เวลาผ่านไปพักใหญ่ ความรู้สึกคุ้นเคยก็ยังไม่มาสักที
ฉันนั่งอยู่ท่ามกลางแสงสลัวและเสียงเพลงดังระรัว สมองกับหัวใจเริ่มเถียงกันเสียงดังลั่นในหัว
“อยู่ต่ออีกนิดสิ ลองเปิดใจดูหน่อย”
“แต่ก็ไม่ใช่ที่ของเราเลยนะ กลับเถอะ…”
มือกำแก้วแน่น สายตามองไปรอบๆ อย่างเหม่อๆ
แล้วจู่ๆ...
สายตาทั้งคู่ก็ถูกดึงดูดราวกับแม่เหล็ก
เหมือนภาพเบื้องหน้าสะกดทุกอย่างให้หยุดนิ่ง
เขา...ชายคนหนึ่งในเสื้อเชิ้ตสีเข้มกับกางเกงพอดีตัว
จมูกเป็นสัน คางคม ใบหน้าเรียวรับกับกรอบหน้าราวกับภาพถ่ายจากแมกกาซีนเขาก้าวเข้ามาพร้อมรอยยิ้มที่เหมือนจะผ่านโลกมานับครั้งไม่ถ้วน
หยุดอยู่แค่ตรงนั้น หน้าทางเข้า ทักใครบางคนสั้น ๆ แล้วเหลือบสายตามาทางนี้ชั่ววินาทีนั้น
ลมหายใจฉันสะดุดเหมือนใครมากดปุ่มหยุดใบหน้าคมเงยขึ้นอีกครั้ง แววตาเฉียบคมเหลือบมาสบ
เหมือนแค่ “บังเอิญ” … หรือ… มันไม่ใช่แค่บังเอิญกันแน่?และวินาทีนั้นเอง มุมปากเจ้าเสน่ห์ค่อยๆยกขึ้นแล้วยิงตรงมาที่ฉันอย่างจงใจแบบที่ทำให้ค็อกเทลในมือฉันเหมือนแรงไปในลำคอ
...ฉันรู้เลยว่า คืนนี้ มันจะไม่เหมือนคืนไหนในชีวิตฉันอีกเลย“พายุ…”เสียงแหลมสูงของสาวกลุ่มหนึ่งด้านหลังดังขึ้น ทะลุผ่านจังหวะดนตรีและเบสหนัก ๆ
ผู้คนรอบข้างชะงัก หันขวับราวกับโดนพายุพัดใส่กลางอก
แค่ชื่อเดียว... ก็สั่นสะเทือนทั้งร้านได้ขนาดนี้
เขาก้าวเดินอย่างนิ่ง ๆ แต่ทุกฝีเท้าเหมือนปล่อยแรงโน้มถ่วงเฉพาะตัว สะกดสายตาทุกคู่ให้หันไปตามโดยไม่รู้ตัวผมเซ็ตอย่างเนี้ยบ...แต่เหมือนตั้งใจให้ดูเหมือนไม่ตั้งใจ
รอยยิ้มบางบนใบหน้าคมคาย ที่ไม่ได้พยายามขายเสน่ห์...แต่กลับดึงดูดจนหายใจผิดจังหวะและดวงตาคมเฉียบ เหมือนรู้ว่ามีใครแอบมองเขาอยู่บ้าง
...และเขาเลือกจะ มองกลับ แค่บางคนเท่านั้นแค่สบตาเขาแวบเดียว
ฉันเผลอกลืนน้ำลายลงคอแทบไม่ทัน รู้สึกเหมือนโดนไฟฟ้าอ่อน ๆ ดูดผ่านผิวหนัง ไม่แรงพอให้ช็อกตาย แต่แรงพอให้ใจสะดุดไม่เป็นจังหวะ“แก บ้าหล่อไปแล้วลี่ ทำหน้าเหมือนจะเป็นลม!” แยมกระซิบข้างหูฉัน
แต่ฉันไม่ได้ตอบอะไร... แค่มองเขาอยู่ตรงนั้น ถ้าคืนนี้... ใครสักคนจะเป็นคนแรกของฉัน ก็ขอให้เป็นเขา ผู้ชายคนนั้นที่เหมือนหลุดออกมาจากความฝัน ฉันหลับตาแนบเปลือกตาเบา ๆ ยกค็อกเทลขึ้นจิบ ราวกับกำลังอธิษฐานขอพรเงียบ ๆ ในใจ แค่หนึ่งคืน...ขอให้มันเป็นคืนที่ฉันได้ “มีชีวิต” แบบไม่ต้องคิดเยอะ พอฉันลืมตาขึ้นอีกครั้ง เขา... ก็ยืนอยู่ตรงหน้าแล้ว เหมือนจักรวาลได้ยินคำขอ และเสิร์ฟพายุลูกนี้มาให้ถึงที่ ไม่มีคำเตือนล่วงหน้า ไม่มีทางหนี“สวัสดีครับ แพรว แยม เอ่อ”
“ลินลี่ค่ะ” แพรวแทรกขึ้นทันทีแบบไม่ให้เสียเวลา แถมยังส่งยิ้มเจ้าเล่ห์ให้ฉันหนึ่งที“ยินดีที่ได้รู้จักครับ ผมพายุ”
เขาพูดพร้อมยื่นมือมาตามมารยาท แต่สายตา... มันไม่ใช่แค่ "ทักทาย" มันคือการ สำรวจ อย่างจงใจฉันยื่นมือออกไป แต่นิ้วเขาแตะมือฉันเบากว่าที่ควรจะเป็น...
