Chapter 5
“เพลง น้าพิณเป็นยังไงบ้าง เราว่าจะไปเยี่ยมตอนบ่าย” นัท เพื่อนวัยเด็กที่เรียนมหา’ลัยชื่อดังในตัวจังหวัดเอ่ยถาม ใบหน้าคมเข้มที่จัดว่าหล่อยิ้มกว้างอย่างดีใจ เพราะเราไม่ได้เจอกันหลายปีแล้ว บ้านของนัทอยู่ติดกับบ้านฉัน ตัวบ้านหลังใหญ่สีขาวออกแบบสไตล์โมเดิร์นยุโรป หน้าบ้านจัดเป็นสวนดอกไม้เมืองเหนือโดยบริษัทรับจัดสวนดังระดับประเทศ ส่วนบ้านของฉันเป็นเพียงบ้านครึ่งไม้ครึ่งปูนธรรมดามากๆถ้าเทียบกับบ้านของนัท
“ผ่าตัดแล้วจ้ะ พรุ่งนี้คงได้กลับบ้าน” ฉันยิ้มตอบ
“แล้ว?” นัทมองไปยัง ร่างสูงที่เดินตามหลังฉันมา พี่เกียร์ถอดแว่นกันแดดสีดำออก มองสบตากับเพื่อนของฉัน ต่างฝ่ายต่างไม่ยิ้มให้กัน สถานการณ์ดูตึงๆอย่างบอกไม่ถูก ถ้าคิดแบบเพ้อฝันนิดๆก็ประหนึ่งว่า ผู้ชายสองคนหมายปองหญิงสาวคนเดียวกันก็คือฉันเอง อร้ายย..แค่คิดก็เขินแล้ว
“พี่เกียร์ เป็นรุ่นพี่ที่มหา’ลัย พี่เกียร์นะ นี่นัทเพื่อนของเพลงตั้งแต่เรียนประถมค่ะ” ฉันแนะนำผู้ชายหน้าตาดีสองคนให้รู้จักกัน
“อืม” พี่เกียร์ตอบรับสั้นๆ
“ครับ” นัทยิ้มแบบฝืนๆให้ คงเพราะไม่ได้สนิทกัน
“มาเอาของที่บ้านเหรอ?” เพื่อนวัยเด็กฉันถามต่อ เมื่อฉันกำลังจะเข้าไปในบ้าน
“เอ่อ..ใช่” ฉันหัวเราะแห้งๆ จะให้บอกนัทตามตรงได้ไงว่า มาหายืมเงินญาติๆไปจ่ายค่าผ่าตัดของแม่
“ไว้โทรหานะ เผื่อนัดกินข้าว ว่าแต่อยู่กี่วัน วันจันทร์เรามีธุระที่กรุงเทพฯพอดี ติดรถเรากลับได้นะ” นัทบอก ดีจัง..มีแต่คนบังเอิญจะไปทำธุระในที่ๆที่ฉันอยากไปทั้งนั้นแถมคนขับยังหน้าตาดีมีรถหรูโปรไฟล์เริ่ดอีก
‘ช่วงนี้ทำบุญมาดี ยัยเพลงเอ้ย..’ ขณะที่ฉันกำลังจะตอบรับ
“พี่ไม่ค่อยรู้ทางกลัวหลง เพลงกลับกับพี่ คอยบอกทางพี่ดีกว่านะ” พี่เกียร์พูดขึ้น
‘พี่เกียร์คะ ข้ออ้างใช่ไหม? จีพีเอสสิคะ’ สกิลบอกทางของฉัน คือไม่ต้องสวยมาก แต่ผู้ชายก็หลงได้ทุกคน หลงในความสวย? เปล่า..หลงทาง!!
