เฟิ่งหรั่นพยายามกลั้นหายใจ!
ในยามนี้นางสัมผัสถึงแรงกดดันอันน่าสะพรึงกลัวจากสายตาของลู่อ๋อง เขาดูเหมือนไม่ใช่สามีของนางอีกต่อไป เขาที่เคยอ่อนโยนต่อนางแทบไม่มีอีกแล้วนับตั้งแต่แต่งงานด้วยกันมา นางมองสายตาคู่นั้นที่จ้องมองอย่างคาดคั้นเอาคำตอบ น่าแปลกนักที่แต่งงานกันมานานแล้ว แต่นางไม่มีความรู้สึกพิศวาสในตัวเขาเลยสักนิด ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้เป็นนางเองที่ยินยอมแต่งงานกับเขา
นางพยายามดิ้นเบาๆ ให้หลุดจากอ้อมกอดของลู่อ๋อง แต่ทว่าเขากลับรัดนางแน่นกว่าเดิม ก่อนจะใช้สองมือแกร่งผลักร่างของนางลงบนเตียงแล้วใช้ร่างกายสูงใหญ่กดทับนางเอาไว้ ทำให้นางดิ้นไม่หลุด
ลู่อ๋องมองนางที่อยู่ใต้ร่างด้วยความรู้สึกหลากหลาย มีสตรีมากมายที่เขาพิชิตใจได้ แต่กับเฟิ่งหรั่นที่เป็นภรรยานั้นยากเย็นเหลือเกิน จนทำให้เขาต้องไปมีอนุและสตรีมากมายนอกจวนลับหลังนาง!
“วันนี้ท่านอ๋องทรงเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว ทรงลุกเถิดเพคะ หม่อมฉันจะไปเตรียมน้ำสรงถวาย” เฟิ่งหรั่นกล่าวเสียงแผ่วเบา แต่เป็นน้ำเสียงที่เจือไปด้วยความหวาดกลัว ใช่! นางหวาดกลัวเขาเหลือเกิน...
“เพราะอะไร...” คำถามเพียงสั้นๆ ของลู่อ๋อง เรียกความรู้สึกของเฟิ่งหรั่นกลับมา เขามองนางด้วยสายตาคาดคั้นระคนไม่พอใจ “เพราะอะไรที่แต่งงานกันมานานนับปี แม้แต่ร่วมหอกับเจ้าข้าก็ยังทำไม่ได้!”
น้ำเสียงนั้นมิใช่ความน้อยใจ แต่เป็นความไม่พอใจแต่เดิมที่สั่งสมมาตั้งแต่คืนแต่งงานคืนแรก เรื่องอาเพศอะไรนั่นเป็นเรื่องไร้สาระสำหรับลู่อ๋องทั้งนั้น เพราะความจริงทั้งหมดก็คือเฟิ่งหรั่นไม่เคยรักเขาเลย! แต่นางแต่งงานกับเขาเพราะอะไร! หรือว่าความรักที่นางเคยมีให้เขามันมอดดับไปหมดแล้ว
“หม่อมฉันไม่รู้เพคะ!” นางพยายามดันตัวเขาให้ออกห่าง เรื่องอาเพศในคืนเข้าหอนางเองก็ไม่ทราบเช่นกัน ทั้งๆ ที่นางถูกอบรมมาอย่างดีเป็นสตรีในห้องหอ คุณธรรมจรรยานั้นนางก็ไม่เคยบกพร่อง แต่เรื่องที่เกิดเหตุไม่คาดฝันในคราวันแต่งงาน นางไม่อาจทราบได้จริงๆ หากลู่อ๋องจะมาหาคาดคั้นหาความจริงกับนางก็ไม่มีประโยชน์
ลู่อ๋องเหยียดยิ้มที่มุมปาก “หรือเพราะว่าใจของเจ้ามีลู่เฟยหลง มิได้มีข้า แต่ทำไมถึงตอบรับการแต่งงานกับข้า!”
เฟิ่งหรั่นนิ่งอึ้ง การที่นางไม่ได้ร่วมหอกับเขาเพราะว่าใจนางมีลู่เฟย หลงอย่างนั้นหรือ? เขาเห็นนางเป็นสตรีเช่นนั้นเองหรือ?
เฟิ่งหรั่นเม้มปากเป็นเส้นตรงแล้วรวบรวมแรงผลักลู่อ๋องออกไปด้วยความโกรธ “หม่อมฉันเป็นสตรีที่ถูกอบรมคุณธรรมจรรยา หน้าที่ในฐานะภรรยาของพระองค์หม่อมมฉันก็ทำไม่เคยขาด แต่เรื่องเช่นนั้นหม่อมฉันเองก็
ไม่ทราบ พระองค์จะมาหาความจริงกับหม่อมฉันก็ไม่มีประโยชน์เพคะ!”
