เช้านี้ฉันตื่นเร็ว กว่าปกตินิดหน่อย
ไม่ใช่เพราะเสียงนาฬิกาปลุกแต่เพราะหัวใจที่เริ่มกระเพื่อมตั้งแต่ก่อนลืมตา เหมือนมันรู้...ว่ามีอะไรบางอย่างรออยู่ข้างหน้าฉันยังไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะเรื่องเมื่อวาน
หรือเพราะ “ภารกิจวันนี้” ที่ทำให้ความรู้สึกในอกมันตุ่ม ๆ ต่อม ๆ จนไม่เป็นตัวเองทั้งที่ไม่มีอะไรผิดปกติ แต่ก็รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังยืนอยู่ตรงขอบบางอย่าง และต้องเลือกจะก้าวออกไป...หรือถอยกลับมา
ฉันใช้เวลายืนอยู่หน้าตู้เสื้อผ้าพักใหญ่ เสื้อเบลาส์สีเรียบ กระโปรงทรงเอ รองเท้าคู่เดิมที่เดินคล่องไม่ใช่เพราะอยากดูดีหรอก—แค่ไม่อยากสะดุดอะไรอีกครั้ง เมื่อวานมันก็หนักพอแล้ว… และที่สำคัญ มันน่าอายเกินกว่าจะย้ำซ้ำอีกวันนี้ ผู้จัดการของบริษัท นัดฉันไว้ตั้งแต่เมื่อวานเย็น
ตอนที่ฉันยังนั่งนิ่ง ๆ กับความคิดวนเวียนซ้ำ ภาพบางภาพที่พยายามผลักไสออกไปแต่เหมือนมีแรงบางอย่างดึงกลับมาให้ใกล้กว่าที่คิด เหมือนสนามแม่เหล็กที่ฉันหนีไม่พ้น(และก็คงไม่ต้องเดา ว่าภาพนั้นคือใคร... “ผู้ชายคนนั้น” นั่นแหละ)และใช่—นัดหมายนี้แหละที่ดึงฉันกลับมา
ฉันยังมี “หน้าที่” ให้รับผิดชอบ ยังมี “บทบาท” ที่สวมได้แนบเนียน และแค่นั้น...มันก็ดีพอจะทำให้ฉันรู้สึกว่า ฉันยังควบคุมบางอย่างในชีวิตนี้ได้อยู่บ้าง แม้จะไม่ใช่ทุกอย่าง...ก็ตาม…เสียงลมเบา ๆ ปะทะกระจกหน้าต่าง ขณะที่รถประจำทางชะลอจอดเทียบป้ายตรงข้ามหน้าตึกสี่ชั้น ฉันสูดลมหายใจลึกหนึ่งครั้ง ก้าวเท้าลงจากรถอย่างเคยชินเข้าสู่พื้นที่ที่ฉันรู้จักดีที่สุด
ฉันเดินผ่านประตูกระจก เสียงเครื่องปรับอากาศตัดกับแดดยามเช้าที่เพิ่งเริ่มแรง คำทักทายของเพื่อนร่วมงานยังเหมือนเดิม บางคนยิ้มให้ฉัน บางคนดูเครียดเหมือนนอนไม่พอ หรือทะเลาะกับใครบางคนมาก่อนหน้านี้
และฉันก็ทำได้แค่พยักหน้าให้แต่ในใจเงียบเหมือนห้องร้างฉันไม่ได้อยากรู้เรื่องคนอื่นหรอก แต่แค่พยายามไม่ให้ตัวเองหลุดจากภาพ “ลินลี่คนเดิม” เพียงเท่านั้น ถึงแม้มันจะไม่ค่อยจริง...ก็เถอะ
แต่ ก็ถือว่ารอดไปวันหนึ่ง และวันนี้ก็เป็นอีกวันที่ต้องรอดให้ได้แล้วเวลาก็มาถึง
