เย็นวันพฤหัสฯ ก่อนวันนัด
..“แกจะใส่เสื้อคอปกไปตายเหรอลี่?! เอาจริงดิ?” เสียงแพรวดังลั่นกลางร้านเสื้อผ้าเหมือนมีประกาศภัยพิบัติเกิดขึ้นตรงราวแขวนฉันยืนเกร็งอยู่หน้าห้องลองเสื้อในห้าง หัวแทบหดเข้าไปในปกเสื้อ
แม่ค้าหันมามองฉันเหมือนฉันเพิ่งฆ่าความหวังของแฟชั่นทั้งร้านตายคาที่“ก็มันเรียบร้อยดีอะ...”ฉันตอบเสียงอ่อย พยายามเอามือดึงชายเสื้อให้ยาวขึ้นอีกนิด ทั้งที่มันก็ไม่ขาดไม่เกินอะไรเลย
“เรียบร้อยแบบที่ต่อให้ลุคนี้ลง Tinder ก็ไม่มีใครปัดขวาน่ะสิ! แกฟังนะ วันนี้...เราจะอัปเกรดลินลี่เวอร์ชันคุณหนูบัญชีให้เป็น ลินลี่เวอร์ชันคลับเบอร์มือใหม่ เข้าใจมั้ย!”
ฉันถอนหายใจอย่างหมดทางสู้ พลางปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตตัวเดิม มองดูเดรสเกาะอกสั้น สีแดงแปร๊ดในมือแล้วก็ได้แต่พึมพำเบาๆ
“นี่ฉันจะโดนจับไปรับบทใน นางเอก AVรึเปล่าวะ...”
“อย่าคิดเยอะ! ใส่เลย! แล้วเดินออกมาให้ฉันเห็นความสับ!”
พอเปิดม่านออกไปแพรวก็ถึงกับช็อกหงายหลังในจินตนาการ
“โอ้โห!!! โอ๊ยแม่...นี่แกแอบมีหน้าอกอยู่เหรอ?! ฉันนึกว่าแฟลตกว่า spreadsheet ซะอีก!”
“หยุดเลยแพรว! ฉันอาย!”
“ไม่ต้องอายเว้ย!! แกสวยมาก สวยแบบ…ถ้าผู้ชายเห็นแล้วไม่เหลียวคือมันต้องมีปัญหาด้านสายตา!”
ฉันทำหน้าหมาโดนดุ
“หรือไม่ก็มีแฟนแล้ว”
“นั่นแหละ! แกพร้อมจะทำลายคู่รักทั้งห้างละตอนนี้!”
เราลองเสื้อไปเกือบ 20 ชุด ตั้งแต่สายเดี่ยวซีทรูที่แค่ขยับก็เสี่ยงโป๊ ยันจั๊มสูทรัดเป๊ะจนฉันกลัวหายใจแรงแล้วตะเข็บจะปริ
“ชุดนี้... ฉันเหมือนจะไปงานพรอมปะ?” ฉันหันมาถามพลางดูตัวเองในกระจก
“พรอมบ้านไหนล่ะยะ เกาะหน้าอกดึงนิดเดียวก็หลุด! สั้นถึงขาอ่อนแบบนี้... นี่มัน พร้อมล่า มากกว่าพร้อมออกงาน!” แพรวสวนทันควัน
ฉันกลอกตาใส่เธอ แต่กลับยิ้มนิด ๆ อย่างช่วยไม่ได้…ก็เธอพูดถูก
..“แกต้องย้อมสีผมนิดนึงนะ สีบลอนด์เบา ๆ แล้วก็...ถอดโล่สงครามอันนั้นออกซะ!” แพรวพูดพลางมองแว่นตาหนา ๆ ของฉันเหมือนกำลังดูซากไดโนเสาร์ ฉันยังไม่ทันจะปฏิเสธ แพรวก็จูงแขนฉันพาเดินพรวด ๆ เข้าร้านทำผมเหมือนเป็นเรื่องเร่งด่วนระดับชาติ..
สองชั่วโมงต่อมา... ผมฉันเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลประกายบลอนด์อ่อนๆละมุนแบบ ‘สาวออฟฟิศผู้มีชีวิตลับ’
คอนแทคเลนส์สีฟ้าอ่อนก็โดนยัดใส่มือ พร้อมด้วยคำสั่ง“ทุกอย่างพร้อม! พรุ่งนี้เย็นเจอกัน อย่าเบี้ยวนะเว้ย!”