เบาพอจะทำให้ขนลุก แต่แน่นพอจะทำให้หัวใจฉันสะดุดและระหว่างที่แพรวกับแยมหันไปหัวเราะคิกคักกับหนุ่มอีกโต๊ะ
ฉัน...กลับรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบมันช้าลง แค่เราสองคนยืนอยู่ตรงนั้นสายตาของเขา...
ไม่ได้แค่จ้อง แต่มันเหมือนกำลังแกะฉันออกทีละชั้น[มุมพายุ]
จังหวะที่เธอยกแก้วขึ้นจิบแบบไม่โปรนั่นแหละ...น่ารักฉิบหายไม่ทันไร...
เขาดีดนิ้วเบา ๆ เสียง “แชะ” ดังขึ้นแบบมั่นใจ เหมือนโลกทั้งผับนี้อยู่ในมือ บาร์เทนเดอร์หนุ่มหน้าคมเดินมาทันที ราวกับโดนสะกด “เซตช็อต...สำหรับเริ่มคืนดี ๆ สักคืน” เขาหันมามองฉันเล็กน้อยก่อนหันกลับไปพูดต่อ “...ของเธอด้วย” ฉันชะงัก ใจเต้นตึกตัก“หรือฉันควรปฏิเสธ?” เสียงในหัวถาม...แต่ร่างกายฉันไม่ได้รอฟังคำตอบ แค่รอยยิ้มนิดเดียวจากเขา...โลกมันก็เริ่มหมุนผิดจังหวะแล้ว แพรวกับแยมส่งยิ้มแบบรู้ทันจากมุมด้านข้าง แต่ฉันเลือกจะเมินสายตาเหล่านั้น คืนนี้ฉันไม่ได้มาเพื่อคิดเยอะ... คืนนี้ ฉันมาเพื่อ "ลอง" “เอ้า...ช็อตแรกของคืน” พายุยื่นแก้วเล็ก ๆ มาให้ฉัน พร้อมกับรอยยิ้มมุมปากที่เหมือนมีมนต์สะกด ฉันยื่นมือไปรับแบบลังเลนิด ๆ แต่สุดท้ายก็คว้าไว้ น้ำใสในแก้วกระทบแสงไฟในผับวูบวาบ ราวกับกำลังเตือนฉันว่า นี่ไม่ใช่น้ำเปล่านะเธอ “คือ...ฉันไม่ค่อยถนัดดื่มช็อตเท่าไหร่ค่ะ” ฉันยิ้มอ่อน ๆ พยายามพูดให้ฟังดูเบา แพรวกับแยมหลุดขำเบาๆ จากข้าง ๆ แต่พายุกลับไม่ได้หัวเราะ เขาแค่เอียงคอ มองฉันอย่างสนใจมากขึ้น “งั้นลองจิบก็ได้...ไม่มีใครบังคับ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มลึก แต่สายตายังแนบแน่นอยู่ที่ฉัน[มุมพายุ]
เธอกลัวนิด ๆ แต่ก็ยังไม่ถอยผู้หญิงแบบนี้แหละ...ของจริง ไม่เฟคฉันสูดหายใจ แล้วค่อย ๆ จิบ เหมือนเด็กฝึกหัดที่กลัวจะพลาดกลางเวที
ผลลัพธ์คือ...ไอค่อกแค่กแทบสำลักกลางบาร์ “อะแฮ่ม!” ฉันรีบยกมือปิดปาก น้ำตาเกือบไหล ไม่รู้เพราะแอลกอฮอล์หรือละอายตัวเอง พายุหัวเราะในลำคอเบา ๆ “น่ารักดี” คำสั้น ๆ แต่ทำเอาฉันชะงัก เพราะเขาพูดมันเหมือน หมายความตามนั้นจริง ๆ และในวินาทีนั้นเอง ฉันรู้... คืนนี้ จะไม่มีอะไรเป็นไปตามแผนที่ลินลี่เคยคิดไว้เลยสักอย่าง แต่เพียงกรึบหนึ่ง... มันก็เพียงพอให้ฉันตาลาย ราวกับโลกเหวี่ยงนิดๆ ใต้ส้นสูงคู่ใหม่ที่ไม่ค่อยมั่นคงนัก รสชาติแรงจี๊ดวิ่งจากปลายลิ้นไปถึงกระดูกสันหลัง ฉันกระพริบตาถี่ ๆ พยายามควบคุมสีหน้า อย่าทำหน้าเบี้ยวเด็ดขาดนะลินลี่! “โอเคมั้ย?” เสียงทุ้มนุ่มของพายุเอ่ยถาม ใกล้จนได้กลิ่นโคโลญจาง ๆ ที่โคตรแพง ฉันพยักหน้าเร็ว ๆ เหมือนหุ่นยนต์ “ค่ะ...