“เดี๋ยวเพลงกลับกะพี่เกียร์ พอดีพาพี่เกียร์ไปทำธุระด้วย” ฉันอ้างแบบข้างๆคูๆเพราะจิตใจมันเอนเอียงไปทางรุ่นพี่หนุ่มหล่อไปหมดแล้ว ว่าแต่ธุระของพี่เกียร์ ฉันยังไม่เห็นเขาไปไหนแบบจริงจังเลย เพราะตั้งแต่มาถึงฉันก็แทบไม่ได้ห่างเขาเลย นอกจากเวลานอน
“เอางั้นเหรอ? ถ้ายังไงบอกนัทอีกทีนะ” นัทเหมือนยังไม่ยอมแพ้ เขาคงอยากมีคนนั่งรถไปเป็นเพื่อนแหละ
“เพลงบอกเพื่อนให้ชัดเจนเลย ว่าจะกลับกะพี่” ทำไมฉันรู้สึกว่าหางเสียงพี่เขาเหมือนจะอ้อนอยู่หน่อยๆ จนเผลอพูดออกไปอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว
“เพลงจะกลับกับพี่เกียร์จ้ะ”
“โอเค ไว้เจอกันนะ” นัทโบกมือ ตรงไปยังรถหรูแล้วขับออกไปทันที
“พี่เกียร์นั่งรอตรงนี้ก่อนนะคะ เพลงไปบ้านญาติก่อน” ฉันจัดแจงหาน้ำเย็นๆกับพัดลมเครื่องเก่าๆมาเปิดเพื่อคลายร้อนในช่วงบ่ายให้พี่เกียร์ ใบหน้าหล่อเหลาคร้ามคมพยักหน้ารับช้าๆ เขาหยิบมือถือขึ้นมาเล่นเพื่อฆ่าเวลา ฉันก็ยังออกอาการงุนงง ทำไมพี่เกียร์ไม่ไปนอนรอที่โรงแรม มีเครื่องปรับอากาศเย็นๆ นอนดูซี่รี่ส์อย่างสบายๆ จะมาตามติดชีวิตของฉันทำไมก็ไม่รู้ เอาเป็นว่าพี่เค้าคงว่างแหละ..
ฉันเดินเลาะหลังบ้านที่มีรั้วติดกับบ้านของลุงแคน ซึ่งมีศักดิ์เป็นพี่ชายแท้ๆของแม่ ลุงแคนกำลังสานแหอยู่หน้าบ้าน ส่วนป้าจันทร์ภรรยานั้น กำลังทอผ้าอยู่ใต้ถุนบ้าน
“ลุงแคน ป้าจันทร์ สวัสดีค่ะ” ฉันเข้าไปนั่งบนแคร่ไม่ไผ่เก่าๆข้างๆผู้เป็นลุง
“นังเพลง กลับมาเยี่ยมแม่เหรอ? ลุงพาไปตั้งแต่เมื่อวาน พอดียุ่งๆ เลยไม่ได้ไปโรงพยาบาลอีก”
“ขอบคุณที่พาแม่พิณไปโรงพยาบาลนะคะลุง” ฉันยกมือไหว้ขอบคุณผู้เป็นลุงแท้ๆ ที่มีน้ำใจพาแม่ไปหาหมอ แอบนึกละอายใจ ตัวเองเป็นลูกแท้ๆกลับไม่ได้พาแม่ไปโรงพยาบาล
“มาหาลุงมีอะไรรึเปล่าลูก”
“เอ่อ..เพลงว่าจะมาขอยืมเงินลุงไปจ่ายค่าผ่าตัดแม่ สักสามหมื่นห้าจ้ะ” ถึงจะขัดเขินที่ต้องบากหน้ามาขอยืมเงินญาติ แต่ฉันก็จำเป็นต้องทำ ชีวิตมันก็ไม่ได้มีทางเลือกมากนักหรอก ลุงแคนส่งยิ้มให้ฉัน
“ได้สิ”
“เพลงเอ้ย!! ลุงแคนไม่ได้เงินเหลือเฟือขนาดนั้นหรอกลูก นี่ก็ใกล้จะได้เวลาจ่ายค่าเทอมของปั้นดาวแล้ว” ป้าจันทร์พูดแทรกขึ้นมาเสียงดัง
“ฉันพอมีให้หลานยืม” ลุงหันไปคุยกับป้า ทว่าภรรยากลับมองกลับมาอย่างไม่พอใจ
“ทุกวันนี้ มีกินมีใช้เหลือเฟืองั้นสิ ข้าวสารจะกรอกหม้อก็ยังแทบไม่มี ถ้าให้นังเพลงยืม พรุ่งนี้ก็ต้มเกลือกินกับข้าวแล้วกัน” ป้าจันทร์เดินกระแทกเท้าขึ้นไปบนบ้าน ว่าแต่..ฉันคงไม่ได้ทำให้ครอบครัวของลุงแคนมีปัญหากันใช่ไหม?
