ผ่านไปสองอาทิตย์หลังจากคืนวันศุกร์ที่คลับ 669
ฉันนึกว่าทุกอย่างจะจบลงแค่คืนนั้น เรื่องมันควรจะเป็นแบบนั้นแหละ แต่ชีวิตมันชอบเล่นตลกแบบไม่ปรึกษากันล่วงหน้าและเช้าวันนี้ ที่บริษัทอินไซท์ ไฟแนนซ์ (บริษัทบัญชีเล็ก ๆ ที่ฉันทำงานอยู่)
เสียงแป้นพิมพ์ดังแข่งกับโทรศัพท์โต๊ะข้าง ๆ เหมือนทุกวัน ฉันเพิ่งจะจิบกาแฟได้คำเดียว รองผู้จัดการก็โผล่มาจากทางเดิน“ลินลี่! พอจะออกไปข้างนอกบ่ายนี้ได้ไหม? มีงานด่วนเข้ามา”
ฉันหันชวับ “ได้ค่ะ ไปที่ไหนคะ?”
เขาโยนแฟ้มสีเทามาให้ ก่อนพูดแบบขอไปที
“สำนักงานใหญ่ของกลุ่มนี้แหละ แต่ให้ที่อยู่มาแล้ว บอกให้เราเข้าไปเก็บเอกสารบัญชีเก่าที่ฝ่ายการเงินเตรียมไว้”ฉันเปิดแฟ้ม ไล่ดูเอกสารเร็ว ๆ ก่อนเงยหน้าถาม
“ลูกค้ารายไหนเหรอคะ?” จริงจังเลยนะ เพราะรายชื่อที่โผล่มาในเอกสารพวกนี้...ไม่คุ้นเอาซะเลยรองผู้จัดการได้แค่ยักไหล่
“กลุ่มใหญ่ระดับบน ๆ เขาให้เราดูแลบัญชีบริษัทลูกบางตัวที่มีเรื่องกับสรรพากร เขาบอกแค่ว่า ‘อย่าไปถามว่าใครเซ็น’ เข้าไปเอาเอกสารแล้วก็กลับมา”“โอเคค่ะ” ฉันพยักหน้ารับโดยไม่ได้คิดอะไรเลยนอกจากว่าจะต้องออกไปทำธุระตามหน้าที่แค่นั้น
⟡ณ ห้องประชุม ชั้นบนสุดของตึกสำนักงานใหญ่
พายุนั่งนิ่ง เอนตัวพิงพนักเก้าอี้หนังแท้ ราวกับผู้อยู่เหนือเกม ปลายนิ้วเคาะโต๊ะเป็นจังหวะ ขณะฟังรายงานตัวเลขจากฝ่ายบัญชี“แล้วบริษัทที่ใช้บัญชีแยกซ่อนรายจ่าย...ชื่ออะไรนะ?”
