และแล้ว… วันนี้ก็มาถึง
จริง ๆ มันก็แค่วันศุกร์ธรรมดา — วันหยุดราชการที่ควรจะเอาไว้นอนดูซีรีส์ กินข้าวกล่องแบบเดิม แต่ไม่ใช่วันนี้เพราะวันนี้... หัวใจฉันเต้นแรงราวกับกำลังจะเข้ารอบไฟนอลของเรียลลิตี้โชว์ ที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองสมัครไว้ตอนไหน
ไม่มีสคริปต์ ไม่มีพร็อพ ไม่มีแผนสำรอง มีแค่ใจที่สั่น... กับร่างที่ถูกเซตมาเต็มแม็กซ์ตั้งแต่เช้าเสื้อโค้ทยาวคลุมเข่า…เป็นเหมือนเกราะกำบังสุดท้าย ก่อนฉันจะกลั้นใจเปิดประตูแท็กซี่ ก้าวเท้าลงตรงหน้าร้าน 669
แสงนีออนกระพริบอยู่เหนือหัว ป้ายไฟสีน้ำเงินดูเย้ายวนกว่าทุกครั้งที่เคยผ่านมา และพวกเธอก็ยืนรออยู่ตรงนั้น
แพรว กับ แยม สองสาวสุดแซ่บ เพื่อนรักตั้งแต่สมัยเรียนที่ไม่เคยปล่อยให้ชีวิตฉันเรียบเกินไปเรานัดกินข้าวบ้าง นัดเมาท์มอยบ้าง
แต่คืนนี้...ไม่เหมือนทุกคืน คืนนี้คือ "คืนแรกในไนท์คลับ" ของฉัน ลินลี่ยังไม่ทันได้พูดอะไร แพรวก็ลากฉันตรงไปที่ห้องน้ำหญิงด้านหลังร้านทันที
“ลี่! ไปเติมหน้าด่วน! ปากกับแก้มแกจืดมาก เหมือนคนเพิ่งตื่นมา แล้วโดนหลอกให้มาเที่ยว”“โห พูดขนาดนี้เลยเหรอ…” ฉันยิ้มเจื่อน ๆ แต่ก็ปล่อยให้โดนลากไปแบบคนที่ปากบอกไม่ แต่ใจกำลังลุ้นจัด“คืนนี้แกต้องแซ่บ! ไม่ใช่ซึม!” แยมเสริม พร้อมหยิบลิปสติกจากกระเป๋าออกมา “จะไป one night หรือ just one drink อย่างน้อยต้องให้เขาจำหน้าแกได้ก่อน!”ฉันยิ้มแหย ๆ มองหน้าตัวเองในกระจก…
คืนนี้ฉันกำลังจะเปลี่ยนไป หรืออาจจะแค่เริ่มต้นอะไรบางอย่าง ที่ฉันก็ยังไม่รู้ว่า...จะหยุดมันได้เมื่อไหร่ลินลี่เวอร์ชั่นใหม่ ผมลอนเบาสีบลอนด์ทอง สะบัดพลิ้วเหมือนโฆษณาแชมพู สลวยจนลมยังเหมือนอยากพุ่งเข้ามาเล่นด้วย
ลอนผมแตะไหล่พอดีพริ้วอย่างมีจังหวะ เหมือนรู้ว่าตัวเองคือไฮไลต์ของคืนนี้
ริมฝีปากสีเชอร์รี่อ่อน กับผิวโกลว์นวลเนียนเหมือนถูกเปิดฟิลเตอร์ออโต้
ฉันยืนอยู่ตรงนั้น กลางแสงไฟนีออนที่สะท้อนวูบวาบจากเดรสเกาะอกสีแดงสด
เนื้อผ้ารัดกระชับรับสัดส่วน เผยผิวเนียนและขาเรียวพอดีทุกองศา แรงสะท้อนจากไฟไม่ใช่แค่ตกกระทบเนื้อผ้า แต่มันเหมือนฉายแสงมาที่ฉัน...คนที่ไม่เคยกล้าแต่งตัวแบบนี้มาก่อนไม่ต้องพูดอะไร
