LOGINPart’s Fi
ฟึบ!
ตำรากฎหมายเล่มหนาถูกปิดเสียงดัง ผมถอนหายใจแรงอย่างคนที่สมองเริ่มตื้อ ก่อนเลื่อนสายตาขึ้นไปสบกับ สายลม ไอ้หนุ่มสถาปัตย์สายติสต์ตัวพ่อที่นั่งเท้าคางมองอยู่บนเก้าอี้หินอ่อนฝั่งตรงข้าม
มันจ้องผมมาเกือบครึ่งชั่วโมง… ด้วยสีหน้าราวกับกำลังจับพิรุธผู้ต้องหา
“มีอะไรก็พูดมาดิ จ้องอยู่ได้ กูท้องแล้วมั้งเนี่ย”
ความจริงผมไม่ได้อารมณ์ดีถึงขั้นจะเล่นมุกออกหรอกนะ แต่ที่พูดก็เพราะรำคาญ…
ให้มันถามซะ… จะได้จบๆ อยากไล่ให้มันไปพ้นๆ และแน่นอนว่าคนที่ไร้ความเกรงใจอย่างมันไม่อ้อมค้อม ยิงตรงเข้าเป้าแบบเต็มๆ
“มึงกับไอ้หมอกยังไม่เคลียร์กันเหรอ”
คำถามมันไม่ได้หนักหนาอะไร แต่กลับเหมือนมีใครสักคนโยนหินลงไปในบ่อน้ำลึกที่พยายามสงบ… และมันกระเพื่อมขึ้นมาอีกครั้ง
“เอาจริงๆ นะ” ผมกระตุกยิ้มฝืนๆ “ในกลุ่มเนี่ย มีแค่ไอ้พายุตัวเดียวกูก็ปวดหัวจะแย่แล้ว มึงปล่อยให้ความขี้เสือกเป็นหน้าที่ของมันคนเดียวไม่ได้เหรอ”
“เอ้า! ไอ้สัส… แล้วให้กูพูดทำเพื่อ?”
ก็ไม่ได้คิดว่ามันจะเจาะจงตรงประเด็นขนาดนี้
ผมส่ายหน้าน้อยๆ พลางพ่นลมยาวเหยียด ราวกับจะยกอะไรทั้งหลายแหล่ที่อัดอั้นอยู่ข้างในออกมาให้หมด แต่มันก็ยากเย็นเสียเหลือเกิน…
ช่วงนี้ชีวิตแม่งเหมือนโดนเจ้ากรรมนายเวรตามเอาคืนยังไงก็ไม่รู้ ไม่ว่าเรื่องอะไร มันก็พังยับเยิน
ถึงแม้บรรยากาศสวนข้างตึกจะดูร่มรื่น มีลมพัดโชย เสียงนกร้องเป็นจังหวะ ทว่ามันไม่ได้ช่วยให้ใจผมสงบลงเลยแม้แต่นิดเดียว สายตาผมไถลไปยังแคนทีนใต้ตึกบริหาร ที่ที่กลุ่มดิซานเตอร์เคยรวมตัวกันแทบทุกมื้อ
แต่ตอนนี้… ไม่รู้สิ! อธิบายไม่ถูกเหมือนกัน
พอมาย้อนคิดๆ ดูแล้ว ... กูทำไปเพื่ออะไรวะ?
ถ้าตอนนั้นเลือกเงียบ แล้วเดินหนีออกมาจากคลับ เรื่องมันคงไม่บานปลายแบบนี้
‘มึงไปถึงขั้นไหนกันแล้ว’
ไม่รู้ว่าจะต้องการคำตอบไปเพื่อ…? ทั้ง ๆ ที่การกระทำของมันก็ชัดเจนอยู่แล้ว
‘ต้องให้กูพูดด้วยเหรอ’
ตอนนั้นเหมือนผมโดนน้ำเย็นจัดสาดเข้าหน้าเต็มแรง ทุกอย่างเป็นไปตามกลไกของร่างกาย กว่าจะรู้ตัว คอเสื้อไอ้หมอกก็มากองอยู่ในกำมือผมแล้ว
แต่มันปัดออกอย่างง่ายดาย และจ้องกลับด้วยสายตาเย็นเยียบ
‘มึงทำแบบนี้ได้ยังไง…’ เสียงผมสั่นจนไม่รู้ว่ามันคือความโกรธหรือความเจ็บปวด ‘ไอ้จ้าวเป็นเพื่อนมึงนะ!’
‘อย่ามาเสือกเรื่องของกู’
ผมจำแววตาที่พยายามแสดงความเหนือกว่าได้ขึ้นใจ เพราะลึก ๆ มันเองก็ไม่ต่างจากคนกำลังดิ้นรนเช่นกัน ผมรับรู้ได้ถึงความสั่นไหวเจืออยู่ในน้ำเสียงกระโชกโฮกฮากนั่นด้วย
‘ถ้าผู้หญิงที่มึงคั่วอยู่ ไม่ใช่เพื่อนกู กูก็จะไม่ยุ่งหรอก’
คนฟังหลุดหัวเราะในคอ ก่อนจะถามทวนด้วยเสียงกดต่ำ
‘เพื่อน?’ ดวงตาคมกริบจ้องลึกเข้ามาคล้ายจะอ่านบางอย่างที่ผมเก็บซ่อนเอาไว้ ‘แน่ใจเหรอ ว่ามึงคิดกับมันแค่เพื่อน’
‘...’ ผมตกอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกแบบฉับพลัน อยู่ดี ๆ ก็กลายเป็นฝ่ายถูกไล่ต้อนซะงั้น
‘ที่ร้อนเป็นฟืนเป็นไฟอยู่ตอนนี้ ไม่ใช่เพราะหวงเหรอ’
หวง? เหอะ! ผมไม่ได้มีสิทธิ์นั้นด้วยซ้ำ ถึงจะงง ๆ ไม่รู้ว่าพลาดให้มันจับความรู้สึกได้ตั้งแต่ตอนไหนนะ
แต่ก็เอาเถอะ ในเมื่อมาถึงขั้นนี้ ผมก็ไม่รู้จะแถต่อไปทางไหน ผมสูดหายใจลึก รวบรวมทั้งสติและความกล้า ก่อนจะตัดสินใจปล่อยทุกอย่างออกไป
‘ใช่ กูชอบมัน แต่กูไม่เคยคิดจะทำอะไรเหี้ย ๆ แบบมึง’
‘ถุย! มึงอย่ามาทำเป็นคนดี ไม่ใช่มึงไม่คิดจะทำ แต่เพราะไอ้จ้าวมันไม่ให้โอกาสมึงต่างหาก’
ทุกคำพูดที่ไอ้หมอกฝากไว้ ยิ่งตอกย้ำให้ผมสวมบทเป็นตัวร้ายในละครหลังข่าว
…ที่ไม่มีวันชนะ
มือผมเผลอกำแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว
อ๊ะ! แม่งเอ๊ย… ลืมเลยว่าตัวเองเจ็บอยู่
ผมสูดหายใจเข้าลึก พยายามรีเซตความคิดในหัวแล้วผละจากตรงนั้นทันที
ถามว่าโกรธไหม แล้วผมจะไปโกรธไอ้หมอกเรื่องอะไร? มันไม่ได้ทำอะไรผิดเลย ผมแค่รู้สึกเหมือนหัวใจโดนบีบช้า ๆ ทุกครั้งที่เห็นมันกับจันทร์เจ้าอยู่ด้วยกัน
เลวร้ายกว่านั้นคือ ผมไม่รู้จะจัดการความรู้สึกแบบนี้ยังไง เพราะงั้นการถอยกลับมาตั้งหลัก รอจนกว่าจะพร้อม แล้วค่อยก้าวเดินต่อไปข้างหน้าคงเป็นวิธีที่ดีที่สุด
แน่นอนว่าไม่ใช่ตอนนี้…
…และไม่รู้ว่าเมื่อไหร่
“เฮีย! เฮียไฟ… ไฟ เฮียไฟ”
เสียงแหวกแหวดจากมุมห้องดังขึ้นซ้ำๆ จนผมต้องกดขมับตัวเองแน่น ไล่ความรำคาญที่ค่อยๆ ทวีขึ้นในอก ก่อนทิ้งหลังลงพิงพนักโซฟาอย่างหมดแรง ตวัดสายตาไปยังกรงนกที่ตั้งอยู่ริมระเบียง
