Masukบทที่ 4
“เริ่มกันเลยนะครับ ตามที่คุณเสนอมา ทางผมเห็นด้วยและตกลงตามข้อเสนอของคุณ แต่ทางผมขอเพิ่มข้อตกลงเข้าไปอีกนิดหน่อย คุณลองอ่านดูก่อน ตรงไหนที่ไม่โอเค บอกมาได้เลยนะครับ ไม่ต้องเกรงใจ” ภากรพาเข้าเรื่องเป็นการเป็นงาน หวังดึงสติคนของตัวเองที่เอาแต่นั่งจ้องหน้าลูกค้าตาเป็นมันให้กลับมาโฟกัสที่งาน
“สัญญาจากหนึ่งปีเป็นหกเดือน?” เจตต์หยิบหนังสือสัญญาที่อีกฝ่ายยื่นให้มาอ่าน
“ครับ เพื่อประโยชน์ของทั้งทางคุณแล้วก็ทางผมเอง ผมไม่อยากให้เราต้องผูกมัดกันด้วยระยะเวลาที่นานเกินไป บางทีหกเดือนนี้อาจมีอะไรหลายๆ อย่างเกิดขึ้นที่ทำให้เราต้องมานั่งคิดทบทวนเรื่องสัญญา ถึงตอนนั้นคุณหรือไม่ก็ผมอาจจะรู้สึกไม่โอเคกับสัญญาฉบับนี้ ซึ่งแน่นอนว่าเราจะสามารถตกลงและเปลี่ยนแปลงมันใหม่ได้ แต่ถ้าถึงตอนนั้นแล้วเราทั้งคู่ยังพอใจในข้อตกลงนี้ เราค่อยมาต่อสัญญากันก็ยังไม่สาย คุณคิดว่ายังไงบ้างครับ” คำถามของเขาทำเจ้าของโรงแรมหยุดคิดนิด นึงก่อนตอบ
“โอเคครับ ผมเห็นด้วยกับคุณ ถ้างั้นถ้าทางผมจะขอเลือกพรีเซ็นเตอร์เอง คุณคงไม่ว่าอะไรใช่ไหมครับ” ทางเจตต์เสนอบ้าง
“แน่นอนครับ ทันทีที่เราตกลงเซ็นสัญญาร่วมงานกัน คุณกับผมก็เปรียบเสมือนหุ้นส่วน คุณไว้วางใจบริษัทผม ผมเองก็เชื่อในสายตาคุณ” ดูเหมือนเรื่องเซ็นสัญญาจะเป็นไปได้ด้วยดี คงมีก็แต่เลขาของเขากระมังที่นั่งขยับยุกยิกไปมา
“เป็นอะไร” เขาก้มลงมากระซิบใกล้ๆ คล้ายกำลังดุ
“เอ่อ…บอสคะ ฉันขอออกไปสูดอากาศข้างนอกสักครู่ได้ไหมคะ” เธอบอกด้วยทีท่ากระสับกระส่าย
“ไม่สบายเหรอ ไปหาหมอไหม” ถ้าเป็นเวลาปกติ เธอคงจะรู้สึกดีที่เจ้านายเป็นห่วงเธอขนาดนี้ แต่ตอนนี้…เธอกลับรู้สึกตรงกันข้าม
‘มันใช่เวลาไหมเนี่ย ฉันไม่ได้อยากไปหาหมอ ฉันอยากไป… ฉันต้องมานั่งสาธยายให้ทุกคนรู้ไหมว่าฉันปวด…ฮือ…! เอาไงดีวะเนี่ย ถ้าประกาศออกไปตรงๆ ทุกอย่างจะต้องเปลี่ยนไป สองคนนี้คงมองเราไม่เหมือนเดิมอีก เฮ้ย! แต่ขับถ่ายมันเป็นเรื่องธรรมชาตินะ มีใครบ้างไม่… ฮือ! แต่มีใครเขามานั่งบอกกันเล่าว่ากำลังปวด… ขนาดกับเพื่อนสมัยเรียนฉันยังโกหกเลยว่าแค่ปวดฉี่ แล้วนี่ต่อหน้าผู้ชายหล่อถึงสองคนแบบนี้ ให้ตายยังไงฉันก็ไม่พูด โอ๊ะ! แต่ฉันจะขมิบไม่ไหวแล้วน้า ไม่ๆๆ อดทนอีกนิดศิศิรา เดี๋ยวทุกอย่างก็ผ่านไป’ จากตอนแรกที่ขยับยุกยิก มาตอนนี้เธอกลับไม่กล้าแม้แต่ขยับ อย่างเดียวที่ทำได้คือ ได้แต่โอดครวญในใจเพียงลำพัง แต่แล้วไอ้ท่าทางที่ดูไม่ปกติเท่าไหร่ของเธอก็ไม่รอดพ้นสายตาเขาไปได้
“ว่าไง ไปหาหมอไหม สีหน้าคุณดูไม่ค่อยดีเลยนะ” เขาใช้จังหวะที่เจ้าของโรงแรมกำลังอ่านสัญญา ก้มลงมากระซิบถามเธอด้วยความเป็นห่วงอีกครั้ง ในขณะที่เธอส่ายหน้าแทนคำตอบ เขาไม่มีโอกาสรู้เลยว่าในใจเธอคิดอะไรอยู่
‘จะดีได้ไงเล่า ขนลุกไปหมดแล้วเนี่ย’ เธอหลับตาแน่นพยายามตั้งสติพร้อมกับหายใจเข้าลึกๆ หวังให้อะไรๆ มันสงบลงไป แล้วจังหวะนั้นเองที่เธอต้องตัดสินใจ
“บอสคะ ฉันไม่ไหวแล้ว ฉันต้องไปค่ะ” เธอผุดลุกอย่างรวดเร็ว แต่ยังไม่ทันที่เธอจะวิ่งออกไปอย่างที่ใจคิด แขนข้างหนึ่งก็ถูกเขารั้งเอาไว้
“จะไปไหน แล้วคุณเป็นอะไร” เสียงเขาอ่อนโยน อีกทั้งสีหน้าท่าทางก็เต็มไปด้วยความห่วงใย
“ไม่ได้เป็นอะไรค่ะ แต่ฉันต้องไป ปล่อยค่ะ” เธอพยายามดึงแขนตัวเองออกมา แต่ก็ใช่ว่าจะทำได้ง่ายๆ เมื่อเขาไม่ยอม แล้วจังหวะนั้นก็เหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัด เมื่อผู้ชายอีกคนดันเงยหน้าขึ้นมาผสมโรงด้วย
“มีเรื่องอะไรกันเหรอครับ คุณศิศิราต้องการอะไรบอกผมได้นะครับ ไม่ต้องเกรงใจ” เจตต์ถามในฐานะเจ้าบ้านที่ดี แต่ดูเหมือนความหวังดีของทั้งสองคนจะไม่ช่วยอะไร เมื่อท้องไส้เธอมันกำลังปั่นป่วนมากขึ้น มากจนทนไม่ไหวอีกต่อไป
“โอ๊ย! ฉันไม่ได้เป็นอะไร ฉันแค่อยากเข้าห้องน้ำ ฉันปวด… ทีนี้จะปล่อยได้รึยังคะ” เธอหันมามองเจ้านายหนุ่มตาขวาง ทำเอาอีกฝ่ายรีบปล่อย โดยไม่ถามอะไรอีก ศิศิราไม่รอช้ารีบวิ่งออกไปจากห้องโดยไม่สนภาพลักษณ์ที่พยายามรักษาไว้อีก
หลังจากปลดปล่อยทุกอย่างออกไปจนสบายตัวแล้ว เธอก็มีเวลาได้คิดทบทวนเหตุการณ์ที่ผ่านมาด้วยความรันทดใจ
“หมดกัน! ภาพลักษณ์ฉัน ทุกอย่างจะต้องเปลี่ยนไป ไม่มีอะไรเหมือนเดิมอีกแล้ว” เธอปิดหน้าคร่ำครวญประหนึ่งว่ามันเป็นเรื่องน่าอายที่ทำให้เธอไม่กล้ากลับไปสู้หน้าสองหนุ่มในห้องนั้นอีก ทั้งที่มันเป็นเรื่องธรรมชาติที่ทุกคนต้องเจอ แต่เชื่อเถอะว่ากว่าแปดสิบเปอร์เซ็นต์ที่เวลาปวดหนักมักจะแสร้งว่าปวดเบา และหนึ่งในนั้นก็คือเธอ