“อย่าไปสนใจยายจันทร์เลยลูก ลุงมีเงินสด เดี๋ยวไปหยิบให้นะลูก” ลุงแคนทำตัวปกติราวกับไม่เคยมีเสียงด่าทอของภรรยาตัวเองเลย
“ลุงแคน เพลงนึกได้แล้ว เพลงพอมีเงินเก็บ มันเป็นบัญชีปิดตาย เดี๋ยวเพลงเอาเงินก้อนนี้มาใช้ดีกว่า” ฉันกลืนก้อนสะอื้นลงคอ พยายามกลั้นน้ำตาที่มันกำลังจะไหล
“เอาอย่างนั้นเหรอ? ยืมลุงก่อนไหมลูก เอาก้อนนั้นไว้ใช้ยามจำเป็น เราอยู่กรุงเทพฯ ค่าครองชีพสูงจะตาย” ลุงแคนบอกอย่างเอื้อเฟื้อ จนฉันอดน้ำตาซึมในความห่วงใยของท่านไม่ได้
“ลุงเอาไว้ใช้เถอะ เพลงพอมีจริงๆ เดี๋ยวเพลงทำงานพิเศษไปด้วย มีกินมีใช้สบายๆเลยล่ะ ขอบคุณนะคะ เพลงไปก่อน ต้องไปรับแม่กลับบ้านด้วย” ฉันรีบยกมือไหว้ลุงแท้ๆ จากนั้นรีบปรี่ออกจากบ้านของลุงแคนทันที พอมาถึงมุมรั้วฉันก็ทรุดนั่งลงที่พื้นซบหน้ากับฝ่ามือปล่อยโฮออกมาอย่างกลั้นน้ำตาไม่ไหว ฉันไม่เคยรู้สึกเสียใจเท่านี้มาก่อน เสียใจ..ที่ทำอะไรเพื่อคนที่ตัวเองรักไม่ได้เลย
‘เรียนอักษร ไปเป็นนักเขียนไส้แห้งน่ะเหรอ?’ ป้าข้างบ้านปรายตามองอย่างดูถูกตอนที่ฉันบอกกับทุกคนว่าฉันสอบติดคณะอักษรศาสตร์ ที่มหา’ลัยดังในกรุงเทพฯ
‘แม่ เพลงอยากเรียน ถ้าวันข้างหน้าเพลงได้เป็นนักเขียนดังๆ เพลงจะเลี้ยงแม่กับยายเองนะ’ เพราะความดันทุรังของฉันในวันนั้นทำให้ ผู้มีพระคุณทั้งสองของฉันต้องลำบากมาตลอดหลายปี
‘ตั้งใจเรียนนะลูก แม่กับยายจะคอยเป็นกำลังใจให้’ มือเล็กที่หยาบกร้านเพราะทำงานหนักมาทั้งชีวิต ลูบไปตามเส้นผมของฉันอย่างเอ็นดู
‘ยายเตรียมขอลายเซ็นเพลงอยู่นะลูก ตั้งใจเรียนนะ’ ท่านทั้งสองไม่เคยห้ามความฝันของฉัน ทั้งยังคอยผลักดันจนฉันมีแรงฮึดสู้ในแต่ละวัน
“ทำยังไงต่อไปดีนะ ฮือ..”