โอเคอยู่ แค่...แรงกว่าที่คิดนิดหน่อย” เขาหัวเราะเบา ๆ เหมือนชอบใจ แต่ฉันรู้สึกเหมือนหน้าเริ่มร้อน ไม่แน่ใจว่าเพราะแอลกอฮอล์ หรือเพราะสายตาคม ๆ ของเขาที่มองมาไม่ละไปไหนเลย และตอนนั้นเอง... ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังหลุดจากกรอบชีวิตเดิมทุกวินาที ทีละนิด ทีละน้อย พร้อมจะไหลตามอะไรบางอย่างที่ไม่เคยกล้าลองมาก่อนพายุยื่นมือมาทันที รอยยิ้มมุมปากที่ดูมั่นใจและชวนหลงใหล
“ลินลี่... เต้นกับผมหน่อยไหม?” เสียงทุ้มเรียบแต่มีพลัง ทำให้หัวใจฉันเต้นแรงผิดจังหวะอีกครั้งฉันชะงักไปครู่หนึ่ง มองมือที่ยื่นมา แล้วมองหน้าเขา
ในใจมีเสียงกระซิบ “นี่แหละโอกาสของฉัน… คืนนี้ต้องลองให้สุด”“ได้ค่ะ...” ฉันตอบด้วยเสียงเบา ๆ พร้อมจับมือเขาไว้แน่น
ความรู้สึกที่ไม่เคยมีมาก่อนแล่นพล่านไปทั่วร่าง เสียงเพลงในผับกระแทกเข้ามาในหัวใจเหมือนกระตุ้นทุกประสาทสัมผัสพายุเดินนำฉันไปยังกลางฟลอร์
เขากุมมือฉันอย่างมั่นคง แต่สัมผัสนั้นอ่อนโยนกว่าที่ฉันคิดไว้มาก“อย่ากลัวนะ ลินลี่ แค่สนุกกับคืนนี้”
เขาพูดพร้อมส่งสายตาที่ทำให้ฉันอยากเชื่อใจเสียงเพลงจังหวะเร็วขึ้น
พายุเริ่มเคลื่อนไหวช้า ๆ ปล่อยให้ร่างกายตอบสนองกับบีท ฉันเริ่มขยับตามอย่างไม่มั่นใจนัก แต่เขาก็พาเดินทางไม่ให้สะดุดความรู้สึกอาย ๆ ที่เคยครอบงำใจฉันค่อย ๆ หายไป
แทนที่ด้วยความตื่นเต้นและอิสระ คืนนี้… ฉันไม่ใช่แค่ “ลินลี่คนเดิม”พายุพูดเบา ๆ ข้างหูฉัน “คืนนี้ เป็นคืนของเรา” และในวินาทีนั้น ฉันเชื่อว่า… สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น จะเป็นบทเริ่มต้นของเรื่องราวใหม่ในหน้าถัดไปฉันกลับมาในโหมดที่ไม่มีเวลาจะหายใจ... หลังค่ำคืนอันแสนวาบหวามบนเรือยอชท์ลำหรู ห้วงเวลาที่ทั้งมหัศจรรย์และเกินจริง จนทำให้ฉันแทบลืมไปว่าโลกแห่งความเป็นจริงยังคงรออยู่ แสงแดดยามเช้ากระทบใบหน้าที่สะท้อนอยู่ในกระจก เผยให้เห็นร่องรอยของความอ่อนล้า... จากค่ำคืนที่เผาผลาญพลังงาน