ลู่อ๋องเหยียดยิ้มที่มุมปาก เขาเดินดุ่มๆ เข้ามาหาเฟิ่งหรั่น หมายจะ
ใช้พละกำลังทำให้นางตกเป็นของเขา แค่เพียงไม่กี่ก้าว สองฝ่ามือของเขาทำได้แค่สัมผัสหัวไหล่ของนางเท่านั้น พลันบังเกิดความร้อนรุ่มราวเปลวเพลิงแผดเผาที่ฝ่ามือทั้งสองข้างของอ๋องหนุ่ม ลู่อ๋องชักฝ่ามือกลับมาด้วยความเจ็บปวดที่ฝ่ามือ ร่างกายของนางในยามนี้ร้อนระอุราวเปลวเพลิงในแดนยมโลกยิ่งนัก!
หญิงสาวเองก็ตกใจไม่แพ้กัน นางไม่รู้สึกถึงความผิดปกติในร่างกายเลย แต่กลับกันการที่ลู่อ๋องชักมือกลับอย่างรวดเร็วเหมือนกับโดนอันใดสักอย่าง ทำให้นางต้องฉงนใจไม่น้อย ในฐานะภรรยานางกำลังจะเดินเข้าไปดูเขาด้วยความเป็นห่วง แต่เขากลับยกมือปรามนางเอาไว้และเดินออกจากตำหนักของนางไป
เฟิ่งหรั่นมองตามหลังเขาด้วยความฉงนใจ นี่เป็นอีกครั้งที่นางรู้สึกว่ามีเรื่องแปลกประหลาดเกิดขึ้นกับตนเอง
ลู่อ๋องเดินพ้นจากตำหนักของเฟิ่งหรั่นได้ไม่เท่าไหร่ แทนที่จะรับสั่งหาหมอหลวงให้มารักษาบาดแผล แต่กลับเรียกนางกำนัลมาปรนนิบัติ เขาเจ็บปวดจนต้องการปลดปล่อย ในเมื่อเฟิ่งหรั่นไม่ยอมตกเป็นภรรยาของเขาแต่โดยดี นางจะโทษว่าเขาใจร้ายกับนางไม่ได้เด็ดขาด!
“ไม่ต้องนำนางกำนัลมาแล้ว ไปเรียกคนผู้หนึ่งมาปรนนิบัติข้าแทน!”
หลังจากเหตุการณ์เมื่อคืนผ่านพ้นไป เฟิ่งหรั่นพยายามทำเหมือนกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น เนื่องจากเรื่องเมื่อคืนบาดแผลของลู่อ๋องนั้นมาจากนาง แม้นางจะไม่ใช่ผู้ทำร้ายเขาแต่ก็อดเป็นห่วงไม่ได้ในฐานะที่อีกฝ่าย
เป็นสามี นางรับสั่งให้จิงเจียวนำยาสมานแผลและยาบรรเทาปวดถือไปตำหนักใหญ่พร้อมกับนาง ขันทีของลู่อ๋องที่เห็นเฟิ่งหรั่นพร้อมนางกำนัลถือถาดยามาต้องรีบเข้าไปแจ้งผู้เป็นนายที่กำลังระเริงรักกับเฟิ่งเจาหรงในห้องบรรทม!
ใช่! แม้จะสั่งให้ขันทีหานางกำนัลมาปรนนิบัติ แต่ก็ไม่มีนางใดปรนนิบัติเขาได้ดั่งใจเท่าเฟิ่งเจาหรงอีกแล้ว ดังนั้นเมื่อคืนเขาจึงเปลี่ยนให้ลอบติดต่อเฟิ่งเจาหรงแทน! และนางก็เต็มใจอย่างยิ่งที่จะปรนนิบัติเขา ทำให้เขาลืมเฟิ่งหรั่นไปชั่วขณะ
ลู่อ๋องที่กำลังระเริงรักบนเตียงกับเฟิ่งเจาหรงอย่างสนุกสุดเหวี่ยงเป็นอันต้องหยุดชะงักลง ใบหน้าหล่อเหลาเงยขึ้นมาจากซอกคอขาวผ่อง หญิงสาวบนเตียงหยิบผ้าห่มขึ้นมาปกคลุมหน้าอกเปลือยเปล่า แต่แววตาแฝงไปด้วยความสะใจ นางคิดว่าหากเฟิ่งหรั่นได้มาเห็นภาพนี้คงดีไม่น้อย
“ท่านอ๋อง พระชายาเสด็จมาพะยะค่ะ” ขันทีของลู่อ๋องทำให้คนบนเตียงต้องหยุดชะงักทันที
“ไปแจ้งนาง ว่าข้าไม่ประสงค์พบผู้ใดในตอนนี้” ว่าจบแล้วก็ก้มหน้าไประเริงรักกับหญิงสาวบนเตียงต่อ ไม่สนใจผู้เป็นชายาที่ยืนรออยู่ด้านนอกตำหนัก เฟิ่งเจาหรงลอบส่งสายตาท้าทายไปยังหน้าประตูตำหนักด้วยความเยาะเย้ย
ขันทีอาวุโสก้มหน้าเจื่อนๆ เขาไม่ต้องการทำเช่นนี้เลยจริงๆ แต่หาก
