กริ๊ง…กริ๊ง!
เสียงนาฬิกาปลุกแผดลั่นราวกับไซเรนเตือนภัยในสนามรบ ทำฉันสะดุ้งเฮือกจนเผลอปัดไอโฟนที่แหกปากน่ารำคาญข้างหูแทบร่วงพื้น ก่อนจะนิ่งอยู่สักพักเพื่อรวบรวมสติ แล้วถึงพลิกตัวโก่งก้นขึ้นนั่ง
เปลือกตาค่อยๆ เปิดรับแสงอ่อนที่ลอดผ่านม่านหน้าต่างเข้ามา
วันใหม่…ที่น่าจะสดใส
ถ้าไม่นับตาแพนด้าและวิญญาณที่ยังล่องลอยอยู่กลางมิติความฝันอะนะ
ฉันถอนหายใจเป็นรอบที่ร้อย ขณะลากร่างโงนเงนลงไปยืนข้างเตียง
ปกติหากมีเรียนเช้าก็จะตื่นประมาณเจ็ดโมงครึ่ง แต่ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาฉันต้องลุกก่อนตั้งหนึ่งชั่วโมง นี่มันไม่ต่างจากการเฉือนหัวใจคนรักการนอนเลยว่าไหม?
แต่ทำไงได้ ‘พันธสัญญาปีศาจ’ ที่ให้ไว้กับเฮียพายุยังค้างคาอยู่ ฉันต้องไปซื้ออาหารเช้าให้ เฮียไฟ ผู้ซึ่งไม่ได้รู้อีโหน่อีเหน่ ทว่าดันรับเคราะห์หนักสุด
และแน่นอน… ไม่มีใครอยากถูกตราหน้าว่า ‘ไร้ความรับผิดชอบ’ ถึงทุกวันจะไม่เคยได้คำชื่นชมกลับมาเลยก็ตาม
ไม่แน่ใจเหมือนกันว่ามันเช้าเกินไป หรือเขาแค่ไม่อยากเปิดประตูให้
นั่นแหละ… จะอะไรก็ช่าง ฉันแค่ทำตามหน้าที่ของตัวเอง ด้วยการเอาของบำรุงทุกอย่างไปแขวนไว้หน้าประตู พร้อมกับแปะโน้ตที่มีข้อความว่า
‘อาหารเช้ามาส่งแล้วจ้า :) จากคู่กรณีที่น่ารัก’
ส่วนเขาจะกินหรือทิ้ง นั่นก็เรื่องของเขา ฉันถือว่าภารกิจของตัวเองสำเร็จแล้ว…
หลังจากได้น้ำเย็นจากฝักบัวช่วยกระตุ้นระบบประสาทให้กระปรี้กระเปร่าแล้ว ฉันก็แต่งตัวอย่างรีบๆ และคว้ากระเป๋าสะพายใบโปรด กับกุญแจเวฟป้าสีชมพูคู่ใจ ก่อนเดินออกจากห้องนอนด้วยเป้าหมายเดิมๆ
ตลาดนัดข้างมอ…
ความจริงพ่อกับแม่พยายามเกลี้ยกล่อมให้ฉันหัดขับรถยนต์ บอกว่าสะดวกและปลอดภัยกว่า
ไอ้เรื่องปลอดภัยก็อาจจะใช่ แต่สะดวกน่ะ… ขอแย้ง จะจอดรถทีเหมือนหาสมบัติล้ำค่าในมหาสมุทร แถมเวลารถติดก็แทรกซ้ายป่ายขวาแบบน้องชมพูของฉันไม่ได้! อีกอย่าง ถ้าไปไหนไกลๆ หรือฝนตก ฉันแค่โบกมือเรียกเม็ดทรายกับนิกซ์ หรือกดแอพเรียกรถแค่นั้น
แบบนี้สิถึงจะเรียกว่าสะดวกจริง!