และเสียน้ำไปหลายยกแบบไม่มีเยื่อใยให้พักหายใจริมฝีปากยังเจือรอยแดงจากการบดขยี้ของชายหนุ่มและดวงตาคู่นี้... ยังไม่ทันลืมสายตาของเขาเมื่อคืนแต่ไม่ว่าจะหวามไหวแค่ไหน เสียงในใจก็เตือนชัด—วันนี้... ลินลี่ ต้องกลับเข้าสู่โหมดจริงจังอีกครั้ง หัวหน้าฉันเมล์มาตั้งแต่ไก่โห่ ว่าต้องไปถึง PWW Tower ให้ทันนัดสำคัญ พลางเหลือบมองนาฬิกาแขวนผนัง 9 โมงตรง แม้จะยังอยากนอนทอดกายใต้ผ้าห่มหนานุ่มอีกสักนิด แต่คงไม่ใช่วันนี้ ในจังหวะเดียวกัน เสียง ติ้ง ดังขึ้นพร้อมไฟสว่างวาบบนหน้าจอ ฉันปรายตามองข้อความที่เพิ่งเด้งขึ้นมาแยม: "ฉันกับแพรวจะรีบตรงดิ่งไปหาเธอทันทีที่กลับจากพัทยาช่วงบ่าย พร้อมหิ้วส้มตำเจ้าประจำไปด้วยนะ คิดถึงยัยลี่สุดใจ มีเรื่องเมาท์มอยเพียบเลย!"และในช่วงวินาทีต่อจากนั้นเอง ไลน์จากพ่อกับแม่ก็ตามมาอีกข้อความหนึ่ง “อย่าล
ลินลี่ฉันและพายุ เรานั่งชิวริมบาร์ที่ร้านอาหารแห่งนี้กันได้สักพักแล้ว เสียงเพลงเบา ๆ คลอเคล้ากับกลิ่นลมเย็นในยามค่ำคืน แสงไฟจากสะพานสะท้อนระยิบระยับบนผิวน้ำเหมือนดาวพราวเต็มท้องฟ้าในคืนเงียบสงัดความเงียบปกคลุมช่วงเวลาสั้นๆปลายนิ้วหนาแตะลงบนข้อมือฉันเบา ๆสัมผัสนั้นอ่อนโยนเกินกว่าจะเรียกว่าเผลอ...แต่ก็ไม่ชัดเจนพอให้มั่นใจว่าเขาตั้งใจเขาโน้มตัวเข้ามาใกล้ ใกล้จนฉันรู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่น ๆ ที่แนบผ่านข้างแก้มเสียงของเขาเบาจนแทบกลืนไปกับสายลมแต่มันก้องในใจของฉันอย่างชัดเจน “ไปล่องเรือเล่นกันไหม”แค่ประโยคเดียว... หัวใจฉันเหมือนหยุดเต้นไปชั่วเสี้ยววินาที ก่อนจะกลับมาเต้นแรงจนแทบจะหลุดออกจากอก โลกทั้งใบเหมือนหยุดหมุนลงในช่วงเวลานั้นและฉันรู้แน่ชัด…ว่าฉันไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อนเลยจริง ๆไม่เคยคาดคิดว่า จะมีคืนหนึ่งที่ทำให้รู้สึกได้มากขนาดนี้ ทั้งที่อยู่ในกรุงเทพฯ มาหลายปี ผ่านค่ำคืนที่เต็มไปด้วยความเงียบเหงานับไม่ถ้วนแต่น่าแปลกไม่มีคืนไหนเลยที่เป็นแบบนี้ไม่มีใครเคยดึงฉันออกจากวงจรเดิม ๆ ไม่มีใครเคยพาฉันออกไปเจออะไรที่ต่างจากที่เคยรู้จัก ไม่มีใคร...เคยมองฉันด้วยแววตาแบบนั้น แววตาที่ทำ
