เวลาผ่านไปพักใหญ่ ความรู้สึกคุ้นเคยก็ยังไม่มาสักที
ฉันนั่งอยู่ท่ามกลางแสงสลัวและเสียงเพลงดังระรัว สมองกับหัวใจเริ่มเถียงกันเสียงดังลั่นในหัว
“อยู่ต่ออีกนิดสิ ลองเปิดใจดูหน่อย”
“แต่ก็ไม่ใช่ที่ของเราเลยนะ กลับเถอะ…”
มือกำแก้วแน่น สายตามองไปรอบๆ อย่างเหม่อๆ
แล้วจู่ๆ...
สายตาทั้งคู่ก็ถูกดึงดูดราวกับแม่เหล็ก
เหมือนภาพเบื้องหน้าสะกดทุกอย่างให้หยุดนิ่ง
เขา...ชายคนหนึ่งในเสื้อเชิ้ตสีเข้มกับกางเกงพอดีตัว
จมูกเป็นสัน คางคม ใบหน้าเรียวรับกับกรอบหน้าราวกับภาพถ่ายจากแมกกาซีนเขาก้าวเข้ามาพร้อมรอยยิ้มที่เหมือนจะผ่านโลกมานับครั้งไม่ถ้วน
หยุดอยู่แค่ตรงนั้น หน้าทางเข้า ทักใครบางคนสั้น ๆ แล้วเหลือบสายตามาทางนี้ชั่ววินาทีนั้น
ลมหายใจฉันสะดุดเหมือนใครมากดปุ่มหยุดใบหน้าคมเงยขึ้นอีกครั้ง แววตาเฉียบคมเหลือบมาสบ
เหมือนแค่ “บังเอิญ” … หรือ… มันไม่ใช่แค่บังเอิญกันแน่?และวินาทีนั้นเอง มุมปากเจ้าเสน่ห์ค่อยๆยกขึ้นแล้วยิงตรงมาที่ฉันอย่างจงใจแบบที่ทำให้ค็อกเทลในมือฉันเหมือนแรงไปในลำคอ
...ฉันรู้เลยว่า คืนนี้ มันจะไม่เหมือนคืนไหนในชีวิตฉันอีกเลย“พายุ…”เสียงแหลมสูงของสาวกลุ่มหนึ่งด้านหลังดังขึ้น ทะลุผ่านจังหวะดนตรีและเบสหนัก ๆ
ผู้คนรอบข้างชะงัก หันขวับราวกับโดนพายุพัดใส่กลางอก
แค่ชื่อเดียว... ก็สั่นสะเทือนทั้งร้านได้ขนาดนี้
เขาก้าวเดินอย่างนิ่ง ๆ แต่ทุกฝีเท้าเหมือนปล่อยแรงโน้มถ่วงเฉพาะตัว สะกดสายตาทุกคู่ให้หันไปตามโดยไม่รู้ตัวผมเซ็ตอย่างเนี้ยบ...แต่เหมือนตั้งใจให้ดูเหมือนไม่ตั้งใจ
รอยยิ้มบางบนใบหน้าคมคาย ที่ไม่ได้พยายามขายเสน่ห์...แต่กลับดึงดูดจนหายใจผิดจังหวะและดวงตาคมเฉียบ เหมือนรู้ว่ามีใครแอบมองเขาอยู่บ้าง
...และเขาเลือกจะ มองกลับ แค่บางคนเท่านั้นแค่สบตาเขาแวบเดียว
ฉันเผลอกลืนน้ำลายลงคอแทบไม่ทัน รู้สึกเหมือนโดนไฟฟ้าอ่อน ๆ ดูดผ่านผิวหนัง ไม่แรงพอให้ช็อกตาย แต่แรงพอให้ใจสะดุดไม่เป็นจังหวะ“แก บ้าหล่อไปแล้วลี่ ทำหน้าเหมือนจะเป็นลม!” แยมกระซิบข้างหูฉัน