เขาถามเสียงเรียบ แต่แผ่วพอให้ทั้งห้องสะดุ้ง“..ไฟแนนเชีย คอร์ป ค่ะ เป็นบริษัทบัญชีที่เราจ้างมาเคลียร์งบช่วงไตรมาสก่อน”
พายุพยักหน้าเบา ๆ
แต่สายตาคู่นั้นกลับบอกชัดเจนว่า เขาจดจำชื่อบริษัทนั้นไว้แน่นอน“แล้วบริษัทไหนจะเข้ามารับช่วงต่อแทนไฟแนนเชีย คอร์ป? ครับ”
“บริษัทอินไซท์ ไฟแนนซ์ค่ะ บริษัทบัญชีขนาดเล็กแต่มีศักยภาพสูง”
พายุพยักหน้ารับอย่างช้า ๆ สายตาคมกริบไล่เล็งทุกคนในห้องประชุม ราวกับสะกดให้อยู่ภายใต้แรงกดดันก่อนจะเปล่งเสียงเรียบแต่หนักแน่นในความเงียบที่แผ่ซ่าน“จบประชุม แค่นี้ครับ”
⟡(กลับมาที่ฉัน—ลินลี่)ตอนนี้ฉันยืนตัวแข็งอยู่หน้าประตูกระจกของ PWW Tower ตึกระฟ้ากลางกรุงเทพฯ
สูดลมหายใจเข้าลึก พยายามกลืนความประหม่าในอก แล้วจัดเสื้อเบลาส์ให้เข้าที่อีกครั้ง
คำพูดของหัวหน้ายังคงวนเวียนในหัวไม่หยุด —
“ต้องเป็นหน้าเป็นตาขององค์กร”
เหมือนประโยคนั้นไม่ได้แค่ดังซ้ำ…แต่ฝังลึกอยู่ใต้ผิวหนัง
..ทันทีที่ฉันผลักประตูเข้าไป...โอ้โห ที่นี่หรูหรากว่าที่จินตนาการไว้หลายเท่า
พื้นหินอ่อนมันวับจนสะท้อนเงาฉันได้ชัดเจนราวกับกระจก เสียงส้นรองเท้าคู่เตี้ยกระทบพื้นดังเกินคาดในความเงียบ แอร์เย็นเฉียบจนขนลุก และที่เลวร้ายกว่านั้น...ฉันยืนอยู่กลางล็อบบี้คนเดียว พร้อมแฟ้มหนาเตอะที่ดูจะไม่เข้ากับบรรยากาศเอาซะเลยมันต่างจากอินไซท์ฯ ที่ฉันทำงานอยู่อย่างฟ้ากับเหว
นี่มันโลกอีกใบ โลกที่ฉันไม่แน่ใจว่าตัวเองเหมาะจะก้าวเข้ามาหรือเปล่าฉันกลืนน้ำลาย มองซ้ายมองขวาหาเคาน์เตอร์ต้อนรับ พยายามควบคุมเสียงให้ฟังดูปกติที่สุดตอนถาม
“ขอโทษนะคะ...ขอสอบถามทางไปฝ่ายการเงินหน่อยค่ะ?” พนักงานหลังเคาน์เตอร์เงยหน้าขึ้นแทบจะทันที “เลี้ยวขวา แล้วซ้ายตามลูกศรเลยค่ะ” เธอตอบเร็วปรื๋อ ราวกับพูดประโยคนี้มาแล้วเป็นร้อยรอบฉันพยักหน้ารับแบบงง ๆ หันกลับมาอีกทีแทบลืมไปแล้วว่าเธอบอกว่าอะไร
แต่ก็เดินต่อ—ตามลูกศรบนพื้นอย่างคนที่ไม่แน่ใจในทุกย่างก้าว...จนกระทั่งเลี้ยวมุมโถงไป
กึก! ฉันชนเข้ากับใครบางคนอย่างจังจนตัวเซถอยหลังหนึ่งก้าว ก่อนจะล้มลงก้นกระแทกพื้นเต็มแรง แว่นตาที่เสียบไว้หลังหูร่วงกระเด็น เอกสารในมือกระจายเกลื่อนพื้น ราวกับซีนหนังที่ฉันไม่อยากเป็นนางเอก“ข-ขอโทษค่ะ!” คำพูดหลุดจากปากโดยไม่ทันคิด
มือรีบควานหาแว่น ในขณะที่หัวใจก็เต้นรัวตุบ ๆ— มันไม่ใช่แค่ตกใจ... มันคือความรู้สึกแปลก ๆ บอกว่าทุกอย่างหลังจากนี้...จะไม่ง่ายอย่างที่คิดแต่ก่อนที่ฉันจะเอื้อมไปหยิบแว่น...