ฉันยืนอยู่หน้าห้องผู้จัดการประตูแง้มไว้อยู่แล้ว ฉันยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมา ทันทีที่เข็มยาวสั้นชี้ตรงเลข 9.00 น. ตรงเป๊ะ แล้วเสียงของเธอก็ดังขึ้น “ลินลี่ เข้ามาเลย”ฉันก้าวเข้าไป
ผู้จัดการหญิงนั่งอยู่หลังโต๊ะ สายตายังจดจ่ออยู่กับกองเอกสารตรงหน้า“ปิดประตู ลินลี่” น้ำเสียงเข้มขึ้นเล็กน้อย แต่มากพอจะทำให้ฉันรู้สึกว่าอะไรบางอย่าง "ไม่ปกติ"“ค่ะ” ฉันปิดประตูลงเบา ๆ“นั่งก่อน ลินลี่”
เธอผายมือไปยังเก้าอี้ตรงข้าม ฉันค่อย ๆ ทรุดตัวลงบนเบาะ มือวางบนตักพยายามนิ่ง แต่ข้างในใจมันเริ่มตะหงิดๆ(เรื่องสำคัญแค่ไหนกันนะ...)แล้วน้ำเสียงจริงจังของเธอก็ตามมา
“เอกสารนี้...ไม่ชอบมาพากล ฉันอยากให้เธอไล่เช็กให้ละเอียดทีละจุด และที่สำคัญ—เรื่องนี้ต้องเป็นความลับ”
ฉันยังไม่ทันอ้าปากถาม เธอก็พูดต่อทันที ราวกับเตรียมคำไว้แล้ว
“คนเดียวที่เธอจะรายงานได้ คือคุณพายุ ชานนวิวัฒน์”
ฉันชะงักไปชั่วอึดใจ
ชื่อ ‘พายุ’ ดังขึ้นกลางอก...แบบที่ไม่ควรจะมีผลอะไรกับฉันอีกแล้ว“คุณพายุ กำลังสงสัยว่าอาจมีการทุจริตเกิดขึ้น”
เสียงของเธอนิ่ง แต่น้ำหนักชัดเจน “และที่สำคัญ—เรื่องนี้ต้องไม่แพร่งพราย ฉันเชื่อใจเธอ ลินลี่”ในหัวฉันมันทั้งตื้อ ทั้งชา
ยังไม่ทันตั้งหลัก เสียงของเธอก็เรียกขึ้นมาเบา ๆ แต่ชัดเจน“ลินลี่?”
ฉันสะดุ้งนิด ๆ ก่อนรีบตั้งสติ
“ค—ค่ะ”เธอมองฉันตรง ๆ
แววตามั่นคง ราวกับฝากทั้งความลับและความหวังไว้ในคนคนเดียว“จำไว้นะ เป็นความลับ”
ฉันพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย แล้วเอื้อมมือไปรับแฟ้ม
น้ำหนักของมันเบา แต่ความรู้สึกในอกกลับหนักขึ้นเรื่อย ๆฉันเปิดแฟ้มออก
แล้วสิ่งแรกที่สะดุดตาคือ...ตัวเลขสิบหลัก ใต้ชื่อ คุณพายุ ชานนวิวัฒน์
เบอร์โทรศัพท์ของเขา ชัดเจนจนเหมือนจงใจวางไว้ให้ฉันเห็นก่อนเป็นอันดับแรกหัวใจฉันเต้นแรงขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่
ภาพเช้าวันนั้นกลับไหลย้อนกลับมา—ข้อความสั้นๆและภาพอิโมจิยิ้ม ให้ดูต่างหน้า แต่ตอนนี้ ฉันไม่มีสิทธิ์จะเผลอใจ หน้าที่ตรงหน้าสำคัญเกินกว่าจะปล่อยให้หัวใจทำงานแทนสมอง ฉันต้องแยกให้ออก—งานก็คืองาน ความรู้สึกก็คือความรู้สึกโดยเฉพาะเมื่อ “หน้าตาขององค์กร”
