LOGINเธอกลายเป็น “เมียลับ” ที่เขาซ่อนเอาไว้ ...วันที่รู้ตัวว่าท้อง กลับเป็นวันที่เขาขอหย่า“ตลอดเวลาที่เราอยู่ด้วยกันมา มีสักเสี้ยววินาทีไหมคะที่คุณธีจะรู้สึกว่ารักฟาบ้าง ... รักแบบที่รักจริง ๆ ไม่ใช่สงสาร"
View More“น้ำจิ้มตักเอาเลยนะคะ แม่ค้าไม่ว่าง ย่างหมึกอยู่”
ฟาริศาหญิงสาวรูปร่างอวบอ้วนที่ยังอยู่ในชุดทำงาน แถมป้ายชื่อของบริษัทยังห้อยอยู่ที่คอ ตะโกนบอกกับลูกค้าคิวต่อไปที่กำลังเลือกหมึกเสียบไม้หลายรูปแบบที่วางเรียงอยู่บนถาด
ตอนแรกคิดว่าการให้แม่ออกมาขายหมึกย่างเป็นอาชีพเสริมเพื่อช่วยในการแบ่งเบาภาระในครอบครัว จะกลายมาเป็นรายได้หลักที่สร้างเงินให้ได้มากถึงคืนละห้าพันกว่าบาท ทว่ามันก็ต้องแลกมาด้วยความเหนื่อยของ
ผู้เป็นมารดาซึ่งนับวันก็ยิ่งแก่ชราลง
“คนหลังเสียใจด้วยนะคะ ของหมดทุกอย่างแล้ว เอาไว้พรุ่งนี้มาซื้อใหม่นะคะ”
หลังจากหันไปรื้อของในกล่องโฟมดูจึงเห็นว่ามันว่างเปล่า ฟาริศาจึงหันกลับมาบอกลูกค้า หลายคนทำสีหน้าเสียดาย บางคนถึงกับบ่นออกมาว่ามาทีไรก็ไม่ได้เคยได้กินเลย
“กลับไปพักผ่อนเถอะ เดี๋ยวแม่เก็บของพวกนี้เอง”
“ได้ไงล่ะแม่ อีกนิดเดียวก็จะเสร็จแล้ว” เธอหันไปยิ้มบาง ๆ แล้วยกมือขึ้นปาดเหงื่อบนหน้าผาก
“แล้วนี่ยัยซาก็หายหัวไปเลย ไหนบอกว่าวันนี้จะมาช่วยขายของ พอได้สิ่งที่ตัวเองต้องการแล้ว ก็ไม่โผล่หัวมาให้เห็นเลย”
ผู้เป็นแม่บ่นกระปอดกระแปดตามประสาคนที่อายุเพิ่มมากขึ้น
ทุกวัน
“เอาน่าแม่ น้องคงอยู่ติวเตรียมสอบน่ะ ฟาก็มาช่วยแล้วนี่ไงคะ”
ร่างอ้วนหันไปทำหน้าทะเล้น แล้วทำตาปริบ ๆ อินตาหันกลับมาเห็นก็ถึงกับหัวเราะออกมา ให้มันได้อย่างนี้สิ เอาแต่ปกป้องน้องสาว ทั้งที่ตัวเองก็ทำงานมาเหนื่อยสายตัวแทบขาดแล้ว
พอกลับมาถึงบ้านฟาริศาก็ไล่ให้แม่ขึ้นไปอาบน้ำนอน แม้ท่านจะไม่ยอมแต่ก็ขัดนิสัยของลูกสาวคนโตไม่ได้ เมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อยน้องสาวคนเล็กของบ้านก็กลับมาถึงพอดี
“พี่ฟา ซาขอโทษนะวันนี้มีซ้อมกองเชียร์แล้วก็ ... ติวสอบด้วย”
ใบหน้าหวานของสาวสวยในชุดนักศึกษา ทำตาละห้อยด้วยความสำนึกผิด คนเป็นพี่เห็นอย่างนั้นก็แสร้งทำหน้าบึ้งตีง แล้วเดินหนี
“พี่ฟา อย่าโกรธน้องเลยนะ”
ร่างเล็กเดินตามพร้อมยกมือไหว้ปลก ๆ ฟาริศาหยุดเดินแล้วหันกลับไปทำหน้ายุ่ง ซาริตาเห็นอย่างนั้นยิ่งทำหน้าออดอ้อน ทำเอาหญิงสาวกลั้นยิ้มไม่อยู่
“อ้าว! พี่ฟาแกล้งน้องเหรอ?”
