อาทิตย์ต่อมา
โชคดีที่ช่วงนี้ค่ายต้องบินไปดูงานที่ฝรั่งเศสแทนน้องชาย ซึ่งกำลัง
ยุ่งกับการเตรียมงานหมั้น ทำให้ตอนหมวยลี่เข้าไปทำความสะอาด
เพนท์เฮาส์ ไม่ต้องรู้สึกกังวลว่าจะเผชิญหน้ากับเขา
แถมยังไม่ต้องเข้ามาทุกวัน เพราะห้องไม่ได้รกหรือมีฝุ่น เนื่องจาก
ไม่มีใครอยู่ อาทิตย์นี้เธอจึงทำความสะอาดเพียงแค่สองวัน
ห้างสรรพสินค้า
หมวยลี่กำลังเดินห้างกับเพื่อน ๆ ความจริงเธอไม่ชอบมาที่ห้าง
เท่าไร ชอบเดินร้านสะดวกซื้อมากกว่า แต่เพราะโมมายด์และฝันหวาน
เอ่ยชวนให้มาดูของเป็นเพื่อน จึงยอม
“ลี่ระวัง!” ฝังหวานรีบดึงเพื่อนออกห่างจากเสาต้นใหญ่ ถ้าเธอ
ไม่ช่วยเมื่อครู่คงชนเข้าอย่างจัง
“แกเหม่ออีกแล้วนะลี่ ระวังหน่อยสิ ถ้าเดินชนขึ้นมาจะเจ็บตัว
เอานะ”
“อื้อ คงนอนน้อยน่ะเลยเบลอ”
“แกเป็นแบบนี้เกือบเดือนแล้วลี่ มีปัญหาอะไรก็ปรึกษาสิ ฉันเป็น
ที่พึ่งให้แกไม่ได้เลยเหรอ”
“หวานอย่าพูดแบบนี้ได้ไหม ลี่โอเคจริง ๆ”
“ทุกทีก็พูดแบบนี้” ฝันหวานถอนหายใจเบา ๆ แม้ในใจจะอยาก
คาดคั้นให้ได้คำตอบ แต่สุดท้ายเธอก็เลือกจะเงียบ เพราะแค่มอง
ปราดเดียวก็รู้แล้วว่าหมวยลี่กำลังคิดบางอย่างวนเวียนอยู่ในหัว
แทบตลอดเวลา
ทั้งที่ไม่อยากคิดถึง แต่คำพูดของค่ายยังคงวนเวียนในความคิด
ของหมวยลี่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนเธอเหม่อลอยอยู่บ่อย ๆ อย่างเมื่อครู่ก็เกือบ
เผลอเดินชนเสา
เธอไม่ต้องการรับหน้าที่นั้น เพราะสักวันก็คงถูกทิ้งขว้างเอาไว้
แต่กลับไม่สามารถสลัดเรื่องราวพวกนั้นออกจากหัวได้เลย
เหมือนกำลังพยายามต่อต้าน แต่ก็ลังเลแทบทุกครั้งที่นึกถึง
“ผู้หญิงคนนั้นหน้าคุ้นจัง” ฝันหวานชี้นิ้วไปทางผู้หญิงคนหนึ่ง
ที่กำลังเลือกเสื้อผ้าอยู่ในร้านแบรนด์ดัง โมมายด์หันตามสายตาไปดู
ก่อนจะรีบตอบกลับ
“ไม่คุ้นได้ยังไง นั่นน่ะชื่อโบว์ แฟนเก่าเฮียค่ายของยัยลี่”
“มายด์ พูดแบบนี้ถ้ามีใครมาได้ยินจะทำยังไง” ร่างเล็กมองเพื่อน
ด้วยแววตาดุ เพราะเรื่องที่เธอแอบชอบค่ายมีโมมายด์เพียงคนเดียว
ที่รับรู้
ระหว่างทั้งสามคนกำลังยืนคุยกันอยู่ ผู้หญิงที่เลือกซื้อเสื้อผ้า
ในช็อปแบรนด์ดังก็เดินออกมาพอดี และทันทีที่สายตาเธอเหลือบมา
เห็นหมวยลี่ ก็รีบตรงเข้ามาหาด้วยท่าทางไม่ค่อยเป็นมิตรสักเท่าไร
“นี่ ยัยลูกคนใช้” เสียงทักทายของหญิงสาวที่เพิ่งเดินเข้ามาดังขึ้น
อย่างจงใจกดให้คนอื่นอยู่ต่ำกว่าตัวเอง
“นั่นปากเหรอคะ” โมมายด์รีบสวนกลับทันควัน เธอจ้องอย่าง
เอาเรื่องโดยไม่เกรงกลัว หมวยลี่รับรู้สถานการณ์ที่ไม่ค่อยสู้ดีจึงรีบ