ไม่ได้อยู่แค่ในเอกสาร แต่มันฝังแน่นอยู่ในหัวฉัน ตรึงจนไม่เปิดโอกาสให้ฉันหลุดกรอบได้เลย…ฉันพยายามก้มหน้าก้มตาทำงานเหมือนทุกวัน
แต่กลับรู้สึกเหมือนสมาธิหล่นหายไปตั้งแต่เปิดแฟ้มนั่นแล้วตัวเลขสิบหลักยังคงวนเวียนอยู่ในหัวแต่ถึงกระนั้นฉันก็ซ่อนมันไว้ใต้บทบาทได้อย่างแยบยลไม่มีใครล่วงรู้—แม้แต่นิดเดียว
ว่าทุกการเคลื่อนไหวของฉันวันนี้เต็มไปด้วยแรงสั่นไหวที่ต้องควบคุมแทบตลอดเวลา…เวลาผ่านไปเร็วราวกับโดนกรอข้าม สายตาฉันยังจ้องเข็มนาฬิกาที่ขยับอย่างช้า ๆ จนแตะเลข 4 เป๊ะ ฉันไม่รีรอ รีบเก็บเอกสารยัดลงกระเป๋าทำงานด้วยความรวดเร็วราวกับกลัวว่าเวลาจะถูกฉกชิงไปจากมือ เหมือนทุกวินาทีตอนนี้มีค่ากับ “ภารกิจลับ” ที่ซ่อนอยู่ในใจ“ลินลี่ รีบไปไหนขนาดนั้น?”
เสียงก้องจากโต๊ะข้าง ๆ ดังขึ้น น้ำเสียงกึ่งแซวกึ่งห่วงใยแบบที่ฉันคุ้นเคยดี“มีนัดกับเพื่อนสนิทค่ะ”
ฉันตอบสั้น ๆ พร้อมรอยยิ้มกลบเกลื่อน ไม่อยากให้ใครรู้ว่าใจฉันตอนนี้มันเต้นแรงเหมือนลู่วิ่งที่โดนเร่งสปีด เพราะสองสาวเพื่อนสุดแสบเพิ่งบอกข่าวเด็ด “ยิ่งกว่าตอนจบซีรีส์ที่โดนสปอยล์กลางไทม์ไลน์”ฉันรีบพุ่งไปยังคาเฟ่ข้างออฟฟิศ — จุดนัดพบประจำของฉัน แพรว และแยม
บรรยากาศในร้านยังคงเหมือนเดิม — กลิ่นกาแฟหอมกรุ่นลอยอวล อุณหภูมิเย็นสบาย เพลงเบา ๆ คลอในลำโพง แต่วันนี้...ทุกอย่างกลับดูเงียบเหงาเกินกว่าที่เคยเป็นเสียงหัวเราะและเสียงเพลงที่เคยเติมเต็มช่วงเวลานี้ กลายเป็นเพียงพื้นหลังจาง ๆ
ไม่อาจกลบความอึดอัดที่ซ่อนอยู่ในใจฉันได้ — ไม่ว่าจะเป็นความกดดันจากงาน หรือ…เขา ที่ฉันบังเอิญเจอเมื่อวานนี้ ความรู้สึกนั้นยังคงติดค้าง หัวใจฉันยังสั่นไหวแบบไม่ทันตั้งตัวโต๊ะริมกระจกตรงที่เดิม—แพรวกับแยมประจำการกันเรียบร้อย มือกวักเรียกฉันเหมือนกำลังจะเข้าสอบวิชาที่ไม่มีใครอยากสอบ แต่ก็เลี่ยงไม่ได้
“ดื่มอะไรหน่อยไหม ลี่?” แยมหันมาถาม พร้อมยื่นเมนูให้ด้วยท่าทางสบายๆ
ฉันพยักหน้ารับแบบอัตโนมัติ แล้วหันไปเรียกพนักงานทันที“น้ำส้มแก้วนึงค่ะ”
