LOGINChapter 4
ชดใช้หนี้ เพื่อหลีกเลี่ยงสายตาทิ่มแทงจากร่างสูงที่มองมาฉันเลยรวบรวมกำลังใจและกำลังกายเท่าที่จะทำได้เอามาโฟกัสที่งานตรงหน้าอีกครั้ง ข้อมูลในแฟ้มนับสิบสรุปออกมาเป็นหน้ากระดาษ A4 ประมาณยี่สิบแผ่นเริ่มตั้งแต่ประวัติความเป็นมาของบริษัท Being You ที่ก่อตั้งมาเป็นเวลาเกือบสี่สิบปี เป็นบริษัทแรกๆ ที่เข้ามาจับธุรกิจเครื่องสำอางและสกินแคร์แทนที่จะพึ่งพาต่างชาติแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ อะไรที่ต่างชาติมี Being you ก็มี และในหลายๆ ครั้งก็เป็นคนเริ่มนวัตกรรมใหม่ๆ ด้วยเหตุนี้บริษัทจึงได้รับวางใจจากลูกค้าทั้งในและต่างประเทศมาอย่างยาวนาน นอกจากนี้ในข้อมูลยังระบุอีกว่าในระยะสิบปีให้หลังมานี้บริษัทได้เผชิญหน้ากับปัญหาต่างๆ มากมายเนื่องจากตลาดความสวยความงามที่ก้าวกระโดดและมีบริษัทน้อยใหญ่ที่ผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ดทำให้บางช่วงผลประกอบการระดับไตรมาสนั้นน้อยลง หากด้วยการแก้ปัญหาที่ทันท่วงทีและบริษัทนั้นได้มีแผนสำรองอยู่เสมอนั้นตัวเลขในผลประกอบการจึงเป็นที่น่าพอใจในระยะยาว ในที่สุดภาระงานที่ได้รับมอบหมายในวันนี้ก็สิ้นสุดลงในเวลาประมาณสี่ทุ่มกว่า ฉันเซฟไฟล์งานลงเครื่องแล้วกดสั่งพรินต์เป็นอันสิ้นสุดขั้นตอนสุดท้าย ด้วยเหตุนี้ฉันจึงละสายตาจากหน้าจอสี่เหลี่ยมไปยังโต๊ะข้างๆ ที่มีร่างสูงนั่งอยู่ก่อนจะชะงักไปเล็กน้อยเมื่อพบว่าไนล์ได้ฟุบศีรษะลงกับโต๊ะผล็อยหลับไปแล้ว... “ยังสรุปผลแล็บไม่เสร็จเลย” “ไม่เป็นไร เดี๋ยวไนล์หลับรอนะ” ประโยคบทสนทนาในอดีตผุดขึ้นมาในความทรงจำของฉันอีกครั้ง ด้วยภาระและการจัดสรรเวลาที่ไม่ดีนักของฉันเลยมีบ่อยครั้งที่ต้องทำให้อีกฝ่ายต้องมานั่งรอให้ฉันทำงานที่ค้างคาให้เสร็จก่อนที่เราจะได้ไปดูหนังหรือทำกิจกรรมอย่างอื่นด้วยกัน ในสิบครั้งนั้นเจ้าตัวจะเป็นฝ่ายรอฉันไปแล้วแปดครั้ง ตอนที่ลุกไปหยิบเอกสารที่พรินต์มาเข้าแฟ้มก็เป็นตอนที่รู้ว่าคนอื่นที่อยู่ทำโอทีก่อนหน้านี้ได้กลับกันไปหมดแล้ว ไนล์ไม่มีท่าว่าจะตื่น ชั่วหนึ่งฉันมีความคิดที่จะปลุกเขาขึ้นมาก่อนจะเปลี่ยนใจกะทันหันเลือกทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตามเดิมและหันศีรษะมองดูอีกฝ่ายที่กำลังเข้าสู่นิทราอยู่อย่างนี้ ฉันนั่งเท้าคางมองใบหน้าลูกรักพระเจ้าไปด้วยอารมณ์ที่เผลอไผล ไนล์เป็นผู้ชายที่สมบูรณ์แบบที่สุดในทุกๆ ด้านที่ฉันเคยเจอมาทั้งชีวิต จนถึงตอนนี้ฉันก็ยังคงสงสัยว่าทำไมเขาถึงเลือกที่จะจีบคนอย่างฉันที่ไม่มีจุดเด่นอะไรแทนที่จะเป็นผู้หญิงเพียบพร้อมเหล่านั้นที่ต่อแถวหมายจะครอบครองเขาอย่างโจ่งแจ้ง ไนล์ในตอนหลับนั้นมีกลิ่นอายเหมือนกับไนล์ที่ฉันรู้จักจนอดตั้งคำถามไม่ได้ว่าไนล์คนที่ฉันเจอเมื่อตอนกลางวันนั้นอาจจะเป็นตัวปลอมหรือฝาแฝดของเขาหรือเปล่า มือที่ยื่นไปหมายจะลูบผมของอีกฝ่ายนั้นหยุดชะงักกลางอากาศแล้วหดแขนกลับมาตามเดิม เป็นในจังหวะเดียวกันที่ไนล์ลืมตาขึ้นมา “จ่ายค่านั่งมองดูหน้าผมมาด้วย” ไนล์ว่าเสียงเรียบขณะยันตัวจากโต๊ะกลับมานั่งตามเดิม เขาจัดเสื้อผ้าที่ยับไปเล็กน้อยให้เข้าทางแล้วปรายสายตามามองที่ฉัน “ฉันเปล่าค่ะ” ฉันปฏิเสธด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบไม่แพ้กัน พยายามจะทำตัวให้ปราศจากพิรุธทั้งหลายแหล่ทั้งที่ในใจมีคำถามมากมาย เขาไม่ได้หลับหรอกเหรอ? เขารู้ได้ยังไงว่าฉันนั่งมองเขาน่ะ? เขาเป็นแพนด้ารึไงที่ต้องเก็บค่าเข้าชม? “เหอะ” เขาแค่นหัวเราะ สายตาสีเข้มย้อมไปด้วยการเยาะเย้ยเหมือนจะอยากพูดว่านี่เธอเป็นใครถึงได้โกหกเขาซึ่งๆ หน้าแบบนี้ “แฟ้มงานค่ะ” ฉันทำเป็นไม่รู้สายตานั่นก่อนจะส่งแฟ้มงานไปให้เพื่อเปลี่ยนเรื่อง เขารับไปโดยไม่เปิดอ่านข้างในก่อนด้วยซ้ำ “ขอถามหน่อยได้มั้ยคะว่าทำไมงานชิ้นนี้ถึงส่งให้คุณแทนที่จะเป็นพี่ปิ่น” “เพราะตั้งแต่วันนี้ผมจะเป็นเจ้านายสายตรงของคุณไงล่ะ” จากที่ถามคนอื่นๆ มาเวลามาฝึกงานนั้นนักศึกษาต้องทำรายงานหนึ่งเล่มอาจจะเป็นโปรเจกต์หรือสรุปสิ่งที่ได้เรียนรู้นำมาพรีเซนต์ส่งทางคณะโดยจะมีหัวหน้างานนั้นๆ เป็นคนเซ็นผ่านหรือไม่ผ่าน ซึ่งดูจากขนาดบริษัท Being You แล้วแม้ว่าคนที่เซ็นจะเป็นพี่ปิ่นก็ถือว่าตำแหน่งสูงไปด้วยซ้ำ ไม่ต้องพูดถึงระดับประธานบริษัทเลย เพราะแบบนี้ใช่มั้ยเขาถึงพูดว่าจะรอดูฉันว่าจะหลบเขายังไงพ้น... “หวังเป็นอย่างยิ่งว่าคุณจะฝึกงานที่บริษัทแห่งนี้ไปได้ตลอดรอดฝั่งนะครับ” ไนล์ยืนขึ้นเต็มความสูงในขณะที่พูดเขาก็หลุบตาต่ำมองฉันที่ยังหาเสียงตัวเองไม่เจอ ร่างสูงเดินออกไปหลายก้าวก่อนจะชะงักเท้าแต่ไม่ได้หันกลับมา “พรุ่งนี้สิบโมงเช้ามาที่ห้องทำงานผมด้วย