ผ่านไปกว่าครึ่งชั่วโมง ฉันก็มายืนยิ้มร่าอยู่หน้าคอนโดเฮียไฟ พร้อมกับกลิ่นปาท่องโก๋หอมๆ ไออุ่นจากโจ๊กเห็ดหอมเจ้าเก่า และนมสดอุ่นๆ ที่ตั้งใจเลือกเหมือนอย่างทุกวัน
แต่สิ่งที่ต่างออกไปในวันนี้…
ประตูมันดันเปิดออกในตอนที่ฉันกำลังก้มเขียนโน้ต
ฉันเงยหน้ามองร่างสูงของเฮียไฟในชุดนอนสีเข้มแบบอึ้งๆ
พายุจะถล่มเชียงใหม่ไหมนะ หรืออาหารเช้าของฉันมันทำให้เขาป่วยหนักกว่าเดิม
ไม่ก็… เขาเห็นถึงความตั้งใจจริงของฉันขึ้นมาบ้างแล้ว
แต่พอยื่นไปให้ เขากลับมองมันเพียงแวบเดียว ราวกับไม่มีความหมายอะไรมากนัก ก่อนจะถอนหายใจและรับไว้แบบ … ตามมารยาท
“เอาแค่โจ๊กพอค่ะ เฮียไม่ค่อยชอบกินนม”
ฉันเหลือบมองถุงนมในมือตัวเองที่เพิ่งถูกปฏิเสธอย่างสุภาพ แล้วส่งยิ้มแหยๆ
“ค่ะ…”
งั้นของทุกวันที่ผ่านมาคงจบลงในถังขยะสินะ… แย่จัง
“ความจริงไม่ต้องลำบากขนาดนี้ก็ได้นะ เฮียสั่งเองได้ ขอบคุณสำหรับวันก่อนๆ ด้วย”
…อันนี้แย่กว่าอีก
น้ำเสียงเขายังคงราบเรียบ เหมือนไม่ได้ตั้งใจปฏิเสธ แต่ก็เย็นชาพอจะทำให้รอยยิ้มของฉันค่อยๆ จางไป
ริมฝีปากฉันเม้มเข้าหากันแน่น ไม่ทันได้บอกว่า ‘ไม่ลำบากเลยค่ะ’ คู่สนทนาก็หันหลังให้เสียก่อน
แต่จังหวะนั้น ฉันเห็นเขาชะงักไปนิดหนึ่ง
มือใหญ่กำลูกบิดแน่นเหมือนลังเลอยากจะพูดอะไรบางอย่าง นั่นทำให้ฉันแอบลุ้นอยู่ลึกๆ ในใจ แต่สุดท้ายเขาก็เงียบ… และปล่อยให้ประตูปิดลงตามหลัง
เสียงกระทบกันของไม้กับเหล็กเลยกลายเป็นสิ่งเดียวที่ตอบกลับมา
สายตาฉันหลุบมองถุงนมนั่นอีกครั้ง พลิกไปพลิกมาอยู่สองสามรอบ เหมือนพยายามหาอะไรให้ทำแก้เก้อ
“กินของอร่อยขนาดนี้ก็ต้องรู้สึกดีขึ้นบ้างแหละ… เนอะ” บ่นพึมพำพลางกระชับเสื้อคลุมแน่นขึ้นอีกหน่อย ขณะหมุนตัวเดินจากมา
แม้แดดจะเริ่มสาดแสง แต่ความเย็นกลับแทรกเข้ามาในอก… ทั้งที่ไม่มีลมสักแอะ!
มหาวิทยาลัยเซเนเซนท์
เสียงขูดปลายพู่กันลากผ่านผิวหยาบของผืนกระดาษฟังดูสงบดีในตอนแรก… แต่พอภาพแจกันดอกไม้ตรงหน้าเสร็จสมบูรณ์ ฉันกลับไม่พอใจอย่างที่ควรจะเป็น
มันดู หม่นๆ ขมุกขมัว ยังไงไม่รู้สิ...