“เพลง เป็นอะไร” เสียงทุ้มนุ้มของพี่เกียร์ดังขึ้นจากทางด้านหลัง
“พี่เกียร์หลบไปก่อนค่ะ หน้าเพลงน่าเกลียดมากตอนนี้” ฉันก้มหน้ามุดลงที่ตักของตัวเอง ตอนนี้หน้าฉันเต็มไปด้วยคราบน้ำตา อีกทั้งน้ำมูกคงไหลเปื้อนไปหมด ฉันจึงไม่กล้าสู้หน้าเขา
“มานี่มา..” มือหนาฉุดร่างฉันขึ้นจากพื้น เขาคว้าฉันเข้ามาอยู่ในอ้อมกอด พลางลูบเส้นผมฉันอย่างอ่อนโยน อ้อมกอดที่แสนอบอุ่นจากคนตรงหน้า ทำให้ฉันยิ่งร้องไห้ออกมาจนหมดคำว่าอาย
‘ขอยืมอกพี่เกียร์หน่อยนะคะ’
“บอกพี่ได้รึยังเป็นอะไร?” พี่เกียร์ถามขึ้นหลังจากที่ฉันร้องไห้จนพอใจ เรื่องน่าตลกก็คือเขาใช้ชายเสื้อเชิร์ตเช็ดน้ำตาให้ฉัน ไม่บอกก็รู้ว่าเสื้อของเขาเต็มไปด้วยน้ำมูกน้ำตาของฉัน
“เพลง?” พอเขาถามย้ำอีกครั้ง ฉันก็ไม่รู้จะปิดบังเรื่องราวน่าอายของตัวเองได้ยังไง ฉันเพิ่งจะรู้จักกับเขาจริงๆจังๆไม่ถึงสองวัน ไม่นับรวมที่รู้จักเขาฝ่ายเดียวมาหลายปี เพราะพี่เกียร์ถือเป็นหนุ่มฮ็อตในฝันของสาวๆในมหา’ลัย รวมถึงฉันด้วย
“พี่เกียร์คะ ถ้าเราจะเอาที่ไปจำนอง ต้องไปที่ไหนคะ” ฉันตัดสินใจขอคำปรึกษาจากคนข้างๆ คิ้วเข้มขมวดมุ่นด้วยความสงสัย
“เราอยากได้เงินเท่าไหร่?”
“สามหมื่นห้าค่ะ”
“ที่บ้านหลังนี้เนี่ยนะ?” ใบหน้าหล่อเหลาคร้ามคมเอ่ยขึ้นเหมือนไม่อยากจะเชื่อ
“อ่อ มันคงราคาไม่ถึงใช่ไหมคะ?” บ้านซอมซ่อที่ดินเล็กๆแบบนี้คงไม่ถึงหมื่นล่ะมั้ง
“บ้าป่ะเนี่ย ตรงนี้ใกล้แหล่งท่องเที่ยวเลยนะ ซื้อไปทำคาเฟ่เก๋ๆ หลายล้านเลยนะ ถ้าเพลงเอาไปจำนองสามหมื่นห้า ต้องโดนเจ้าหนี้โกงแน่ เอาแบบนี้ เพลงยืมพี่ก่อน ไว้มีค่อยใช้ละกัน” พี่เกียร์พูดง่ายๆ ราวกับเงินแค่สิบยี่สิบบาท เขาหยิบมือถือแบรนด์หรูออกมาจากกระเป๋า
“เลขบัญชีครับ”
“.............” ฉันพูดอะไรไม่ออก น้ำตามันไหลอาบแก้มอีกแล้ว
“เพลง ไม่ร้องไห้ เข้มแข็งนะ” มือหนาเกลี่ยน้ำตาที่แก้มของฉันอย่างอ่อนโยน ทำไมนอกจากเขาจะหล่อแล้วยังแสนดีแบบนี้นะ