ไม่ทำ เกรงว่าท่านอ๋องกับพระชายาคงได้มีปัญหาผิดใจกันดั่งเมื่อคืนเป็นแน่
“ท่านอ๋องทรงต้องการพักผ่อนในตำหนักเงียบๆ พะยะค่ะ ทรงไม่ประสงค์ให้ผู้ใดเข้าเฝ้าตอนนี้” ขันทีเอ่ยด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิด
เฟิ่งหรั่นพยายามมองเข้าไปในตำหนัก ในเมื่อเขาไม่อนุญาตแล้วนางจะถือวิสาสะเข้าไปได้อย่างไร นางทำได้แค่เพียงฝากยาทั้งสองเอาไว้ที่กงกงอาวุโสเท่านั้น “ถ้าเช่นนั้น หากท่านอ๋องทรงตื่นบรรทม ฝากท่านกงกงนำยานี้มอบให้พระองค์ด้วย เป็นยาสมานบาดแผลและแก้ปวดแสบปวดร้อนได้”
เฟิ่งหรั่นยกถาดยาจากจิงเจียวส่งต่อให้กงกงอาวุโส สายตาของนางพลันอดชะเง้อมองด้านในไม่ได้ ยามนี้สายมากแล้วลู่อ๋องยังไม่ตื่นบรรทมอีกคงเป็นไปไม่ได้ แต่ไม่ว่าจะเรื่องใดก็ตามเมื่อคืนเขาไม่พอใจนางหนักอยู่ หากจะโกรธจนไม่ยอมให้นางพบก็คงเป็นไปได้
เรื่องสามีภรรยาเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนยิ่ง นางคงต้องอดทนเข้าไว้และพยายามทำความเข้าใจให้มากกว่านี้...
แทนที่จะเดินกลับตำหนักของตนเอง เฟิ่งหรั่นกลับมุ่งมาที่ห้องทรงพระอักษรของลู่อ๋อง นางนั้นสงสัยตั้งแต่คราแรกที่ซู่ไท่เฟยขอสมรสพระราชทานให้นางกับลู่อ๋อง ก็รู้สึกถึงความไม่ปกติ จุดประสงค์ที่แท้จริงของการแต่งงานครั้งนี้ หากนางเดาไม่ผิด ซู่ไท่เฟยคงต้องการดึงอำนาจของบิดาเข้ามาในมือ และเป้าหมายของซู่ไท่เฟยนั้นเป็นสิ่งใดกัน
“พระชายา ไม่ทรงกลับตำหนักหรือเพคะ เหตุใดเสด็จมาห้องทรงพระอักษรของท่านอ๋อง” จิงเจียวถาม นางเหลียวซ้ายแลขวาก็พบว่าไม่มีผู้ใดยืนเฝ้าอยู่หน้าห้องทรงพระอักษรเลยแม้แต่คนเดียว ผิดปกติยิ่งนัก
“ไม่มีคนอยู่น่ะสิดี...” เฟิ่งหรั่นเปิดบานประตูห้องทรงพระอักษรเข้าไปเบาๆ ดียิ่งนักที่ห้องนี้อยู่ห่างจากตำหนักบรรทมของลู่อ๋องพอสมควร นางอยากค้นหาความจริงเหตุใดที่ซู่ไท่เฟยต้องการเชื่อมสัมพันธ์กับตระกูลของนาง แม้นางจะแต่งงานกับลู่อ๋องแบบเต็มใจ แต่เรื่องทุกอย่างไม่ใช่ดั่งที่นางเห็นอย่างแน่นอน ต้องมีเบื้องหลังอะไรมากกว่านี้...
ภายในห้องทรงพระอักษรที่เฟิ่งหรั่นเห็นนั้นตกแต่งอย่างเป็นระเบียบเรียบง่าย หนังสือตำรามากมายถูกจัดแยกเป็นหมวดหมู่อย่างดี พู่กันที่ทำโดยช่างฝีมือของวังหลวงสลักลวดลายบนด้ามจับอย่างประณีต และแท่งฝนหมึกสีดำที่แห้งสนิทวางอยู่มุมหนึ่งของโต๊ะทรงงาน กระดาษเซวียนจื่อซึ่งใช้สำหรับขุนนางและเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงวางแผ่หลายชั้นเอาไว้ตรงกลางโต๊ะเขียนอักษร
“พระชายา เช่นนี้จะดีหรือเพคะ หากท่านอ๋องทรงมาเห็นเข้า” จิงเจียวเอ่ยด้วยความขลาดกลัว แม้ลู่อ๋องจะไม่ประสงค์พบเจ้านายของนางก็จริง แต่การบุกรุกห้องส่วนตัวโดยพลการเช่นนี้นับว่าไม่ดีไม่งามนัก