แค่สบตาตัวเองในกระจก ฉันก็แทบจำตัวเองไม่ได้แล้ว“นี่แก... สวยจนฉันอยากจิกตาเองเลยนะ!” แยมแซว พลางเอื้อมมาจัดลอนผมให้ฉันเบา ๆ
“เดี๋ยวก่อน! ถ่ายรูปเก็บไว้ก่อน พรุ่งนี้ฉันจะได้โชว์ว่า ‘นี่แหละ… ลินลี่เวอร์ชั่นแซ่บ!’” แพรวยิ้มกว้างก่อนยกมือถือขึ้นในมุมแสงสวย ถ่ายรูปเราสามคนในห้องน้ำที่กลายเป็นแบ็กดรอปเฉพาะกิจโพสต์นั้นปรากฏบนอินสตาแกรมของแพรวภายในไม่ถึงนาที พร้อมแคปชั่นเด็ดว่า:
✨ Girls just wanna shine# ลินลี่่คนไหม่ไฟลุก#ไนท์แรกแซ่บไฟแล่บ#สามสาวเข้าโหมดล่าแพรวเป็นสายโซเชียลมือโปร มีผู้ติดตามเป็นหมื่นเหมือนอินฟลูฯแถวหน้า ไม่แปลกที่ไอจีเริ่มเด้งโนติรัว ๆ หลังรูปนั้นถูกโพสต์ไม่ทันไร โลกออนไลน์ก็รู้ว่า "สามสาวแซ่บ" เช็กอินที่ไนท์คลับ 669 แล้ว
DM ของแพรวเริ่มเข้ารัว ๆ หนุ่ม ๆ หลายคนเริ่มทัก และนั่นคือจุดเริ่มต้นของค่ำคืนที่... ฉันเองก็ยังไม่รู้ว่าจะพาไปไกลแค่ไหนฉันกำลังยืนอยู่ตรงหน้าประตูที่ไม่เคยคิดจะเปิดเข้ามาก่อนเลยตลอด 24 ปี
ไม่รู้ว่ามันคือความตื่นเต้น ความกลัว หรือความบ้าจี้ แต่คืนนี้ ฉันอยากรู้ว่า... "การลอง" มันให้ความรู้สึกแบบไหนหัวใจเต้นแรงแบบไม่ปกติ มือก็เย็นเหงื่อซึม
ฉันสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด พยายามสั่งตัวเองให้ดูมั่นใจ ทั้งที่ในหัวมีแต่เสียงตีกันวุ่นวาย"ถ้าเข้าไปแล้วไม่มีอะไรเกิดขึ้นล่ะ?"
"ถ้ามันเปลี่ยนฉันไปเลยล่ะ?" "แล้วถ้าฉัน...เผลอรู้สึกกับใครบางคนจริง ๆ ล่ะ?"กระโปรงรัด ๆทำให้ฉันไม่กล้าขยับแรง
แต่ในความอึดอัดนั้น มันกลับมี "อะไรบางอย่าง" มันไม่ใช่ความอาย...แต่มันคือความ ‘กล้าแบบไม่แน่ใจ’ ความรู้สึกที่เหมือนล่องลอยอยู่กึ่งกลางระหว่างโลกเก่าที่ฉันรู้จัก กับโลกใหม่ที่กำลังจะพุ่งเข้าใส่ฉันเต็มแรงคืนนี้ไม่ใช่แค่ "ดื่ม"
คืนนี้อาจเป็นครั้งแรกที่ฉันได้...ใช้ชีวิต แบบที่ไม่ใช่แค่หายใจเสียงเบสดังตุ้บ ๆ ดังทะลุกำแพงเข้ามาตั้งแต่ยังไม่เปิดประตู
พอฉันก้าวเข้าไปในคลับ 669 จริง ๆ เท่านั้นแหละ... โลกเหมือนถูกเร่งสปีดไฟวิ่งสลับสี แสงแฟลชวูบวาบสะท้อนกับกระจกบาร์อย่างบ้าคลั่ง
คนเต็มไปหมด! เต้นกันเหมือนโลกจะไม่มีพรุ่งนี้ แต่ละคนแต่งตัวจัดจ้าน กลิ่นน้ำหอมแพง ๆ ปะทะกันในอากาศเหมือนจะท้าแข่งกันเองฉันเดินตามแพรวกับแยมที่ดูช่ำชองเหมือนเจ้าถิ่น