แต่ฉันไม่ได้ตอบอะไร... แค่มองเขาอยู่ตรงนั้น ถ้าคืนนี้... ใครสักคนจะเป็นคนแรกของฉัน ก็ขอให้เป็นเขา ผู้ชายคนนั้นที่เหมือนหลุดออกมาจากความฝัน ฉันหลับตาแนบเปลือกตาเบา ๆ ยกค็อกเทลขึ้นจิบ ราวกับกำลังอธิษฐานขอพรเงียบ ๆ ในใจ แค่หนึ่งคืน...ขอให้มันเป็นคืนที่ฉันได้ “มีชีวิต” แบบไม่ต้องคิดเยอะ พอฉันลืมตาขึ้นอีกครั้ง เขา... ก็ยืนอยู่ตรงหน้าแล้ว เหมือนจักรวาลได้ยินคำขอ และเสิร์ฟพายุลูกนี้มาให้ถึงที่ ไม่มีคำเตือนล่วงหน้า ไม่มีทางหนี“สวัสดีครับ แพรว แยม เอ่อ”
“ลินลี่ค่ะ” แพรวแทรกขึ้นทันทีแบบไม่ให้เสียเวลา แถมยังส่งยิ้มเจ้าเล่ห์ให้ฉันหนึ่งที“ยินดีที่ได้รู้จักครับ ผมพายุ”
เขาพูดพร้อมยื่นมือมาตามมารยาท แต่สายตา... มันไม่ใช่แค่ "ทักทาย" มันคือการ สำรวจ อย่างจงใจฉันยื่นมือออกไป แต่นิ้วเขาแตะมือฉันเบากว่าที่ควรจะเป็น...
เบาพอจะทำให้ขนลุก แต่แน่นพอจะทำให้หัวใจฉันสะดุดและระหว่างที่แพรวกับแยมหันไปหัวเราะคิกคักกับหนุ่มอีกโต๊ะ
ฉัน...กลับรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบมันช้าลง แค่เราสองคนยืนอยู่ตรงนั้นสายตาของเขา...
ไม่ได้แค่จ้อง แต่มันเหมือนกำลังแกะฉันออกทีละชั้น[มุมพายุ]
จังหวะที่เธอยกแก้วขึ้นจิบแบบไม่โปรนั่นแหละ...น่ารักฉิบหายไม่ทันไร...
เขาดีดนิ้วเบา ๆ เสียง “แชะ” ดังขึ้นแบบมั่นใจ เหมือนโลกทั้งผับนี้อยู่ในมือ บาร์เทนเดอร์หนุ่มหน้าคมเดินมาทันที ราวกับโดนสะกด “เซตช็อต...สำหรับเริ่มคืนดี ๆ สักคืน” เขาหันมามองฉันเล็กน้อยก่อนหันกลับไปพูดต่อ “...ของเธอด้วย” ฉันชะงัก ใจเต้นตึกตัก“หรือฉันควรปฏิเสธ?” เสียงในหัวถาม...แต่ร่างกายฉันไม่ได้รอฟังคำตอบ แค่รอยยิ้มนิดเดียวจากเขา...โลกมันก็เริ่มหมุนผิดจังหวะแล้ว แพรวกับแยมส่งยิ้มแบบรู้ทันจากมุมด้านข้าง แต่ฉันเลือกจะเมินสายตาเหล่านั้น คืนนี้ฉันไม่ได้มาเพื่อคิดเยอะ... คืนนี้ ฉันมาเพื่อ "ลอง" “เอ้า...ช็อตแรกของคืน” พายุยื่นแก้วเล็ก ๆ มาให้ฉัน พร้อมกับรอยยิ้มมุมปากที่เหมือนมีมนต์สะกด ฉันยื่นมือไปรับแบบลังเลนิด ๆ แต่สุดท้ายก็คว้าไว้ น้ำใสในแก้วกระทบแสงไฟในผับวูบวาบ ราวกับกำลังเตือนฉันว่า นี่ไม่ใช่น้ำเปล่านะเธอ “คือ...