ห้ามสาย” ถ้าเปรียบดังว่าคำพูดของลูกค้าเป็นพระเจ้าแล้ว คำพูดของเจ้านายนั้นก็เป็นยิ่งกว่าผู้ครอบครองจักรวาล คุณสามารถปฏิเสธลูกค้าได้หากแต่คุณไม่สามารถปฏิเสธคำพูดหรือการกระทำใดๆ ของเจ้านายคุณได้เลย ยิ่งเฉพาะพนักงานตัวเล็กๆ ที่เปรียบเสมือนลูกไก่ในกำมือ ยอมให้เจ้านายบีบดีกว่าให้เจ้านายปล่อยทิ้งขว้างในภาวะที่คนตกงานเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากพิษของเศรษฐกิจ วันถัดมาได้มาถึงอย่างรวดเร็ว วันนี้ก็เป็นอีกวันที่ฉันไม่ได้รับการสอนงานใดๆ จากพี่สานอกจากโดนใช้ให้ไปชงกาแฟดำ ฉันมองนาฬิกาก่อนจะพบว่าอีกไม่กี่นาทีก็จะสิบโมง ฉันคว้าไอแพดรุ่นมาตรฐานหรือพูดง่ายๆ คือรุ่นที่ถูกที่สุดที่ตัดสินใจกัดฟันซื้อมาไว้แนบอกเพื่อเตรียมตัวที่จะไปเป็นลูกไก่ในกำมือของเจ้านายด้วยใจที่ไม่สงบนิ่งนัก “ไปถ่ายเอกสารมายี่สิบชุด” เสียงพี่สาดังขึ้นในจังหวะที่ฉันจะลุกออกไปพอดี ฉันมองแฟ้มที่พี่สายื่นมาสลับกับการมองนาฬิกาอย่างคิดไม่ตก “เร็วเข้าสิ หรือว่าเคยชินกับการนั่งว่างๆ” “จะไปเดี๋ยวนี้ค่ะ” ห้องเอกสารเป็นห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ กับหน้าต่างอีกหนึ่งบานเพื่อให้แสงเข้า มีตู้เหล็กเก็บเอกสารเรียงกันอยู่สามสี่ตู้ ด้านหนึ่งของกำแพงมีเครื่องถ่ายเอกสารสำนักงานเครื่องใหญ่วางติดกันอยู่สามเครื่อง เสียงเอกสารที่ถ่ายพรินต์ออกมาดังขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ฉันรีบรวบรวมเย็บไว้เป็นชุดๆ ตามจำนวนที่พี่สาสั่งพลางมองเข็มนาฬิกาที่เดินวนไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีวันย้อนกลับ “นับแต้มไปไหน” “อยู่นี่ค่ะ” ฉันเอ่ยออกไปก่อนเมื่อได้ยินเสียงคนตามหา ก่อนจะพาตัวเองตามไปแล้วพบว่าเป็นพี่ปิ่นนั่นเองเห็นสีหน้าร้อนรนก็รู้แล้วว่าต้องเกี่ยวกับคนชั้นบนแน่ๆ “พี่สาค่ะ เอกสารได้ครบแล้วนะคะ” “ขอฉันตรวจก่อน” “ค่อยตรวจเถอะยัยสา นับแต้มรีบไปเร็วเข้า” “ค่ะ!” ฉันพุ่งตัวออกมาจากลิฟต์ทันทีที่เสียง ‘ติ๊ง!’ ดังขึ้น ก่อนจะวิ่งกระหืดกระหอบไปยังห้องของประธานที่มีคุณจันทร์กำลังยืนไม่ติดอยู่ เธอคล้ายจะเป็นแม่ที่เฝ้าตั้งตารอลูกที่วิ่งเข้าเส้นชัยอย่างไรอย่างนั้น “เข้าไปเลยค่ะ! บอสรออยู่” ผลั่ก!! ฉันโค้งขอบคุณคุณจันทร์อย่างลวกๆ ก่อนจะรีบผลักประตูเข้าไปอย่างแรง สิ่งแรกที่สัมผัสได้คือความเย็นกว่าปกติจากเครื่องปรับอากาศแตะลงมาโดนผิวกายที่โผล่พ้นมาจากชุดนักศึกษากระโปรงทรงเอ สิ่งต่อมาคือสีหน้าทะมึนตึงของคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ท่านประธาน จู่ๆ ร่างสูงก็ย่างสามขุมเข้ามา “นิสัยชอบปล่อยคนอื่นให้รอยังแก้ไม่หายสินะ สี่ปีที่ผ่านมาไม่คิดจะปรับปรุงตัวหน่อยรึไง” เสียงนั้นเย็นเยือกกว่าอุณหภูมิห้องตอนนี้ซะอีก “ขอโทษค่ะ พอดีว่ามีงานเกี่ยวพัน—” “ถ้างานมันเยอะขนาดนั้นก็ย้ายขึ้นมาข้างบน” “ไม่เป็นไรค่ะ!” ฉันรีบส่ายหน้าหวือ ไม่ต้องคิดอะไรให้มากมายก็แน่ใจว่ายังไงการอยู่แผนกเดิมข้างล่างมันดีกว่าต้องขึ้นมาอยู่ในสายตาของอีกฝ่ายเป็นสิบชั่วโมงบนชั้นนี้แน่ๆ “หนีได้ดีนี่” “...” “ตามผมมา” ร่างสูงพาฉันลงลิฟต์ประจำตำแหน่งซึ่งมีไว้เฉพาะบอร์ดบริหารระดับสูง แอบโล่งใจหน่อยที่นอกจากฉันแล้วก็ยังมีคุณจันทร์ที่ไปด้วยกัน เมื่อถามว่าเรากำลังจะไปไหนกันคุณจันทร์ก็ไม่ตอบทำเพียงแต่ยิ้มน้อยๆ และบอกฉันว่าให้ทำใจสบายเพียงเท่านั้น เราสามคนเดินมาถึงรถยี่ห้อหรูที่จอดรออยู่ก่อนแล้ว ที่ประตูฝั่งคนขับมีผู้ชายรูปร่างสันทัดยืนอยู่ เมื่อเห็นร่างสูงผู้ชายคนนั้นก็รีบประตูรถด้านหลังด้วยความนอบน้อมอยู่ในที และแทนที่เขาจะเข้าไปนั่งไนล์กลับหันมารั้งตัวฉันให้เข้าไปก่อนแล้วตามมาด้วยเจ้าตัวอีกที “ฉันไปนั่งหน้าดีกว่าค่ะ” “คุณจันทร์เธอนั่งหน้าแล้ว แล้วนั่นชื่อนายโด่งเป็นคนขับรถให้ฉันมาได้เกือบปีแล้ว” “อ้อ” ฉันได้ส่งเสียงออกมาอย่างงงๆ ที่จู่ๆ อีกฝ่ายก็แนะนำคนให้ได้รู้จัก “สวัสดีค่ะพี่โด่ง” “นายโด่ง” เสียงคนข้างๆ แก้ขึ้นมา “แต่พี่โด่งน่าจะเป็นอายุมากกว่าฉันนะคะ...” “ฝึกไว้” นั่นเป็นประโยคสุดท้ายก่อนที่ห้องโดยสายในรถจะตกอยู่ในความเงียบและแล่นหน้าเข้าสู่ถนนหลักที่มีการจราจรติดขัดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ก่อนหนึ่งชั่วโมงต่อมารถจะจอดนิ่งสนิทอยู่ที่ชั้นใต้ดินบริเวณรถซูเปอร์คาร์ของห้างใหญ่กลางใจเมืองที่เน้นความหรูหราเป็นหลัก “เรามาทำอะไรที่นี่คะ” “พาคุณมาใช้หนี้ไง” ร่างสูงขยายคำพูดของตัวเองโดยเดินนำฉันมายังชั้น M ของห้างสรรพสินค้าแห่งนี้ ทันทีที่เขาปรากฏตัวขึ้นรปภ.