ส่วนฉัน... เดินเก้ ๆ กัง ๆ ในชุดที่เรียกว่าทั้งชีวิตไม่เคยใส่มาก่อนเดรสรัดรูป? รองเท้าส้นสูง? คือแค่เดินไม่ให้สะดุดก็นับว่าเก่งมากแล้วเราไปหยุดตรงบาร์ พี่บาร์เทนเดอร์หล่อแบบที่เห็นแต่ในซีรีส์ฝรั่ง
แพรวดีดนิ้วใส่เขาเบา ๆ แล้วหันมาถามฉัน “ลี่ แกเอาอะไรเบา ๆ ก่อนนะ เดี๋ยวหลับ”“ขอ...อันที่หวาน ๆ ก็ได้ แบบไม่แรงมาก” ฉันตอบเสียงเบา แต่พี่บาร์เทนเดอร์ยิ้มให้เหมือนรู้ว่า...มือใหม่แน่นอน
ไม่ถึงสองนาที แก้วทรงสูงวางตรงหน้าฉัน
สีชมพูใส ๆ มีผลไม้เสียบไม้อยู่ด้านบน กลิ่นหอมเหมือนน้ำพันช์ในงานเลี้ยงรุ่น ฉันจิบเข้าไปคำแรกหวานเย็น ซ่า ละมุนลิ้น แล้วก็...รู้สึกหัวใจเต้นแรงกว่าเดิมเล็กน้อยฉันนั่งลงบนเก้าอี้บาร์ มองบรรยากาศรอบตัวอย่างระแวดระวัง
แต่ก็แอบรู้สึก...ตื่นเต้น แบบที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อนเลยในชีวิตนี่ฉันเหรอ... ลินลี่?
คนที่เมื่อก่อนใช้คืนวันศุกร์นั่งพับขา กินข้าวกล่องหน้าทีวี ดูซีรีส์ซ้ำเรื่องเดิมวนไปจนง่วง แต่ตอนนี้ฉันกลับยืนอยู่ใต้แสงไฟนีออน จิบค็อกเทลรสเปรี้ยวอมหวานในแก้วทรงสูง เสียงเบสสั่นสะเทือนถึงปลายรองเท้า กระโปรงที่รัดแน่นจนเดินไม่ถนัด แต่ฉันก็ยังยิ้มออก“ครั้งเดียวในชีวิตก็ได้น่า...” ฉันบอกตัวเองในใจ
เพราะนี่คือ ‘ลินลี่เวอร์ชั่นใหม่’ ที่ไม่ขอหลบอยู่หลังแว่นหนาอีกต่อไป“คุณพายุครับ เราต้องเลี้ยวเข้าทางสวนมะม่วงนี้นะครับ…จะมืดแล้วด้วย มันจะโอเคจริง ๆ เหรอครับ?”บอดี้การ์ดคนสนิทของผมเริ่มลังเล น้ำเสียงเต็มไปด้วยความกังวล เพราะเส้นทางที่เรากำลังจะเข้าไปเป็นถนนดินลูกรัง ไร้แสงไฟ และทอดผ่านสวนมะม่วงเขียวครึ้ม“ขับไปตามเส้นทางที่วางไว้เถอะครับ” ผมตอบสั้น ๆอย่างไม่หวั่นไหว รถสปอร์ตคันเงาค่อย ๆ แล่นไปตามทางดิน ผ่านใบไม้ที่ปลิวตามแรงลมอ่อนยามค่ำ ผมลดกระจกลงเล็กน้อย สวนมะม่วงสองฝั่งเต็มไปด้วยผลสุกหอม กลิ่นละมุนและสีเขียวชอุ่มที่ไม่คุ้นตา เส้นขอบฟ้าเปล่งแสงสีแดงส้มเติมแต่งบรรยากาศให้ดึงดูดใจผมอย่างยิ่ง อาจเพราะมันเผยอีกด้านหนึ่ง… ด้านที่ผมไม่เคยสัมผัสข้าง ๆ เบาะ ผมวางช่อดอกไม้ พร้อมโน้ตใบหนึ่งที่เขียนคำว่า “ขอโทษ… จากใจผม” ซึ่งผมตั้งใจมอบให้หญิงสาวผู้ใสซื่อ เหมือนความหมายของชื่อเธอ ด้วยมือของผมเองรถเคลื่อนตัวช้า ๆ ลัดเลาะผ่านสวนผลไม้ของชาวบ้าน บอดี้การ์ดสลับสายตาระหว่างแผนที่กระดาษขนาดเล็กในมือกับถนนเบื้องหน้า… จนในที่สุด รถก็หยุดนิ่ง เขาหันมาช้า ๆ ก่อนเอ่ยด้วยเสียงมั่นใจ “ถึงแล้วครับ คุณพายุ ”ผมก้าวลงจากรถ อย่างไม่ไหวเอน แสงอาทิตย์สีส้มกำลังลับขอบฟ้า
ตึก…ตึก…เสียงหัวใจของ เจ้าสัวชานน เต้นหนัก ทุกก้าวของรองเท้าหนังเงาวับกระแทกพื้นหินอ่อนก้องสะท้อนทั่วคฤหาสน์ ความโมโหพวยพุ่งไล่ไปตามเส้นเลือด เส้นขมับเต้นตุบ ๆ ดั่งภูเขาไฟที่จวนปะทุปัง! มือหนาผลักบานประตูห้องนอนจนไม้สั่นสะเทือนภายในกลับเงียบงันเตียงเรียบกริบไร้รอยยับ ระเบียงเปิดอ้า ลมพัดผ่านม่านสีครีมไหวเอื่อย ตัดกับหัวใจของเจ้าสัวที่กำลังลุกโชนเป็นไฟ ราวกับขุมเพลิงนรก ลางสังหรณ์คลืบคลานเข้ามาเหมือนเงาดำเกาะแน่น เจ้าสัวชานน รู้สึกได้ถึงความดันเลือดพุ่งสูงทุกวินาที สายตากวาดมองรอบห้องก่อนเหลือบไปเห็น บานตู้เสื้อผ้าที่เปิดแง้ม เท้าหนักขยับเข้าใกล้ หัวใจเต้นรัวระส่ำเหมือนลุ้นผลชี้ชะตาแกร๊ก …ข้างใน…เหลือเพียง ชุดทักซิโด้สีขาวที่ตัดเย็บอย่างประณีตเพื่องานในวันนี้โดยเฉพาะ แขวนอยู่กลางตู้เด่นชัดเหมือนตั้งใจจะเย้ยหยัน ใต้ไม้แขวนมีกระดาษโน้ตใบเล็ก ติดอยู่ด้วยหมุดเงิน บนกระดาษมีลายมือที่เขาจำได้แม่น “ผมขอเป็นเจ้าของหัวใจตัวเองนะครับ พ่อ”โลกทั้งใบดับวูบราวมีใครตัดกระแสไฟลงฉับพลัน เสียงทุกอย่างหายไปกลายเป็นความเงียบหนาหนักจนหูอื้อ หัวใจเต้นแรงจนเจ็บลามขึ้นขมับ ลมหายใจขาดห้วง สายตาพร่า
เช้าวันนี้ ฉันกับแม่ตื่นตั้งแต่ไก่โห่ ขูดมะพร้าว คั้นน้ำกะทิ เตรียมข้าวเหนียวมูนอย่างตั้งใจ ตัดมะม่วงสุกอย่างละเมียดละไม จนตอนนี้ ข้าวเหนียวมะม่วงในกล่องถูกจัดไว้อย่างสวยงาม แต่ละกล่องแต่งด้วยดอกกล้วยไม้สดสีม่วง วางเรียงเป็นแถวสะดุดตาฉันหยิบตะกร้าไม้หวายขึ้นมา แล้วเรียงกล่องทีละใบอย่างเบามือ เพราะรู้ดีว่าหากเผลอเอียงไปแม้เล็กน้อย ความตั้งใจทั้งหมดอาจเสียหายไปทันที“เสร็จหรือยังจ้ะ ลินลี่?”