“จิงเจียว เรื่องการแต่งงานครั้งนี้มีเบื้องหลังที่ซับซ้อนอยู่ จุดประสงค์ของซู่ไท่เฟยคือเพื่อต้องการเสริมฐานอำนาจที่แข็งแกร่งให้กับลู่อ๋อง แต่ต้องมีเบื้องลึกมากกว่านั้น เจ้าช่วยข้าหาบางอย่างที...” นางกล่าวจบก็เอ่ยกระซิบกับจิงเจียว อีกฝ่ายหน้าซีดเผือดทันที ของสำคัญที่อยากให้หานั่นหมายถึงชีวิตของนางเชียวนะ
แต่ทว่าด้วยความสำคัญของเจ้านายต้องมาก่อนเสมอ จิงเจียวไม่อาจไม่ทำตามคำสั่งได้ นางได้แต่ตามหาสิ่งของบางอย่างที่เฟิ่งหรั่นต้องการ แม้จะอยากไปจากตรงนี้แต่ก็ทำไม่ได้อยู่ดี
เฟิ่งหรั่นคาดคิดในใจ นางมิใช่คนโง่ที่จะโดนหลอกได้โดยง่าย นับตั้งแต่แต่งงานมา ซู่ไท่เฟยก็มีท่าทีกระด้างกระเดื่องต่อไทเฮาและฮ่องเต้ หากเป็นต่อเซียวฮองเฮานางยังพอเข้าใจได้ เนื่องด้วยซู่ไท่เฟยก็เป็นผู้อาวุโสคนหนึ่งของวังหลัง เซียวฮองเฮาย่อมต้องให้ความเคารพเป็นธรรมดา แต่ท่าทีกระด้างกระเดื่องต่อไทเฮานั้นย่อมชัดเจน แสดงว่าการแต่งงานกับนางย่อมต้องมีจุดมุ่งหมายที่ลุ่มลึกกว่านั้น และที่สำคัญ...อีกฝ่ายพยายามอย่างยิ่งที่จะดึงท่านพ่อของนางให้เข้าพบเข้าหาอยู่บ่อยๆ จะให้ท่านพ่อของนางที่มีความเที่ยงธรรมทำเรื่องอันใดกันแน่นะ... หากสิ่งที่นางคิดเป็นจริงนางย่อมต้องหาทางแก้ไขเอาไว้ก่อน
“พระชายา นี่มัน...” จิงเจียวเจอของสำคัญบางอย่าง เป็นภาพวาดแผนที่ที่หนึ่งซึ่งมีความลึกลับซับซ้อนอย่างมาก อีกทั้งกระดาษนี้ยังดูไม่เก่าเท่าใด แสดงว่าแผนที่นี้ต้องมีการวาดใหม่อย่างแน่นอน นางดมกลิ่นน้ำหมึกที่ยังไม่ระเหยไป
ไม่ผิด! มีกลิ่นกำยานหอมปนอยู่ เป็นกลิ่นกำยานที่ใช้ในตำหนักของซู่ไท่เฟย! แต่ภาพวาดในแผนที่นี้คือภาพวาดแผนที่วังหลวง ซู่ไท่เฟยต้องการทำสิ่งใดกันแน่จึงได้วาดแผนที่นี้ออกมาและส่งให้ลู่อ๋อง
เฟิ่งหรั่นพับภาพวาดนั้นใส่ในอกเสื้อของนาง ก่อนที่ประตูห้องทรงพระอักษรจะถูกเปิดออกโดยลู่อ๋อง
แย่แล้ว!
เฟิ่งหรั่นปรับท่าทีนิ่งสงบเช่นเดิม นางมองผู้เป็นสามีที่เดินเข้ามาด้วยพระพักตร์ยิ้มแย้มเบิกบาน
“ข้าไม่ให้เจ้าเข้าพบที่ห้องบรรทม เจ้าเลยมารอข้าที่นี่เลยหรือพระชายา” น้ำเสียงนั้นเจือไปด้วยความตำหนิ เฟิ่งหรั่นปรับสีหน้าให้อ่อนลงแล้วกล่าว
“เพคะ กงกงบอกว่าพระองค์ไม่ประสงค์พบหม่อมฉัน หม่อมฉันเลย
มาที่นี่ว่าจะหาอ่านตำราสักเล่มเพคะ” เฟิ่งหรั่นปั้นแต่งเรื่องโกหกออกไป ทั้งๆ ที่ในชีวิตนี้นางเอ่ยคำโป้ปดแทบนับครั้งได้
ลู่อ๋องสาวเท้าเข้ามาใกล้นาง ใกล้เสียจนนางได้กลิ่นหอมของสตรีอื่นบนกายของสามี!
สามีนางเรียกนางกำนัลมาปรนนิบัตินางยังพอเข้าใจ เนื่องด้วยเหตุการณ์หลายอย่างที่ไม่อาจได้ร่วมหอกัน อีกทั้งนางกำนัลพวกนั้นไม่มีกลิ่นกายหอมหวนเช่นนี้ กลิ่นนี้เป็นกลิ่นน้ำหอมที่เหล่าสตรีชั้นสูงต่างก็ใช้กัน นางมุ่นคิ้วด้วยความสงสัย กลิ่นน้ำหอมสตรีอื่นมาติดเสื้อของสามีนางได้อย่างไร?