คุณจุก เจ้านกแก้วสีเหลืองสดใสพันธุ์ริงเนคที่มีแหวนสีแดงรอบคอ สัตว์เลี้ยงตัวโปรดที่บางทีก็มิอยากโปรด เพราะนับวันยิ่งพูดมาก พูดเก่ง แล้วแต่ละคำก็…
“ไอ้จ้าวล่ะ”
หึ! เสียงของมันดังชัดจนผมหรี่ตา มุมปากกระตุกเป็นรอยยิ้มขื่นๆ นิ้วโป้งไถวนเบา ๆ ตรงกลางฝ่ามือที่ยังพันผ้าก๊อซไว้
“อยากตายเหรอ”
“อยากตายเหรอ จะฟ้องไอ้จ้าว ฟ้องไอ้จ้าว…” มันยังคงโยกหัวไปมาบนคอนไม้ พลางพูดเสียงแหลมราวกับจงใจทิ่มแทง
เฮ้อ… หมดคำจะด่า
ไม่แปลกหรอก ที่มันเรียกหาแต่จันทร์เจ้า เพราะเธอเป็นคนเลือกมันมากับมือ ชื่อก็ตั้งให้ แถมยังเคยแวะเวียนมาเล่นด้วยเกือบทุกวัน
หมายถึงเมื่อสามปีก่อนนะ… ก่อนที่ไอ้หมอกจะกลับมา
แต่ตอนนี้เหมือนมันจะตกกระป๋องแล้ว ไม่สิ! ต้องใช้คำว่าเรามากกว่า
ผมหลุบตามองปลายเท้าตัวเองที่ยื่นเลยขอบโต๊ะกลางห้อง บรรยากาศในคอนโดมันเงียบเหงาเหมือนปกตินั่นแหละ ทว่าช่วงนี้มันเงียบไปถึงข้างใน… มีเพียงเสียงขยับปีกกระพือเบาๆ ของเจ้านกแก้วตัวแสบ พร้อมกับฮัมเพลงไปตามประสา
“รักเค้าไหม รักเค้าไหม”
“เหอะ! อารมณ์ดีเหลือเกิน” ไม่ได้สนใจเลยว่าทาสอย่างผมจะเป็นจะตายยังไง
ทั้งที่คิดว่าผ่านมันมาได้แล้ว แต่พอเห็นภาพพวกมันยืนเคียงกันชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ความรู้สึกเดิมก็ไหลย้อนกลับมา
เหมือนคนที่เดินมาไกล แต่สุดท้ายก็หลงทาง…
กลับไปยืนอยู่ที่เดิม ที่ที่หัวใจยังเจ็บไม่ต่างจากวันแรก
อ๊อด…อ๊อด
เสียงกริ่งหน้าคอนโดดังขึ้นตรงเวลาเหมือนทุกวัน ราวกับมันถูกตั้งระบบไว้ให้ปลุกผมตอนเจ็ดโมงเช้าโดยเฉพาะ
เกือบสามสัปดาห์แล้ว ตั้งแต่เกิดอุบัติเหตุครั้งนั้น เด็กดื้อเจ้าของแววตาวาวๆ ก็อาสาทำหน้าที่เป็นคนคอยหอบหิ้วอาหารมาให้แทบจะทุกมื้อ ทั้งที่ผมบอกไปแล้วนะ ว่าไม่เป็นไร
…แต่เธอยังทำหูทวนลม
ความจริงผมไม่ได้รังเกียจหรือจะว่าอะไรน้องหรอกนะ แค่ไม่อยากให้ลำบากเกินความจำเป็น เพราะผมยังช่วยเหลือตัวเองได้ ไม่หนักหนาขนาดนั้น แค่อาจช้ากว่าปกติ บางทีก็… มีหงุดหงิดนิดหน่อย ตามสไตล์คนป่วยทั่วไปนั่นแหละ