สั่งแบบเดิมทุกที ทั้งที่ปากก็บอกว่าอยากดื่ม แต่ใจนี่ชาไปหมดแล้ว รสอะไรก็ไม่เข้าปากหรอกตอนนี้ฉันยังไม่ทันจะถามด้วยซ้ำว่าวันนี้มีข่าวด่วนอะไรกันแน่ สองสาวก็มองฉันแบบจริงจังสุดฤทธิ์
สายตานั้น...คือสัญญาณเตือนที่ดังชัดเจนโดยไม่ต้องพูดว่า “แกเตรียมใจไว้เลยนะ”“ลี่...แกใจเย็น ๆ ก่อนนะ”
แพรวเริ่มเกริ่น น้ำเสียงไม่ถึงกับเครียด แต่ก็ไม่ใช่เล่น ๆ เหมือนกัน ฉันยกแก้วน้ำส้มขึ้นจิบ สูดลมหายใจเฮือกใหญ่ พยายามตั้งหลักในใจ มือยังจับแก้วแน่น ราวกับว่าถ้าปล่อยเมื่อไหร่…สติก็อาจหลุดตามไปสายตาของแพรวกับแยมไม่ได้ละไปไหนเลย
เหมือนพวกเธอกำลังพยายามอ่านใจฉันจากรอยยิ้มจาง ๆ ที่ฉันพยายามปั้นไว้ให้ดู "ปกติที่สุด"มันเงียบไปชั่วครู่
เงียบ...จนฉันได้ยินเสียงตัวเองกลืนน้ำลายฉันเริ่มเลิ่กลั่ก หัวเราะแห้ง ๆ พยายามเบี่ยงบรรยากาศ
“เฮ้ย พวกแกทำไมมองฉันเหมือนฉันไปฆ่าคนมาอะ?”ฉันวางแก้วน้ำส้มลงอย่างระวัง แล้วเอนตัวไปข้างหน้า
พยายามฝืนตัวเองให้ “พร้อมจะฟัง” ทั้งที่ในใจมันเริ่มเต้นผิดจังหวะแล้ว“ลี่…”
แพรวสูดลมหายใจราวกับต้องรวบรวมความกล้า “…ผู้ชายที่เป็นเดตครั้งแรกของแก คุณพายุ เขามีแฟนแล้ว ชื่อมาริสา”ช็อตนั้น มันเหมือนมีใครกด pause โลกไว้
แพรวรีบพูดต่อเหมือนกลัวฉันจะตั้งตัวไม่ทัน “แกต้องตัดใจนะเพื่อน พายุน่ะหล่อ รวย แบดบอยครบสูตรเลย แต่ไม่ใช่ของแกอะ ที่สำคัญ...มาริสาน่ะ ตามติดยิ่งกว่า GPS อีก”ฉันกลืนน้ำลายฝืด ๆ พยายามบอกตัวเองให้ใจเย็น แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าคำพูดนั้นกระทบใจอยู่เหมือนกัน
ใช่ ฉันรู้แล้วหลังจากคืนนั้น ที่ไปเดตกับเขา(ใช่ ฉันก็หาข้อมูลในกูเกิลแบบเต็มที่เลย) แต่มันก็ยังทำให้ใจฉันกระตุกเหมือนมีอะไรมาดึงเบรกอย่างกะทันหันอยู่ดีแยมเสริมขึ้นอีกเสียงแบบตรงไปตรงมา
“แก อย่าไปเอาหัวใจไปยึดติดกับเรื่อง แค่ one night stand เลย หาไหม่ดีกว่าเพื่อน ผู้ชายคนนี้อันตราย” หน้าตาแยมจริงจังเลยฉันอยากพูด อยากอธิบาย แต่คำพูดไม่ยอมหลุดออกมา
เพราะเรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวกับแค่หัวใจ... มันเกี่ยวพันกับงานที่ฉันต้องรับผิดชอบ และที่สำคัญกว่านั้นคือความลับที่ฉันต้องรักษาไว้"ศุกร์นี้ไปเที่ยวกันมั้ย? เปลี่ยนบรรยากาศ หาเป้าหมายใหม่กันเถอะลี่!" แพรวพูดเสียงใส แววตาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น