“เป็นอะไรไปหรือ?” ลู่อ๋องเข้ามาใกล้นางมากขึ้นเรื่อยๆ โดยมิได้เอะใจหรือสงสัยอันใดเลยสักนิด
ยิ่งเข้ามาใกล้มากเท่าไหร่ เฟิ่งหรั่นยิ่งสังเกตเห็นความผิดปกติชัดเจนมากยิ่งขึ้น รอยชาดบนคอของลู่อ๋องมาจากที่ใด?!
“งั้นหรือ ก่อนหน้านี้ข้าแค่น้อยใจเจ้าเท่านั้นเลยไม่ยอมให้เจ้าเข้าพบ เจ้าอย่าถือสาข้าเลยนะ” ลู่อ๋องกุมสองมือของนางขึ้นมาแล้วใช้สายตาออดอ้อนให้นางใจอ่อน
แต่ทว่าเฟิ่งหรั่นมิใช่มีความรู้สึกแบบหนุ่มสาวกับเขาอย่างตอนแรก แต่ว่าการแต่งงานของนางมีเรื่องการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เบื้องลึกแล้วซู่ไท่เฟยคงหมายใจอยากให้ตระกูลของนางมาเสริมฐานอำนาจให้กับลู่อ๋องอย่างแน่นอน ตระกูลใหญ่เช่นนางแต่งงานกับเขาแทนที่จะได้รับหมั้นหมายจากองค์รัชทายาท นั่นก็เป็นเครื่องพิสูจน์อย่างหนึ่งที่ชัดเจนว่าซู่ไท่เฟยคิดทำสิ่งใด
ซู่ไท่เฟยต้องการดึงอำนาจของสกุลเฟิ่งมาเสริมฐานอำนาจลู่อ๋อง แต่
ก้าวต่อไปของพวกเขาคือเป้าหมายใดกัน พวกเขาคงไม่มีเป้าหมายเพียงแค่เสริมฐานอำนาจที่มั่นคงอย่างแน่นอน
บิดาของนางมีบทบาทอย่างสูงในราชสำนัก อีกทั้งยังเป็นที่ปรึกษาส่วนพระองค์ของฝ่าบาท เป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัยอย่างยิ่งข้อนี้นางพอเข้าใจ แต่หากเทียบกับขุนนางอีกหลายตระกูลอย่างสกุลอวี๋หรือสกุลหลี่ที่มีอำนาจล้นมือ นางไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าเหตุใดต้องเป็นนาง
อวี๋ฟางหรงนั้นมีกำหนดหมั้นหมายกับลู่เฟยหลงมานาน อันนี้นางไม่สงสัย แต่สกุลหลี่ซึ่งบิดามีตำแหน่งขุนนางที่ใหญ่โต บิดาของนางเป็นถึงเจ้าเมืองและมีเส้นสายมากมาย ทำไมซู่ไท่เฟยถึงไม่เลือก ทั้งๆ ที่เป็นตัวเลือกชั้นดีหากต้องการเสริมฐานอำนาจ
หรือว่า..!?
ลู่เฟยหลงเดินทางมาพร้อมทหารกองทัพเสวียนอู่จำนวนหนึ่ง ใช้เวลาเพียงสองวันก็เดินทางมาถึงวังหลวง รุ่ยกงกงยังคงทำหน้าที่เช่นเดิมออกมาถวายการต้อนรับและเชิญเขาไปยังตำหนักชิงเทียน ซึ่งเป็นตำหนักใหญ่ที่สุดในวังหลวง เขาก้าวลงจากหลังม้าพร้อมด้วยห่อของขวัญสีทองสำหรับเตรียมมอบให้อีกฝ่าย โดยไม่ลืมนำดอกไห่ถังเหน็บไว้ที่ข้างเอวติดกายเอาไว้ด้วย
เพราะเหตุใดไม่รู้ แต่เขารู้สึกว่าดอกไห่ถังนี้จะทำให้เขาสมปรารถนาอีกไม่ช้านี้
“ถวายพระพรพะยะค่ะฝ่าบาท ขอทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆ ปี”
ลู่เฟยหลงนั่งคุกเข่ากล่าวถวายพระพรเสียงฮึกเหิม พร้อมกับยกห่อของขวัญ
ที่ตั้งใจมอบให้ขึ้นชูสูงด้วยความเคารพยิ่ง ลู่ฮ่องเต้ทรงลุกจากพระแท่นมารับของขวัญจากพระอนุชาด้วยพระองค์เอง ทรงส่งห่อของขวัญให้รุ่ยกงกงนำเข้าไปในตำหนัก ใช้สองฝ่ามือประคองไหล่ของผู้เป็นน้องชายขึ้นมา รอยยิ้มปรากฏบนพระพักตร์อันงามสง่าของพระองค์ นานร่วมปีแล้วที่ไม่ได้พบน้องชายผู้เป็นสายเลือดร่วมอุทร