และในตอนที่ผมกำลังขยับตัว เจ้านกแก้วแสนรู้ก็กู่ร้องลั่นด้วยเสียงแหลมสูง
“ไอ้จ้าวมา ไอ้จ้าวมา…”
“ใช่ที่ไหนล่ะ พูดไปเรื่อย” ผมถอนหายใจแผ่วๆ ขณะลุกขึ้นจากโซฟา ก้าวขาผ่านพื้นที่เงียบๆ ของทางเดินไปเปิดประตูให้ไรเดอร์ตัวน้อย…
“ข้าวมาแล้วค่า~” เธอส่งเสียงใสก่อนจะชูของขึ้นประกอบ พร้อมสายตาเป็นประกายที่… ผมแอบคิดว่า มันดูสว่างกว่าแสงแดดตอนเช้านิดหน่อย “วันนี้… รันขอเข้าไปเตรียมข้าวให้นะ”
“ไม่...”
“ไม่เป็นไรค่ะ รันเต็มใจ” และไม่ทันที่ผมจะขยับปากห้าม เธอก็สอดตัวผ่านประตูเข้ามา ราวกับคอนโดผมเป็นห้องของเธอเอง
เท้าเล็กๆ เดินตรงไปที่ครัวอย่างคุ้นทาง ขณะที่ผมยังยืนอ้าปากค้างอยู่ที่เดิม
นี่ผมควรตกใจกับอะไรดี ระหว่างความกล้าหน้ามึนของเธอ หรือความจริงที่ว่า… ผมไม่ได้รู้สึกรำคาญเท่าที่ควรจะเป็น
เฮ้อ… เหมือนผมจะประเมินความดื้อของ ริรัณย์ ต่ำเกินไป ไม่น่าเปิดประตูให้เธอเลยจริงๆ
หมดกัน! ความสงบสุขที่เคยสั่งสมมา
ในใจก็ลังเลอยู่พักหนึ่งว่าจะยังไงต่อ แต่สุดท้ายก็เลือกปล่อยเลยตามเลย จะจับเธอโยนออกไปก็จะออกแนวรุนแรงเกินเหตุ
ผมถอนหายใจอีกเฮือก ดันประตูปิดและเดินไปนั่งรอที่เก้าอี้อย่างคนหมดแรงจะขัดขืน
ถ้าจะให้พูดตรงๆ ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการมีคนคอยช่วยเหลือมันดีกว่า อีกอย่างมันก็สมเหตุสมผลแล้วที่เป็นน้อง
ตัวต้นเหตุก็ต้องรับชอบ… ผมใช้งานเธอมากไปซะที่ไหน
ข้าวต้มอุ่นๆ ถูกยกมาวางบนโต๊ะในไม่กี่นาทีต่อมา…
“เดี๋ยวไปเอาน้ำให้นะคะ”
“...” มือที่ยื่นออกไปหวังจะห้าม ก็ต้องดึงกลับมาไว้ที่เดิม เพราะเธอเล่นหมุนตัวหายเข้าไปในครัวโดยไม่เว้นช่องให้ผมได้พูดสักนิด
…ถามหน่อยเถอะ ใครกันแน่ที่เป็นเจ้าของบ้าน
แค่ ดื้อ ธรรมดาคงใช้กับเด็กแบบริรัณย์ไม่ได้ สงสัยต้องยกตำแหน่ง โคตรดื้อ ให้เลยแหละ
และในเวลาไม่นาน แก้วน้ำเย็นก็ตามมา พร้อมคำพูดที่ทำให้ผมชะงักนิดหน่อย