ฉันยิ้มเจื่อน ๆ พร้อมบอกเบา ๆ ราวกับไม่อยากได้ยินคำพูดตัวเอง
"ยังไปไม่ได้ช่วงนี้น่ะ แพรว แยม…มีงานด่วนที่ต้องรีบเคลียร์ก่อน" พลางคว้าแก้วน้ำส้มขึ้นดื่มจนหมด ความเปรี้ยวแสบลิ้นเหมือนกดรีเซ็ตให้สมองกลับมาโฟกัสอีกครั้ง“พวกแก เราขอกลับก่อนนะ วันนี้ศุกร์ เดี๋ยวรถติดแย่”
ฉันฝืนยิ้ม ยกกระเป๋าขึ้นพาดไหล่อย่างรีบเร่ง “ไว้คุยกันนะ เพื่อน” ฉันพูดพลางถอยหลังออกมาอย่างแนบเนียน รู้ตัวดีว่ากำลังหลบแพรวกับแยมสบตากันครู่หนึ่ง...เงียบ แต่เหมือนเข้าใจทุกอย่างที่ฉันไม่ได้พูดออกมา
“เฮ้ยลี่...มันไม่โอเคเลยว่ะ ยังไงเราก็ต้องดูแล มันคือเพื่อนเรา”
แพรวพูดขึ้นจริงจัง น้ำเสียงหนักแน่น ขณะที่สายตายังมองตามฉันที่เดินหายไป..
ข้างนอกไม่ได้ต่างจากเมื่อเช้า แดดยามเย็นอ่อนลงนิดหน่อย ลมพัดจนผมปลิวไปข้างแก้มเบา ๆ ป้ายรถเมล์ที่เดิม แต่ความรู้สึกไม่เหมือนเดิมเพราะสิ่งที่วนเวียนในหัวตอนนี้
มันไม่ใช่แค่เรื่องความสัมพันธ์ชั่วคราวอีกต่อไปแล้วการได้เจอเขาอีกครั้ง...
มันคล้ายกับการกดปุ่มรีสตาร์ตชีวิตความสัมพันธ์ที่ควรจะจบไปง่าย ๆ
กลับกลายเป็นคำถามที่ซับซ้อนขึ้นในทุกวินาทีโดยเฉพาะเมื่อ "หน้าที่" กับ "ความรู้สึก"
เริ่มจะเดินมาใกล้กันเกินไปหน่อยแล้วนะ... ลินลี่เช้านี้ฉันตื่นเร็ว กว่าปกตินิดหน่อยไม่ใช่เพราะเสียงนาฬิกาปลุกแต่เพราะหัวใจที่เริ่มกระเพื่อมตั้งแต่ก่อนลืมตา เหมือนมันรู้...ว่ามีอะไรบางอย่างรออยู่ข้างหน้าฉันยังไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะเรื่องเมื่อวานหรือเพราะ “ภารกิจวันนี้” ที่ทำให้ความรู้สึกในอกมันตุ่ม ๆ ต่อม ๆ จนไม่เป็นตัวเองทั้งที่ไม่มีอะไรผิดปกติ แต่ก็รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังยืนอยู่ตรงขอบบางอย่าง และต้องเลือกจะก้าวออกไป...