม่ถูก แต่ส่วนหนึ่งก็มาจากฝีมือของอีกฝ่ายที่ปราณีตทุกรายละเอียดจนเธอดูดีได้มากขนาดนี้
“หน้าสดก็ว่าสวยแล้ว พอแต่งหน้าแล้วสวยยิ่งกว่าเดิมอีก แบบนี้นายใหญ่จะต้องตบรางวัลให้พวกเราแน่นอนเลย”
“ขอบคุณนะคะ” เธอไม่ลืมที่จะหันไปขอบคุณทั้งสองคนที่มาช่วยเธอแต่งหน้าอยู่นานเกือบสองชั่วโมง ตั้งแต่สวมชุดราตรีมาจนทำผมและแต่งหน้า
“ไม่ต้องขอบคุณหรอกค่ะ ยังไงก็เป็นหน้าที่ของพวกเราอยู่แล้ว ว่าแต่จะไม่สวมสร้อยเพชรจริง ๆ เหรอคะ”
“ไม่ดีกว่าค่ะ มันไม่เหมาะกับฉันหรอก” สร้อยเพชรที่วางอยู่ในกล่องเป็นสิ่งเดียวที่เธอเลือกจะไม่สวมมันไปด้วย อย่างไรเสียเมื่อส่งของให้กับอีกฝ่ายเสร็จก็หมดหน้าที่ของเธอแล้ว
ข้าวของพวกนี้ท้ายที่สุดก็ต้องคืนกลับไปให้คนที่ส่งมันมาให้เธอ มูลค่ารวม ๆ แล้วน่าจะไม่น้อยเลยทีเดียว
ออเดียน่ามองตัวเองในกระจกอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา ไม่คิดว่าจากลูกคนใช้ในบ้านจะต้องมาสวมบทเป็นคุณหนูของตระกูลภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่วัน
เธอไม่เคยคิดว่าจะได้เห็นตัวเองในชุดราตรีที่สวยงามขนาดนี้ ทุกอย่างราวกับความฝัน และคงจะเป็นครั้งเดียวที่เธอจะได้ใช้ชีวิตอย่างเจ้าหญิงเช่นกัน
“ใกล้จะถึงเวลานัดแล้ว พร้อมหรือยังคะ” ช่างแต่งหน้าสาวหันมาถามพลางคลี่ยิ้มให้เธออย่างเป็นมิตร ท่าทางของทั้งสองคนดูตื่นเต้นกว่าเจ้าตัวเสียอีก
“ค่ะ” เธอสูดลมหายใจเข้าแล้วจึงหันไปพยักหน้าให้กับอีกฝ่าย แล้วก้าวเท้าไปข้างหน้าด้วยความมั่นใจประหนึ่งว่าเธอไม่ได้ปลอมตัวเป็นใคร
ร่างของชายฉกรรจ์หลายคนยื่นเรียงรายกันตั้งแต่บันไดของห้องพักไปจนถึงด้านบนของดาดฟ้า หญิงสาวไม่กล้าแม้แต่จะหันไปสบตากับคนเหล่านั้น เพราะแค่เดินผ่านก็สัมผัสได้ถึงความน่ากลัวแล้ว
ดาดฟ้ากว้างประดับไปด้วยแสงไฟสีขาวและเหลืองไล่เรียงไปตามขอบรั้ว มุมหนึ่งถูกวางด้วยโต๊ะและเก้าอี้สีขาวสะอาดตาวางอาหารไว้ด้านบนพร้อมกับไวน์องุ่นยี่ห้อแพง
ร่างเพรียวบางปรากฏตัวในชุดราตรีสีแดงที่ชายหนุ่มเป็นคนเลือกเองกับมือ แสงพระจันทร์สาดส่องลงมากระทบกับผิวขาว สายลมอ่อน ๆ ก็พัดโชยมาพร้อมกับความเย็นจนออเดียน่าเริ่มห่อไหล่เล็กน้อย
เธอมองไปรอบบริเวณซึ่งไม่มีชายสวมชุดดำยืนอยู่เหมือนข้างล่าง มีเพียงเจ้าของร่างสูงโปร่งที่กำลังยืนอยู่บริเวณริมขอบรั้วของดาดฟ้า
“ยินดีที่ได้พบ... คุณเอลล่า” ชายหนุ่มหมุนตัวหันกลับมาสบตากับเธอ เพียงเสี้ยววินาทีที่สายตาสองคู่ต่างจ้องมองกันและกัน ก่อนที่เขาจะเป็นฝ่ายเผยรอยยิ้มที่มุมปากและเดินตรงมาหาเธอที่กำลังยืนหยุดนิ่งอยู่ตำแหน่งเดิม
“เอ่อ...เช่นกันค่ะ”