(มุมมองลินลี่)ผู้ชายจะมาหาฉันตอนเที่ยงคืน… จริงเหรอ?แค่คิดก็รู้สึกไม่ปกติแล้ว นี่มันไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นบ่อย ๆ ในชีวิตฉัน เอาจริง ๆ คือ ไม่เคยเกิดขึ้นเลย ต่างหากฉันยืนอยู่หน้ากระจก มองเงาตัวเองด้วยหัวใจที่เต้นแรงจนแทบทะลุออกจากอก มือข้างหนึ่งสางผมไปมาอย่างลน ๆ พยายามจัดให้มันดูไม่ยุ่ง แต่ก็ไม่ถึงกับตั้งใจเกินไป แบบที่เขาจะคิดว่าเรา "เตรียมตัว" อะไรขนาดนั้นเสื้อยืดโอเวอร์ไซซ์ตัวเดิมกับกางเกงขาสั้นธรรมดา มันดูบ้าน ๆ จนน่าเอามือปิดหน้า แต่ก็ไม่รู้จะทำอะไรได้มากกว่านี้ ฉันไม่ใช่คนที่มีลุคเป๊ะพร้อมรับแขกตลอดเวลา แล้วเขาก็กำลังจะมาถึงภายในไม่กี่นาที จะให้วิ่งเปลี่ยนเสื้อผ้าแต่งหน้าก็คงไม่ทันฉันพยายามหายใจเข้าลึก ๆ สูดลมหายใจให้เต็มปอด แล้วปล่อยออกช้า ๆ ตามคำแนะนำที่เคยอ่านในบทความคลายเครียด แต่ก็ไม่ได้ช่วยเท่าไหร่ ใจยังเต้นแรงเหมือนเดิมแล้วก็มีคำถามวนเวียนอยู่ในหัวแบบไม่ยอมหยุด เขามาทำไม? มาตอนนี้เพื่ออะไร? จะพูดเรื่องอะไร? หรือแค่ผ่านมาเฉย ๆ แต่ทำไมต้อง "ตอนนี้"? ฉันควรต้องหอบเอกสารลงไปด้วยไหม? หรือว่าเขาจะพูดเรื่องงาน? หรือไม่ใช่เลย… เรื่องส่วนตัว? หัวฉันเริ่มตีกันเองไปหมด ขณ
พายุทันทีที่รถจอดสนิทหน้าคฤหาสน์ชานนวิวัฒน์ ผมก้าวลงด้วยสีหน้าไม่พอใจนัก ลมเย็นปะทะหน้า แต่ไม่ได้ช่วยให้อารมณ์ดีขึ้นแม้แต่น้อยผมเดินตรงไปยังห้องบาร์ด้านในสุดโดยไม่ลังเล เพราะผมรู้ดีว่าเขาอยู่ตรงไหนและอยู่กับใครในเวลานี้พ่อกำลังนั่งอยู่ในมุมโปรด จิบวิสกี้เงียบๆ ราวกับทุกอย่างในโลกนี้ไร้ความหมาย ไม่มีอะไรสำคัญพอจะทำให้เขาขยับตัวแม้แต่นิดเดียว“ว่าไง พายุ”เสียงทุ้มของพ่อเอ่ยขึ้นทันทีที่ผมก้าวเข้าไป ดวงตาคมจ้องตรงมา ไม่มีการหลบเลี่ยง เขาสะบัดมือเบาๆ ไล่หญิงสาวที่ยืนอยู่เงียบๆ ข้างเก้าอี้ออกไปเขายกแก้วขึ้นจิบอีกครั้ง เสียงน้ำแข็งกระทบแก้วเบาๆ เหมือนตั้งใจจะเติมความกดดันเข้าไปอีกนิด ก่อนเอ่ยประโยคถัดไป“ฉันได้ข่าวว่าไมเคิลตายแล้ว... เสียดายนะ เขาเป็นคนที่ฉันไว้ใจ”ผมนิ่ง ไม่ได้ตอบ ไม่ใช่เพราะเสียใจเรื่องไมเคิล แต่เพราะกำลังดูสีหน้าพ่อ เขาเฉยชาจนผิดปกติ เขาวางแก้วลงบนโต๊ะไม้แน่นๆ ก่อนพูดต่อด้วยน้ำเสียงราบเรียบ“แล้วทำไมแกถึงต้องลงมาจัดการเรื่องนี้เอง?”ผมจ้องตาเขาตรงๆ ไม่แม้แต่จะกระพริบตาก่อนตอบไปด้วยน้ำเสียงหนักแน่น“เพราะผมอยากพิสูจน์ว่าผมไม่ได้มีดีแค่ภาพเพลย์บอยไม่มีแก่นสาร”ผมหยุดหา