“ขอบคุณนะคะพี่เกียร์ แต่เพลงไม่มีอะไรจำนำเป็นหลักประกันเลยนะคะ พี่เกียร์ทำสัญญาเงินกู้ไหมคะ พี่จะได้มั่นใจว่าเพลงจะไม่เบี้ยวหนี้ไง” ฉันเสนอ เพราะอยู่ๆจะมาโอนเงินให้กันง่ายๆ ทั้งๆที่ไม่ได้สนิทกัน มันคงเป็นเรื่องยากในการติดตามหนี้
“ไม่เป็นไร ถ้าเพลงไม่ใช้หนี้ พี่ก็มีวิธีของพี่แล้วกัน” ดวงตาคู่คมมองสบตาฉัน เขากดยิ้มมุมปาก เป็นรอยยิ้มที่ฉันก็ไม่เข้าใจความหมายของมันเหมือนกัน
“ขอบคุณมากๆนะคะ เพลงจะเอาไปจ่ายค่าผ่าตัดของแม่” ฉันยกมือไหว้ผู้มีพระคุณ ในใจก็นึกหาเงินใช้หนี้พี่เกียร์ให้เร็วที่สุด อาจต้องไปทำงานที่ผับอาทิตย์ละห้าวัน
‘อดทนไม่นานนะเพลง เดี๋ยวเรียนจบ ทุกคนก็สบายแล้ว’ ฉันบอกตัวเองในใจ พลางส่งยิ้มทั้งน้ำตาให้พี่เกียร์
Special You’re my world.“เกียร์วันนี้ไปกินเหล้ากัน?” ออโต้เอ่ยถาม วันนี้เป็นวันศุกร์คืนแฮงเอาท์สินะ แต่ว่าผมต้องไปดูที่เพื่อจะทำโกดังสินค้าของป๊านี่นา“ขอไปดูที่ให้ป๊าก่อน แล้วจะตามไป” ผมตอบ“เกียร์ ขอไปด้วยนะ ไม่ได้เอารถมา” เอมิหญิงสาวเพียงคนเดียวในกลุ่มเอ่ยขึ้น“ก็บอกว่าจะแวะไปดูที่ก่อน ที่ในซอยเปลี่ยวด้วย ไม่กลัวเหรอ?” ผมอ้างไปข้างๆคูๆ เหตุผลสำคัญก็น่าจะเพราะวันนี้เอารถคันโปรดมา กะว่าดูที่เสร็จจะแวะไปเปลี่ยนรถที่บ้านก่อน จากนั้นก็อาบน้ำและตามไปสมทบที่ผับอีกที“อ้างว่ะ มึงไม่อยากให้กูนั่งรถคันโปรดของมึง” เพื่อนสาวเบ้ปากด้วยความหมั่นไส้ ผมได้ทุนจากป๊าทำธุรกิจเกี่ยวกับค่ายมวยและพวกโกดังเก็บสินค้า ป๊าให้ผู้ช่วยมาดูแลกิจการช่วยผมอีกทีจนเริ่มประสบการณ์จึงค่อยๆปล่อยให้ผมทำมันด้วยตัวเอง ถามว่าหวงรถไหม? ก็ไม่รู้เหมือนกัน รถคันนี้เป็นรถคันแรกที่ซื้อมันมาด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเองจริงๆ ผมไม่ค่อยได้ขับมันเลย จะเอาออกมาขับบางวันที่รู้สึกเบื่อๆ อย่างเช่นวันนี้ ไอ้ออโต้นั่งไถไอจีพลางส่งมือถือให้ผมดูรูป ในภาพนั้นเป็นผู้ชายยืนหันหลังสูบบุหรี่ที่ริมระเบียงในคอนโดของเนเน่ ดูยังไงก็รู้ว่าเป็นผมแถมน้อง