ประจำชอปแบรนด์ระดับโลกก็รีบเปิดประตูให้พวกเราเข้าไปโดยที่ไม่ต้องต่อแถวด้วยซ้ำ ก่อนที่พนักงานคนหนึ่งจะเดินปรี่เข้ามาทักทายเขาด้วยสีหน้ายิ้มแย้มและเป็นมิตร รอยยิ้มนั้นยังเผื่อแผ่มาให้คุณจันทร์ก่อนจะหุบลงเล็กน้อยเมื่อเห็นฉัน “เธอมากับผม” “โอ้ เชิญทางนี้เลยค่ะ วันนี้คุณไนล์สนใจเป็นอะไรคะ” “เสื้อสูทตัวคอลเล็กชันใหม่ล่าสุด” ดูจากการพูดคุยของพวกเขาแล้วคิดว่าร่างสูงคงเป็นลูกค้าประจำไม่ก็กระเป๋าหนักของชอปนี้แน่ๆ ฉันมองบรรยากาศของร้านอย่างเกร็งๆ แม้มันจะถูกตกแต่งให้อบอุ่นแค่ไหนแต่ราคาของแต่ละชิ้นนั้นไม่ได้อุ่นตามเลย ฉันเริ่มเหงื่อตกหูแว่วๆ ว่ามีคนหนึ่งเพิ่งจ่ายกระเป๋าในราคาห้าหลักไป “ตัวนี้เลยค่ะคุณไนล์ อย่างที่ทราบกันรุ่นนี้ของเขาเน้นความเบาสบายเพราะเราใช้ผ้าวูลในการตัดเย็บสามารถใส่ในวันธรรมดาๆ หรืองานทางการก็ได้ตัดเย็บจากผ้าวูลผสมเนื้อเบาสบาย บุด้านในด้วยผ้าลาย Watercolor โทนสีเดียวกัน ด้านหน้าประดับเหรียญสัญลักษณ์ของแบรนด์ไว้ด้วยค่ะ” “ผมเอาตัวนี้” หลังจากที่เขาพูดคุณจันทร์ก็เดินตามพนักงานคนนั้นไปคาดว่าไปชำระเงินให้ “เอ่อ...” ฉันเอ่ยขึ้นอย่างเก้ๆ กังๆ ไนล์ที่ยืนอยู่เฉยๆ ก็หันมาเลิกคิ้วถามว่ามีอะไร “ฉันขอทยอยจ่ายได้มั้ยคะ แต่ฉันจะจ่ายให้ครบภายในสามเดือนนี้แน่นอนค่ะ” “ได้สิ ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว” “จริงเหรอคะ” ฉันเบิกตากว้างด้วยความดีใจก่อนที่คุณจันทร์จะเดินกลับมา “บอสคะ บิลค่ะ” “เก็บไว้ที่เด็กฝึกงานคนนี้ได้เลย เธอจะผ่อนจ่ายผมให้ครบภายในสามเดือน” พูดจบร่างสูงก็เดินออกจากร้านไปทันที คุณจันทร์ที่เห็นแบบนั้นก็รีบยัดบิลใส่มือฉันแล้วเร่งฝีเท้าตามร่างสูงไป ส่วนฉันก็ก้มบิลเพื่อดูราคา หนึ่งหลัก สองหลัก สามหลัก สี่หลัก ห้าหลัก หกหลัก...! แสนกว่าบาท!!!ร่างบางใช้เวลาทั้งหมดก่อนจะโดนเรียกประชุมไปกับการแก้แผนงาน ที่จริงแล้วแผนงานฉบับเดิมนั้นดูโอเคดีแล้วเพียงแต่มีบางจุดอย่างไม่สามารถตอบโจทย์ ‘บอส’ ได้ก็เท่านั้น ห้องประชุมทีม NewType นั้นอยู่ชั้นเดียวกันกับห้องประธาน ร่างบางรวบแฟ้มที่มีแผนงานอยู่ในนั้นรวมทั้งแฟลชไดรฟ์เพื่อเตรียมจะนำเสนอ ก่อนจะเลือกหลบมุมอยู่มุมหนึ่งเพื่อใช้สมาธิในการท่องจำ ระหว่างนั้นมือถือที่ปิดเสียงไว้ก็สั่นขึ้นมา ร่างบางปรายหางตาไปมองก่อนจะตัดสายด้วยความรวดเร็วก่อนจะส่งสติกเกอร์รูปหัวใจตอบกลับไปให้ทีนึง “ทุกคน บอสมาแล้ว” เสียงหนึ่งดังขึ้นมาพาให้ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ ไม่นานนักก็ปรากฏร่างสูงในชุดสูทแบรนด์ดังดูได้จากลวดลายบนเสื้อเดินผ่านประตูเข้ามาด้วยท่าทางที่สง่างามไปทุกท่วงท่า ทว่าใบหน้านั้นติดจะเรียบเฉยเอนเอียงไปทางหงุดหงิดค่อนข้างมาก ร่างสูงเดินผ่านทุกคนไปนั่งตรงหัวโต๊ะอย่างไม่แม้แต่จะสบตาใครสักคน บรรยากาศขมุกขมัวที่แผ่ออกมาจากร่างสูงทำให้ห้องนี้เหมือนอยู่ในอากาศที่ติดลบหนาวสั่นไปทั้งตัว ด้านหลังของร่างสูงนั้นมีคุณจันทร์เลขาของบอสตามมาติดๆ เธอได้แต่ส่งยิ้มแหยๆ ให้คนในห้องและยกกำปั้นขึ้นเพื่อจะบอกว่า ‘สู้ๆ’
Special Chapter l พนักงานใหม่ หนึ่งวันผ่านไปก็แล้ว... สองอาทิตย์ผ่านไปก็แล้ว... สามเดือนผ่านไปก็แล้ว... แต่ก็ยังไม่มีวี่แววที่นับแต้มจะกลับมา! ภายในห้องทำงานของท่านประธานบริษัท Being you Group ที่อยู่ชั้นบนสุดของตึก เจ้าของห้องกำลังเคาะปากกาลงบนโต๊ะจนได้ยินเสียง กึก กึก อยู่ตลอดเวลา ใบหน้าหล่อเหลาที่ได้รับสืบทอดยีนเด่นมาตั้งแต่ต้นตระกูลนั้นกำลังขมวดคิ้วยุ่งบ่งบอกถึงอารมณ์ของเจ้าตัวที่ไม่คงที่นัก นัยน์ตาสีเข้มทอดมองหน้าจอโทรศัพท์ของตัวเองที่ดับไปแล้ว นึกย้อนถึงบทสนทนาของตนกับนับแต้มที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ของยิ่งรู้สึกหงุดหงิด เขาพยายามเอ่ยถามอย่างตรงไปตรงมาว่าเมื่อไหร่อีกฝ่ายจะกลับมาแต่เจ้าของปลายสายนั้นกลับเบี่ยงประเด็นไปที่เรื่องอื่นอย่างจงใจ นี่เขากำลังถูกทิ้งอีกครั้งเหรอ? ร่างสูงเริ่มนั่งไม่ติด เข่าที่อยู่ใต้โต๊ะเริ่มเขย่าไปมาอย่างเสียบุคลิก เป็นไปไม่ได้หรอก...ไนล์เริ่มคิดปลอบใจตัวเอง ในเมื่อสองเดือนแรกที่นับแต้มกลับไปนั้นเขายังเทียวขึ้นเทียวลงไปกลับเชียงใหม่-กรุงเทพฯ ทุกเสาร์อาทิตย์อยู่เลย อีกอย่างตอนที่ไม่ได้เจอกันเราก็ยังคุยโทรศัพท์หรือวิดีโอคอลกันเป็นปกติดี แม้ก
มีเวลาสักพักกว่าเครื่องจะออก เพราะเช็กอินทางอออนไลน์มาแล้วจึงไม่ต้องรีบมากนัก ฉันขึ้นชั้นสองแวะซื้อขนมไปฝากพี่ๆ เพื่อนๆ ที่มหาวิทยาลัยและที่คลับ ก่อนจะเข้ามาภายในของเกต โชคดีที่เกตที่ฉันต้องขึ้นอยู่ไม่ไกลนัก เดินไปแป๊บเดียวก็ถึง ภายในเกตคนน้อยกว่าข้างนอกมาก ฉันนั่งลงที่เก้าอี้รอประกาศการขึ้นเครื่อง