“อุ๊ย!” ในขณะที่กำลังเดินกลับไปยังห้องประชุมด้วยความตะขิดตะขวงใจ จู่ๆ เธอก็ชนเข้ากับใครคนนึงจนต้องร้องออกมา น่าแปลกที่เธอไม่ยักจะล้ม ต่างกับคู่กรณีที่ล้มกองอยู่กับพื้น
“ว้าย! หนู…ลูก… เป็นยังไงบ้าง เจ็บมากไหมคะ” ใช่! เธอชนเด็กผู้หญิงคนนึง
“ไม่เจ็บค่ะ” เด็กผู้หญิงตัวกลมกระปุ๊กลุกหน้าตาจิ้มลิ้มบอก
“แล้วนี่หนูมากับใครคะ” เธอถามขณะประคองหนูน้อยให้ลุกขึ้น
“มากับป๊ะป๋าค่ะ”
“แล้วนี่ป๊ะป๋าของหนูไปไหนแล้วล่ะคะ ทำไมปล่อยให้หนูมาวิ่งเล่นคนเดียวแบบนี้ มันอันตรายนะรู้ไหม” หน้าตาน่าเอ็นดูของเด็กน้อยทำให้เธออดห่วงไม่ได้ แน่นอนว่าสมัยนี้อันตรายมันมาในทุกรูปแบบที่บางทีเราก็คาดเดาไม่ได้
“ป๊ะป๋าทำงานค่ะ ที่นี่ไม่อันตราย มีแต่คนใจดี ไม่ใจร้ายเหมือนคนที่โรงเรียน” หนูน้อยว่าพลางก้มหน้าสลด
“ป๊ะป๋าหนูทำงานที่นี่เหรอคะ” หนูน้อยพยักหน้าหงึกหงัก
“เอ๊ะเอ! แล้วทำไมวันนี้หนูถึงไม่ไปโรงเรียนล่ะคะ มีคนป่วยการเมืองรึเปล่านะ” เธอแกล้งแหย่เล่น แต่เด็กน้อยกลับยิ่งก้มหน้าก้มตาก่อนจะพึมพำออกมาเบาๆ
“หนูไม่อยากไปโรงเรียน ที่โรงเรียนมีคนแต่คนใจร้าย” ได้ยินเด็กน้อยพูดย้ำแบบเดิมอีกครั้ง เธอจึงค่อนข้างมั่นใจว่านี่น่าจะเป็นปัญหาของเด็กน้อยจริงๆ
“เอ! แล้วว่าแต่คนสวยกำลังเล่นอะไรกับใครอยู่น้า” เธอชวนเปลี่ยนเรื่อง ซึ่งดูเหมือนจะได้ผล เมื่อเด็กน้อยเงยหน้าขึ้นมามอง อีกทั้งสีหน้าก็เริ่มดีขึ้นก่อนจะสลดลงไปอีก
“หนูอ้วน ใครๆ ก็บอกว่าหนูไม่สวย ไม่มีใครอยากเล่นกับหนูหรอกค่ะ” เด็กน้อยพูดพลางน้ำตาคลอ แน่นอนว่าเธอเข้าใจความรู้สึกแบบนี้ดี ความรู้สึกว้าเหว่ รู้สึกเหมือนตัวคนเดียว รู้สึกไม่มั่นใจ ไม่ชอบตัวเอง เพราะไม่มีใครชอบและอยากจะเล่นด้วยสักคน ใช่! ความรู้สึกแบบนี้เธอเคยเจอมาก่อน รู้สึกมาก่อน เด็กผู้หญิงตัวอ้วนๆ ไร้ซึ่งวี่แววความสวย เธออ่อนแอและถูกเพื่อนๆ ล้อว่าขี้เหร่ มิหนำซ้ำยังโดนแกล้งสารพัดจนแทบไม่อยากไปโรงเรียน แต่นับว่ายังโชคดีที่ตอนนั้นจู่ๆ ก็มีเด็กผู้หญิงสองคนเดินเข้ามาได้ถูกช่วงถูกเวลาและสอนให้เธอได้รู้จักกับคำว่ามิตรภาพ ทำให้เธอก้าวผ่านเรื่องเลวร้ายเหล่านั้นมาได้ กระทั่งมิตรภาพนั้นก็ยังยั่งยืนมาจนถึงปัจจุบัน จึงไม่แปลกที่เธอจะรักเพื่อนทั้งสองคนนั้นมาก แต่…เด็กผู้หญิงคนนี้ล่ะ เขาจะโชคดีเหมือนเธอรึเปล่า
“แต่คุณน้าว่าหนูสวยแล้วก็น่ารักมากๆ เลยนะ” เธอจับแก้มหนูน้อยเบาๆ อย่างให้กำลังใจ
“แต่หนูอยากสวยเหมือนคุณน้า คุณน้าสวยเหมือนนางฟ้าเลย” ถูกเด็กชมซึ่งหน้า ศิศิราถึงกับยิ้มหน้าบานพลางทำท่ากระมิดกระเมี้ยน
“แล้วหนูรู้ได้ไงว่านางฟ้าสวย เคยเห็นนางฟ้าเหรอคะ” เด็กน้อยพยักหน้าหงึกหงัก เธอจึงถามต่อ
“เอ! แล้วนางฟ้าหน้าตาแบบไหนกันนะ”
“นางฟ้าก็สวยเหมือนกับหม่ามี้ไงคะ หม่ามี้ของหนูสวย ป๊ะป๋าบอกว่าหม่ามี้ไปเป็นนางฟ้าบนสวรรค์ แสดงว่านางฟ้าก็ต้องสวยเหมือนหม่ามี้ค่ะ” คำตอบตามประสาเด็กที่มีแต่ความใสซื่อของเด็กน้อยทำเธอชะงักไปนิดนึง ก่อนจะชะงักมากขึ้นอีกเพราะประโยคต่อมา
“แล้วคุณน้าอยากไปเป็นนางฟ้าบนสวรรค์เหมือนหม่ามี้ไหมคะ เดี๋ยวหนูบอกหม่ามี้ให้” เธอผงะก่อนรีบตอบ
“เอ้อ…! ไม่เป็นไรจ้า คุณน้ายังไม่สวยขนาดนั้น ฮือ…! ผัวก็ยังไม่มี ขืนตายตอนนี้คงเสียชาติเกิดแย่ ขอน้าอยู่หาผัวก่อนนะหนูนะ” ท้ายประโยคเธอแอบหันไปงึมงำอีกทาง
“คุณน้าสวย เป็นนางฟ้าได้แน่ค่ะ”
“เอ้า! คะยั้นคะยอจะให้ตายให้ได้เลยใช่ไหมเนี่ย หวังดีไปอี๊ก” เธองึมงำกับตัวเอง ก่อนจะรีบพูดเปลี่ยนเรื่อง แน่นอนว่าเธอยังไม่อยากไปเฝ้าพระอินทร์บนสวรรค์ตอนนี้
บทที่ 65“แต่ทุกคนอุตส่าห์มาเพื่อฉันนะคะ แล้วถ้าฉันกลับก่อน คนอื่นจะรู้สึกยังไง” เหตุผลของเธอทำคนอยากกอดเมียคอตกทันที ช่างเป็นภาพที่น่าสงสารเหลือเกิน “ไม่เป็นไรหรอกศิ แกไปเถอะ อย่าลืมสิว่าคนสละโสดไม่ได้มีแค่แกซะเมื่อไหร่ ไอ้วามันก็ยังอยู่ เดี๋ยวพวกฉันสนุกกันเองต่อได้ แกพาคุณภากรกลับไปนอนเหอะ ไม่ต้องห่วงทางนี้” ศิศิราหันไปมองหน้าพริมรตาด้วยความลังเล ก่อนจะหันไปมองคนอื่นๆ ด้วย แต่เมื่อทุกคนพากันพยักหน้าให้ แม่งานอย่างเธอจึงได้แต่ถอนหายใจ “โอเค! กลับก็กลับค่ะ งั้นฉันไปก่อนนะทุกคน