Chapter 29ก่อนวันแต่งงานพี่เกียร์พาฉันขับรถออกมาจากบ้าน เพื่อจะมาดูบ้านใหม่ที่เจ้าตัวอุบไว้ไม่ยอมพาฉันมาสักที ฉันเองก็ไม่รู้ว่ามันจะเป็นความลับอะไรนักหนา เขาขับรถไปเรื่อยๆ เลี้ยวเข้าซอกซอยที่ฉันไม่คุ้นเคย ทว่าพอถึงจุดหมายก็ทำให้ฉันประหลาดใจขึ้นมาทันที นั่นก็เพราะว่ามันคือที่แรกที่ฉันบังเอิญเจอกับเขาในซอยเปลี่ยว แต่ซอยที่ว่าก็เริ่มมีบ้านสิ่งปลูกสร้าง ไม่ว่าจะเป็นบ้านหรือว่าร้านรวงต่างๆจนแทบไม่เหลือเค้าเดิมในวันที่เราเจอกันสักนิด บ้านที่ว่าก็สร้างอยู่บนจุดที่ฉันเอาโน้ตบุคฟาดหลังพี่เกียร์“พี่เกียร์ เว่อร์อีกแล้วนะ สร้างตรงจุดเกิดเหตุเลย อย่าบอกนะโน้ตบุคเครื่องนั้นใส่กรอบตั้งในตู้โชว์ในบ้าน” ฉันทำทีพูดปนขำหรือกลบเกลื่อนความดีใจจนขอบตาเริ่มมีน้ำตามาคลอที่ขอบตาด้วยความตื้นตัน ที่พี่เกียร์จำรายละเอียดปลีกย่อยต่างๆที่เกี่ยวกับฉันไว้หมดทุกอย่าง“จริง พี่ใส่กรอบใสไว้เป็นที่ระทึก..เอ้ย!! ที่ระลึก” ว่าที่เจ้าบ่าวยิ้มกว้าง ใบหน้าหล่อเหลาคร้ามยิ่งดูดีเข้าไปอีกห้าร้อยสองเท่า ใครจะไม่อวยหลัวตัวเองบ้างล่ะ“พี่อยากให้เพลงรู้ว่า ความรักของเราเริ่มที่ตรงไหน แล้วมันก็จบลงที่ตรงนี้” มือหนาคว้ามือของฉันไป
Chapter 28 ‘Will you marry me?’ ข้อความนี้มัน..ฉันยืนนิ่งอ่านป้ายนี้อยู่นานพลางนิ่งคิดไปสักพัก..แล้วพยักหน้ารับอย่างเข้าใจกับตัวเอง“พี่เอี้ยงคะ พร็อบของนิยายพี่วิเวียนเหรอคะ?” ชื่อเซ็ทหนังสือของนักเขียนรุ่นพี่คือเซ็ทเจ้าสาวจำยอม สำนักพิมพ์ลายลักษณ์อักษรเล่นใหญ่จริงๆ มีการขอแต่งงานด้วย ฉันหันไปยิ้มแบบแซวๆให้พี่วิเวียน อยากใส่ชุดสโนว์ไวท์ดีนัก ไม่เข้ากับธีมของบูทเลย“นี่เพลงไม่เข้าใจจริงๆเหรอ?” พี่เอี้ยงกับพี่วิเวียนทำหน้าเหวอหน่อยๆ“เอาเลยค่ะพี่วิเวียน แต่งเลยค่ะ ไหนคะเจ้าบ่าว” ฉันเล่นไปตามน้ำเพราะดูท่ากิจกรรมของงานมันก็สนุกดีเหมือนกัน น่าจะมีว่าที่เจ้าบ่าวที่จ้างมาแสดงละครด้วยอย่างแน่นอน“โอ้ย..