“นั่งลงก่อนสิ” เขาผายมือให้เธอนั่งลงเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกัน
ท่าทีสุภาพของชายหนุ่มต่างจากที่ออเดียน่าคิดเอาไว้ไม่น้อย ใบหน้าคมคายรับกับเครื่องหน้าที่ลงตัวราวกับพระเจ้าบรรจงเลือกสรรมาเป็นอย่างดี แต่ยังคงไว้ซึ่งความผสมผสานระหว่างเอเชียและยุโรปที่มองออกได้อย่างชัดเจน
เสี้ยววินาทีหนึ่งทำให้ออเดียน่าหยุดชะงักไป ก่อนจะรีบดึงสติกลับมาพลางนั่งลงตามคำเชิญของอีกฝ่าย
“ทานอาหารก่อนเถอะ แล้วเราจะได้คุยกัน” น้ำเสียงราบเรียบชวนให้บรรยากาศแลดูอึดอัดมากกว่าเดิมเป็นเท่าตัว
“ค่ะ” ออเดียน่าพยักหน้าอย่างรู้สึกเกร็งไปหมด แต่ก็เริ่มทานอาหารอย่างเงียบ ๆ ปล่อยให้ทุกอย่างผ่านไปตามเวลาที่กำลังเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง
หญิงสาวไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมาสบตากับเขา สายตาของเธอจ้องมองเพียงอาหารที่อยู่ตรงหน้า โดยไม่รู้เลยว่าสายตาเจ้าเล่ห์ของอีกฝ่ายกำลังจับจ้องทุกการกระทำของเธออยู่เสมอ
กริ๊งงง! นาฬิกาปลุกตั้งโต๊ะบริเวณหัวเตียงสั่นกระดิ่งส่งเสียงรัวต่อเนื่องกันจนคนที่กำลังนอนหลับสบายสะดุ้งโหยงตื่นขึ้นด้วยความตกใจ มือเรียวยกขึ้นทาบที่อกเอาไว้พลางถอนหายใจหนัก ๆ ด้วยความหงุดหงิดปนโล่งอกที่เป็นเสียงของนาฬิกา“คุณผู้หญิงคะ อีกยี่สิบนาทีจะถึงเวลารับประทานอาหารเช้าแล้วนะคะ” ภาษาอังกฤษสำเนียงอิตาเลียนเอ่ยขึ้น แม้ฟังดูจับใจความได้ยากกว่าปกติเล็กน้อย แต่ออเดียน่าก็สามารถเข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายพูดได้ในไม่ช้าร่างบางดันตัวลุกขึ้นจากเตียงโดยไร้ท่าทีขี้เกียจหรืองอแงไม่อยากตื่น อาจเพราะเธอเคยชินกับการต้องตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อไปทำงานพิเศษอยู่บ่อยครั้งจนติดเป็นนิสัยแล้วออเดียน่าหยุดยืนอยู่หน้ากระจกบานใหญ่ที่สะท้อนให้เห็นสภาพของเธอในตอนนี้ ดวงตาที่สะท้อนความรู้สึกบางอย่างซึ่งเธอรู้อยู่แก่ใจดี ก่อนจะส่ายหน้าเบา ๆ อีกครั้งให้กับความคิดที่ฟุ้งซ่านไปเรื่อยยี่สิบนาทีผ่านไป หญิงสาวรีบออกมายังห้องอาหารทันที โดยมีมาเฟียหนุ่มที่นั่งรออยู่ก่อนหน้าแล้ว บนโต๊ะอาหารเรียงรายไปด้วยอาหารไทยที่เธอคุ้นเคยจนน่าแปลกใจ“วิเวียนเคยทำอาหารไทยอยู่หลายอย่าง ถ้าอยากกินอะไรก็บอกกับวิเวียนแล้วกัน” เขาเอ่ยแนะนำหญิ