แต่แม้เวลาจะผ่านไปหนึ่งปีแล้วก็ตาม ลู่เฟยหลงก็ยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย ไร้ซึ่งการแสดงความรู้สึกใดๆ เช่นเดิม
“เจ้ากลับมาเหนื่อยๆ เหตุใดไม่ไปพักผ่อนก่อนเล่า ค่อยนำของขวัญมามอบให้ข้าตอนงานเลี้ยงก็ยังไม่สาย”
คงเป็นเพราะความเคยชินทุกครั้งที่กลับมาจากสงคราม ต้องเข้ามาคำนับพี่ชายพี่สะใภ้ก่อนเสมอ ครั้งนี้เองก็เช่นกัน
“เสด็จอาพะยะค่ะ...” เสียงใสเจื้อยแจ้วของลู่เสวียนดังขึ้นจากด้านหลัง เด็กน้อยเดินจูงมือมาพร้อมกับฮองเฮาผู้เป็นมารดา ลู่เฟยหลงคำนับเซียวฮองเฮาผู้เป็นพี่สะใภ้ด้วยความเคารพนบนอบ ก่อนจะอุ้มหลานชายตัวน้อยเอาไว้บนอ้อมแขน เนื่องจากตนเองไม่มีชายาและไม่มีบุตร จึงได้เอ็นดูลู่เสวียนเป็นดั่งบุตรชายตลอดมา
“เด็กดีของอา เป็นอย่างไรบ้าง เจ้าตั้งใจเรียนวิชาหรือไม่” ลู่เฟยหลงถามคาดคั้น
“องค์ชายน้อยยังเด็กนัก เจ้าอย่าเพิ่งเข้มงวดกับเขานักเลย มาถึงเหนื่อยๆ ก็ไปพักดั่งที่ฝ่าบาททรงเอ่ยก่อนเถิด” เซียวฮองเฮายิ้มให้อย่างอารี นางมองบุตรชายวัยซุกซนก็อดยิ้มไม่ได้
ลู่เฟยหลงมีสีหน้าเคร่งขรึมลงกว่าเดิม คงเป็นเพราะหนึ่งปีที่เขาไม่
อยู่ หลานชายคนนี้จึงไม่ค่อยสนใจฝึกวิชาเป็นแน่ เห็นทีคราวนี้คงต้องอยู่เมืองหลวงให้นานกว่านี้หน่อย
อยู่ให้นานกว่านี้หรือ..? ความคิดนี้เขามีมาแต่เมื่อใดกัน
เดิมทีตั้งใจว่าจบงานเลี้ยงแล้วจะอยู่ต่ออีกไม่กี่วันแล้วค่อยกลับค่ายทหารที่จงโจว แต่เหตุใดมาบัดนี้จึงอยากอยู่ต่อให้ยาวกว่านี้นะ
กาลเวลาผ่านไปนานเกือบห้าปีเต็ม ในที่สุดฮองเฮาเฟิ่งหรั่นก็มีพระประสูติกาลพระโอรสน้อยออกมาอย่างปลอดภัย โดยทันทีที่โอรสน้อยถือกำเนิดมาลู่เฟยหลงก็สถาปนาเป็นองค์รัชทายาททันที โดยมีพระนามว่าลู่จื้อ ที่หมายถึงหยกแห่งความเฉลียวฉลาด นับว่าเป็นชื่อที่มีความหมายมงคลอย่างยิ่งบัดนี้องค์ชายน้อยในวัยชันษาเพียงห้าปีกว่ากำลังวิ่งเล่นกับชินอ๋องผู้เป็นพี่ชายอย่างมีความสุข เนื่องจากชินอ๋องหรือองค์ชายน้อยลู่เสวียนยังเยาว์วัยอยู่มาก ลู่เฟยหลงจึงนำเขามาเลี้ยงดูในวังตามหน้าที่ของเสด็จอา แม้ว่าเด็กน้อยจะสูญเสียทั้งอดีตฮ่องเต้และฮองเฮาผู้เป็นมารดาไป ทว่ากลับได้รับความรักอย่างเต็มเปี่ยมจากลู่เฟยหลงและเฟิ่งหรั่นไม่ต่างจากบิดามารดาที่มอบให้บุตรคนหนึ่งอีกทั้งนอกจากจะมีข่าวดีเรื่องที่นางมีประสูติกาลพระโอรสแล้วนั้น ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่เป็นข่าวดีไม่แพ้กันถึงสองเรื่อง นั้นคือการแต่งงานระหว่างไป๋ซูเหวินและหลินเอ๋อร์ ไป๋ซูเหวินที่กลายเป็นท่านอ๋องแห่งเมืองทัวปาคนใหม่ แม้งานราชกิจจะรัดตัวมาก แต่ทว่าทุกครั้งที่เขามาเยือนเมืองหลวงเป็นต้องแวะเวียนมาหาหลินเอ๋อร์ เกี้ยวพาราสีจนนางใจอ่อนยอมตกลง