ฉันไม่ค่อยถนัดดื่มช็อตเท่าไหร่ค่ะ” ฉันยิ้มอ่อน ๆ พยายามพูดให้ฟังดูเบา แพรวกับแยมหลุดขำเบาๆ จากข้าง ๆ แต่พายุกลับไม่ได้หัวเราะ เขาแค่เอียงคอ มองฉันอย่างสนใจมากขึ้น “งั้นลองจิบก็ได้...ไม่มีใครบังคับ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มลึก แต่สายตายังแนบแน่นอยู่ที่ฉัน[มุมพายุ]
เธอกลัวนิด ๆ แต่ก็ยังไม่ถอยผู้หญิงแบบนี้แหละ...ของจริง ไม่เฟคฉันสูดหายใจ แล้วค่อย ๆ จิบ เหมือนเด็กฝึกหัดที่กลัวจะพลาดกลางเวที
ผลลัพธ์คือ...ไอค่อกแค่กแทบสำลักกลางบาร์ “อะแฮ่ม!” ฉันรีบยกมือปิดปาก น้ำตาเกือบไหล ไม่รู้เพราะแอลกอฮอล์หรือละอายตัวเอง พายุหัวเราะในลำคอเบา ๆ “น่ารักดี” คำสั้น ๆ แต่ทำเอาฉันชะงัก เพราะเขาพูดมันเหมือน หมายความตามนั้นจริง ๆ และในวินาทีนั้นเอง ฉันรู้... คืนนี้ จะไม่มีอะไรเป็นไปตามแผนที่ลินลี่เคยคิดไว้เลยสักอย่าง แต่เพียงกรึบหนึ่ง... มันก็เพียงพอให้ฉันตาลาย ราวกับโลกเหวี่ยงนิดๆ ใต้ส้นสูงคู่ใหม่ที่ไม่ค่อยมั่นคงนัก รสชาติแรงจี๊ดวิ่งจากปลายลิ้นไปถึงกระดูกสันหลัง ฉันกระพริบตาถี่ ๆ พยายามควบคุมสีหน้า อย่าทำหน้าเบี้ยวเด็ดขาดนะลินลี่! “โอเคมั้ย?” เสียงทุ้มนุ่มของพายุเอ่ยถาม ใกล้จนได้กลิ่นโคโลญจาง ๆ ที่โคตรแพง ฉันพยักหน้าเร็ว ๆ เหมือนหุ่นยนต์ “ค่ะ...โอเคอยู่ แค่...แรงกว่าที่คิดนิดหน่อย” เขาหัวเราะเบา ๆ เหมือนชอบใจ แต่ฉันรู้สึกเหมือนหน้าเริ่มร้อน ไม่แน่ใจว่าเพราะแอลกอฮอล์ หรือเพราะสายตาคม ๆ ของเขาที่มองมาไม่ละไปไหนเลย และตอนนั้นเอง... ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังหลุดจากกรอบชีวิตเดิมทุกวินาที ทีละนิด ทีละน้อย พร้อมจะไหลตามอะไรบางอย่างที่ไม่เคยกล้าลองมาก่อนพายุยื่นมือมาทันที รอยยิ้มมุมปากที่ดูมั่นใจและชวนหลงใหล
“ลินลี่... เต้นกับผมหน่อยไหม?” เสียงทุ้มเรียบแต่มีพลัง ทำให้หัวใจฉันเต้นแรงผิดจังหวะอีกครั้งฉันชะงักไปครู่หนึ่ง มองมือที่ยื่นมา แล้วมองหน้าเขา
ในใจมีเสียงกระซิบ “นี่แหละโอกาสของฉัน… คืนนี้ต้องลองให้สุด”“ได้ค่ะ...” ฉันตอบด้วยเสียงเบา ๆ พร้อมจับมือเขาไว้แน่น