วิงเวียน” เจ้าของสำนักพิมพ์หันไปรำพึงรำพันกับนักเขียนเจ้าประจำในสังกัด“วิเวียนค่ะพี่เอี้ยง”“ฉันรู้สึกปวดหัววิงเวียนจริงๆ คนที่จ้างเราเค้าจะจ่ายค่าจ้างให้ไหมเนี่ย” พี่เอี้ยงเริ่มกุมขมับพลางปรับ ทุกข์กับพี่วิเวียนต่อ “มีอะไรกันหรือเปล่าคะ เพลงตกข่าวอะไรไปไหม?” ฉันเริ่มจะงุนงงหน่อยๆเพราะไม่มีใครยอมเฉลยเลยว่ากิจกรรมงานแจกลายเซ็นท์มันเป็นรูปแบบไหนกันแน่ ตอนนี้ฉันในชุดกึ่งเจ้าสาวทำตัวไม่ถูกจริง
Chapter 27“พี่เกียร์คะ อาทิตย์หน้าเพลงจะไปงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ มีแจกลายเซ็นท์ด้วยนะ คือเพลงจะบอกว่าเพลงดังมากนะคะ” ฉันพูดปนขำอวยตัวเองหน่อยๆ งานนี้ฉันได้รับเชิญเพราะรู้จักกับพี่เอี้ยงที่เป็นเจ้าของสำนักพิมพ์ลายลักษณ์อักษร แล้วนิยายของฉันก็ตีพิมพ์กับที่นั่นเกือบห้าเล่มแล้ว ทว่างานประจำที่ฉันทำจริงๆก็คือเปิดสำนักพิมพ์ร่วมกันกับช่อม่วงและโรส โดยมีพี่เกียร์กับพี่ไคคือผู้สนับสนุนหลักจนทำให้ความฝันเล็กๆของสาวๆเป็นจริงขึ้นมาได้“ดังแล้วจะลืมพี่ไหมนะ” พี่เกียร์ยิ้มกว้างจนลักยิ้มบุ๋มลึก ใบหน้าหล่อเหลาคร้ามคมที่เปลือยท่อนอกที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามทำเอาหัวใจของฉันสั่นไหว หายใจติดๆขัดๆขึ้นมาทันที ดาเมจทำลายล้างของท่านพี่ช่างสูงนัก คำว่าลืมถูกตัดออกไปจากสารบบเพราะในหัวของฉันมีแต่คำว่าเกียร์เต็มไปหมด บ้าจริง!!“ไม่ตอบ? แสดงว่าลืม” ริมฝีปากหยักได้รูปลากไล้ไปตามลาดไหล่ที่โผล่พ้นชุดเดรสสีหวานของฉันเพียงบางเบา หากแต่มันทำให้ขนอ่อนฉันลุกชูชันขึ้นมาโดยพร้อมเพรียงกัน“พี่เกียร์ไม่ทำรอยนะคะ นี่เพื่อนก็ล้อยันลูกบวชแล้วค่ะ” ฉันพยายามผลักใบหน้าที่เต็มไปด้วยเคราจางๆอย่างไม่จริงจังนัก“จะได้ไม่ใส่เสื้อคอกว้า
Chapter 26“เพลงๆๆ เหลนรหัสแกโคตรจี๊ดเลย” เสียงของมิ้นท์ทำให้ฉันวางมือจากการเขียนนิยาย มองไปตามมือของเพื่อนรักที่ชี้ไปยังสนามหน้าตึกอักษรศาสตร์ ซึ่งกำลังมีการรับน้องกันอย่างคึกคัก“คนไหนอ่ะมิ้นท์” ฉันมองเด็กๆปีหนึ่งที่เข้าร่วมกิจกรรมกันอย่างมากหน้าหลายตา แต่ก็ยังไม่รู้ว่าใครคือเหลนรหัสตัวเองที่มิ้นกล่าวถึง เพราะตอนเลือกพี่รหัสฉันไม่ได้อยู่ร่วม