หรือถอยกลับมาฉันใช้เวลายืนอยู่หน้าตู้เสื้อผ้าพักใหญ่ เสื้อเบลาส์สีเรียบ กระโปรงทรงเอ รองเท้าคู่เดิมที่เดินคล่องไม่ใช่เพราะอยากดูดีหรอก—แค่ไม่อยากสะดุดอะไรอีกครั้ง เมื่อวานมันก็หนักพอแล้ว… และที่สำคัญ มันน่าอายเกินกว่าจะย้ำซ้ำอีกวันนี้ ผู้จัดการของบริษัท นัดฉันไว้ตั้งแต่เมื่อวานเย็น ตอนที่ฉันยังนั่งนิ่ง ๆ กับความคิดวนเวียนซ้ำ ภาพบางภาพที่พยายามผลักไสออกไปแต่เหมือนมีแรงบางอย่างดึงกลับมาให้ใกล้กว่าที่คิด เหมือนสนามแม่เหล็กที่ฉันหนีไม่พ้น(และก็คงไม่ต้องเดา ว่าภาพนั้นคือใคร... “ผู้ชายคนนั้น” นั่นแหละ)และใช่—นัดหมายนี้แหละที่ดึงฉันกลับมา ฉันยังมี “หน้าที่” ให้รับผิดชอบ ยังมี “บทบาท” ที่สวมได้แนบเนียน และแค่
ผ่านไปสองอาทิตย์หลังจากคืนวันศุกร์ที่คลับ 669ฉันนึกว่าทุกอย่างจะจบลงแค่คืนนั้น เรื่องมันควรจะเป็นแบบนั้นแหละ แต่ชีวิตมันชอบเล่นตลกแบบไม่ปรึกษากันล่วงหน้าและเช้าวันนี้ ที่บริษัทอินไซท์ ไฟแนนซ์ (บริษัทบัญชีเล็ก ๆ ที่ฉันทำงานอยู่) เสียงแป้นพิมพ์ดังแข่งกับโทรศัพท์โต๊ะข้าง ๆ เหมือนทุกวัน ฉันเพิ่งจะจิบกาแฟได้คำเดียว รองผู้จัดการก็โผล่มาจากทางเดิน“ลินลี่! พอจะออกไปข้างนอกบ่ายนี้ได้ไหม? มีงานด่วนเข้ามา”ฉันหันชวับ “ได้ค่ะ ไปที่ไหนคะ?”เขาโยนแฟ้มสีเทามาให้ ก่อนพูดแบบขอไปที “สำนักงานใหญ่ของกลุ่มนี้แหละ แต่ให้ที่อยู่มาแล้ว บอกให้เราเข้าไปเก็บเอกสารบัญชีเก่าที่ฝ่ายการเงินเตรียมไว้”ฉันเปิดแฟ้ม ไล่ดูเอกสารเร็ว ๆ ก่อนเงยหน้าถาม “ลูกค้ารายไหนเหรอคะ?” จริงจังเลยนะ เพราะรายชื่อที่โผล่มาในเอกสารพวกนี้...ไม่คุ้นเอาซะเลยรองผู้จัดการได้แค่ยักไหล่ “กลุ่มใหญ่ระดับบน ๆ เขาให้เราดูแลบัญชีบริษัทลูกบางตัวที่มีเรื่องกับสรรพากร เขาบอกแค่ว่า ‘อย่าไปถามว่าใครเซ็น’ เข้าไปเอาเอกสารแล้วก็กลับมา”“โอเคค่ะ” ฉันพยักหน้ารับโดยไม่ได้คิดอะไรเลยนอกจากว่าจะต้องออกไปทำธุระตามหน้าที่แค่นั้น⟡ณ ห้องประชุม ชั้นบนสุด
(พายุ: คืนนี้ไม่มีใครได้ใจไปง่าย ๆ)บนรูฟท็อปสุดชิคของชานน วิวัฒน์ แสงนีออนกระพริบสลับกับควันบุหรี่ในอากาศ แก้ววิสกี้ในมือสะท้อนแสงวิบวับ ผมยกแก้วขึ้นแตะริมฝีปากเบา ๆ คลี่ยิ้มจางๆ ยิ้มของคนที่รู้ว่า คืนนี้ทั้งเกมอยู่ในมือผมหลายคนอาจมองว่ามันคือเกม เพื่อเข้าใกล้ใครสักคน แต่สำหรับผม นี่ไม่ใช่เกม มันคือบททดสอบ กระดานหมากรุกที่ผมนั่งดูอยู่จากมุมสูงผมไม่ได้รอให้ใคร “ชนะใจ” ผมรอแค่คนที่ “ใช่” คนที่เดินผ่านไฟ ความลวง และแรงปรารถนา โดยไม่รู้เลยว่า...