“นี่ค่ะ เฮียกินเยอะๆ นะคะ จะได้หายไวๆ”
เสียงใสๆ นั่นเป็นอะไรที่บางเบาและมันก็…
ดีมั้ง? ไม่รู้สิ บอกไม่ถูกเหมือนกัน
“ขอบคุณค่ะ” ตอบเรียบๆ ไปตามมารยาทแล้วก็ก้มหน้าลงกับโจ๊กในชาม
“วันนี้เฮียเลิกกี่โมงคะ เดี๋ยวรันรอรับกลับนะ เฮียจะได้ไม่ต้องเดิน”
หลายวันที่ผ่านมาผมปฏิเสธความหวังดีและการยื่นมือมาคอยช่วยเหลือจากเธอนับครั้งไม่ถ้วน แต่เธอก็ยังถาม ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าจะได้คำตอบเหมือนเดิม
“ไม่เป็นไร ช่วงนี้เฮียเลิกช้า”
หากแต่นี่ไม่ใช่ข้ออ้าง มันคือความจริงที่เด็กนิติฯ ปีสี่อย่างพวกผม กำลังอยู่ในช่วงหัวหมุนเลย เคลียร์กิจกรรมรัวๆ รายงานก็กองเท่าภูเขา ไหนจะสอบไฟนอลอีก…
หลังผมพูดแบบนั้นออกไป คนฟังก็เงียบเลย ผมเหลือบมองคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเล็กน้อย เห็นเธอเม้มปากเบาๆ นัยน์ตาก็หม่นแสงลงนิดๆ ทำหน้าอย่างกับตอนรอซื้อของโปรดแล้วมันหมดก่อนถึงคิวยังไงยังไง
แต่ก่อนที่บรรยากาศจะซึมมากไปกว่านี้…
“ไอ้จ้าว ไอ้จ้าว…”
เจ้านกตัวแสบก็แหกปากร้องแทรกขึ้นมา
เธอหันไปตามเสียงโดยอัตโนมัติ ดวงตาที่เหงาหง่อยเมื่อครู่ปรับเปลี่ยนเป็นประกายแวววับโดยพลัน
“หือ...เฮียไฟเลี้ยงนกด้วยเหรอคะ หนูขอไปเล่นได้ไหม”
…กูว่าแล้ว
ผมเตรียมจะพูดห้าม แต่ยังไม่ทันได้อ้าปาก เธอก็หันกลับมาส่งสายตาวิ้งๆ ประกอบท่าทางแบบลูกแมวใส่
รู้ใช่ไหมว่า ต่อให้ผมพูดว่า “ไม่”
ริรัณย์ก็จะอันตรธานตัวเองไปอยู่หน้ากรงอยู่ดี ผมเลยได้แต่พ่นลมเบาๆ
“...ได้ค่ะ แต่อย่าซนนะ ห้ามเปิดกรง”
“โอเคค่า…”
เธอรับปากผมอย่างดิบดี ก่อนจะกระโดดหย่องแหย่งไปหาคุณจุก และจัดการเปิดกรงทันที
เหอะ! ความหมายของคำว่า โอเคค่า คืออะไร เพิ่งพูดไปเมื่อกี้
จะมีวันที่เด็กนี่เลิกดื้อ แล้วทำตามคำบอกของผมไหม?
แผ่นหลังผมเอนพิงพนักเก้าอี้ พิงความวุ่นวายที่อีกนิดจะถึงขั้นปวดประสาท และพิง… ความรู้สึกบางอย่างที่แผ่กระจายอย่างหาสาเหตุไม่ได้
ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรจะรำคาญหรือยิ้มดี?
แต่ปรากฏว่ามันเผลอยิ้มไปแล้ว… ผมขยับแว่นเล็กน้อย แสร้งกระแอมเบาๆ แล้วหันไปทางอื่นแทน
“เดี๋ยวนะ คืออะไร ยังไง แล้วทำไมกูถึงพลาดเรื่องนี้” ไอ้พายุรัวคำถามใส่“แล้วมึงคิดว่าตัวเองเป็นนักข่าวของซีเอ็นไอรึไงถึงต้องรู้ทุกเรื่อง”มาถึงตอนนี้ผมพอเดาออกแล้วว่าต้นสายปลายเหตุมันมาจากอะไร“ก็นี่มันเรื่องใหญ่ไง!” เสียงมันเริ่มดังและแหลมจนแสบหู“แล้วมึงจะแหกปากทำเหี้ยไร?!”ผมตวาดปราม ก่อนจะเริ่มอธิบาย“กูก็แค่ ...ช่วยกันไอ้กาย ไม่ให้มันมายุ่งกับน้องแค่นั้นเอง”“ฮะ?! ไอ้ห่านั้นมันไปขี้หลี่กับรันเหรอ ทำไมน้องไม่เคยบอกกู”“น้องคงรู้แหละ ว่าพี่ส้นตีนอย่างมึงคงช่วยอะไรไม่ได้”“เอ้า กูโดนด่าเฉย…” แล้วมันก็สะบัดหน้าเซ็งๆ ขณะที่ไอ้ลมขมวดคิ้วแน่น สายตาเพ่งมองผมราวกับเครื่องจับเท็จเคลื่อนที่“แค่นั้นจริงดิ?”“ก็เออดิ!”คือแม่งจะให้มีเหตุผลอื่นแอบแฝงให้ได้เลย ปวดหัวกับเพื่อนแต่ละตัวจริงๆ“แต่ถ้าข่าวกระจายเร็วแบบนี้ คนที่เสียหายก็… น้องรันไหมอะ” ใบชาเอ่ยอย่างเป็น
สัมผัสของมือเขาอุ่นมาก...จนไม่อยากให้ปล่อยกระทั่งเราหยุดเดิน ห่างออกมาพอประมาณ เขาหันกลับมาพลางเลื่อนมือขึ้นขยับกรอบแว่นเล็กน้อย“ทีนี้รู้รึยังว่ามันเป็นตัวอันตรายขนาดไหน ตามไม่เลิกเลย”เปลือกตาฉันกะพริบถี่ๆ พยายามรวบรวมสติ สุดท้ายก็ยังมีแต่คำพูดเขาวนเวียนอยู่ในหัว…“ทำไมเฮียถึงพูดแบบนั้นคะ ป่านนี้พวกเขาคงคิดว่ารันกับเฮีย…” ริมฝีปากฉันเม้มแน่น ละไว้ในฐานที่เข้าใจตรงกัน“แล้วจะให้เฮียหักหน้ารันเหรอ รันเป็นคนพูดออกไปก่อนเองนะ”จริงด้วย... แล้วนี่ฉันกำลังคาดหวังคำตอบอะไรจากเขาอยู่นะ?ฉันหลุบตาลงมองปลายเท้าตัวเอง ไม่กล้าสบตาเขาเพราะไม่อยากให้เขาเห็นว่า… ตัวเองกำลังเผลอคิดอะไรไปไกลกว่านั้น“ขอบคุณนะคะ ที่ช่วย…” ฉันบังคับเสียงตัวเองให้เป็นปกติที่สุด แม้ในใจจะเจ็บจี๊ดๆ “แต่ข่าวนี้ต้องแพร่ไปทั่วมอแน่ๆ”“งั้น… ถ้ารันไม่สบายใจ เฮียไปแก้ข่าวให้ก็ได้”“ไม่ค่ะ!” ฉันโพล่งออกไปพร้อมมือที่โบกปัดแบบเร็วๆ ก่อนจะดึ