ความรู้สึกที่ไม่เคยมีมาก่อนแล่นพล่านไปทั่วร่าง เสียงเพลงในผับกระแทกเข้ามาในหัวใจเหมือนกระตุ้นทุกประสาทสัมผัสพายุเดินนำฉันไปยังกลางฟลอร์
เขากุมมือฉันอย่างมั่นคง แต่สัมผัสนั้นอ่อนโยนกว่าที่ฉันคิดไว้มาก“อย่ากลัวนะ ลินลี่ แค่สนุกกับคืนนี้”
เขาพูดพร้อมส่งสายตาที่ทำให้ฉันอยากเชื่อใจเสียงเพลงจังหวะเร็วขึ้น
พายุเริ่มเคลื่อนไหวช้า ๆ ปล่อยให้ร่างกายตอบสนองกับบีท ฉันเริ่มขยับตามอย่างไม่มั่นใจนัก แต่เขาก็พาเดินทางไม่ให้สะดุดความรู้สึกอาย ๆ ที่เคยครอบงำใจฉันค่อย ๆ หายไป
แทนที่ด้วยความตื่นเต้นและอิสระ คืนนี้… ฉันไม่ใช่แค่ “ลินลี่คนเดิม”พายุพูดเบา ๆ ข้างหูฉัน “คืนนี้ เป็นคืนของเรา” และในวินาทีนั้น ฉันเชื่อว่า… สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น จะเป็นบทเริ่มต้นของเรื่องราวใหม่ในหน้าถัดไป“คุณพายุครับ เราต้องเลี้ยวเข้าทางสวนมะม่วงนี้นะครับ…จะมืดแล้วด้วย มันจะโอเคจริง ๆ เหรอครับ?”บอดี้การ์ดคนสนิทของผมเริ่มลังเล น้ำเสียงเต็มไปด้วยความกังวล เพราะเส้นทางที่เรากำลังจะเข้าไปเป็นถนนดินลูกรัง ไร้แสงไฟ และทอดผ่านสวนมะม่วงเขียวครึ้ม“ขับไปตามเส้นทางที่วางไว้เถอะครับ” ผมตอบสั้น ๆอย่างไม่หวั่นไหว รถสปอร์ตคันเงาค่อย ๆ แล่นไปตามทางดิน ผ่านใบไม้ที่ปลิวตามแรงลมอ่อนยามค่ำ ผมลดกระจกลงเล็กน้อย สวนมะม่วงสองฝั่งเต็มไปด้วยผลสุกหอม กลิ่นละมุนและสีเขียวชอุ่มที่ไม่คุ้นตา เส้นขอบฟ้าเปล่งแสงสีแดงส้มเติมแต่งบรรยากาศให้ดึงดูดใจผมอย่างยิ่ง อาจเพราะมันเผยอีกด้านหนึ่ง… ด้านที่ผมไม่เคยสัมผัสข้าง ๆ เบาะ ผมวางช่อดอกไม้ พร้อมโน้ตใบหนึ่งที่เขียนคำว่า “ขอโทษ… จากใจผม” ซึ่งผมตั้งใจมอบให้หญิงสาวผู้ใสซื่อ เหมือนความหมายของชื่อเธอ ด้วยมือของผมเองรถเคลื่อนตัวช้า ๆ ลัดเลาะผ่านสวนผลไม้ของชาวบ้าน บอดี้การ์ดสลับสายตาระหว่างแผนที่กระดาษขนาดเล็กในมือกับถนนเบื้องหน้า… จนในที่สุด รถก็หยุดนิ่ง เขาหันมาช้า ๆ ก่อนเอ่ยด้วยเสียงมั่นใจ “ถึงแล้วครับ คุณพายุ ”ผมก้าวลงจากรถ อย่างไม่ไหวเอน แสงอาทิตย์สีส้มกำลังลับขอบฟ้า