เสียงเรียบนุ่มดังขึ้นเหนือหัวฉัน
“แว่นเธอ”เสียงนั้น—ทุ้ม ละมุน และ...คุ้นเกินไป
คุ้นจนใจสะดุด คุ้นแบบที่ทำให้หงุดหงิดโดยไม่รู้ว่าเพราะอะไรฉันเงยหน้าขึ้นช้า ๆ ทั้งที่สายตายังพร่ามัว มองอะไรไม่ชัดนัก
เขายื่นแว่นคืนให้ ก่อนจะโน้มตัวเข้ามาใกล้มืออุ่น ๆ จับเบา ๆ ที่กรอบแว่น ช่วยใส่ให้ฉันอย่างแนบเนียนฉันขยับแว่นเข้าที่ พยายามเรียกสติ
แล้วในวินาทีนั้น—โลกตรงหน้าก็กลับมาชัดเจนเหมือนม่านเวทีถูกดึงออกในฉากสำคัญ
ภาพทุกอย่างทะลักเข้ามา เหมือนหนังที่เพิ่งเริ่มฉาย...แต่ฉันดันลืมไปว่าเคยดูมาแล้วภาพนั้น—ดวงตาคมกริบที่เคยมองฉันราวกับจะทะลุความคิด
มุมปากที่ยกยิ้ม...ยิ้มแบบที่ไม่เคยรู้เลยว่ากำลังทำลายใครอยู่ แรงกระแทกที่ไม่ได้ปะทะแค่บ่าหรือหัวใจ...แต่มันสะเทือนลึกลงไปข้างในและในจังหวะที่สติกำลังจะคืนมา
เสียงนั้น...ก็ดังขึ้นอีกครั้ง“บอกผมสิ...ผมคือคนแรกของคุณใช่ไหม ลินลี่”
ฉันสะบัดความทรงจำออกจากหัว
ดึงตัวเองกลับสู่ล็อบบี้หรูหราและเอกสารที่กระจัดกระจายเกลื่อนพื้น
มือรีบเก็บเอกสารอย่างลนลานและไม่มั่นใจ
หัวใจถูกบีบแน่นจนแทบหายใจไม่ออก...ใช่ ฉันจำเขาได้
ชัดเจนเกินกว่าจะหลอกตัวเองว่าไม่ใช่และเหมือนโชคชะตาจงใจซ้ำเติม
เสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านข้าง…ใกล้เกินกว่าจะเมินได้ “คุณพายุครับ สายด่วนจากเจ้าสัว ชานน โทรมาครับ”ชื่อนั้น— พายุ— กระแทกเข้ามาเต็มแรง
พายุ: “คุณไม่เป็นไรใช่ไหมครับ”
เสียงนั้นทุ้ม แน่นหนัก และเปี่ยมไปด้วยอำนาจ ตัดผ่านความเงียบได้อย่างชัดเจนฉันเงยหน้าขึ้นตามเสียงอย่างอัตโนมัติ มองตามหลังของผู้ชายในสูทสีน้ำเงินพร้อมบอดี้การ์ดที่ยืนขนาบ หลังที่ตั้งตรง สมบูรณ์แบบ แต่เหมือนซ่อนบางอย่างไว้ลึก ๆ อย่างแนบเนียน..
…แม้ใจจะวูบวาบ แต่ฉันก็พยายามควบคุมตัวเองไห้นิ่งเฉย ค่อย ๆ นั่งลงรอเอกสาร ก้มหน้าลงราวกับไม่มีอะไรอยู่ในใจ
แต่ในอก...มันร้อน ระอุ ราวกับอะไรบางอย่างกำลังจะระเบิดกลัวเหลือเกินว่าเขาจะหันกลับมา...