ฉันถือถุงกระดาษไว้แน่นเหมือนถือหลักฐานลับ CIA
รีบแจ้นกลับห้องอย่างคนที่มีภารกิจลับสุดยอด ต้องถึงให้ทันก่อนที่ ‘ฝ่ายบัญชาการบ้าน’ จะวีดีโอคอลมาเช็คชื่อแน่นอน...มันไม่เคยง่าย
ติ๊ง! ติ๊ง! ติ๊ง!
เสียงไลน์วีดีโอคอลจาก “คุณพ่อคุณแม่” ดังขึ้นแบบไม่มีการเตือนล่วงหน้า ฉันสะดุ้ง ยื้อชีวิตด้วยการควานหาหมวกอาบน้ำมาคลุมหัวแบบฉุกเฉินสุดชีวิต — ต้องปกปิด ‘หลักฐานการเปลี่ยนแปลงตัวเอง’ ให้ได้ก่อนสายจะเชื่อม“ค่ะ คุณพ่อคุณแม่~”
ฉันพยายามปรับเสียงให้นุ่มแบบ ‘ลูกสาวดีเด่นแห่งชาติ’ พร้อมรอยยิ้มแสนจืดที่ฝึกมาตั้งแต่อนุบาลหน้าจอโชว์ภาพพ่อแม่ที่มองฉันราวกับเพิ่งเห็นเด็กประถมที่หัดเล่นเมคอัพครั้งแรก
“เอ๊ะ...ทำไมใส่หมวกอาบน้ำล่ะลูก?”
เสียงแม่มาแล้วจ้า“อ๋อ! ลิน...ลินกำลังจะอาบน้ำน่ะค่ะ แหะๆๆ”
โกหกแบบไม่เนียนเลยกู...พ่อขยับแว่นแล้วหรี่ตาเหมือนจะซูม
“หน้าดูเปลี่ยนนะ ไปแต่งหน้าหนา ๆ แบบดาราในทีวีทำไม?”“แค่ลงครีมกันแดดนิดหน่อยเองค่ะ...”
ฉันยิ้มแห้ง ตาก็ชำเลืองมองนาฬิกา หวังว่าสายจะตัดเองเพราะเน็ตไม่ดีแม่มองนิ่ง ๆ แล้วพ่นคำเด็ดออกมา
“ช่วงนี้มีอะไรแปลก ๆ นะลูกเรา...”“แปลกยังไงอะคะแม่! ก็แค่คนอยากดูดีนิดนึงเองงง~”
เสียงสูงขึ้นเรื่อย ๆ เพราะใจเริ่มร้อนเหมือนเตาอบแม่ยิ้มอย่างรู้ทัน ส่วนพ่อก็หันไปคุยกับแม่ว่า
“สงสัยมีหนุ่มแล้วล่ะมั้ง”ฉันแทบจะสำลักน้ำลายตัวเอง
NO! หนุ่มบ้าอะไรล่ะ! ยังไม่ได้เริ่มเลยแม่!
(แค่จะเปลี่ยนลุคไปยืนเกร็งในผับเฉย ๆ ยังไม่มีใครจีบสักคนเว้ย...)ฉันรีบปิดบทสนทนาด้วยเสียงนุ่มที่สุดในชีวิต
“แหะๆ เดี๋ยวลินไปอาบน้ำก่อนนะคะ~ เดี๋ยวเป็นหวัด”...แล้วก็รีบกดวางก่อนจะโดนซักฟอกหนักกว่านี้
ฉันทิ้งตัวลงบนเตียง หายใจแรง ๆ
มือยังจับหมวกอาบน้ำไว้แน่นเหมือนเป็นเกราะสุดท้ายของความปลอดภัยในโลกของคนดีที่แม่ภาคภูมิใจแต่ในใจ...มันดันมีเสียงอีกเสียงที่ดังขึ้นเบา ๆ
"จะซ่อนได้นานแค่ไหนกันนะ...ก่อนที่พวกเขาจะรู้ว่า 'ลินลี่' คนเดิม กำลังอยากลองเป็นคนใหม่"