แดดยามสายที่ส่องลอดผ่านหน้าต่างยิ่งทำให้สีบนผืนผ้าดูซีดจาง กลิ่นสีน้ำมันอ่อน ๆ ลอยแตะจมูก คลอไปกับเสียงจอแจของเพื่อนรอบข้าง แต่ใจฉันกลับไม่ได้โฟกัสสิ่งเหล่านั้นเลย
…ยังคงหมกมุ่นกับความคิดเดิมๆ
หรือจริงๆ เราแค่คิดไปเองว่าเขาจะดีใจ?
ไม่ก็… เฮียไฟอาจจะอยากอยู่เงียบๆ มากกว่าการที่เราคอยเข้าไปวุ่นวายก็ได้
แต่ฉันแค่อยากชดเชยที่เป็นต้นเหตุให้เขาเจ็บตัวก็เท่านั้นเองนะ
ทำไมต้องเมินกันขนาดนี้ด้วย … ใจร้ายจริงๆ
“มันก็สวยดีนะ ทำไมคนวาดหน้ามุ่ยจัง”
เสียงแซวขัดจังหวะความคิด ฉันสะดุ้งเฮือก ก่อนจะตวัดสายตามองคนตัวสูงอย่างเคืองๆ ไม่รู้เลยว่า เฮียพายุ เดินเข้ามายืนข้างหลังตั้งแต่ตอนไหน
ถึงจะเรียนคณะเดียวกัน แต่การมาป้วนเปี้ยนในคลาสรุ่นน้องได้หน้าตาเฉยแบบนี้มัน… มันได้เหรอ
…แต่ก็พอดีเลย กำลังหาที่ระบายอยู่พอดี!
“ก็เป็นเพราะเฮียไง จัดแจงนู่นนี่ ให้รันตื่นแต่เช้า ซื้อข้าวไปให้เขา สุดท้ายเป็นไง?” ฉันเบะปากบ่น “เขาไม่ได้ซาบซึ้งใจเลยสักนิด แถมยังทำหน้าเหมือนจะรำคาญกว่าเดิมด้วยซ้ำ”
“เอาน่า อย่าไปถือสามันเลย” เขาลากกล่องไม้ทรงกลมมานั่งข้างๆ พลางพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่ดูใจเย็นกว่าปกติ “ช่วงนี้ใจมันไม่ค่อยแข็งแรง หนักกว่าแผลทางกายอีก”
คิ้วฉันขมวดเข้าหากันทันที
ใจไม่แข็งแรง? …เฮียไฟน่ะนะ?
คนที่สุขุม เยือกเย็น และดูเป็นภูเขาน้ำแข็งเคลื่อนที่แบบนั้น จะมีช่วงที่อ่อนแอจริงๆ เหรอ
“อกหัก?” ความคิดโผล่ขึ้นมาเองโดยไม่ได้ตั้งใจ “มีสาวที่ไหนไม่ชอบเฮียไฟด้วยเหรอ”
ผู้หญิงคนนั้นต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ ถึงกล้าปฏิเสธว่าที่นักกฎหมายมือหนึ่งอย่างนายอัคคินท์ รังสิโยธิน
“พูดแบบนี้ อย่าบอกนะว่ารันก็เป็นหนึ่งคนที่หลงเสน่ห์มันด้วย”
ฉันเบิกตาโต รีบกัดปากตัวเอง ก่อนจะแย้งเสียงหลง “ปะ…เปล่านะ รันไม่ได้หมายความว่าแบบนั้นสักหน่อย”
แต่ดวงตาที่หรี่ลงของรุ่นพี่จอมยุ่งทำฉันต้องก้มหน้างุด จุ่มพู่กันลงในสีน้ำแทบจะทันที
ทั้งที่... สีที่หยิบมาดันไม่เข้ากับภาพเลยสักนิด
ไม่รู้ทำไม อยู่ๆ แก้มถึงได้ร้อนขึ้นมาเฉยเลย
บ้า… ต้องบ้าแหงๆ อย่าคิดแบบนั้นกับผู้ชายที่แสนเย็นชาอย่างเขาเชียวนะ ริรัณย์!