ฉันชะงักทันทีที่ได้ยินประโยคนั้น…เฮียไฟ…เขาจะรอข้าวจากฉันไหมนะ? เขาจะทำหน้านิ่ง ๆ แล้วพูดว่า ‘ไม่เป็นไรค่ะ’ แบบนั้นรึเปล่า หรือมีแค่ฉันคนเดียวที่กังวลไปเอง…จะอะไรก็ช่างก่อนเหอะ ตอนนี้สิ่งที่ฉันต้องโฟกัสคือกิจกรรมสำคัญตรงหน้าทว่าความวุ่นวายยามเช้าของนางสาวริรัณย์ยังไม่จบแค่นั้น“อยู่ไหนเนี่ย…” ฉันขมวดคิ้วแน่น ตอนนี้กระเป๋าฉันดูเหมือนหลุมดำที่กลืนทุกอย่างเข้าไปไม่เว้นแม้แต่ดินสอประจำตัว! “นี่ฉันต้องเริ่มวันด้วยความซวยอะไรอีก…ให้ตายเถอะ!”ตายแน่… มันต้องตกอยู่ที่คอนโดเฮียไฟชัวร์ฉันพ่นลมฟู่ใส่หน้าม้าตัวเองอย่างหงุดหงิดปนสติแตก ก่อนจะหันไปหาที่พึ่งสุดท้าย“นิกซ์ ยืมดินสอหน่อย”“มีแต่ของกราฟเกียร์นะ”“อือ ๆ เอามาใช้ก่อน”ปกติฉันไม่ถนัดดินสอแบบกด ถึงยี่ห้อนี้มันจะดีมากก็เถอะ ฉันพยายามลองแล้วแต่มันไม่ค่อยเข้ามือเท่าไหร่ไม่เหมือนดินสอไม้ชุดชาร์โคลเซตที่ฉันใช้อยู่ แต่ทำไงได้ล่ะ……คงต้องแก้ขัดไปก่อนเหมือนวันนี้ฉันก้าวขาออกจากคอนโดผิดข้างเลยแฮะ...นึกว่าจะได้พักหายใจหลังเทสหนักห
Part’s Fi06:30 น.ความจริงช่วงนี้ผมไม่ค่อยมีเรียนเช้า แต่ก็ต้องตื่นเหตุผลมันไม่ได้ซับซ้อน… แค่เพราะผม ‘ชิน’ กับการต้องมารอกินมื้อเช้าของเด็กดื้อคนนั้นไปแล้วถึงจะไม่ได้แสดงออกมาก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าพอมีริรัณย์เข้ามา ทุกวันของผมมันไม่เงียบเหงาเหมือนเก่า อย่างน้อยก็มีหนึ่งคนที่คอยยุ่งวุ่นวายเรื่องอาหารการกินของผมกับคุณจุกหึ! บ่อยครั้งที่ผมเผลอยิ้มให้ความสดใสของเธอโดยไม่รู้ตัวและไม่รู้ว่าวันนี้ที่จะต้องไปตามนัดหมอ ข้อมือจะกลับมาใช้งานได้ปกติรึยัง มันน่าอึดอัดนะ… ทั้งรำคาญ ทั้งรู้สึกไร้ประโยชน์แต่อีกใจดันรู้สึกแปลกๆ มีวูบหนึ่งที่ผมคิดว่าแบบนี้ก็ไม่ได้แย่ คล้ายกับตัวเองเพิ่งค้นพบว่าการมีคนคอยดูแล คอยใส่ใจมันดียังไงเด็กนั่นคงไม่รู้ว่ามีกล้องตรงมุมห้อง ที่ผมตั้งใจติดไว้ดูคุณจุกเวลาไม่อยู่คอนโด เธอถึงได้กล้าพูดอะไรแบบนั้นออกมา ไหนจะภาพสเกตช์พวกนั้นอีก ผมไม่ได้โง่จนดูไม่ออก และมันก็ไม่ใช่เรื่องไม่ดีอะไรหรอก แต่ผมแค่... ยังไม่ได้รู้สึกกับเธอมากขนาดนั้นผมค่อยๆ เปิดประตูห้องนอนออกม