พายุผมก้าวออกจากห้องน้ำชายของห้องบอลรูมด้วยท่าทีเรียบเฉยแม้ข้างในใจมั่นจะระส่ำอยู่ไม่น้อยก็ตาม เงาของผมทอดลงบนพรมแดงหรูใต้เท้า แสงไฟระย้าเหนือศีรษะสะท้อนลงมาที่รองเท้าหนัง และ...เธอก็อยู่ตรงนั้นแล้ว ‘มาริสา’ เธอจ้องผมอยู่ก่อนแล้วด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยคำถาม เสียงเธอเบา แต่ตรงมาริสา: “พายุ ดูสีหน้าคุณไม่โอเคเลย ค่ะ” ใช่เธอมองผมออกแม้ว่าผมจะซ่อนมันไว้อยู่ก็ตาม ผมก็หลบสายตาเธอโดยอัตโนมัติ สูดลมหายใจเบาๆ ตอบไปอย่างลวกๆพายุ: “ไม่มีอะไร ครับ”มาริสา: “ฉันมาตามคุณไปร่วมสัมภาษณ์กับสื่อค่ะ”เธอยิ้ม รอยยิ้มที่ดูดีจนสื่อรัก แต่ผมรู้ดีว่าข้างในไม่ได้ยิ้มด้วย เสียงของเธอนุ่มนวล ตัดกับเนื้อหาที่แท้จริงที่ฟังดูไม่ต่างจากคำสั่งมาริสา: “นักข่าวจาก The DealWire อยากสัมภาษณ์คุณ เกี่ยวกับโปรเจกต์ใหญ่ที่กำลังจะรวมตัวของ ตระกูลเรา...ค่ะ”ผมพยักหน้าเล็กน้อยพอเป็นพิธี ไม่แสดงสีหน้า แล้วตอบไปเรียบ ๆ เหมือนเดิม“ครับ”จากนั้นผมก็ก้าวเท้ายาว ๆ ออกจากมุมเงียบ เข้าสู่พื้นที่สื่อมวลชน…แชะๆๆๆๆ...เสียงกล้องกระหน่ำเหมือนฝนไม่ลืมหูลืมตา คำถามปลิวมาทุกทิศ ผมตอบทุกคำ ตามสคริปต์ ตามที่ซ้อมไว้หน้ากระ
พายุทันทีที่ผมเหยียบเข้าสู่ชั้นบอลรูมของโรงแรมชื่อดังภายใต้ชื่อ De Lacour Vincent สัญลักษณ์แห่งอำนาจเก่าและความหรูหรา กลิ่นน้ำหอมราคาแพงจาง ๆ ผสมกับกลิ่นเมรัยชั้นดี ลอยมาตามอากาศเสียงเพลงแจ๊สไหลวนคล้ายละอองควัน มันไม่ใช่แค่ดนตรี แต่มันคือม่านบาง ๆ ที่คั่นโลกของคนธรรมดากับโลกที่กำลังจะกลืนผมเข้าไปแสงไฟสลัวขับให้คริสตัลระยิบระยับบนเพดานเปล่งประกาย แขกแวดวงธุรกิจและผู้คนในสังคมชั้นสูงต่างสวมรอยยิ้ม ที่เหมือนถูกแกะสลักด้วยมีดบาง ๆขณะบทสนทนาแต่ละคำคล้ายกลั่นกรองมาแล้วจากห้องประชุมลับของจิตใจทุกคนดูเหมือนรู้บทบาทของตนดี ต่างสวมชุดหรูหราราวกับอยู่ในแฟชั่นโชว์ระดับโลก พร้อมด้วยชื่อและตำแหน่งที่พ่วงท้ายมาด้วยน้ำหนักของอำนาจหรือมรดกผมหยุดยืนอยู่ครู่หนึ่ง สูดลมหายใจลึกอย่างแนบเนียนก่อนจะก้าวเข้าไปทักทายกลุ่มนักธุรกิจจากหลายบริษัทด้วยท่วงท่าเงียบขรึมแต่หนักแน่นสายตาของผมเรียบนิ่ง แต่เฉียบคมพอจะทำให้ใครบางคนรู้สึกถูกมองทะลุภายนอกผมอาจดูมั่นคง เยือกเย็น ราวกับสวมสูทของความมั่นใจแต่ในความเป็นจริง ใต้เงาเสื้อผ้าราคาแพงและรอยยิ้มนั้นผมซ่อนบางอย่างไว้อย่างแยบยลที่ใครยากจะหยั่งถึงพลัน…เสีย