“เรียบร้อยแล้วค่ะ” ฉันตอบพลางเงยหน้าขึ้น ขณะวางกล่องสุดท้ายลงในตระกร้าวันนี้ ทั้งสองคนแต่งตัวเหมือนกำลังจะไปงานสำคัญระดับกรมทหาร พ่อมาในสูทเรียบกริบไร้ที่ติ ส่วนแม่ก็เลือกชุดผ้าไหมแขนกระบอกที่ดูอ่อนช้อยส่วนฉันสวมเดรสแขนกุดสีฟ้ายาวเกือบปิดข้อเท้า คลุมไหล่ด้วยผ้าเรียบสีอ่อน ทุกอย่างดูเป๊ะไปหมดราวกับภาพที่พ่อแม่ออกแบบไว้ล่วงหน้า…พ่อขับรถออกจากสวนมะม่วง ใช้เวลาไม่นานนัก…เราก็มาถึงบ้านของอเล็กซ์ บ้านไม้สักทรงไทยสีแดงทั้งหลังตั้งโดดเด่น อยู่บนที่ดินกว่าสิบไร่ เมื่อเลี้ยวรถผ่านประตูรั้วที่เปิดกว้าง เสียงเครื่องยนต์ดับลงพอดี ทั้งสามคนก็เดินออกมาต้อนรับด้วยรอยยิ้มอบอุ่น ฉันรู้สึกตื่นเต้นทันทีที่ก้าวลงจ
ยิ่งห่างจากแสงสีและความวุ่นวาย มากเท่าไร ความโล่งใจยิ่งเพิ่มขึ้นเท่านั้นนะ ลินลี่ เสียงหัวใจของฉันกระซิบแผ่วเบา ขณะกำมือถือเอาไว้ ก่อนจะกดปิดแล้วโยนมันลงกระเป๋าเหมือนสิ่งไร้ค่า เพราะทันทีที่ก้าวเข้าสู่พื้นที่ของครอบครัว ทุกสิ่งจากโลกภายนอกก็เหมือนไร้ความหมายไปทันทีรถเคลื่อนเข้าใกล้บ้านทีละนิด ความกดดันค่อย ๆ หลุดลอยไปทีละชั้น แสงอาทิตย์ยามอัสดงทอดผ่านสองข้างทาง สวนผลไม้ที่คุ้นตา กลิ่นมะม่วงสุกและความเขียวขจีพาฉันย้อนกลับไปสู่ความทรงจำในวัยเยาว์ฉันปีนต้นมะม่วง พลัดตกลงมา ร้องไห้เจ็บปวด พ่อแม่ต้องคอยปะคบปะหงมปลอบประโลม ความห่วงใยนั้นตีขึ้นมาอีกครั้งในใจ เพียงแค่คิด ความอบอุ่นก็แผ่ซ่านเข้ามาเติมเต็มหัวใจ ฉันเผลอยิ้มกว้างดวงตาเปล่งประกายสดใส ราวกับได้สัมผัสรักแท้ที่ไม่มีข้อแม้ ความรู้สึกนั้นค่อย ๆ แทรกซึมเข้ามาโดยไม่รู้ตัว รถเคลื่อนผ่านสวนผลไม้ไปอย่างช้าๆ กระจกลงต่ำสุดลมกระทบใบหน้าฉันเบาๆ ฉันยื่นแขนออกไปให้มือสัมผัสใบไม้ไปที่ละใบ…ทีละใบไปเรื่อยๆในที่สุด… ก็มาถึง.. บ้านไม้สองชั้นตั้งตระหง่านท่ามกลางสวนมะม่วงเขียวชอุ่ม ร่มรื่นเสียงเรือที่แล่นผ่านคลองหลังบ้านดังแว่วมาเป็นระยะ ๆ เหม