เอ้อ! ยัยมัดแล้วแกล่ะจะกลับยังไง” ก่อนจะทันได้ออกไป เธอก็ไม่ลืมที่จะหันมาถามน้องสาวด้วยความเป็นห่วงด้วย “ไม่ต้องห่วงฉันหรอกน่า ฉันเอาตัวรอดได้ ห่วงตัวเองเถอะ จะได้นอนไหมคืนนี้น่ะ” มัดหมี่อดล้อเลียนพี่สาวไม่ได้ “เดี๋ยวเหอะยัยเด็กแก่แดด” ศิศิราคาดโทษน้องสาวพลางยิ้มเขินอายกับสายตาล้อเลียนของทุกคนที่กำลังมองมาที่เธอเป็นตาเดียว ทำให้เธอต้องรีบลากตัวต้นเหตุความอายครั้งนี้ออกไปจากห้องโดยเร็ว “หิวจัง!” ทันทีที่ก้าวเข้ามาในห้อง เขาก็พูดขึ้นลอยๆ “เอ้า! นี่ค
บทที่ 64“เฮ้ย! แปลกแฮะ ดื่มไปตั้งหลายแก้ว ทำไมไม่เมาวะ หรือว่า…แอลกอฮอล์มันจะทำปฏิกิริยาแต่เฉพาะเวลาอยู่กับผู้ชาย” ด้วยรูปการณ์ตอนนี้ มันทำให้เธอคิดเป็นอื่นไม่ได้ “บ่นอะไรของแกศิ แล้วปฏิกริยาอะไรของแก เมารึเปล่าเนี่ย” แวววิวาห์แสร้งล้อ “นั่นสิ ปกติถ้าดื่มเข้าไปขนาดนี้ ฉันต้องนอนสลบเหมือดไปแล้ว ไอ้พรีมแกใส่อะไรลงไปเหล้าเนี่ย ทำไมกินเท่าไหร่ก็ไม่เมาเลยล่ะ” คิดไปคิดมา ศิศิราจึงหันไปถามคนชง “อะไรของแก ฉันก็ใส่ปกติเหมือนที่เคยชงให้แกกินทุกทีนั่นแหละ” พริมรตาตอบพลางลอบมองนาฬิกา “นี่คือปกติที่พวกพี่กินกันเหรอ” มีนาอดถามไม่ได้ แล้วก็ได้คำตอบเป็นการพยักหน้าของทั้งสามคน “กินแบบนี้ กินทั้งคืนก็ไม่เมาหรอกค่ะ” มีนาเสริมอีก “ก็เพราะไม่อยากให้เมาไง พี่ก็เลยใส่ไปแค่แก้วละหยดสองหยด ที่เหลือก็โซดาล้วนๆ อะ! อย่างวันนี้ก็ดีหน่อยไม่ใช่โซดาแต่เป็นน้ำอัดลมแทน กินแล้วสติครบถ้วน ที่สำคัญ…ไม่เปลืองด้วย” คนขี้งกบอกด้วยความภาคภูมิใจ ในขณะที่อีกสองสาวถึงกับหันขวับมามองคนพูดเป็นตาเดียว “อา…ถึงว่าทำไมรู้สึกเหมือนปาร์ตี้น้ำอัดลม นี่ถ้ากินแ
บทที่ 63“ผมลานะครับคุณพ่อคุณแม่” เขาเองก็ไหว้ลาบ้าง แต่ยังไม่ทันที่ทั้งคู่จะได้ก้าวขึ้นรถที่จอดอยู่หน้าบ้าน เสียงของครูศิรีก็ทำให้เท้าของเขาพลันหยุดชะงัก “ถึงจะมีบุญคุณที่ช่วยชีวิตลูกสาวฉัน แต่ก็ไม่ใช่ข้ออ้างที่จะเอาเปรียบลูกสาวฉันได้ จัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย อย่าให้ยัยมะขวิดต้องกลายเป็นขี้ปากชาวบ้าน” คนเป็นแม่พูดทิ้งท้าย ในขณะที่เขายังงงกับชื่อที่ได้ยิน “มะขวิด?” เขาหันมาถามเธอ “โอ๊ย! อย่าเพิ่งถามตอนนี้ได้ไหมเล่า หันไปตอบแม่ก่อน” แน่นอนมันเป็นคำถามที่กระดากเกินกว่าที่จะตอบ จึงใช้อีกเรื่องมาเป็นข้ออ้างเพื่อหลบเลี่ยง “เอ้อ! ผมจะให้ผู้ใหญ่มาสู่ขอมะขวิด เอ๊ย! ศิศิราให้เร็วที่สุด คุณแม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ” เพราะชื่อมะขวิดที่ยังติดค้างอยู่ในใจเลยทำให้เผลอพูดออกมา แต่มันทำให้เจ้าของชื่อถึงกุมขมับทันที “อืม! ไปเถอะ ขับรถดีๆ ล่ะ” ครูศิรีทำเป็นไม่สนใจ แต่ก็อดห่วงไม่ได้อยู่ โดยเฉพาะเมื่อรถเคลื่อนออกไป แล้วแม่ลูกสาวตัวดีก็โบกมือหยอยๆ ร่ำลา แล้วความอาลัยอาวรณ์ก็ทำให้คนเป็นแม่โบกมือตอบกลับไปอย่างลืมตัว ก่อนจะรีบเอามือลงเมื่อถูกสามีล้อเลีย
บทที่ 62“เห็นคุณเจตต์เขาเล่าว่าพวกมันมีทั้งปืนทั้งมีด โชคดีนะที่แกรอดมาได้ ว่าแต่แผลที่คอแกเป็นไงบ้าง” พริมรตาถามด้วยความเป็นห่วง ไม่ได้รู้แผนการอะไรกับเพื่อนด้วย แต่มันก็เข้าทางเจ้าของแผนพอดิบพอดี เพราะมันทำให้คนเป็นแม่ทันได้สังเกตผ้าก๊อซที่ปิดอยู่ที่ต้นคอลูกสาว ซึ่งนั่นจะช่วยเสริมให้ท่านรู้ว่าสิ่งที่พวกเธอพูดมันคือเรื่องจริง “ไม่เป็นไรแล้ว ห่วงก็แต่เขา ไม่รู้เป็นไงบ้าง ยังเจ็บแผลรึเปล่าก็ไม่รู้ ถ้าเมื่อวานเขาไม่เข้ามารับคมมีดแทน ไม่รู้เหมือนกันว่าป่านนี้ฉันจะเป็นยังไง พรีมฝากบอกให้เขาไปล้างแผลทุกวันด้วยนะ” ศิศิราทำหน้าเศร้าทันทีที่พูดถึงชายคนรัก ในขณะที่พริมรตาก็ได้แต่พยักหน้ารับ ตอนนั้นเองคนที่ยืนฟังนิ่งอยู่ห่างๆ ก็เดินเข้ามาแต่กลับไม่พูดอะไร จากนั้นก็ออกไปเงียบๆ ดังเดิม “เฮ้อ!” แวววิวาห์ถึงกับถอนหายใจออกมาแรงๆ รู้สึกเหมือนสิ่งที่พวกตนกำลังพยายามอยู่มันเสียเปล่า ไม่แคล้วแผนวันนี้ก็ต้องล้มเหลวอีกตามเคยหลังจากที่เพื่อนๆ ของเธอพากันกลับไป เธอก็ต้องกลับเข้าไปอยู่ในห้องอีกเช่นเคย เธอเหม่อมองไปนอกหน้าต่างอย่างเลื่อนลอย พลันสายตาก็สะดุดเข้ากับผู้ชายคนหนึ่งที่ยืนอยู