แทรกขึ้นด้วยการตั้งคำถาม
“มีอะไรหรือเปล่าคะ”
“รู้ไหมว่าค่ายหายไปไหน” น้ำเสียงที่เอ่ยถามเต็มไปด้วย
ความไม่เป็นมิตร สีหน้าแสดงออกชัดเจนว่าอารมณ์ไม่ดี
“ไปฝรั่งเศสค่ะ”
“มีคีย์การ์ดเพนท์เฮ้าส์หรือเปล่า”
“ลี่ไม่มีของส่วนตัวของเจ้านายหรอกค่ะ”
“สามหมื่น แกจะทำยังไงก็ได้ ต้องเอาคีย์การ์ดมาให้ฉัน” แววตา
และน้ำเสียงของเธอคล้ายจะเหวี่ยงใส่ตลอดเวลา แต่ถึงจะรู้แบบนั้น
หมวยลี่ก็ยังเลือกตอบกลับอย่างถ่อมตัว
“ขอโทษด้วยนะคะที่ต้องปฏิเสธ”
“นี่! ครั้งเดียวได้สามหมื่นเชียวนะ อย่างแกทำงานทั้งเดือน
ยังหาไม่ได้ด้วยซ้ำ”
“เก็บเงินของคุณโบว์เอาไว้ใช้ประโยชน์อย่างอื่นดีกว่านะคะ”
“ปากดี!! เป็นแค่ลูกคนใช้อย่ามาสอนฉัน”
หมวยลี่ได้แต่เก็บความขุ่นเคืองเอาไว้ เธอนิ่งไม่โต้ตอบ รอให้
อีกฝ่ายเดินจากไป
ให้หลังจากที่โบว์เดินไปแล้ว โมมายด์กับฝันหวานก็เริ่มจุดประเด็น
ขึ้นมาทันที เธอทั้งสองพูดอย่าเหลืออด หากเมื่อครู่ไม่ถูกห้ามเอาไว้
คงได้ตอบกลับและคงมีปากเสียงอย่างแน่นอน
“ถามจริง ๆ นะลี่ เฮียค่ายรักยัยนี่ลงได้ยังไง” โมมายด์ไม่อยาก
จะเชื่อเลยว่าผู้ชายที่ดูมีพร้อมทุกอย่างแบบค่าย จะชอบผู้หญิงนิสัยแย่
คนนี้ เพราะมันช่างไม่เข้ากัน
“ฉันถึงกับส่ายหน้าเลยนะ ไม่ไหวจริง ๆ มายเซ็ตท็อกซิกสุด ๆ
อยู่กับคนแบบนี้ได้เป็นบ้าแน่!” ฝันหวานที่ปกติชอบผู้หญิงสวย ๆ
ยังอดรู้สึกเอือมระอากับคนเมื่อครู่ไม่ได้
“ตอนอยู่กับเฮียเธอเป็นอีกแบบน่ะ” หมวยลี่ตอบ เธอเห็นมาตลอด
ว่าเวลาผู้หญิงคนนั้นอยู่กับค่ายมักจะทำตัวออดอ้อน พูดจาน่าฟัง
แต่ลับหลังจะเป็นอีกแบบ
“อ๋อ มารยาเก่งนี่เอง”
“ดีแล้วที่เลิก ขืนแต่งงานกันไปคงเหมือนตกนรกทั้งเป็น”
ถึงจะเดินเข้ามาเลือกดูเสื้อผ้าในช็อปแล้ว แต่ทั้งฝันหวาน
และโมมายด์ก็ยังคงเอ่ยถึงผู้หญิงในอดีตของค่ายไม่เลิก ซึ่งหมวยลี่เอง
ก็ได้แต่เงียบไม่แสดงความคิดเห็น
ระหว่างกำลังรอเพื่อนเดินเลือกเสื้อผ้า โทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋า
ก็สั่นแจ้งเตือน ร่างเล็กเกี่ยวปลดตัวล็อกกระเป๋าใบเล็ก แล้วล้วงมือ
หยิบโทรศัพท์ออกมา
แชต: ค่าย
ค่าย: เก็บกล่องยาไว้ที่ไหน ฉันหาไม่เจอ
คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันเล็กน้อย ก่อนที่เธอจะกดแป้นพิมพ์
ตอบกลับไปด้วยคำถามที่เต็มไปด้วยความสงสัย
หมวยลี่: กลับไทยแล้วเหรอคะ
ค่าย: ถามก็แค่ตอบ เอาไปเก็บไว้ที่ไหน
หมวยลี่: เฮียไม่สบายเหรอคะ
ค่าย: ตอบคำถาม
ขอบตาร้อนผ่าว เมื่อร่างเล็กเพิ่งรู้ตัวว่าเผลอยุ่มย่ามมากจนเกินไป