เนื่องจากติดธุระต้องไปย้ายของเข้ามาอยู่คอนโดที่ใกล้มากขึ้น เรียกได้ว่าใกล้จนอยู่แค่หน้ามหา’ลัยได้เลย ทั้งนี้ก็เพราะพี่เกียร์เรียนจบและกำลังเริ่มเปิดบริษัทรับสร้างบ้านกับกลุ่มเพื่อนๆ นั่นก็คือพี่ไค พี่ออโต้และพี่เอมิ จึงทำให้ไม่ค่อยสะดวกที่จะรับส่งฉันมาเรียน เรื่องขับรถพี่เกียร์ก็สั่งห้าม เพราะเดือนที่แล้วฉันถอยรถชนกับประตูรั้วหน้าคอนโด พี่เกียร์กลัวว่าฉันจะเกิดอุบัติเหตุจึงซื้อคอนโดหน้ามหา’ลัยให้ฉันซะเลย แค่เพียงเดินข้ามถนนไม่ถึงห้านาทีก็ถึงตึกเรียน รวดเร็วและปลอดภัยมากๆ“น้องเจนท์ไง คนสูงๆขาวๆอ่ะ หล่อใสออร่ามาเลย งื้อ..” มิ้นท์มองไปที่กลุ่มเด็กปีหนึ่งแล้วทำตาปรอยๆชวนฝัน ฉันมองเด็กหนุ่มร่างสูงในชุดนักศึกษาที่กำลังเดินตรงมาที่โต๊ะประจำของกลุ่ม ไม
Chapter 25“พี่เกียร์คะ เพลงไปด้วยจะดีเหรอคะ?” ฉันถามแฟนหนุ่มเป็นรอบที่ร้อยสองถ้วน เมื่อพี่เกียร์บอกว่าจะพาไปงานวันเกิดของคุณยายจงจิต ฉันจินตนาการว่าที่นั่นต้องมีแต่แขกผู้หลักผู้ใหญ่ เด็กกะโปโลอย่างฉันอาจจะดูไม่เหมาะสมกับงานก็เป็นได้“ยายพี่อยากให้เพลงไปนะ ท่านย้ำแล้วย้ำอีก ไปพอเป็นพิธีละกัน ถ้าเพลงอึดอัดพี่จะพาออกมา” คนตัวสูงบีบมือฉันเบาๆคล้ายจะส่งผ่านกำลังใจ“ได้ไงล่ะคะ พี่เกียร์เป็นหลานแท้ๆ จะหนีออกมาแบบนั้นไม่ได้ค่ะ เพลงจะพยายามอยู่ให้ได้นะคะ” ฉันตอบเอาใจพี่เกียร์ แค่อยู่ให้จบงานฉันต้องทำได้“ของขวัญของเพลง มันโอเคไหมคะ เพลงกลัวคนอื่นว่า ทำไมให้ของที่ไม่มีราคาค่างวด” ฉันห่อกระถางบอนสีที่ยายฉันส่งมาจากเชียงใหม่ด้วยกระดาษสีหวานพร้อมกับผูกริบบิ้นให้ดูดีขึ้นมาหน่อย ฉันโทรไปขอต้นบอนสีจากแม่เพราะคุณยายของพี่เกียร์กำลังสะสมพันธุ์ไม้ชนิดนี้ แล้วไอ้ต้นบอนสีก็มีราคาตั้งแต่หลักสิบจนถึงหลักแสนเลยทีเดียว แล้วฉันก็ไม่มีความรู้ด้านนี้เสียด้วย ฉันไม่รู้หรอกว่าต้นไหนมีราคาถูกต้นไหนมีราคาแพง แค่มองว่ามันสวยก็พอ‘ต้นนี้ยายเราฝากให้พ่อเกียร์ ว่าที่หลานเขยในอนาคต’‘เดี๋ยวนะคะแม่ ตอนนี้เป็นแค่แฟน ไม่รู