ทอดสายตามองไปนอกอาคารเห็นเครื่องบินลำน้อยใหญ่จอดรอเรียงกันอยู่บนรันเวย์ ฉันยกมือถือขึ้นถ่ายรูปกับภาพเบื้องหน้าที่มองเห็นก่อนจะอัปลงในไอจีและส่งข้อความไปรายงานไนล์ “ขอโทษนะครับ ตรงนี้มีคนนั่งมั้ยครับ?” !!! ฉันเงยหน้าขึ้นขวับทอดสายตามองไปยังเจ้าของเงาที่ปกคลุมร่างของฉันเอาไว้ ดวงตาของฉันเบิกกว้างด้วยความตกใจ อวัยวะภายในอกเต้นสั่นระรัว นิ่งค้างอยู่แบบนั้นอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง “ไนล์...” ฉันเอ่ยเสียงแผ่วเหมือนจะคุยกับตัวเองมากกว่า “อื้ม ไนล์เอง” ร่างสูงยิ้มพลางทรุดตัวลงนั่งข้างฉัน “มาได้ไง ไหนบอกว่าจะไม่มาไม่ใช่เหรอ?” “กลัวเด็กร้องไห้ขี้มูกโป่งอยู่หน้าเกตก็เลยเข้ามาดูสักหน่อย” ไนล์เอ่ยแซว ร่างสูงงอนิ้วชี้แล้วมาแตะลงบนจมูกฉันเบาๆ “ไนล์เห็นนับแต้มยืนหันซ้ายหันขวาตั้งแต่อยู่นอ
Final Chapter officially “อย่าโมโหไปเลยน่า เขาคงเมานั่นแหละ น่านะ” ฉันพูดขึ้นเมื่อเราสองคนเข้ามาอยู่ในรถ หันหน้ามองใบหน้าหล่อเหลาที่ยังตีหน้ามุ่ยอยู่ นัยน์ตาเข้มจับจ้องไปที่ท้องถนนที่อยู่ด้านหน้า มือทั้งสองข้างกำพวงมาลัยรถไว้แน่น ช่วงนี้อารมณ์ของร่างสูงนั่นค่อนข้างจะอ่อนไหว ซึ่งฉันรู้ดีว่าเขาเป็นแบบนี้เพราะอะไร ตลอดทางจากร้านชาบูมายังหอพักที่ฉันเช่าเอาไว้ร่างสูงไม่พูดอะไรออกมาสักแอะ ยิ่งพอเข้ามาในห้องอารมณ์ของอีกฝ่ายก็เหมือนจะดิ่งลึกลงไปเรื่อยๆ หน้าของเขามืดไปแปดส่วนขณะทอดสายตาไปยังกระเป๋าเดินทางที่เปิดอ้าอยู่ตรงมุมห้องเพราะยังเก็บของไม่เสร็จ ไนล์เดินปั้นปึ่งไปทิ้งตัวนั่งกอดอกอยู่บนเตียงนอน คิ้วของเขาขมวดเข้าหากันแน่นจนเกิดเป็นรอยย่นตรงหน้าผาก ฉันมองแผ่นหลังกว้างแล้วเดินตามไปทรุดตัวนั่งลงข้างๆ อ้าแขนกอดรวบร่างอีกฝ่ายเอาไว้พลางเงยหน้าขึ้นวางคางบนหัวไหล่ของเขาเป็นที่ค้ำ “ไม่ไปไม่ได้เหรอ” เป็นไนล์ที่เอ่ยออกมาก่อน เสียงของเขาฟังดูเศร้าสร้อยเสียจนคนฟังอย่างฉันใจอ่อนยวบ แต่ถึงอย่างนั้นฉันและไนล์ต่างก็รู้ดีว่ามันเป็นไปไม่ได้ “ไม่ไปก็เรียนไม่จบสิ” ฉันบอกในสิ่งที่เจ้าตัวรู้อยู่แ