แล้วจำอะไรบางอย่างได้
เพราะ "ฉัน" เวอร์ชันทำงานในวันนี้ กับ "ลินลี่" เวอร์ชันลุยหาผู้ชายในวันนั้น มันต่างกันสุดขั้ว
จริงอยู่เขาหันกลับมาเป็นพัก ๆ แต่แววตานั้นว่างเปล่า เหมือนกำลังมองผ่านใครบางคน...ที่ “คล้าย ๆ” คนที่เขาเคยรู้จัก(พายุ)
เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน… ดูเกร็ง ๆ แต่ไม่เฟก(ลินลี่)
เวลาเขาทำงานก็ดูเป็นมืออาชีพดีนี่…มีสองเวอร์ชั่นเหรอ..ขณะที่สมองฉันล่องลอยกลับไปไกล…ถึงคืนนั้น — คลับ 669 — ไฟวาบจ้า เบสกระแทกหัวใจ ฟลอร์เต้นรำร้อนระอุ ...แล้วก็ตัดภาพมาที่เตียงในห้องสวีท ที่ฉันไม่เคยแม้แต่จะคิดฝันว่าจะได้เข้าไปเหยียบฉันหลับตาแน่น
เสี้ยวภาพเดียว...ก็เหมือนกดรีเพลย์ทุกอย่างให้ย้อนกลับมาทั้งหมด แต่ละมุน...จนน่ากลัว“คุณลินลี่ค่ะ?”
“คุณลินลี่?”
เสียงเรียกทำให้ฉันสะดุ้ง หลุดออกจากภวังค์ทันที
ฉันรีบลุกไปดึงแฟ้มกลับมากอดแน่น พลางเอ่ย“ขอบคุณ ค่ะ” แต่รู้สึกเหมือนหัวใจสะดุดจังหวะไปหนึ่งจังหวะฉันกลั้นลมหายใจ ตั้งสติ แล้ว หมุนกายก้าวออกจากตึกกระจกอย่างเร็ว
ทิ้งความคิดฟุ้งซ่านไว้ชั่วคราว...
ไม่ใช่ว่ามันไม่ดี—ที่เจอเขา แต่มัน ดีแบบไม่ทันตั้งตัว และนั่นแหละ…น่ากลัวที่สุดเช้านี้ฉันตื่นเร็ว กว่าปกตินิดหน่อยไม่ใช่เพราะเสียงนาฬิกาปลุกแต่เพราะหัวใจที่เริ่มกระเพื่อมตั้งแต่ก่อนลืมตา เหมือนมันรู้...ว่ามีอะไรบางอย่างรออยู่ข้างหน้าฉันยังไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะเรื่องเมื่อวานหรือเพราะ “ภารกิจวันนี้” ที่ทำให้ความรู้สึกในอกมันตุ่ม ๆ ต่อม ๆ จนไม่เป็นตัวเองทั้งที่ไม่มีอะไรผิดปกติ แต่ก็รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังยืนอยู่ตรงขอบบางอย่าง และต้องเลือกจะก้าวออกไป...หรือถอยกลับมาฉันใช้เวลายืนอยู่หน้าตู้เสื้อผ้าพักใหญ่ เสื้อเบลาส์สีเรียบ กระโปรงทรงเอ รองเท้าคู่เดิมที่เดินคล่องไม่ใช่เพราะอยากดูดีหรอก—แค่ไม่อยากสะดุดอะไรอีกครั้ง เมื่อวานมันก็หนักพอแล้ว… และที่สำคัญ มันน่าอายเกินกว่าจะย้ำซ้ำอีกวันนี้ ผู้จัดการของบริษัท นัดฉันไว้ตั้งแต่เมื่อวานเย็น ตอนที่ฉันยังนั่งนิ่ง ๆ กับความคิดวนเวียนซ้ำ ภาพบางภาพที่พยายามผลักไสออกไปแต่เหมือนมีแรงบางอย่างดึงกลับมาให้ใกล้กว่าที่คิด เหมือนสนามแม่เหล็กที่ฉันหนีไม่พ้น(และก็คงไม่ต้องเดา ว่าภาพนั้นคือใคร... “ผู้ชายคนนั้น” นั่นแหละ)และใช่—นัดหมายนี้แหละที่ดึงฉันกลับมา ฉันยังมี “หน้าที่” ให้รับผิดชอบ ยังมี “บทบาท” ที่สวมได้แนบเนียน และแค่
ผ่านไปสองอาทิตย์หลังจากคืนวันศุกร์ที่คลับ 669ฉันนึกว่าทุกอย่างจะจบลงแค่คืนนั้น เรื่องมันควรจะเป็นแบบนั้นแหละ แต่ชีวิตมันชอบเล่นตลกแบบไม่ปรึกษากันล่วงหน้าและเช้าวันนี้ ที่บริษัทอินไซท์ ไฟแนนซ์ (บริษัทบัญชีเล็ก ๆ ที่ฉันทำงานอยู่) เสียงแป้นพิมพ์ดังแข่งกับโทรศัพท์โต๊ะข้าง ๆ เหมือนทุกวัน ฉันเพิ่งจะจิบกาแฟได้คำเดียว รองผู้จัดการก็โผล่มาจากทางเดิน“ลินลี่! พอจะออกไปข้างนอกบ่ายนี้ได้ไหม? มีงานด่วนเข้ามา”ฉันหันชวับ “ได้ค่ะ ไปที่ไหนคะ?”เขาโยนแฟ้มสีเทามาให้ ก่อนพูดแบบขอไปที “สำนักงานใหญ่ของกลุ่มนี้แหละ แต่ให้ที่อยู่มาแล้ว บอกให้เราเข้าไปเก็บเอกสารบัญชีเก่าที่ฝ่ายการเงินเตรียมไว้”ฉันเปิดแฟ้ม ไล่ดูเอกสารเร็ว ๆ ก่อนเงยหน้าถาม “ลูกค้ารายไหนเหรอคะ?” จริงจังเลยนะ เพราะรายชื่อที่โผล่มาในเอกสารพวกนี้...ไม่คุ้นเอาซะเลยรองผู้จัดการได้แค่ยักไหล่ “กลุ่มใหญ่ระดับบน ๆ เขาให้เราดูแลบัญชีบริษัทลูกบางตัวที่มีเรื่องกับสรรพากร เขาบอกแค่ว่า ‘อย่าไปถามว่าใครเซ็น’ เข้าไปเอาเอกสารแล้วก็กลับมา”“โอเคค่ะ” ฉันพยักหน้ารับโดยไม่ได้คิดอะไรเลยนอกจากว่าจะต้องออกไปทำธุระตามหน้าที่แค่นั้น⟡ณ ห้องประชุม ชั้นบนสุด
(พายุ: คืนนี้ไม่มีใครได้ใจไปง่าย ๆ)บนรูฟท็อปสุดชิคของชานน วิวัฒน์ แสงนีออนกระพริบสลับกับควันบุหรี่ในอากาศ แก้ววิสกี้ในมือสะท้อนแสงวิบวับ ผมยกแก้วขึ้นแตะริมฝีปากเบา ๆ คลี่ยิ้มจางๆ ยิ้มของคนที่รู้ว่า คืนนี้ทั้งเกมอยู่ในมือผมหลายคนอาจมองว่ามันคือเกม เพื่อเข้าใกล้ใครสักคน แต่สำหรับผม นี่ไม่ใช่เกม มันคือบททดสอบ กระดานหมากรุกที่ผมนั่งดูอยู่จากมุมสูงผมไม่ได้รอให้ใคร “ชนะใจ” ผมรอแค่คนที่ “ใช่” คนที่เดินผ่านไฟ ความลวง และแรงปรารถนา โดยไม่รู้เลยว่า...