“ร้อนเหรอ หน้าแดงเชียว” ไม่พูดเปล่า เขายื่นนิ้วมาจิ้มแก้มฉันเบาๆ “อืมมม~ ร้อนจริง ๆ ด้วย”
หน้าฉันสะบัดหนีโดยอัตโนมัติ พร้อมเอามือขึ้นปิดแก้มตัวเอง “เลอะเทอะ!”
“เอากระจกไหมล่ะ จะได้เห็นว่ามันแดงจริง”
“เฮียพายุ!” เผลอยกมือฟาดต้นแขนแกร่งไปหนึ่งที แต่แทนที่เขาจะหลบ กลับหัวเราะร่า พลางลุกขึ้นยืน แล้ววางมือลงบนหัวฉันแล้วโยกไปมาแบบที่ชอบแกล้งกันเป็นประจำ
“เอาเป็นว่า ช่วย ๆ ดูมันไปก่อนแล้วกัน” เสียงเขาอ่อนลงกว่าปกติ คล้ายจะจริงจังขึ้นมาเล็กน้อย “มันจะได้ไม่ฟุ้งซ่านมาก”
เหรอ?
เฮียไฟน่ะอาจจะใช่ แต่ฉันเนี่ย… ฟุ้งซ่านกว่าเดิมแน่ๆ
ฉันถอนหายใจผะแผ่ว มองตามแผ่นหลังของเฮียพายุที่เดินห่างออกไป ก่อนหันกลับมาโฟกัสภาพแจกันหมองๆ ของตัวเองอีกครั้ง…
พยายามจะจดจ่อกับมัน แต่ยิ่งเพ่งสายตา ลายเส้นกลับยิ่งสั่น เหมือนใจที่ไม่ว่าจะบังคับให้ตรงยังไง ก็ไหวเอนไปหาคนอีกคนอยู่ดี
บางทีที่เฮียทำเป็นเย็นชาแบบนั้นอาจเพราะกำลังสร้างเกราะป้องกันตัวเองก็ได้นะ?
Part’s Fiฟึบ!ตำรากฎหมายเล่มหนาถูกปิดเสียงดัง ผมถอนหายใจแรงอย่างคนที่สมองเริ่มตื้อ ก่อนเลื่อนสายตาขึ้นไปสบกับ สายลม ไอ้หนุ่มสถาปัตย์สายติสต์ตัวพ่อที่นั่งเท้าคางมองอยู่บนเก้าอี้หินอ่อนฝั่งตรงข้ามมันจ้องผมมาเกือบครึ่งชั่วโมง… ด้วยสีหน้าราวกับกำลังจับพิรุธผู้ต้องหา“มีอะไรก็พูดมาดิ จ้องอยู่ได้ กูท้องแล้วมั้งเนี่ย”ความจริงผมไม่ได้อารมณ์ดีถึงขั้นจะเล่นมุกออกหรอกนะ แต่ที่พูดก็เพราะรำคาญ…ให้มันถามซะ… จะได้จบๆ อยากไล่ให้มันไปพ้นๆ และแน่นอนว่าคนที่ไร้ความเกรงใจอย่างมันไม่อ้อมค้อม ยิงตรงเข้าเป้าแบบเต็มๆ“มึงกับไอ้หมอกยังไม่เคลียร์กันเหรอ”คำถามมันไม่ได้หนักหนาอะไร แต่กลับเหมือนมีใครสักคนโยนหินลงไปในบ่อน้ำลึกที่พยายามสงบ… และมันกระเพื่อมขึ้นมาอีกครั้ง“เอาจริงๆ นะ” ผมกระตุกยิ้มฝืนๆ “ในกลุ่มเนี่ย มีแค่ไอ้พายุตัวเดียวกูก็ปวดหัวจะแย่แล้ว มึงปล่อยให้ความขี้เสือกเป็นหน้าที่ของมันคนเดียวไม่ได้เหรอ”“เอ้า! ไอ้สัส… แล้วให้กูพูดทำเพื่อ?”ก็ไม่ได้คิดว่ามันจะเจาะจงตรงประเด็นขนาดนี้ผมส่ายหน้าน้อยๆ พลางพ่นลมยาวเหยียด ราวกับจะยกอะไรทั้งหลายแหล่ที่อัดอั้นอยู่ข้างในออกมาให้หมด แต่มันก็ยากเย็นเสียเหลือเกิน…