ตึก…ตึก…เสียงหัวใจของ เจ้าสัวชานน เต้นหนัก ทุกก้าวของรองเท้าหนังเงาวับกระแทกพื้นหินอ่อนก้องสะท้อนทั่วคฤหาสน์ ความโมโหพวยพุ่งไล่ไปตามเส้นเลือด เส้นขมับเต้นตุบ ๆ ดั่งภูเขาไฟที่จวนปะทุปัง! มือหนาผลักบานประตูห้องนอนจนไม้สั่นสะเทือนภายในกลับเงียบงันเตียงเรียบกริบไร้รอยยับ ระเบียงเปิดอ้า ลมพัดผ่านม่านสีครีมไหวเอื่อย ตัดกับหัวใจของเจ้าสัวที่กำลังลุกโชนเป็นไฟ ราวกับขุมเพลิงนรก ลางสังหรณ์คลืบคลานเข้ามาเหมือนเงาดำเกาะแน่น เจ้าสัวชานน รู้สึกได้ถึงความดันเลือดพุ่งสูงทุกวินาที สายตากวาดมองรอบห้องก่อนเหลือบไปเห็น บานตู้เสื้อผ้าที่เปิดแง้ม เท้าหนักขยับเข้าใกล้ หัวใจเต้นรัวระส่ำเหมือนลุ้นผลชี้ชะตาแกร๊ก …ข้างใน…เหลือเพียง ชุดทักซิโด้สีขาวที่ตัดเย็บอย่างประณีตเพื่องานในวันนี้โดยเฉพาะ แขวนอยู่กลางตู้เด่นชัดเหมือนตั้งใจจะเย้ยหยัน ใต้ไม้แขวนมีกระดาษโน้ตใบเล็ก ติดอยู่ด้วยหมุดเงิน บนกระดาษมีลายมือที่เขาจำได้แม่น “ผมขอเป็นเจ้าของหัวใจตัวเองนะครับ พ่อ”โลกทั้งใบดับวูบราวมีใครตัดกระแสไฟลงฉับพลัน เสียงทุกอย่างหายไปกลายเป็นความเงียบหนาหนักจนหูอื้อ หัวใจเต้นแรงจนเจ็บลามขึ้นขมับ ลมหายใจขาดห้วง สายตาพร่า
เช้าวันนี้ ฉันกับแม่ตื่นตั้งแต่ไก่โห่ ขูดมะพร้าว คั้นน้ำกะทิ เตรียมข้าวเหนียวมูนอย่างตั้งใจ ตัดมะม่วงสุกอย่างละเมียดละไม จนตอนนี้ ข้าวเหนียวมะม่วงในกล่องถูกจัดไว้อย่างสวยงาม แต่ละกล่องแต่งด้วยดอกกล้วยไม้สดสีม่วง วางเรียงเป็นแถวสะดุดตาฉันหยิบตะกร้าไม้หวายขึ้นมา แล้วเรียงกล่องทีละใบอย่างเบามือ เพราะรู้ดีว่าหากเผลอเอียงไปแม้เล็กน้อย ความตั้งใจทั้งหมดอาจเสียหายไปทันที“เสร็จหรือยังจ้ะ ลินลี่?”“เรียบร้อยแล้วค่ะ” ฉันตอบพลางเงยหน้าขึ้น ขณะวางกล่องสุดท้ายลงในตระกร้าวันนี้ ทั้งสองคนแต่งตัวเหมือนกำลังจะไปงานสำคัญระดับกรมทหาร พ่อมาในสูทเรียบกริบไร้ที่ติ ส่วนแม่ก็เลือกชุดผ้าไหมแขนกระบอกที่ดูอ่อนช้อยส่วนฉันสวมเดรสแขนกุดสีฟ้ายาวเกือบปิดข้อเท้า คลุมไหล่ด้วยผ้าเรียบสีอ่อน