ผ่านมาสองวันเต็มที่ฉันปล่อยตัวเองให้จมอยู่กับความเงียบในห้องแคบ ๆ … จนเวลาค่อย ๆ บรรเทาความอึดอัด ในใจให้จางลงทีละน้อยตอนนี้สายตาฉันหยุดนิ่งที่หน้าจอแท็บเล็ต ข่าวด่วนพาดหัวใหญ่ราวกับแถลงการณ์ทางการของผู้ทรงอำนาจ โดดเด่นจนกลบข่าวฉาวเมื่อวานไปหมดสิ้น“เจ้าสัวชานนท์วิวัฒน์ ประกาศยืนยันพิธีหมั้นของบุตรชายเพียงคนเดียว ‘พายุ’ กับ ‘มาริสา’ นางแบบชื่อดังและทายาทของตระกูลเดอลากูล อย่างเป็นทางการ วันอาทิตย์นี้ ที่โรงแรมหรูริมแม่น้ำเจ้าพระยา”ตัวอักษรบนหน้าจอชัดเจนเหมือนกำลังตบหน้าฉันเต็มแรง ยิ่งตอกย้ำว่าเรื่องทั้งหมดที่ผ่านมา…ก็แค่ความฝันสั้น ๆ ที่ไม่เคยมีอยู่จริง ฉันปิดแท็บเล็ตลงอย่างเด็ดขาด สูดลมหายใจเข้าลึก บังคับให้หัวใจที่สั่นไหวกลับมาเข้าที่ กดความเจ็บแน่นไว้ข้างใน แล้วเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงมั่นคง“พอแล้ว…ดราม่าทั้งหมด จบแค่นี้” เพราะโลกไม่ได้หยุดหมุนแค่วันนี้ ฉันยืดหลังตรง ตั้งใจจะเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋า วันนี้คือวันที่ต้องกลับราชบุรี ตามสัญญากับครอบครัว แต่ยังไม่ทันได้ขยับ เสียงวิดีโอคอลจากมือถือก็ดังขึ้น นิ้วเรียวสไลด์รับแทบจะทันที ราวกับกลัวว่าถ้าช้าไปจะกลายเป็นความผิดซ้ำภาพบนหน้าจ
“ลินลี่… เธอจะแจ้งตำรวจไหม?” แพรวเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงขณะที่สายตาเธอจ้องมาที่ฉัน ตอนที่ปลายนิ้วกำลังเช็ดน้ำตาหยดสุดท้ายออกจากแก้ม“ไม่เป็นไรหรอก แพรว..แยม”เสียงฉันเบา ราวกับยังไม่มั่นใจในคำตอบของตัวเองด้วยซ้ำ“เธอ… แน่ใจนะ ลี่?” แยมเอ่ยซ้ำ ด้วยน้ำเสียงหนักแน่นฉันถอนหายใจลึก ๆ ก่อนตอบออกไปอย่างไม่ง่ายดาย “ฉัน..แน่ใจ”แพรวพยักหน้าช้าๆ แววตาเต็มไปด้วยความเข้าใจ ก่อนจะพูดตรงไปตรงมา“ฉันรีบมาเลยนะ ตอนเห็นภาพผู้หญิงใส่เดรสครีมนั้นแค่เสี้ยววินาที ฉันก็มั่นใจว่าเป็นแก แต่ฟังนะ ลี่…ฉันกับแยมไม่เคยคิดจะตำหนิแกหรอก อย่างน้อยสิ่งที่แกเลือกทำ มันก็คือการลองออกจากกรอบเดิม ถึงจะเจ็บ ถึงจะทิ้งรอยแผลไว้…แต่มันก็คือประสบการณ์ ที่ไม่มีใครแย่งไปจากแกได้”แยมขยับเข้ามาใกล้ ยกมือแตะไหล่ฉันเบาๆ “แต่แกน่าจะบอกพวกเรานะ ว่าแอบไปเดทกับพายุ อย่างน้อยฉันกับแพรวจะได้ดูอยู่ข้างหลังคอยกันไม่ให้ใครทำร้ายแก”ฉันเงยหน้าขึ้นสบตาของแยมที่เต็มไปด้วยความจริงใจ ทั้งหนักแน่น ทั้งห่วงใย ก่อนที่คำพูดจะพรั่งพรูออกมา“ลินลี่…แกเดินเร็วเกินไปแล้วนะ ลองถอยกลับมาสักก้าวได้ไหม? สำคัญที่สุด…เป็นไปได้ออกมาจากตรงนั้นเถอะ ที่ผ