กริ๊ง…กริ๊ง!เสียงนาฬิกาปลุกแผดลั่นราวกับไซเรนเตือนภัยในสนามรบ ทำฉันสะดุ้งเฮือกจนเผลอปัดไอโฟนที่แหกปากน่ารำคาญข้างหูแทบร่วงพื้น ก่อนจะนิ่งอยู่สักพักเพื่อรวบรวมสติ แล้วถึงพลิกตัวโก่งก้นขึ้นนั่งเปลือกตาค่อยๆ เปิดรับแสงอ่อนที่ลอดผ่านม่านหน้าต่างเข้ามาวันใหม่…ที่น่าจะสดใสถ้าไม่นับตาแพนด้าและวิญญาณที่ยังล่องลอยอยู่กลางมิติความฝันอะนะฉันถอนหายใจเป็นรอบที่ร้อย ขณะลากร่างโงนเงนลงไปยืนข้างเตียงปกติหากมีเรียนเช้าก็จะตื่นประมาณเจ็ดโมงครึ่ง แต่ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาฉันต้องลุกก่อนตั้งหนึ่งชั่วโมง นี่มันไม่ต่างจากการเฉือนหัวใจคนรักการนอนเลยว่าไหม?แต่ทำไงได้ ‘พันธสัญญาปีศาจ’ ที่ให้ไว้กับเฮียพายุยังค้างคาอยู่ ฉันต้องไปซื้ออาหารเช้าให้ เฮียไฟ ผู้ซึ่งไม่ได้รู้อีโหน่อีเหน่ ทว่าดันรับเคราะห์หนักสุดและแน่นอน… ไม่มีใครอยากถูกตราหน้าว่า ‘ไร้ความรับผิดชอบ’ ถึงทุกวันจะไม่เคยได้คำชื่นชมกลับมาเลยก็ตามไม่แน่ใจเหมือนกันว่ามันเช้าเกินไป หรือเขาแค่ไม่อยากเปิดประตูให้นั่นแหละ… จะอะไรก็ช่าง ฉันแค่ทำตามหน้าที่ของตัวเอง ด้วยการเอาของบำรุงทุกอย่างไปแขวนไว้หน้าประตู พร้อมกับแปะโน้ตที่มีข้อความว่า‘อาหารเช้ามาส่งแล
“...ชำระแบบไหนดีคะ”เสียงสุภาพจากคุณพยาบาลที่หน้าเคาน์เตอร์ดังขึ้น ช่วยดึงฉันกลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริง เปลือกตาฉันกะพริบปริบๆ ก่อนจะรีบควานหามือถือที่หน้าจอแตกร้าวจากอุบัติเหตุนั่นออกมาสแกนจ่าย“โอนค่ะ”ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับเฮียพายุเดินมาหยุดยืนข้างๆ พอดี“เท่าไหร่อะ?”“ไม่เป็นไรค่ะ รันจ่ายแล้ว”เขาพยักหน้าเบาๆ แต่สายตา… กลับเหลือกขึ้นมองเพดานอย่างใช้ความคิดเงียบๆ ผ่านไปไม่ถึงนาที ริมฝีปากหยักก็ขยับถามอีกครั้ง“รันอยู่คอนโดบีแอลใช่ไหม”“ใช่ค่ะ”เพราะพ่อกับแม่ต้องเดินทางไปดูบริษัทขนส่งของครอบครัวที่เบลเยียมบ่อยครั้ง ยิ่งช่วงหลังๆ มานี่แทบไม่ได้กลับไทยเลย ซ้ำยังมีแพลนให้ฉันไปเรียนต่อที่นู่นด้วยนะ ดีที่ได้ญาติผู้ใหญ่หลายคนช่วยออกตัวแทน ไม่งั้นป่านนี้ฉันคงกลายเป็นเด็กนอกไปแล้วก่อนหน้านี้ฉันอยู่กับปู่ย่า บางวันก็สลับไปนอนบ้านยาย แต่พอจบม.