ตัวเองกำลังถูกจับตาอยู่ทุกฝีก้าว“คุณพายุคะ… ผู้หญิงที่โต๊ะมุมบาร์ ฝากเครื่องดื่มมาให้ค่ะ”เสียงบาร์เทนเดอร์สาวเอ่ยขึ้น ฝ่าเสียงเพลงเบา ๆ ผมเหลือบตามองไปตามปลายแก้วในมุมเงามืดนั้น แสงนีออนสีส้มสะท้อนกับเงาของเธอพอดี ผมดำขลับเคลียบ่า เดรสกำมะหยี่สีเลือดนกเน้นสัดส่วนชัดเจน ริมฝีปากแดงสดยกยิ้ม...แบบที่คนรู้เกมทุกตาเท่านั้นจะยิ้มได้ผมมองเธอด้วยแววตารู้ทัน จ้องลึกลงไปในแววตาและท่าทางที่เหมือนจะรู้ทุกอย่าง ก่อนจะยืดตัวขึ้นเต็มความสูง ก้าวออกไปอย่างนักล่าที่กำลังเริ่มไล่ล่าผู้คนรอบตัวเบี่ยงหลบให้โดยอัตโนมัติ แรงดึงดูดของผมรุนแรงไม่แพ้ว
(ลินลี่: วันธรรมดาที่ไม่ธรรมดา)เริ่มต้นสัปดาห์ ด้วยความวุ่นวายที่เคยชินฉันก้าวลงจากรถเมล์หน้าตึกออฟฟิศ ก่อนเข้างานสิบห้านาทีพอดี รอบตัวเต็มไปด้วยผู้คนที่ดูเหมือนกำลังวิ่งแข่งกับเวลาแต่ไม่มีใครรู้จริง ๆ ว่าเส้นชัยอยู่ตรงไหน เมืองยังเคลื่อนไหวไม่หยุด เหมือนกลไกที่ถูกตั้งเวลาเอาไว้ ไม่มีปุ่มพักแต่ในขณะที่ทุกอย่างเร่งไปข้างหน้า ใจฉันกลับหยุดอยู่กับบางสิ่ง"ความรู้สึกจากคืนนั้น"…ถามว่าฉันได้ประสบการณ์มั้ย? — มาก สนุกมั้ย? — ใช่ แต่...มันมีบางคำที่ยังติดอยู่ในหัว…..ติดใจขึ้นมาละสิ?..ก็ไม่รู้สินะ หรือคงต้องไห้ทุกคนลองเดาดู ;)..“สวัสดี ลินลี่” เสียงพี่อุษาหัวหน้าฉัน พลางชูแก้วกาแฟไว้ระดับอก ราวกับเพิ่งนึกได้ว่าเราสบตากันพอดีก้อง เพื่อนร่วมงานสายอารมณ์ดี ยกยิ้มมุมปาก ด้วยรอยยิ้มแบบเดิมที่ อบอุ่นและปลอดภัยเสมอ “วันนี้ดูสดใสนะ ลินลี่”ฉันยิ้มตอบกลับไปแบบไม่ต้องคิดมาก ก่อนจะทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ประจำ โต๊ะเดิม มุมเดิม ที่เต็มไปด้วยเอกสาร ใต้แว่นหนาฉันกวาดตามองรอบออฟฟิศ เสียงพิมพ์คีย์บอร์ดเริ่มดังขึ้นเป็นจังหวะ กลิ่นกาแฟจาง ๆ ลอยมาปะปนกับแสงฟลูออเรสเซนต์ที่สะท้อนจากจอคอมฯ ที่นี่คือโ