“คุณพายุครับ เราต้องเลี้ยวเข้าทางสวนมะม่วงนี้นะครับ…จะมืดแล้วด้วย มันจะโอเคจริง ๆ เหรอครับ?”บอดี้การ์ดคนสนิทของผมเริ่มลังเล น้ำเสียงเต็มไปด้วยความกังวล เพราะเส้นทางที่เรากำลังจะเข้าไปเป็นถนนดินลูกรัง ไร้แสงไฟ และทอดผ่านสวนมะม่วงเขียวครึ้ม“ขับไปตามเส้นทางที่วางไว้เถอะครับ” ผมตอบสั้น ๆอย่างไม่หวั่นไหว รถสปอร์ตคันเงาค่อย ๆ แล่นไปตามทางดิน ผ่านใบไม้ที่ปลิวตามแรงลมอ่อนยามค่ำ ผมลดกระจกลงเล็กน้อย สวนมะม่วงสองฝั่งเต็มไปด้วยผลสุกหอม กลิ่นละมุนและสีเขียวชอุ่มที่ไม่คุ้นตา เส้นขอบฟ้าเปล่งแสงสีแดงส้มเติมแต่งบรรยากาศให้ดึงดูดใจผมอย่างยิ่ง อาจเพราะมันเผยอีกด้านหนึ่ง… ด้านที่ผมไม่เคยสัมผัสข้าง ๆ เบาะ ผมวางช่อดอกไม้ พร้อมโน้ตใบหนึ่งที่เขียนคำว่า “ขอโทษ… จากใจผม” ซึ่งผมตั้งใจมอบให้หญิงสาวผู้ใสซื่อ เหมือนความหมายของชื่อเธอ ด้วยมือของผมเองรถเคลื่อนตัวช้า ๆ ลัดเลาะผ่านสวนผลไม้ของชาวบ้าน บอดี้การ์ดสลับสายตาระหว่างแผนที่กระดาษขนาดเล็กในมือกับถนนเบื้องหน้า… จนในที่สุด รถก็หยุดนิ่ง เขาหันมาช้า ๆ ก่อนเอ่ยด้วยเสียงมั่นใจ “ถึงแล้วครับ คุณพายุ ”ผมก้าวลงจากรถ อย่างไม่ไหวเอน แสงอาทิตย์สีส้มกำลังลับขอบฟ้า
ตึก…ตึก…เสียงหัวใจของ เจ้าสัวชานน เต้นหนัก ทุกก้าวของรองเท้าหนังเงาวับกระแทกพื้นหินอ่อนก้องสะท้อนทั่วคฤหาสน์ ความโมโหพวยพุ่งไล่ไปตามเส้นเลือด เส้นขมับเต้นตุบ ๆ ดั่งภูเขาไฟที่จวนปะทุปัง! มือหนาผลักบานประตูห้องนอนจนไม้สั่นสะเทือนภายในกลับเงียบงันเตียงเรียบกริบไร้รอยยับ ระเบียงเปิดอ้า ลมพัดผ่านม่านสีครีมไหวเอื่อย ตัดกับหัวใจของเจ้าสัวที่กำลังลุกโชนเป็นไฟ ราวกับขุมเพลิงนรก ลางสังหรณ์คลืบคลานเข้ามาเหมือนเงาดำเกาะแน่น เจ้าสัวชานน รู้สึกได้ถึงความดันเลือดพุ่งสูงทุกวินาที สายตากวาดมองรอบห้องก่อนเหลือบไปเห็น บานตู้เสื้อผ้าที่เปิดแง้ม เท้าหนักขยับเข้าใกล้ หัวใจเต้นรัวระส่ำเหมือนลุ้นผลชี้ชะตาแกร๊ก …ข้างใน…เหลือเพียง ชุดทักซิโด้สีขาวที่ตัดเย็บอย่างประณีตเพื่องานในวันนี้โดยเฉพาะ แขวนอยู่กลางตู้เด่นชัดเหมือนตั้งใจจะเย้ยหยัน ใต้ไม้แขวนมีกระดาษโน้ตใบเล็ก ติดอยู่ด้วยหมุดเงิน บนกระดาษมีลายมือที่เขาจำได้แม่น “ผมขอเป็นเจ้าของหัวใจตัวเองนะครับ พ่อ”โลกทั้งใบดับวูบราวมีใครตัดกระแสไฟลงฉับพลัน เสียงทุกอย่างหายไปกลายเป็นความเงียบหนาหนักจนหูอื้อ หัวใจเต้นแรงจนเจ็บลามขึ้นขมับ ลมหายใจขาดห้วง สายตาพร่า