ความเป็นห่วงที่ตีขึ้นมาในใจทำให้เธอเผลอตัว พอมีสติก็รีบพิมพ์
ตอบกลับทันที
หมวยลี่: อยู่ในตู้ที่ห้องทำงานค่ะ
ค่าย: เข้ามาทำความสะอาด ฉันไม่ชอบให้ห้องมีฝุ่น
เพราะค่ายกลับมาไม่ยอมบอก เธอจึงต้องรีบขอแยกกับเพื่อนไป
ที่เพนท์เฮ้าส์เพื่อทำความสะอาด ครั้งล่าสุดที่ทำก็เมื่อสี่วันก่อน
หากรู้ล่วงหน้าว่าเขาจะกลับมา เธอคงไปทำเอาไว้รอจะได้ไม่ต้อง
เจอหน้ากัน
@เพนท์เฮ้าส์
เท้าเล็กเดินเข้ามาภายในห้องขนาดกว้าง กวาดสายตามองหา
เจ้าของเพนท์เฮ้าส์ เมื่อไม่เจอใครจึงเดินเลี้ยวไปหยิบเอาอุปกรณ์
ทำความสะอาดมา จากนั้นก็เริ่มปัดกวาดเช็ดถูตามหน้าที่
แต่ในหัวกลับเอาแต่คิดว่า… ตอนนี้ค่ายกินยาหรือยังนะ เขาป่วย
หนักแค่ไหน ตัวจะร้อนมากหรือเปล่า เธอห้ามความคิดแบบนั้นไม่ได้เลย
แกร็ก! มือที่กำลังจับไม้ปัดขนไก่ชะงักเติ่ง ใบหน้าสวยรีบหันมอง
ประตูห้อง ก่อนจะเห็นค่ายเดินออกมา สีหน้าของเขาซีดเซียวจนน่าตกใจ
ทำเอาร่างเล็กเป็นห่วงมากกว่าเดิม
เธอพยายามแข็งใจแล้ว แต่เพราะเขาคือค่าย ถึงได้ยากเย็น
อย่างนี้
หมวยลี่ถือวิสาสะเอื้อมมือไปแตะหน้าผากเขาอย่างลืมตัว
ทว่าอีกฝ่ายกลับรีบเอนหลบ พร้อมจ้องเธอกลับด้วยแววตาเย็นชา
เหมือนค่ายเองก็ไม่ทันได้ตั้งตัวเช่นเดียวกัน
“ตัวร้อนจี๋เลยค่ะ เดี๋ยวลี่โทรไปถามเบอร์ลุงหมอกับแม่ก่อนนะคะ”
“ไม่ต้อง”
“ตัวร้อนเป็นไฟขนาดนี้ จะไม่ต้องได้ยังไงคะ”
“แค่นี้ไม่ตาย”
ค่ายปฏิเสธความหวังดีของเธอ ก่อนตั้งท่าจะเดินหนีไป แต่กลับ
ถูกมือเล็กคว้ารั้งแขนไว้ซะก่อน ทำให้เขาต้องหันกลับมา สายตาคม
หลุบลงมองคนที่ตัวเล็กกว่า พร้อมยกคิ้วขึ้นเป็นคำถาม
หมวยลี่กำลังสับสน เพราะที่ผ่านมาค่ายแสดงออกชัดเจนว่าใส่ใจ
เธอแทบทุกครั้งที่อยู่ใกล้ แต่จู่ ๆ เขากลับกลายเป็นเฉยชา ราวกับไม่เคย
สนใจเธอมาก่อนเลย
“ทั้งที่บอกว่าจะเลิกรู้สึก” แววตาที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วง
จนค่ายสัมผัสได้ มันมากพอที่จะทำให้เขายิ้มออกมา แค่ได้เห็นอาการ
ของเธอแบบนั้น
“ทำไมเป็นห่วงฉันมากขนาดนี้กันนะ”
อารมณ์ของเขาผันผวนมากเกินไปจนร่างเล็กไล่ตามไม่ทัน
ทั้งที่ไม่กี่วินาทีก่อนหน้ายังจ้องอย่างเย็นชา แต่ตอนนี้เขากลับดูร้ายกาจ
“ไม่ว่าจะเป็นใคร ถ้าลี่รู้จักก็ต้องห่วงทุกคนอยู่แล้วค่ะ”
“อ่า อย่างนี้นี่เอง”
ดวงตาคู่สวยร้อนวูบเมื่อประโยคโต้ตอบของเธอทำให้ร่างสูง
ก้าวเดินมาใกล้ เขาหยุดนิ่งอยู่ตรงหน้าด้วยระยะห่างเพียงน้อยนิด
“ถ้าอย่างนั้นเธอก็ช่วยสิ… แบ่งความร้อนออกไปจากตัวฉัน”
ใบหน้าหล่อค่อย ๆ โน้มลงมา พร้อมตั้งคำถาม “อยากช่วยหรือเปล่า?”