ทุกอย่างดูเป๊ะไปหมดราวกับภาพที่พ่อแม่ออกแบบไว้ล่วงหน้า…พ่อขับรถออกจากสวนมะม่วง ใช้เวลาไม่นานนัก…เราก็มาถึงบ้านของอเล็กซ์ บ้านไม้สักทรงไทยสีแดงทั้งหลังตั้งโดดเด่น อยู่บนที่ดินกว่าสิบไร่ เมื่อเลี้ยวรถผ่านประตูรั้วที่เปิดกว้าง เสียงเครื่องยนต์ดับลงพอดี ทั้งสามคนก็เดินออกมาต้อนรับด้วยรอยยิ้มอบอุ่น ฉันรู้สึกตื่นเต้นทันทีที่ก้าวลงจ
ยิ่งห่างจากแสงสีและความวุ่นวาย มากเท่าไร ความโล่งใจยิ่งเพิ่มขึ้นเท่านั้นนะ ลินลี่ เสียงหัวใจของฉันกระซิบแผ่วเบา ขณะกำมือถือเอาไว้ ก่อนจะกดปิดแล้วโยนมันลงกระเป๋าเหมือนสิ่งไร้ค่า เพราะทันทีที่ก้าวเข้าสู่พื้นที่ของครอบครัว ทุกสิ่งจากโลกภายนอกก็เหมือนไร้ความหมายไปทันทีรถเคลื่อนเข้าใกล้บ้านทีละนิด ความกดดันค่อย ๆ หลุดลอยไปทีละชั้น แสงอาทิตย์ยามอัสดงทอดผ่านสองข้างทาง สวนผลไม้ที่คุ้นตา กลิ่นมะม่วงสุกและความเขียวขจีพาฉันย้อนกลับไปสู่ความทรงจำในวัยเยาว์ฉันปีนต้นมะม่วง พลัดตกลงมา ร้องไห้เจ็บปวด พ่อแม่ต้องคอยปะคบปะหงมปลอบประโลม ความห่วงใยนั้นตีขึ้นมาอีกครั้งในใจ เพียงแค่คิด ความอบอุ่นก็แผ่ซ่านเข้ามาเติมเต็มหัวใจ ฉันเผลอยิ้มกว้างดวงตาเปล่งประกายสดใส ราวกับได้สัมผัสรักแท้ที่ไม่มีข้อแม้ ความรู้สึกนั้นค่อย ๆ แทรกซึมเข้ามาโดยไม่รู้ตัว รถเคลื่อนผ่านสวนผลไม้ไปอย่างช้าๆ กระจกลงต่ำสุดลมกระทบใบหน้าฉันเบาๆ ฉันยื่นแขนออกไปให้มือสัมผัสใบไม้ไปที่ละใบ…ทีละใบไปเรื่อยๆในที่สุด… ก็มาถึง.. บ้านไม้สองชั้นตั้งตระหง่านท่ามกลางสวนมะม่วงเขียวชอุ่ม ร่มรื่นเสียงเรือที่แล่นผ่านคลองหลังบ้านดังแว่วมาเป็นระยะ ๆ เหม
ผ่านมาสองวันเต็มที่ฉันปล่อยตัวเองให้จมอยู่กับความเงียบในห้องแคบ ๆ … จนเวลาค่อย ๆ บรรเทาความอึดอัด ในใจให้จางลงทีละน้อยตอนนี้สายตาฉันหยุดนิ่งที่หน้าจอแท็บเล็ต ข่าวด่วนพาดหัวใหญ่ราวกับแถลงการณ์ทางการของผู้ทรงอำนาจ โดดเด่นจนกลบข่าวฉาวเมื่อวานไปหมดสิ้น“เจ้าสัวชานนท์วิวัฒน์ ประกาศยืนยันพิธีหมั้นของบุตรชายเพียงคนเดียว ‘พายุ’ กับ ‘มาริสา’ นางแบบชื่อดังและทายาทของตระกูลเดอลากูล