ไม่กี่วันถัดมา วังหลวงบังเกิดข่าวดีขึ้นอีกครั้งการจัดพิธีบรมราชาภิเษกดำเนินไปใกล้จะเสร็จสิ้นแล้ว แต่ทว่าลู่เฟยหลงที่เตรียมตัวขึ้นเป็นฮ่องเต้พระองค์ใหม่กลับต้องพบข่าวดีว่าตนเองนั้นกำลังจะกลายเป็นบิดาแล้ว เมื่อเฟิ่งหรั่นภรรยารักของเขานั้นตั้งครรภ์จากคำรายงานของหมอหลวง“จริงหรือ...ว่าที่ฮองเฮาตั้งครรภ์แล้วหรือ?” ลู่เฟยหลงดีใจจนเก็บอาการไว้ไม่อยู่ เขาถามหมอหลวงด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นที่กำลังจะได้กลายเป็นบิดาในอีกไม่กี่วัน“พะยะค่ะ ขอแสดงความยินดีด้วยพะยะค่ะ” หมอหลวงและทุกคนต่างคุกเข่าประสานมือแสดงความยินดีกับว่าที่ฮ่องเต้ ซึ่งกำลังจะมีทายาทมังกรสืบราชบัลลังก์ในไม่ช้านี้ ลู่เฟยหลงไม่รอช้าจึงรีบเข้าไปในตำหนักบูรพาเพื่อสวมกอดภรรยารักทันที“ท่านพี่...” เฟิ่งหรั่นยิ้มดีใจเมื่อนางได้พบคนที่อยากพบมากที่สุดในเพลานี้ ตอนนี้นางเพิ่งทราบว่าตนเองกำลังตั้งครรภ์อ่อนๆ เพราะเมื่อไม่กี่ชั่วยามก่อนนางกำลังเลือกเครื่องประดับมงคลใส่ในวันราชาภิเษกกับมารดา แต่สุดท้ายนางก็เป็นลมหมดสติไป หมอหลวงมาตรวจจึงได้รู้ว่านางนั้นกำลังตั้งครรภ์อ่อนๆ ได้ราว
คุกหลวงในยามจื่อต้อนรับช่วงเวลาแห่งวันใหม่มืดมนน่ากลัวยิ่งนัก แม้จะมีแสงไฟจากกระถางไฟรายรอบคุกหลวงก็ตาม เหล่าทหารยามผลัดเปลี่ยนเวรกันในช่วงยามนี้พอดี โดยมีซ่งหลานผลัดมาทำหน้าที่นี้แทนหัวหน้าองครักษ์หลวงที่แลกเปลี่ยนเวรกันไปก่อนหน้านี้เฟิ่งอี้นั่งขดตัวอยู่ที่มุมหนึ่งของห้องขัง นางนั่งกอดเข่าท่าทางสั่นระริกเหมือนกำลังหวาดกลัวบางสิ่งบางอย่าง ผมเผ้าของนางยุ่งเหยิงและเนื้อตัวที่มีแต่รอยช้ำของเล็บที่นางจิกเข้าผิวเนื้อ รอยแดงจำนวนมากบนแขนของนางเกิดจากตัวนางเองทั้งสิ้น ซ่งหลานได้แต่มองภาพนั้นอย่างเวทนาในใจ“ไม่! อย่าทำข้า...กรี๊ด!” จู่ๆ เฟิ่งอี้ก็กรีดร้องคลุ้มคลั่งขึ้นมาอีกครั้งราวกับคนเสียสติ แขนของนางยกขึ้นมาราวกับปัดป้องบางอย่างที่กำลังจะคุกคาม“นางอาละวาดมาแบบนี้สักพักแล้วขอรับใต้เท้า...” ทหารผู้หนึ่งกล่าวรายงาน“คอยจับตาดูนางเอาไว้ให้ดีล่ะ” ซ่งหลานสั่งสั้นๆ แล้วเดินจากไปแววตาอันเลื่อนลอยของเฟิ่งอี้มองสรรพสิ่งรายรอบ นางรู้สึกถึงกลิ่นคาวเลือดที่แตะจมูก ภายในใจของนางเกิดหวาดกลัวจับใจ&n
อัครมหาเสนาบดีเกาหยางกับเครือญาติถูกซ่งหลานจับตัวมาหมดทั้งจวน เกาหยางก่นด่าโวยวายตลอดทางที่ถูกจับกุมมา ท่ามกลางความปรีดาของชาวเมืองที่ตื่นขึ้นมาดูเหตุการณ์นี้ด้วยความแตกตื่น เพลานี้เกิดจลาจลภายในเมืองหลวงขึ้นมา แต่ประชาชนอย่างพวกตนได้รับผลกระทบไม่มากนัก นับเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างยิ่ง อีกทั้งเกาหยางกับคนสกุลเกาก็ถูกจับไปแล้ว เดาว่าอีกไม่นานคงมีพระบรมราชโองการจากโอรสสวรรค์พระองค์ใหม่ให้ประหารเจ็ดชั่วโคตรเป็นแน่ชาวบ้านที่เคยถูกเกาหยางกดขี่ บัดนี้ต่างพร้อมใจกันขว้างปาก้อนกรวดรายทางใส่ตลอด จนทั้งร่างของอัครมหาเสนาบดีเฒ่าเปื้อนไปด้วยโลหิตที่ไหลลงมาจากศีรษะที่แตก เกาหยางจนปัญญาที่จะขัดขืน เสนาบดีเฒ่าคาดการณ์ว่าตอนนี้ในวังหลวงคงเกิดจลาจลขึ้นแน่ แต่จะเป็นใครกันที่สั่งการ?ลู่เฟยหลงนั่งรออย่างใจเย็นที่ตำหนักบูรพาของเขา บัดนี้ลู่อวี้ ซู่ไท่เฟย เกากุ้ยเฟยต่างถูกพามาที่นี่กันหมด จากนั้นไม่นานทหารกลุ่มหนึ่งจึงพาร่างของเฟิ่งอี้ที่อิดโรยมาแล้วโยนร่างนางให้ทรุดลงกับพื้นต่อหน้าธารกำนัล ศัตรูคู่อาฆาตที่ทำร้ายเฟิ่งหรั่น!“ซ่งหลาน ไปเชิญพระชายาเรามาที่นี่&rdquo
นับวันอาการของเฟิ่งอี้ยิ่งหนักมากขึ้นทุกที เฟยเซียงแอบถ่ายปราณมารที่เกินขีดจำกัดเอาไว้ในกายนาง โดยที่นางนั้นไม่รู้ตัวเลยสักนิด ตอนนี้ภายในวังหลวงระส่ำระส่ายยิ่งนัก สถานการณ์ไม่สู้ดีเท่าที่ควร เหล่าบรรดาเสนาบดีน้อยใหญ่ต่างพยายามตั้งตนมาเป็นใหญ่แทนนางโดยอ้างเรื่องที่นางไม่ออกว่าราชการหลายวัน อีกทั้งซู่ไท่เฟยเองก็มีท่าทีคุกคามภายในราชสำนักมากขึ้นเรื่อยๆ“ฮองเฮา หม่อมฉันว่าเรียกหมอหลวงมาดูอาการเถิดเพคะ นับวันพระนางจะยิ่งทรงประชวรหนักมากขึ้นทุกที หากไม่...” นางกำนัลสาวกำลังจะกล่าวต่อ ทว่าเมื่อได้รับสายตาดุจากประมุขแห่งราชสำนักฝ่ายในต้องเงียบปากลง“อาการที่ข้าเป็นอยู่ ไม่ว่าใครหน้าไหนก็รักษาไม่ได้ทั้งนั้น ตอนนี้ในวังหลวงเป็นอย่างไรบ้าง ซู่ไท่เฟยมีความเคลื่อนไหวหรือไม่” เฟิ่งอี้หวงแหนอำนาจที่ได้มาเกินกว่าจะห่วงตนเองในยามนี้ ยามนี้ซู่ไท่เฟยพยายามสร้างฐานอำนาจแทนนาง ส่วนตัวนางที่อุตส่าห์มานะสร้างฐานอำนาจของตนเองมานานขนาดนี้ นางจะไม่ยอมเสียอำนาจไปเด็ดขาด“จากคนของเราที่ไปสอดแนมในตำหนักคังเฉวียน เหล่าเสนาบดีกลุ่มหนึ่งรวมถึงเจ้ากรมพ
เฟิ่งเจาหรงออกมาสูดอากาศข้างนอก ตอนนี้นางไม่ได้ทำงานในเหลาสุรานั้นอีกต่อไป เพราะพระเมตตาของรัชทายาทลู่เฟยหลงทรงอนุญาตให้นางพักที่เรือนของเจ้าเมืองไป๋ซูเหวินสักระยะหนึ่ง หากทำศึกชนะเฟิ่งอี้ได้เมื่อใดนางก็จะมีอิสระ ได้ออกมาใช้ชีวิตอยู่ตามลำพังกับมารดาของตนเองส่วนทางด้านลู่เฟยหลงนั้น ตอนนี้เขากับเฟิ่งหรั่นมีคำสั่งลับกับซ่งหลานและจางซินเฉิง โดยออกอุบายให้ซ่งหลานนำกองทัพทหารหนานจิงจำนวนหนึ่งเดินทางไปยังเมืองทัวปาเพื่อจับทัวปาอวี้มาสำเร็จโทษ ซึ่งการทำตามแผนเป็นไปด้วยดี เพราะหลังจากที่ทัวปาอวี้แน่ใจว่าลู่เฟยหลงตายแล้ว และเฟิ่งอี้ขึ้นเป็นฮองเฮาผู้สำเร็จราชการแทนสวามีของนาง เจ้าเมืองทัวปาก็เริ่มมีท่าทีกระด้างกระเดื่องหมายจะตั้งตนเองเป็นอิสระจากการปกครองของต้าเหลียว ซึ่งจุดนี้เองที่ทำให้ซ่งหลานวางแผนการคาดการณ์กำลังของศัตรูได้ที่วางกำลังทหารประจำประตูแต่ละทิศได้แม่นยำในเมื่อทัวปาอวี้สนใจแต่การก่อกบฏตั้งตนเองเป็นอิสระ ซ่งหลานจึงนำทหารจำนวนหนึ่งไปลอบสังหารคนของทัวปาอวี้ ส่วนอีกจำนวนหนึ่งลอบเข้าไปในตำหนักใหญ่ของเมืองทัวปาเพื่อจับทัวปาอวี้มาแบบเป็นๆแผนการ