“ก็ใช่นะสิ นี่เรายังไม่รู้จักนิสัยพี่อีกเหรอ” มืออวบยกขึ้นไปลูบหัวทุยของผู้เป็นน้องสาวก่อนจะเอ่ยถามขึ้นใหม่
“แล้วนี่กินอะไรมาหรือยัง”
“ยังเลยยยย หิวไส้จะขาดแล้ว” ซาริตาลูบท้องแล้วโยกตัวไปมา
“งั้นก็ไปรอที่โต๊ะ เดี๋ยวพี่ไปทำอะไรมาให้กิน”
“ไม่ต้องเลย เดี๋ยวซาไปหากินเอง พี่กลับมาจากทำงานเหนื่อย ๆ แล้วยังต้องไปช่วยแม่ขายของแทนซาอีก”
“รู้ตัวก็ดีแล้ว ถ้างั้นก็รีบกินรีบขึ้นไปนอน” ฟาริศาพูดจบก็เอื้อมไปตบไหล่น้องสาวเบา ๆ ก่อนจะเดินขึ้นชั้นบน
พออาบน้ำเสร็จ หัวตกถึงหมอนคนเจ้าเนื้อก็เข้าสู่ห้วงนิทราทันที เธอหลับสนิทจนกระทั่งถึงเช้าวันใหม่
เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นเป็นจังหวะที่น่ารำคาญพอ ๆ กับความจริงที่ว่าต้องตื่นมาสู้กับงานในเช้าวันใหม่ ฟาริศาเอื้อมมือไปกดปิดเสียง ก่อนจะกลิ้งตัวไปอีกด้านของเตียงพลางถอนหายใจหนัก ๆ สองสามรอบ
เมื่อคืนเธอหลับสนิทราวกับถูกดูดวิญญาณ อาจจะเพราะความเหนื่อยจากโปรเจ็กต์งานเมื่อวาน แล้วก็ไปช่วยแม่ขายของเมื่อคืน
เมื่อร่างอวบอิ่มลากตัวเองขึ้นจากเตียงได้ แล้วเดินตรงเข้าไปยังห้องน้ำเพื่อชำระล้างร่างกาย ก่อนจะเดินออกมายืนอยู่หน้ากระจกบานใหญ่ที่ตั้งอยู่ข้างตู้เสื้อผ้า
ดวงตากลมคู่สวยไล่มองรูปร่างของตัวเอง ทั้งอก เอว สะโพก ล้วนเต็ม และโค้งมนในแบบที่ไม่เข้ากับนิยามคำว่า ‘ผอมเพรียว’ ที่ใครหลายคนมักจะยึดติด
“ถ้าวันนี้ใส่เดรสตัวนี้จะดูอ้วนตันไปไหมนะ...”
เธอพึมพำกับตัวเองขณะยกเดรสสีเทาเข้มขึ้นแนบลำตัว แล้วเอนศีรษะเล็กน้อย ๆ คล้ายกำลังประเมินรูปร่างในมุมต่าง ๆ
ผิวขาวอมชมพูของคนตัวอ้วนตัดกับเนื้อผ้าอย่างชัดเจน แก้มกลมที่ขึ้นสีเรื่อเพราะอากาศยามเช้ายิ่งทำให้เธอดูคล้ายลูกพีชสุกน่ากิน
ฟาริศาไม่ใช่คนไม่มั่นใจตัวเอง เธอแค่รู้ดีว่าโลกนี้มักมองว่าผู้หญิงสวยต้อง ‘ผอมบางน่าทะนุถนอม’ แน่นอนว่าเธอไม่มีสิ่งนั้น แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีอะไรเลย
“เอาวะ ใส่แล้วมั่นใจไว้ก่อน”
เธอจัดชายเดรสแล้วหันหลังพยายามรูดซิปขึ้นด้วยตัวเอง จนกระทั่งมันติดอยู่กลางหลัง
“เฮ้อ ... เมื่อไรจะมีคนคิดค้นซิปที่รูดเองได้แบบไม่ต้องเสี่ยงหัวหลุดสักทีเนี่ย!”