“ว้ายยย!” จังหวะเดียวกับที่ออเดียน่ากำลังเดินออกมาจากห้องน้ำในขณะที่สวมเพียงชุดคลุมอาบน้ำ ถึงมันจะปกปิดเอาไว้ได้ทั้งตัวแต่ก็อดตกใจที่มาเฟียหนุ่มเปิดประตูโผงผางเข้ามาในตอนที่เธอไม่ทันตั้งตัวไม่ได้ “...” ชายหนุ่มไม่ทันได้พูดอะไรก็พลันรีบถอยกลับออกไปพร้อมกับปิดประตูห้อง มือเรียวยกขึ้นทาบอกด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบหันไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเมื่อเห็นว่าตอนนี้ผ่านมาเกือบยี่สิบนาทีแล้ว จึงไม่แปลกใจที่เห็นเขาเปิดประตูเข้ามาพอดี ใช้เวลาไม่ถึงห้านาที ออเดียน่าก็เปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย แล้วจึงรีบออกมาหาคนที่กำลังยืนรอเธออยู่ด้านนอก ร่างสูงโปร่งยังคงเก็บอารมณ์เอาไว้อย่างมิดชิดจนดูแทบไม่ออกว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ คำถามมากมายในหัวของเธอกำลังผุดขึ้นมาราวกับเห็ด แต่แม้ว่าจะอยากคุ
หลังจากที่ชายหนุ่มเดินหายกลับเข้าไปในห้องนอนก็ทิ้งให้เธอนั่งอยู่ห้องนั่งเล่นเพียงคนเดียว สมองยังคงครุ่นคิดหาวิธีที่จะกลับไปหามารดาที่กำลังรอคอยให้เธอกลับไป แต่ตอนนี้กลับรู้สึกมืดไปหมดทั้งแปดด้าน หรือบางทีเธออาจจะต้องทำข้อแลกเปลี่ยนอะไรบางอย่างกับเขา ค่ำคืนที่อบอวลไปด้วยความอึดอัดและความรู้สึกอีกมากมายที่ตีกันไม่หยุดทำให้ออเดียน่าจำต้องฝืนข่มตาหลับอีกครั้งอย่างไม่มีทางเลือกอื่น ท้องฟ้าที่มืดสนิทเริ่มเปลี่ยนสีไปทีละน้อย กระทั่งแสงของพระอาทิตย์เริ่มสาดส่องเข้ามาภายในห้องผ่านกระจกใสที่มักจะถ่ายทอดบรรยากาศที่สวยงามให้คนด้านในชื่นชมทุกเวลา ร่างบางนอนขดอยู่บนโซฟาตัวยาวพร้อมกับผ้าห่มอีกหนึ่งผืน ซึ่งก่อนที่เธอจะนอนหลับก็จำได้ว่าผ้าห่มผืนนี้ไม่เคยปรากฏวางอยู่ตรงไหนสักที่หนึ่งในบริเวณโซฟา เว้นเสียแต่ว่ามีใครบางคนเอามันมาให้เธอ ชายเจ้าของใบหน้าสงบนิ่งยังคงเดินออกมาจากห้องนอนด้วยท่าทีสง่าผ่าเผย เสื้อเชิ้ตแขนยาวสีดำที่เขาสวมใส่มาตั้งแต่เมื่อคืนยับยู่ยี่เล็กน้อย ก่อนที่จะถกแขนเสื้อขึ้นไปเหนือข้อมือพลางก้าวเท้าเดินเข้ามาใกล้กับร่างบางที่กำลังนอนหลับอยู่บนโซฟา
“ฉันควรทำยังไงกับเธอดีนะ?” เขาถามพลางเลิกคิ้ว ดวงตาเจ้าเล่ห์กำลังสบตากับคนที่กำลังพยายามจะดิ้นหนีจากแขนแกร่งที่ไม่ยอมปล่อยให้เธอเป็นอิสระ“คุณควรจะปล่อยฉันก่อนต่างหาก”“หึ งั้นเธอก็ควรจะเชื่อฟังฉันสิ”“ฉันเป็นคนที่จะฆ่าคุณนะ จะให้ฉันเชื่อฟังคุณได้ยังไงกัน” ออเดียน่าประชดกลับแทน การกระทำของเขาไม่เหมือนกับคนที่เพิ่งจะจับได้ว่าโดนหลอกเลยสักนิด ก็จริงอยู่ที่เขาอาจจะรู้เรื่องนี้มาก่อน แต่ก็ไม่ใช่ท่าทีของคนที่กำลังจะจัดการกับคนที่กำลังจะฆ่าตัวเองเลยสักนิด“เดี๋ยวก็รู้ว่าฉันจะทำให้เธอยอมเชื่อฟังได้ไหม” จบประโยค ร่างบางก็ถูกปล่อยให้เป็นอิสระอีกครั้ง ออเดียน่ารีบถอยหนีไปจนติดริมฝั่งหน้าต่าง เว้นระยะห่างจากมาเฟียหนุ่มเอาไว้ราวกับรังเกียจเขาโซเรนแสยะยิ้มเล็กน้อย เขาอดหัวเราะเบา ๆ ในลำคอไม่ได้ เมื่อเห็นสีหน้าและท่าทางดื้อรั้นแต่ยังคงแฝงไปด้วยความกลัวของหญิงสาวตรงหน้า ก่อนที่เขาจะละสายตาจากเธอและหันไปส่งสายตาให้คนขับรถพลางพยักหน้าเป็นสัญญาณที่รู้กันเพียงสองคนเจ้าของใบหน้าหวานผล็อ