กระต่ายตัวน้อย ช่างน่าเอ็นดูซะจริงเชียว
“คะ… อื้อ~”
ยังไม่ทันได้ตั้งตัว ก็ถูกอีกฝ่ายโน้มเข้ามาแย่งชิงจูบอย่างรวดเร็ว
ไอร้อนของริมฝีปากจากพิษไข้แผ่ซ่านไปทั่ว ลมหายใจที่เป่ากระทบ
ร้อนระอุ อุณหภูมิในร่างกายพุ่งขึ้นสูงอย่างห้ามไม่อยู่
ขาแกร่งก้าวไปตรงหน้าอย่างเชื่องช้า บีบให้ร่างเล็กถอยหลัง
ทีละนิดจนแผ่นหลังชิดติดมุม เขาช้อนแขนอุ้มเธอขึ้นอย่างง่ายดาย
ก่อนจะวางลงบนพื้นโต๊ะ ริมฝีปากทั้งสองยังคงดูดดึงกันแนบแน่น
สมองของหมวยลี่ขาวโพลนไปชั่วขณะ เธอไม่สามารถมีสติได้
เพราะถูกจูบที่อีกฝ่ายกำลังป้อนให้อย่างบ้าคลั่ง
เมื่อใกล้ขาดอากาศ กำปั้นเล็กก็ทุบรัวบนแผงอกแกร่ง ขณะที่
ค่อย ๆ ถอดถอนจูบออกช้า ๆ นัยน์ตาคมกริบจ้องมองริมฝีปากอวบอิ่ม
สีอ่อนอย่างห้ามใจ ไม่ให้ตัวเองจูบทับลงไปอีกครั้ง
“แฮ่ก ๆ ลี่บอกเฮียแล้วนะ ว่าอย่าทำแบบนี้” มือเล็กยกขึ้นเช็ดปาก
ของตัวเอง พร้อมหายใจเข้าเพื่อกอบโกยอากาศ
“ชอบไม่ใช่หรือไง ถ้าไม่ชอบคงผลักออกไปแล้ว”
“…” หมวยลี่กำลังกลัวหัวใจที่สั่นไหวของตัวเอง เธอกลัวเหลือเกิน
ว่าสักวันหนึ่งเธออาจจะยอมเดินเข้าไปในกองไฟที่ค่ายจุดมันขึ้นมา
“คล้องคอฉันซะแน่น เพราะอะไรกัน?” ค่ายเค้นหัวเราะเบา ๆ
เขาดูอารมณ์ดีทั้งที่หน้าตายังซีดไร้เลือดฝาดจากอาการป่วย
“วันนี้คุณโบว์ถามหาเฮียกับลี่” จบเพียงแค่นั้น ปลายนิ้วแกร่ง
ก็กดทับลงบนกลีบปากนุ่มทันที แทนคำสั่งให้หยุดพูด
“ถ้ามันทำให้เธอเจ็บ ก็อย่าพูดชื่อนั้น” ค่ายโน้มลงมาใกล้อีกครั้ง
เสียงแผ่วเบาคล้ายกระซิบดังขึ้นใกล้หู ชวนให้หัวใจคนฟังสั่นไหว
“เพราะฉันก็ไม่อยากได้ยิน”
เขาทำเหมือนกำลังปลอบใจ ความจริงอาจเป็นแค่การหลอกล่อ
ให้ตายใจ
ในสายตาของค่าย เธออาจจะเป็นเพียงแค่ของเล่นชิ้นหนึ่งที่เขา
อยากใช้เยียวยาความเจ็บปวด