บทที่ 61“รักเหรอ? ถ้ามันรักแกจริง มันต้องทำทุกอย่างให้ถูกต้อง ไม่ใช่ย่ำยี่แกแบบนี้” คนเป็นแม่ขึ้นเสียงด้วยความเดือดดาล ตอนนี้แทบไม่รู้เลยว่าระหว่างความโกรธกับผิดหวัง อย่างไหนมีมากกว่ากัน “ไม่จริง! หนูต่างหากที่เป็นฝ่ายเข้าหาเขา หนูนี่แหละที่ย่ำยีเขา” สิ้นเสียงมือของคนเป็นแม่ก็ตวัดลงบนหน้าขาวๆ ของเธอ “เพียะ! ลูกไม่รักดี แกกล้าพูดแบบนี้ออกมาได้ยังไง ยังมีความละอายอยู่ไหม ฉันเคยสอนนักสอนหนาว่าให้แกทำตัวดีๆ รักนวลสงวนตัว แต่แกกลับลืมทุกอย่างที่ฉันพูด แกอยากให้ฉันอกแตกตายนักใช่ไหม” “ใจเย็นๆ กันทั้งสองคนนั่นแหละ มีอะไรก็ค่อยๆ พูด ค่อยๆ จากัน มะขวิดลูกเองก็ผิดที่ทำอะไรข้ามขั้นตอน ส่วนแม่ แม่เองก็ผิดที่ใจร้อนเกินไป ไหนๆ ตอนนี้เรื่องมันก็เลยเถิดมาจนถึงตอนนี้แล้ว เราควรปล่อยให้ลูกได้ลองผิดลองถูกด้วยตัวเองนะแม่นะ ลูกมันก็ไม่ได้อายุน้อยๆ แล้ว” คนเป็นพ่อที่อยู่ตรงกลางจำต้องเกลี้ยกล่อมให้สองฝ่ายมาบรรจบกัน แต่ภรรยาเขาก็ดื้อรั้นเกินไป “ปล่อยให้มันโดนหลอกแล้วมานั่งน้ำตาเช็ดหัวเข่าน่ะเหรอ ผู้ชายถ้ามันจริงจัง มันต้องมาทำทุกอย่างให้ถูกต้อง ไม่ใช่ปล่อยให้เรื่อง
บทที่ 60“ทำไมพวกคุณต้องทำเหมือนกลัว พวกเขาเป็นใคร แล้วทำไมต้องกลัว” พ่อเลี้ยงพิมายที่ติดสอบห้อยตามพริมรตามาด้วยถามด้วยความสงสัย “ก็ถ้าคุณรู้จักแม่เพื่อนฉันดี คุณจะหายสงสัย นี่ช่วยคิดหน่อยสิ ว่าฉันควรทำไงไม่ให้พวกท่านรู้ว่ายัยศิไปอยู่ที่ไหนกับใคร โดยที่ฉันไม่ต้องโกหก” พริมรตาหันไปขอความช่วยเหลือพิมาย แต่อีกฝ่ายกลับตอบกลับมาสั้นๆ พลางยักไหล่ “ทำใจ” คำตอบของพิมายทำพริมรตาเม้มปากแน่น ก่อนจะต้องสะดุ้งเพราะเสียงของครูศิรี “ว่าไงพรีม มัด ตอนนี้มะขวิดอยู่ที่ไหน” สองสาวที่ถูกคาดคั้นหันมองหน้ากันด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน แต่ก่อนที่พวกเธอจะคิดหาคำตอบดีๆ ได้ ครูศิรีก็พูดแทรกขึ้นมาอีก “สองคนคงไม่คิดโกหกป้าหรอกใช่ไหม รู้นะว่าป้าไม่ได้โง่พอที่จะดูไม่ออก” คนถูกพูดดักทางพากันกลืนน้ำลายดังเอื๊อก ตอนนี้คงต้องสุดแล้วแต่โชคชะตาของ ศิศิรา สิบนาทีต่อมา ตอนนี้ทั้งหมดนั่งกันอยู่บนรถของพ่อเลี้ยงพิมายอย่างไม่มีทางเลือก และจุดหมายปลายทางก็คือโรงพยาบาลที่ศิศิรากับภากรพากันไปทำแผลและตรวจร่างกาย “ให้มัดช่วยถือไหมจ๊ะป้า” มีนาอาสา ไม่ใช่เพราะมีน้ำใจ แ