ตัวเองกำลังถูกจับตาอยู่ทุกฝีก้าว“คุณพายุคะ… ผู้หญิงที่โต๊ะมุมบาร์ ฝากเครื่องดื่มมาให้ค่ะ”เสียงบาร์เทนเดอร์สาวเอ่ยขึ้น ฝ่าเสียงเพลงเบา ๆ ผมเหลือบตามองไปตามปลายแก้วในมุมเงามืดนั้น แสงนีออนสีส้มสะท้อนกับเงาของเธอพอดี ผมดำขลับเคลียบ่า เดรสกำมะหยี่สีเลือดนกเน้นสัดส่วนชัดเจน ริมฝีปากแดงสดยกยิ้ม...แบบที่คนรู้เกมทุกตาเท่านั้นจะยิ้มได้ผมมองเธอด้วยแววตารู้ทัน จ้องลึกลงไปในแววตาและท่าทางที่เหมือนจะรู้ทุกอย่าง ก่อนจะยืดตัวขึ้นเต็มความสูง ก้าวออกไปอย่างนักล่าที่กำลังเริ่มไล่ล่าผู้คนรอบตัวเบี่ยงหลบให้โดยอัตโนมัติ แรงดึงดูดของผมรุนแรงไม่แพ้ว
(ลินลี่: วันธรรมดาที่ไม่ธรรมดา)เริ่มต้นสัปดาห์ ด้วยความวุ่นวายที่เคยชินฉันก้าวลงจากรถเมล์หน้าตึกออฟฟิศ ก่อนเข้างานสิบห้านาทีพอดี รอบตัวเต็มไปด้วยผู้คนที่ดูเหมือนกำลังวิ่งแข่งกับเวลาแต่ไม่มีใครรู้จริง ๆ ว่าเส้นชัยอยู่ตรงไหน เมืองยังเคลื่อนไหวไม่หยุด เหมือนกลไกที่ถูกตั้งเวลาเอาไว้ ไม่มีปุ่มพักแต่ในขณะที่ทุกอย่างเร่งไปข้างหน้า ใจฉันกลับหยุดอยู่กับบางสิ่ง"ความรู้สึกจากคืนนั้น"…ถามว่าฉันได้ประสบการณ์มั้ย? — มาก สนุกมั้ย? — ใช่ แต่...มันมีบางคำที่ยังติดอยู่ในหัว…..ติดใจขึ้นมาละสิ?..ก็ไม่รู้สินะ หรือคงต้องไห้ทุกคนลองเดาดู ;)..“สวัสดี ลินลี่” เสียงพี่อุษาหัวหน้าฉัน พลางชูแก้วกาแฟไว้ระดับอก ราวกับเพิ่งนึกได้ว่าเราสบตากันพอดีก้อง เพื่อนร่วมงานสายอารมณ์ดี ยกยิ้มมุมปาก ด้วยรอยยิ้มแบบเดิมที่ อบอุ่นและปลอดภัยเสมอ “วันนี้ดูสดใสนะ ลินลี่”ฉันยิ้มตอบกลับไปแบบไม่ต้องคิดมาก ก่อนจะทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ประจำ โต๊ะเดิม มุมเดิม ที่เต็มไปด้วยเอกสาร ใต้แว่นหนาฉันกวาดตามองรอบออฟฟิศ เสียงพิมพ์คีย์บอร์ดเริ่มดังขึ้นเป็นจังหวะ กลิ่นกาแฟจาง ๆ ลอยมาปะปนกับแสงฟลูออเรสเซนต์ที่สะท้อนจากจอคอมฯ ที่นี่คือโ