เช้าวันนี้ ฉันกับแม่ตื่นตั้งแต่ไก่โห่ ขูดมะพร้าว คั้นน้ำกะทิ เตรียมข้าวเหนียวมูนอย่างตั้งใจ ตัดมะม่วงสุกอย่างละเมียดละไม จนตอนนี้ ข้าวเหนียวมะม่วงในกล่องถูกจัดไว้อย่างสวยงาม แต่ละกล่องแต่งด้วยดอกกล้วยไม้สดสีม่วง วางเรียงเป็นแถวสะดุดตาฉันหยิบตะกร้าไม้หวายขึ้นมา แล้วเรียงกล่องทีละใบอย่างเบามือ เพราะรู้ดีว่าหากเผลอเอียงไปแม้เล็กน้อย ความตั้งใจทั้งหมดอาจเสียหายไปทันที“เสร็จหรือยังจ้ะ ลินลี่?”“เรียบร้อยแล้วค่ะ” ฉันตอบพลางเงยหน้าขึ้น ขณะวางกล่องสุดท้ายลงในตระกร้าวันนี้ ทั้งสองคนแต่งตัวเหมือนกำลังจะไปงานสำคัญระดับกรมทหาร พ่อมาในสูทเรียบกริบไร้ที่ติ ส่วนแม่ก็เลือกชุดผ้าไหมแขนกระบอกที่ดูอ่อนช้อยส่วนฉันสวมเดรสแขนกุดสีฟ้ายาวเกือบปิดข้อเท้า คลุมไหล่ด้วยผ้าเรียบสีอ่อน ทุกอย่างดูเป๊ะไปหมดราวกับภาพที่พ่อแม่ออกแบบไว้ล่วงหน้า…พ่อขับรถออกจากสวนมะม่วง ใช้เวลาไม่นานนัก…เราก็มาถึงบ้านของอเล็กซ์ บ้านไม้สักทรงไทยสีแดงทั้งหลังตั้งโดดเด่น อยู่บนที่ดินกว่าสิบไร่ เมื่อเลี้ยวรถผ่านประตูรั้วที่เปิดกว้าง เสียงเครื่องยนต์ดับลงพอดี ทั้งสามคนก็เดินออกมาต้อนรับด้วยรอยยิ้มอบอุ่น ฉันรู้สึกตื่นเต้นทันทีที่ก้าวลงจ
ยิ่งห่างจากแสงสีและความวุ่นวาย มากเท่าไร ความโล่งใจยิ่งเพิ่มขึ้นเท่านั้นนะ ลินลี่ เสียงหัวใจของฉันกระซิบแผ่วเบา ขณะกำมือถือเอาไว้ ก่อนจะกดปิดแล้วโยนมันลงกระเป๋าเหมือนสิ่งไร้ค่า เพราะทันทีที่ก้าวเข้าสู่พื้นที่ของครอบครัว ทุกสิ่งจากโลกภายนอกก็เหมือนไร้ความหมายไปทันทีรถเคลื่อนเข้าใกล้บ้านทีละนิด ความกดดันค่อย ๆ หลุดลอยไปทีละชั้น แสงอาทิตย์ยามอัสดงทอดผ่านสองข้างทาง สวนผลไม้ที่คุ้นตา กลิ่นมะม่วงสุกและความเขียวขจีพาฉันย้อนกลับไปสู่ความทรงจำในวัยเยาว์ฉันปีนต้นมะม่วง พลัดตกลงมา ร้องไห้เจ็บปวด พ่อแม่ต้องคอยปะคบปะหงมปลอบประโลม ความห่วงใยนั้นตีขึ้นมาอีกครั้งในใจ เพียงแค่คิด ความอบอุ่นก็แผ่ซ่านเข้ามาเติมเต็มหัวใจ ฉันเผลอยิ้มกว้างดวงตาเปล่งประกายสดใส ราวกับได้สัมผัสรักแท้ที่ไม่มีข้อแม้ ความรู้สึกนั้นค่อย ๆ แทรกซึมเข้ามาโดยไม่รู้ตัว รถเคลื่อนผ่านสวนผลไม้ไปอย่างช้าๆ กระจกลงต่ำสุดลมกระทบใบหน้าฉันเบาๆ ฉันยื่นแขนออกไปให้มือสัมผัสใบไม้ไปที่ละใบ…ทีละใบไปเรื่อยๆในที่สุด… ก็มาถึง.. บ้านไม้สองชั้นตั้งตระหง่านท่ามกลางสวนมะม่วงเขียวชอุ่ม ร่มรื่นเสียงเรือที่แล่นผ่านคลองหลังบ้านดังแว่วมาเป็นระยะ ๆ เหม