“อื้อออ” “อืมมม” ไนล์ออกแรงกระแทกเอวสอบเข้ามาทีหนึ่งแรงๆ ก่อนจะกดค้างไว้อย่างนั้นพร้อมกับเสียงทุ้มที่คำรามออกมาพร้อมกับเสียงหวีดร้องของฉัน ไนล์ซุกหน้าลงกับหน้าอกของฉันที่กระเพื่อมขึ้นลงปรับอารมณ์ตัวเองให้กลับมาอยู่ในระดับปกติ สองร่างสอดประสานกันแบบนั้นสักพักก่อนร่างสูงจะถอนตัวออกไป “ไปเขียนรายงานให้นับแต้มเลยนะ” “สบายอยู่แล้ว! ให้เป็นหน้าที่ไนล์เอง” เวลาสามเดือนแห่งการฝึกงานผ่านไปอย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ แต่หากพอมองดีๆ แล้วกลับมีเรื่องราวเกิดขึ้นอย่างมากมาย ฉันมองไปที่โต๊ะข้างตัวที่ว่างเปล่า อย่างน้อยหนึ่งในนั้นคือพี่สาเลือกที่จะลาออกไปแต่โดยดี ฉันเก็บของบนโต๊ะลงใส่กล่องลังด้วยความรู้สึกหน่วงใจเล็กน้อย เย็นนี้พี่ปิ่นเป็นเจ้ามือเลี้ยงส่งเด็กฝึกงานแผนกการตลาดที่ร้านบุฟเฟ่ต์ชาบูแห่งหนึ่งใกล้กับบริษัท เมื่อมาถึงก็เห็นโต๊ะขนาดยาวต่อกันไว้ให้พวกเราโดยเฉพาะ ทุกคนในทีมต่างกันแย่งกันจับจองที่นั่งโดยมีพี่ปิ่นนั่งอยู่หัวโต๊ะ สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือแอลกอฮอล์ แต่ฉันที่เพิ่งไปเจอเรื่องของนับตังค์มาแล้วยังสะเทือนใจไม่หายก็ขอผ่านเครื่องดื่มพวกนี้ไปกดน้ำพันช์สีส้มมาดื่มแทน ชาบูทุกหม้อแน่นขนัด
ฉันเขม่นตาหรี่มองคนที่พูดไปตุเป็นตะ “ตลกละ” ไนล์หัวเราะก่อนจะดึงฉันเข้าไปกอด “พ่อกับแม่ไม่ได้ทิ้งนับแต้มหรอกนะ เขาแค่ดีใจที่มีคนมาดูแลนับแต้มเพิ่มขึ้นไง ถ้าอะไรๆ ลงตัวเราสองคนก็ไปเยี่ยมท่านให้บ่อยขึ้นดีมั้ย” “อื้ม” ฉันพยักหน้าอยู่กับอกร่างสูง “ว่าแต่...อาทิตย์หน้าก็จะฝึกงานเสร็จแล้วใช่มั้ย” ฉันชะงักมือที่กอดเอวอีกฝ่ายเอาไว้ก่อนจะเงยหน้าไปทำตาโตใส่ไนล์ “จริงด้วย! นับแต้มยังทำรายงานไม่เสร็จเลย เกือบลืมไปแล้วนะเนี่ยมัวแต่ยุ่งๆ เรื่องนับตังค์ อ๊ะ!” “รายงานน่ะเดี๋ยวค่อยทำ มาทำการบ้านกับไนล์ก่อน” ฉันร้องเสียงหลง ร่างของฉันที่ตั้งใจจะผละออกไปยังที่โต๊ะทำงานกลับต้องซวนเซมาอยู่ในอ้อมแขนของไนล์อีกครั้งริมฝีปากหยักก้มลงมาประทับจูบอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว ก่อนลิ้นหยุ่นจะเข้ามากวาดต้อนความหวานด้านในด้วยความรวดเร็ว ไนล์ใช้ร่างกายที่ใหญ่โตกว่าดันร่างฉันให้ก้าวถอยหลัง และด้วยขนาดของพื้นที่ห้องที่ไม่ได้กว้างอะไรเลย เพียงเดินถอยหลังสองสามก้าวก็ชนเข้ากับขอบเตียงเสียหลักหงายหลังหล่นตุ๊บไปอยู่บนที่นอนแล้ว ยังดีที่เหมือนว่าร่างสูงได้คาดคะเนไว้แล้วจึงใช้มือหนายั้งแผ่นหลังฉันไว้ไม่ให้กระแทกลงไปอย่างเ