สองวันผ่านไป... สายวันอาทิตย์ แสงแดดอุ่น ลอดผ่านผ้าม่านบางทาบพื้นห้อง บรรยากาศมันควรจะ ชิลล์ เหมือนเช้าวันหยุดทั่วไปใช่ไหม? แต่ไม่เลย... วันนี้ฉันไม่มีเวลามานอนตากแดดสวย ๆ จิบกาแฟเอ็นจอยกับวันหยุดเพราะตอนนี้ ฉันกำลังนั่งจิกหัวตัวเองอยู่หน้ากระจกในห้องน้ำ มือขยี้แชมพูใส่หัวแบบเอาเป็นเอาตาย ฟองฟูเต็มศีรษะ แชมพูเปลี่ยนสีผมไหลย้อยลงมาตามกรอบหน้า ตาแดง ๆ เพราะแสบ หรือเพราะสำนึกก็ไม่แน่ใจภารกิจหลักวันนี้คือ "กู้ลุคกลับมาจากความใจกล้าสุดฤทธิ์เมื่อสองวันก่อน" ให้ดูเนียนพอที่พ่อกับแม่จะไม่ถามด้วยน้ำเสียงเรียบเย็นว่า “ลูก...ไปทำอะไรมา?”ทันใด เสียงกริ๊งหน้าห้องดังขึ้นเป๊ะเหมือนนาฬิกาจับเวลาติ๊ง ต๊อง !“เดี๋ยววว! มาแล้ว ๆๆ!” ฉันวิ่งพรวดทั้งที่หัวฟองยังฟูฟ่อง เปิดประตูให้แยมกับแพรวเพื่อนสาวสายแซ่บ สองนางยืนจ้องฉันตาโตแบบไม่ได้ตั้งตัวแยมเบิกตากว้าง เหมือนเห็นฉันเอาหัวไปจุ่มถังสี “แก...ทำไรกับหัววะ ลี่?”ฉันถอนหายใจยาว หน้าตาเหมือนเพิ่งผ่านสมรภูมิรบมา “พรุ่งนี้พ่อแม่จะมา…แกคิดว่าถ้าฉันยังหัวบลอนด์อยู่จะรอดไหมอะ?”“ ต้องรีเซ็ตลุคก่อนโดนสอบสวนยับนะ!”แพรวหัวเราะคิกๆ มือยกมือถือขึ้นตั้
ใช่แล้วค่ะ... ฉันเปลี่ยนหน้าจอคอมจากงบการเงินที่ตัวเลขยังขัดแย้งกันไปหมด ไม่ใช่เพราะสมการไม่สมดุล แต่เพราะสมองฉันมัน ‘ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว’มันมัวแต่ย้อนไปเมื่อคืน ภาพในหัววนซ้ำเหมือนวิดีโอที่กดรีเพลย์ ...เสียงหัวเราะต่ำ ๆ นั่น ...แววตาเจ้าเล่ห์แบบที่ทำให้ฉันอยากหันหน้าหนีแต่ขากลับไม่ยอมก้าว ...และ ‘สัมผัส’ ที่มันดันจุดอะไรบางอย่างในตัวฉันขึ้นมาโดยไม่ขออนุญาตฉันถอนหายใจ แต่ดวงตาฉันกำลังจ้อง Google เหมือนเป็นช่องทางสืบราชการลับ ฉันแปลงนิ้วตัวเองให้เป็นสายสืบพิเศษทันที มือก็ค่อย ๆ พิมพ์ลงในช่องค้นหา... “พายุ”ชื่อเดียวที่ฉันมี ชื่อเดียว ที่มันดังก้องในหัวตลอดเช้านี้...แล้วฉันก็นั่งค้างอยู่ตรงนั้น นิ้วชะงักกลางแป้นพิมพ์ สายตาจ้องจอเหมือนคนโดนสาปเพราะฉันไม่รู้จะต่อยังไงต่อ ไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร ไม่รู้ว่ากำลังจะเจออะไร...หรือว่าอยากเจออะไรมีแค่เสียงในหัวที่ดังก้องอยู่เงียบ ๆ "นี่ฉัน...กำลังจะเริ่มอะไร ที่มันควรเริ่มหรือเปล่านะ?"…แต่ในอีกมุมหนึ่งของเมือง— ชายหนุ่มร่างสูงในชุดสูทน้ำเงินเข้ม ยืนนิ่งอยู่กลางเวทีแสงไฟสาดสว่าง แสงแฟลชจากกล้องรอบตัวกะพริบรัวราวกับสายฟ้าในพายุ แ