สุดท้ายก็แค่… เปิดให้ฉันเข้ามา เพราะตัวเองจะไม่อยู่ฉันสูดลมหายใจลึก แล้วเบนความสนใจไปยังผลไม้ของคุณจุกเงียบๆ ทั้งที่ในใจ มันมีคำพูกมากมาย แต่ก็เอาเถอะ! นี่มันก็ดีกว่าหลายวันที่ผ่านมาแล้ว ริรัณย์“หวัดดีคุณจุก”“หวัดดีจันทร์เจ้า”เสียงสูงปรี๊ดตอบกลับมาทันควันอย่างภูมิใจนักหนา เหมือนเจ้าตัวกำลังอวดเต็มที่ว่าจำชื่อได้เป๊ะเป๊ะแต่ก็ผิด! ผิดจนน่าโมโห!ผิดจนฉันต้องแยกเขี้ยวใส่เจ้านกตัวแสบให้ตายสิ ทั้งนกทั้งเจ้านาย น่าจับมัดรวมกันแล้วเอาไม้ฟาดสักทีเป็นไง!“ใช่ที่ไหนเล่า ริรัณย์ พูดสิ ริ…รัณย์”สอนไปกี่ครั้งแล้วก็ไม่เคยจำ สงสัยจะหลงชื่อเจ๊จ้าวเข้ากระดูกดำเหมือนเจ้านายตัวเองสินะ… แล้วถ้าเจ้านกแสบนี่ยังเรียกแต่ จันทร์เจ้า แบบนี้… เฮียไฟจะตัดใจได้ยังไงกันล่ะ“ไอ้จ้าว”“ยังอีก! ไม่ต้องกินซะดีมั้ง” ความหงุดหงิดทำให้วอลลุ่มเสียงปรับเพิ่มขึ้นโดยอัตโนมัติ“กิน กินสิ” เจ้าตัวสีสดใสเริ่มขยับเท้าตามท่อนไม
ยากมาก…เมื่อก่อนก็เคยมีนะ ไอ้ความรู้สึกที่แบบ เพื่อนคนนี้หล่อจังหรือหุ่นรุ่นพี่คนนั้นมันทำให้ใจสั่นสุดๆ แต่ก็ไม่ถึงขนาดเก็บมาเพ้อทุกวัน เหมือนอย่างตอนนี้ถ้าจะบอกว่าไม่คิดอะไร ก็ดูจะเป็นการทรยศความรู้สึกตัวเองเกินไปแต่ถ้าจะให้สารภาพออกไปตรงๆ ก็กลัวเจ็บหนักไม่หรอกมั้ง! คงยังไม่ถึงขั้นนั้นหรอกแค่… เวลาที่มองตาเขาทีไร มันเหมือนหัวใจโดนฉุดลงไปในอะไรบางอย่าง และฉันไม่ชอบเลยที่ช่วงนี้แววตาคู่นั้นมันเต็มไปด้วยความเศร้าเกินจะเป็นเพียงความเงียบงันธรรมดาอีกอย่างถ้ามันง่ายแบบที่เม็ดทรายพูด ทำไมเฮียไฟถึงยังจมอยู่กับมันล่ะ“ถามว่าง่ายไหม มันก็ไม่ง่ายหรอก” น้ำเสียงโค้ชเลิฟจำเป็นของฉันเริ่มอ่อนลง แต่สีหน้ากลับจริงจังมากขึ้น “แต่ก็มูฟออนได้ดีกว่าตอนอยู่คนเดียวอะ ยิ่งอยู่คนเดียว ก็ยิ่งฟุ้งซ่าน แล้วก็จะออกมาจากตรงนั้นไม่ได้สักที”บรรยากาศจวนจะอึมครึมเต็มที ถ้าไม่ติดว่างเจ้าของน้ำเสียงทะเล้นสอดปากเข้ามาซะก่อน“นี่สินะ… คำแนะนำจากคนมีประสบการณ์ตรง” นิกซ์ลากปลายพู่กันในถาดสีด้วยท่




![My Engineerรักร้ายนายจอมโหด [ต้าร์พินอิน]](https://acfs1.goodnovel.com/dist/src/assets/images/book/43949cad-default_cover.png)