ผ่านมาสองวันเต็มที่ฉันปล่อยตัวเองให้จมอยู่กับความเงียบในห้องแคบ ๆ … จนเวลาค่อย ๆ บรรเทาความอึดอัด ในใจให้จางลงทีละน้อยตอนนี้สายตาฉันหยุดนิ่งที่หน้าจอแท็บเล็ต ข่าวด่วนพาดหัวใหญ่ราวกับแถลงการณ์ทางการของผู้ทรงอำนาจ โดดเด่นจนกลบข่าวฉาวเมื่อวานไปหมดสิ้น“เจ้าสัวชานนท์วิวัฒน์ ประกาศยืนยันพิธีหมั้นของบุตรชายเพียงคนเดียว ‘พายุ’ กับ ‘มาริสา’ นางแบบชื่อดังและทายาทของตระกูลเดอลากูล อย่างเป็นทางการ วันอาทิตย์นี้ ที่โรงแรมหรูริมแม่น้ำเจ้าพระยา”ตัวอักษรบนหน้าจอชัดเจนเหมือนกำลังตบหน้าฉันเต็มแรง ยิ่งตอกย้ำว่าเรื่องทั้งหมดที่ผ่านมา…ก็แค่ความฝันสั้น ๆ ที่ไม่เคยมีอยู่จริง ฉันปิดแท็บเล็ตลงอย่างเด็ดขาด สูดลมหายใจเข้าลึก บังคับให้หัวใจที่สั่นไหวกลับมาเข้าที่ กดความเจ็บแน่นไว้ข้างใน แล้วเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงมั่นคง“พอแล้ว…ดราม่าทั้งหมด จบแค่นี้” เพราะโลกไม่ได้หยุดหมุนแค่วันนี้ ฉันยืดหลังตรง ตั้งใจจะเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋า วันนี้คือวันที่ต้องกลับราชบุรี ตามสัญญากับครอบครัว แต่ยังไม่ทันได้ขยับ เสียงวิดีโอคอลจากมือถือก็ดังขึ้น นิ้วเรียวสไลด์รับแทบจะทันที ราวกับกลัวว่าถ้าช้าไปจะกลายเป็นความผิดซ้ำภาพบนหน้าจ
“ลินลี่… เธอจะแจ้งตำรวจไหม?” แพรวเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงขณะที่สายตาเธอจ้องมาที่ฉัน ตอนที่ปลายนิ้วกำลังเช็ดน้ำตาหยดสุดท้ายออกจากแก้ม“ไม่เป็นไรหรอก แพรว..แยม”เสียงฉันเบา ราวกับยังไม่มั่นใจในคำตอบของตัวเองด้วยซ้ำ“เธอ… แน่ใจนะ ลี่?” แยมเอ่ยซ้ำ ด้วยน้ำเสียงหนักแน่นฉันถอนหายใจลึก ๆ ก่อนตอบออกไปอย่างไม่ง่ายดาย “ฉัน..แน่ใจ”แพรวพยักหน้าช้าๆ แววตาเต็มไปด้วยความเข้าใจ ก่อนจะพูดตรงไปตรงมา“ฉันรีบมาเลยนะ ตอนเห็นภาพผู้หญิงใส่เดรสครีมนั้นแค่เสี้ยววินาที ฉันก็มั่นใจว่าเป็นแก แต่ฟังนะ ลี่…ฉันกับแยมไม่เคยคิดจะตำหนิแกหรอก อย่างน้อยสิ่งที่แกเลือกทำ มันก็คือการลองออกจากกรอบเดิม ถึงจะเจ็บ ถึงจะทิ้งรอยแผลไว้…แต่มันก็คือประสบการณ์ ที่ไม่มีใครแย่งไปจากแกได้”แยมขยับเข้ามาใกล้ ยกมือแตะไหล่ฉันเบาๆ “แต่แกน่าจะบอกพวกเรานะ ว่าแอบไปเดทกับพายุ อย่างน้อยฉันกับแพรวจะได้ดูอยู่ข้างหลังคอยกันไม่ให้ใครทำร้ายแก”ฉันเงยหน้าขึ้นสบตาของแยมที่เต็มไปด้วยความจริงใจ ทั้งหนักแน่น ทั้งห่วงใย ก่อนที่คำพูดจะพรั่งพรูออกมา“ลินลี่…แกเดินเร็วเกินไปแล้วนะ ลองถอยกลับมาสักก้าวได้ไหม? สำคัญที่สุด…เป็นไปได้ออกมาจากตรงนั้นเถอะ ที่ผ