ปลาย ฉันก็เริ่มอยากมีพื้นที่ส่วนตัว เลยเลือกคอนโดใกล้มหา’ลัยไว้เป็นทางออก…แม้สุดท้ายจะต้องขอร้องให้เม็ดทราย เพื่อนซี้สุดที่รัก มาอยู่เป็นรูมเมตเพื่อคลายความห่วงของผู้ใหญ่ก็ตามส่วนอีกทีมที่ค่อยซัปพอร์ต ให้ความช่วยเหลือทุกอย่างราวกับฉันเป็นเจ้าหญิงน้อ
Part’s Rirunฟู่ว์…ทันทีที่ประตูห้องฉุกเฉินปิดลง ฉันก็ปล่อยลมหายใจยาวอย่างคนที่อั้นมานาน รู้สึกได้เลยว่าอวัยวะที่อยู่ใต้ฝ่ามือมันเต้นแรงผิดปกติยิ่งหลับตา ภาพจำก็ยิ่งชัดขึ้น ริมฝีปากของเขา... ไออุ่นที่แนบชิดเพียงชั่วอึดใจ กลับทิ้งร่องรอยไว้มากกว่าที่คิดถ้าคนที่ยืนอยู่ตรงนั้น… ไม่ใช่เฮียไฟ เราจะรู้สึกแบบนี้ไหมนะฉันสะบัดหน้าแรงๆ พยายามเขย่าความคิดบ้าๆ ออกไป ไม่สิ! ไม่ควรคิดแบบนี้… มันเป็นแค่อุบัติเหตุ และมันต้องเป็นแค่นั้น!หลังมือถูกยกขึ้นมาถูปากซ้ำไปซ้ำมา ด้วยหวังว่าทุกอย่างอาจจางลง แต่มันดันกลายเป็นยิ่งหลอมรวมสิ่งเหล่านั้นเข้ามาในความรู้สึกของฉันทีละนิดสามชั่วโมงก่อน…เสียงดนตรีและแสงไฟสลัวช่วยขับบรรยากาศในร้านนั่งชิลยามค่ำคืนให้ครึกครื้น แม้ว่าฉันจะไม่ได้รู้สึกสนุกเท่าที่ควรก็ตามเม็ดทราย เพื่อนสาวคนสนิทในชุดสีเข้มสุดเซ็กซี่กำลังโยกสะโพกพลิ้วไหวอย่างเอ็นจอย ไม่แคร์สายตาใคร ส่วนอีกคนที่นั่งตรงข้ามคือ นิกซ์ หนุ่มหล่อดีกรีทายาทห้างทองตระกูลดังประจำจังหวัด ซึ่งกำลังจดจ่ออยู่กับการชงเครื่องดื่มราวกับผสมสีในถาดหลุมเราสามคนโตมาด้วยกันตั้งแต่ประถม แม้ว่าไลฟ์สไตล์จะแตกต่างสุดขั้ว แต่ก็ม
ติ๊ด … ติ๊ด~เสียงแรกที่เจาะเข้าโสตประสาทหลังฟื้นตัวก็ไม่ค่อยน่าฟังเท่าไหร่แล้วเปลือกตาผมกะพริบถี่ๆ เพื่อดึงตัวเองออกจากห้วงว่าง แต่แสงไฟสว่างจ้าบนเพดานกลับสาดเข้ามาแทน และมันยิ่งทำให้รู้สึกเหมือนตัวเองลอยเคว้งอยู่กลางทะเลของแสงสีขาว ที่บรรยากาศอบอวลไปด้วยกลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อและแอมโมเนียจนแสบจมูก เสียงกระซิบเบาๆ ของพยาบาล ตอกย้ำว่าผมไม่ได้ฝันไป และกำลังติดอยู่ในสถานการณ์ที่น่าเวทนาแบบสุดๆอึก!