สองวันผ่านไป... สายวันอาทิตย์ แสงแดดอุ่น ลอดผ่านผ้าม่านบางทาบพื้นห้อง บรรยากาศมันควรจะ ชิลล์ เหมือนเช้าวันหยุดทั่วไปใช่ไหม? แต่ไม่เลย... วันนี้ฉันไม่มีเวลามานอนตากแดดสวย ๆ จิบกาแฟเอ็นจอยกับวันหยุดเพราะตอนนี้ ฉันกำลังนั่งจิกหัวตัวเองอยู่หน้ากระจกในห้องน้ำ มือขยี้แชมพูใส่หัวแบบเอาเป็นเอาตาย ฟองฟูเต็มศีรษะ แชมพูเปลี่ยนสีผมไหลย้อยลงมาตามกรอบหน้า ตาแดง ๆ เพราะแสบ หรือเพราะสำนึกก็ไม่แน่ใจภารกิจหลักวันนี้คือ "กู้ลุคกลับมาจากความใจกล้าสุดฤทธิ์เมื่อสองวันก่อน" ให้ดูเนียนพอที่พ่อกับแม่จะไม่ถามด้วยน้ำเสียงเรียบเย็นว่า “ลูก...ไปทำอะไรมา?”ทันใด เสียงกริ๊งหน้าห้องดังขึ้นเป๊ะเหมือนนาฬิกาจับเวลาติ๊ง ต๊อง !“เดี๋ยววว! มาแล้ว ๆๆ!” ฉันวิ่งพรวดทั้งที่หัวฟองยังฟูฟ่อง เปิดประตูให้แยมกับแพรวเพื่อนสาวสายแซ่บ สองนางยืนจ้องฉันตาโตแบบไม่ได้ตั้งตัวแยมเบิกตากว้าง เหมือนเห็นฉันเอาหัวไปจุ่มถังสี “แก...ทำไรกับหัววะ ลี่?”ฉันถอนหายใจยาว หน้าตาเหมือนเพิ่งผ่านสมรภูมิรบมา “พรุ่งนี้พ่อแม่จะมา…แกคิดว่าถ้าฉันยังหัวบลอนด์อยู่จะรอดไหมอะ?”“ ต้องรีเซ็ตลุคก่อนโดนสอบสวนยับนะ!”แพรวหัวเราะคิกๆ มือยกมือถือขึ้นตั้
ใช่แล้วค่ะ... ฉันเปลี่ยนหน้าจอคอมจากงบการเงินที่ตัวเลขยังขัดแย้งกันไปหมด ไม่ใช่เพราะสมการไม่สมดุล แต่เพราะสมองฉันมัน ‘ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว’มันมัวแต่ย้อนไปเมื่อคืน ภาพในหัววนซ้ำเหมือนวิดีโอที่กดรีเพลย์ ...เสียงหัวเราะต่ำ ๆ นั่น ...แววตาเจ้าเล่ห์แบบที่ทำให้ฉันอยากหันหน้าหนีแต่ขากลับไม่ยอมก้าว ...และ ‘สัมผัส’ ที่มันดันจุดอะไรบางอย่างในตัวฉันขึ้นมาโดยไม่ขออนุญาตฉันถอนหายใจ แต่ดวงตาฉันกำลังจ้อง Google เหมือนเป็นช่องทางสืบราชการลับ ฉันแปลงนิ้วตัวเองให้เป็นสายสืบพิเศษทันที มือก็ค่อย ๆ พิมพ์ลงในช่องค้นหา... “พายุ”ชื่อเดียวที่ฉันมี ชื่อเดียว ที่มันดังก้องในหัวตลอดเช้านี้...แล้วฉันก็นั่งค้างอยู่ตรงนั้น นิ้วชะงักกลางแป้นพิมพ์ สายตาจ้องจอเหมือนคนโดนสาปเพราะฉันไม่รู้จะต่อยังไงต่อ ไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร ไม่รู้ว่ากำลังจะเจออะไร...หรือว่าอยากเจออะไรมีแค่เสียงในหัวที่ดังก้องอยู่เงียบ ๆ "นี่ฉัน...กำลังจะเริ่มอะไร ที่มันควรเริ่มหรือเปล่านะ?"…แต่ในอีกมุมหนึ่งของเมือง— ชายหนุ่มร่างสูงในชุดสูทน้ำเงินเข้ม ยืนนิ่งอยู่กลางเวทีแสงไฟสาดสว่าง แสงแฟลชจากกล้องรอบตัวกะพริบรัวราวกับสายฟ้าในพายุ แ