อย่างเป็นทางการ วันอาทิตย์นี้ ที่โรงแรมหรูริมแม่น้ำเจ้าพระยา”ตัวอักษรบนหน้าจอชัดเจนเหมือนกำลังตบหน้าฉันเต็มแรง ยิ่งตอกย้ำว่าเรื่องทั้งหมดที่ผ่านมา…ก็แค่ความฝันสั้น ๆ ที่ไม่เคยมีอยู่จริง ฉันปิดแท็บเล็ตลงอย่างเด็ดขาด สูดลมหายใจเข้าลึก บังคับให้หัวใจที่สั่นไหวกลับมาเข้าที่ กดความเจ็บแน่นไว้ข้างใน แล้วเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงมั่นคง“พอแล้ว…ดราม่าทั้งหมด จบแค่นี้” เพราะโลกไม่ได้หยุดหมุนแค่วันนี้ ฉันยืดหลังตรง ตั้งใจจะเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋า วันนี้คือวันที่ต้องกลับราชบุรี ตามสัญญากับครอบครัว แต่ยังไม่ทันได้ขยับ เสียงวิดีโอคอลจากมือถือก็ดังขึ้น นิ้วเรียวสไลด์รับแทบจะทันที ราวกับกลัวว่าถ้าช้าไปจะกลายเป็นความผิดซ้ำภาพบนหน้าจ
“ลินลี่… เธอจะแจ้งตำรวจไหม?” แพรวเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงขณะที่สายตาเธอจ้องมาที่ฉัน ตอนที่ปลายนิ้วกำลังเช็ดน้ำตาหยดสุดท้ายออกจากแก้ม“ไม่เป็นไรหรอก แพรว..แยม”เสียงฉันเบา ราวกับยังไม่มั่นใจในคำตอบของตัวเองด้วยซ้ำ“เธอ… แน่ใจนะ ลี่?” แยมเอ่ยซ้ำ ด้วยน้ำเสียงหนักแน่นฉันถอนหายใจลึก ๆ ก่อนตอบออกไปอย่างไม่ง่ายดาย “ฉัน..แน่ใจ”แพรวพยักหน้าช้าๆ แววตาเต็มไปด้วยความเข้าใจ ก่อนจะพูดตรงไปตรงมา“ฉันรีบมาเลยนะ ตอนเห็นภาพผู้หญิงใส่เดรสครีมนั้นแค่เสี้ยววินาที ฉันก็มั่นใจว่าเป็นแก แต่ฟังนะ ลี่…ฉันกับแยมไม่เคยคิดจะตำหนิแกหรอก อย่างน้อยสิ่งที่แกเลือกทำ มันก็คือการลองออกจากกรอบเดิม ถึงจะเจ็บ ถึงจะทิ้งรอยแผลไว้…แต่มันก็คือประสบการณ์ ที่ไม่มีใครแย่งไปจากแกได้”แยมขยับเข้ามาใกล้ ยกมือแตะไหล่ฉันเบาๆ “แต่แกน่าจะบอกพวกเรานะ ว่าแอบไปเดทกับพายุ อย่างน้อยฉันกับแพรวจะได้ดูอยู่ข้างหลังคอยกันไม่ให้ใครทำร้ายแก”ฉันเงยหน้าขึ้นสบตาของแยมที่เต็มไปด้วยความจริงใจ ทั้งหนักแน่น ทั้งห่วงใย ก่อนที่คำพูดจะพรั่งพรูออกมา“ลินลี่…แกเดินเร็วเกินไปแล้วนะ ลองถอยกลับมาสักก้าวได้ไหม? สำคัญที่สุด…เป็นไปได้ออกมาจากตรงนั้นเถอะ ที่ผ