แค่ขยับตัวนิดเดียว ความปวดแปลบก็แล่นจากหัวไล่ลงมาถึงบ่า จนผมต้องนิ่วหน้า ก่อนจะเห็นว่าข้อมือซ้ายถูกพันด้วยผ้ายืดหนาแน่นทุกอย่างมันเตือนว่ามีอะไรร้ายๆ เกิดขึ้นก่อนหน้า…แต่ตอนนี้ สมองกับร่างกายยังเชื่อมกันไม่สมบูรณ์ การปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมดเลยค่อนข้างยากสิ่งสุดท้ายที่จำได้คือเงาร่างของใครบางคนล้มลงมาทับ เสียงลมหายใจแรงๆ และ...มือผมเลื่อนแตะปากโดยอัตโนมัติ ความรู้สึกปวดหนึบยังคงอยู่ มันไม่ใช่แค่สัมผัส แต่เป็นการกระแทกเต็มแรง“...แม่ง”เจ็บใจไม่พอ ยังมาเจ็บตัวอีกพระเจ้าไม่คิดจะเข้าข้างกูบ้างเลยรึไง?บัดซบสัส! เจอแบบนี้เมาแค่ไหน ก็สร่างเหอะ…“ไงครับ พ่อหนุ่มนิติฯ คนเก่ง”เสียงน่ารำคาญที่ดังม
เห็นเพื่อนรักกัน มันก็น่ายินดี…ดีก็เหี้ยละ!แค่ ‘ยิ้มปลอมๆ’ ผมยังฝืนทำไม่ได้เลยปึก!แก้วในมือถูกกระแทกลงโต๊ะเต็มแรง เสียงดังจนคนรอบข้างหันขวับเป็นตาเดียว …แต่ใครสนสายตาผมยังตรึงอยู่กับขวดเหล้าเรียงรายหลังเคาน์เตอร์บาร์ แสงไฟส้มอมแดงกระทบกระจก สะท้อนวูบวาบไม่ต่างเปลวเพลิงในใจที่กำลังเผาไหม้ทุกความรู้สึกให้กลายเป็นเถ้าถ่านตอนแรกก็คิดว่าไอ้น้ำบัดซบที่กลืนลงไป คงช่วยเบลอสมองให้ด้านชา หรืออย่างน้อยก็ลดทอนสติสัมปชัญญะให้พอหลุดออกจากความจริงได้บ้างแต่ไม่ใช่…ยิ่งดื่ม แม่งยิ่งชัด!เหมือนมีใครเอาฟิล์มเก่ามาฉายซ้ำ วนลูปไม่จบไม่สิ้นไม่ว่าจะผ่านมานานเท่าไหร่ หรือต่อให้ผมหนีไปไกลแค่ไหน ภาพคนสองคนกอดกันกลางคลับในเช้าวันนั้น มันก็ยังตามหลอกหลอนราวกับฝันร้ายเสียงเบสหนักๆ ที่อัดกระหึ่มในหัว ควรจะกลบทุกความคิด ทว่ากลับทำตรงกันข้าม ทุกโน้ต ทุกจังหวะ ดันย้ำเตือนหลายสิ่งที่ผมไม่อยากจำ จนเจ็บไปทั้งอกถ้าหลายปีก่อนไอ้หมอกไม่ต้องย้ายไปนอร์เวย์…บางทีผู้หญิงคนเดียวในกลุ่มอย่างจันทร์เจ้า คงไม่ซบหน้าร้องไห้บนไหล่ผมเหมือนโลกทั้งใบพังทลาย‘ไฟ… หมอกมันไปแล้ว’และผมก็คงไม่ต้องมารับรู้ว่าใคร… ที่อยู่ในใจเธอมา