นานกว่าหนึ่งชั่วโมงที่ออเดียน่าต้องเดินทางไปพร้อมกับเป้าหมายที่ต้องกำจัด หากแต่เธอกลับยิ่งงุนงงกับสถานการณ์ในตอนนี้มากขึ้นเรื่อย ๆ ทุกอย่างไม่เป็นไปตามแผนการที่วางไว้เลยสักนิดเฮลิคอปเตอร์จอดลงบนตึกดาดฟ้าแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง คาดว่าน่าจะเป็นตึกแห่งใดแห่งหนึ่งในประเทศสิงคโปร์ จากที่ได้ยินโซเรนคุยกับลูกน้องคร่าว ๆ“เราจะไปที่ไหนกันคะ” เธออดเก็บความสงสัยเอาไว้ไม่ได้ จึงหันไปถามคนตัวสูงที่กำลังมองตรงไปยังเส้นทางข้างหน้าและไม่ได้อธิบายอะไรให้เธอฟังเลยสักอย่างเขาหยุดชะงักพลางหันกลับมามองเธออีกครั้ง รอยยิ้มที่มุมปากบ่งบอกถึงความไม่น่าไว้ใจของเจ้าตัวอย่างชัดเจนจนออเดียน่าเริ่มหวั่นใจแทน“ออเดียน่า” คำพูดที่หลุดออกมาจากริมฝีปากหยักทำเอาคนฟังถึงกับเบิกตากว้าง ฝ่ามือเรียวกำหมัดเอาไว้แน่นพยายามสะกดความหวาดกลัวในใจเอาไว้“คะ? คุณพูดว่าอะไรคะ” เธอทวนถามซ้ำอีกครั้ง ดวงตากลมโตแอบสั่นไหวเบา ๆ แต่ก็ไม่ถึงกับตื่นตระหนกริมฝีปากเหยียดยิ้มเล็กน้อยพลางสบตากับเธออย่างจงใจ ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรี
เครื่องเพชรที่เป็นจุดสนใจที่สุดคงหนีไม่พ้นสร้อยเพชรที่ตั้งอยู่ในกล่องกระจกใสกลางเวที แสงไฟจากด้านบนสะท้อนเข้ากับตัวเรือนทองคำขาวบริสุทธิ์ที่สลักลวดลายอย่างประณีต เพชรเม็ดงามขนาดมหึมาประดับอยู่ตรงกลาง รูปร่างคล้ายกับหยดน้ำเปล่งประกายไปตามเหลี่ยมมุมของแสง ล้อมรอบด้วยเพชรเม็ดเล็กทรงกลมวางเรียงชิดกันเสียงกระซิบดังไปทั่วทั้งห้องเมื่อพิธีกรประกาศมูลค่าประเมินเบื้องต้นที่สูงลิบลิ่ว แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนจับจ้องไม่ใช่แค่ราคา หากแต่เป็นความลึกลับของสร้อยเส้นนี้ที่ว่ากันว่ามีประวัติยาวนานถึงสามศตวรรษ เคยอยู่ในครอบครองของราชวงศ์ยุโรป และถูกนำออกสู่สายตาสาธารณะเป็นครั้งแรกในค่ำคืนนี้ป้ายประมูลเริ่มยกขึ้นเสนอราคากันอย่างต่อเนื่อง ดุเดือดกว่าเครื่องเพชรก่อนหน้านี้ทั้งหมด แม้ว่าราคาจะพุ่งขึ้นสูงแค่ไหนก็ไม่มีท่าทีว่าการประมูลจะจบลงโดยเร็ว“สองร้อยล้านบาท”“สองร้อยห้าล้านบาท”“สองร้อยสิบล้านบาท”การประมูลครั้งนี้เปรียบเสมือนกับศึกใหญ่ที่ต่างก็ไม่มีใครยอมแพ้ เพราะการครอบครองสร้อยเพชรเส้นนี้ไม่เพียงแต่ทำให้ดูมี