บ่นไป มือก็พยายามดันซิปขึ้นอย่างทุลักทุเล สุดท้ายก็ต้องใช้วิธีกระโดดสองจังหวะ พร้อมรูดรวดเดียวผ่านไปได้แบบซิปเกือบขาด
“ฟาเอ๊ย เสร็จหรือยังลูกจะได้ลงมากินข้าว ไม่งั้นจะไปทำงานสายนะ”
“เสร็จแล้วจ้าแม่ จะลงไปเดี๋ยวนี้แหละ!”
เธอชะเง้อคอร้องบอกผู้เป็นแม่ ก่อนจะคว้ารองเท้าส้นเตี้ยคู่โปรดมาใส่ แล้วเดินเร็ว ๆ ออกจากห้อง ลงไปด้านล่างซึ่งอินดากำลังตั้งโต๊ะมื้อเช้ารออยู่
เสียงเจื้อยแจ้วเล็ก ๆ ดังขึ้นพร้อมกับร่างป้อม ๆ ในชุดนักเรียนอนุบาลสีฟ้าสดใสวิ่งลงมาจากชั้นบนตัวบ้าน ‘น้องพราว’ หรือเด็กหญิงพราวรศา อัศวเมธากุล ในวัยสี่ขวบเต็มกำลังตื่นเต้นกับวันแรกของการไปโรงเรียนอย่างสุดขีด กระเป๋าเป้ลายเจ้าหญิงเงือกน้อยแทบจะใหญ่กว่าแผ่นหลังเล็กๆ แต่เจ้าตัวก็ยังสะพายมันอย่างกระฉับกระเฉงไม่มีท่าทีว่าหนักเลยสักนิด“คุณพ่อขา คุณแม่ขา หนูพราวพร้อมแล้วค่ะ”ฟาริศาที่กำลังจัดเตรียมอาหารเช้าอยู่บนโต๊ะหันมายิ้มให้ลูกสาวด้วยความเอ็นดู “รอทานข้าวก่อนสิคะลูก เดี๋ยวคุณแม่ป้อนนะ”“ไม่เอาค่ะ พราวโตแล้ว ทานเองได้ค่ะ”เด็กหญิงตอบอย่างฉะฉาน ก่อนจะปีนขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้ประจำตำแหน่งอย่างแข็งขันภาพนั้นทำให้ฟาริศาทั้งขำทั้งภูมิใจในความรักอิสระของลูกสาว แต่สำหรับใครอีกคน มันคือภาพที่บาดลึกเข้าไปในหัวใจธีรณัฐเดินลงมาจากบันไดด้วยท่าทางราวกับคนป่วยที่ไม่ได้นอนมาทั้งคืน เขาอยู่ในชุดทำงานเรียบร้อย แต่แววตากลับหม่นหมองอิดโรยราวกับคนไม่ได้หลับได้นอนเขาทรุดตัวลงนั่งข้างลูกสาว มองแก้มยุ้ยที่กำลังเคี้ยวข้าวตุ้ย ๆ แล้วถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่“เป็นอะไรของคุณแต่เช้าคะ” ฟาริศาถามสามีพลางเลิกคิ้ว เธอ
เวลาล่วงเลยไปจนฟาริศาอุ้มท้องแก่ใกล้คลอดเต็มที การเดินเหินเริ่มอุ้ยอ้ายไปบ้างตามประสา แต่เธอก็ยังคงมีความสุขกับการได้มาทำงานและอยู่ใกล้ ๆ สามี แม้ว่าธีรณัฐจะลดปริมาณงานของเธอลงจนแทบไม่ต้องทำอะไรแล้วก็ตามวันนี้ทำเอาฟาริศาถึงกับขมวดคิ้วเมื่อคุณนักรบเข้ามาบอกว่ารายการทอล์คโชว์ชื่อดังติดต่อมายังบริษัทเพื่อขอสัมภาษณ์เธอกับเขาในฐานะคู่รักที่มีเรื่องราวเป็นที่สนใจของสังคม ธีรณัฐผู้ซึ่งไม่เคยออกสื่อในเรื่องส่วนตัวกลับตอบตกลงทันทีโดยไม่ลังเล“คุณธีจะดีเหรอคะ ฟา... เอ่อ ... ตอนนี้ฟาไม่สวยเลยนะคะ อ้วนก็อ้วน ตัวก็บวม"ฟาริศาบอกอย่างไม่มั่นใจ ขณะลูบท้องกลมโตของตัวเองหน้ากระจก ธีรณัฐเดินเข้ามากอดเธอจากด้านหลัง วางคางเกยบนไหล่แล้วมองภาพของพวกเขาสะท้อนในกระจก"ใครว่าไม่สวย สำหรับผม คุณสวยที่สุดเสมอ สวยกว่าผู้หญิงบางคนที่ผมเคยเจออีกนะ แต่ไม่ใช่หน้าตา แต่เป็นตรงนี้" เขาทาบมือไปยังหน้าอก“ผมอยากให้ทุกคนได้รู้ว่าผู้หญิงที่ผมรัก และกำลังจะเป็นแม่ของลูกเป็นใคร ผมอยากจะเปิดตัวคุณอย่างเป็นทางการสักขี ไม่ต้องหลบซ่อนเป็นเมียในความลับแบบเมื่อก่อน”คำพูดที่หนักแน่นและแววตาที่เปี่ยมด้วยรักของเขาปัดเป่าความกังวลใ
หนึ่งเดือนผ่านไป...ชีวิตของฟาริศากลับคืนสู่สภาวะปกติ หัวใจที่เคยบอบช้ำกลับได้รับการเยียวยาจนเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข เธอยืนกรานที่จะกลับมาทำงานฝ่ายการตลาดเหมือนเดิม แม้ว่าธีรณัฐจะอ้อนวอนขอให้เธอพักผ่อนอยู่บ้านจนกว่าจะคลอด แต่คนดื้อรั้นอย่างเธอก็ไม่ยอมท่าเดียว“คุณธีไม่ต้องห่วงฟานะคะ ฟาสัญญาว่าจะดูตัวเองกับลูกอย่างดีที่สุด แค่นั่งทำงานเอกสารในออฟฟิศ ไม่ได้ใช้แรงอะไรเลย ดีกว่าอยู่บ้านเฉยๆ น่าเบื่อจะตาย”เธอบอกกับเขาในเช้าวันแรกของการกลับมาทำงานธีรณัฐที่อยู่ในชุดสูทเต็มยศทำได้เพียงถอนหายใจเบาๆ กับความดื้อของภรรยา เขาโน้มตัวลงจูบหน้าผากมนอย่างแผ่วเบา“ตามใจครับ แต่ถ้าเหนื่อยหรือว่ารู้สึกไม่ได้แม้แต่นิดเดียว ต้องโทรหาผมทันทีนะ รู้ไหม”“รับทราบค่ะ ท่านประธาน!” ฟาริศารับคำอย่างแข็งขัน พร้อมกับทำท่าตะเบ๊ะ จนเขาอดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้บรรยากาศในออฟฟิศวันนี้ดูจะสดใสเป็นพิเศษ ทันทีที่ฟาริศาก้าวเข้ามา สุริยาและแพรพายก็รีบวิ่งหน้าตั้งเข้ามาหาด้วยความดีใจ“น้องฟา! กลับมาแล้วเหรอคะ” แพรพายโผเข้ากอดเธอเบา ๆ อย่างระมัดระวัง “พวกพี่คิดถึงน้องฟาจะแย่แล้วค่ะ”“ใช่ค่ะ ที่นี่ไม่มีคุณน้องแล้วมันเหงา ๆ ยังไง
เวลาผ่านไปไม่นานนัก ในที่สุดประตูห้องฉุกเฉินก็เปิดออกอีกครั้ง แต่คราวนี้เป็นนายแพทย์ในชุดสีกาวน์เดินออกมา ทุกคนต่างลุกพรวดขึ้นไปหาคุณหมอโดยพร้อมเพรียงกัน“หมอคะ สามีของดิฉันเป็นยังไงบ้างคะ เขาปลอดภัยไปไหม”ฟาริศาเป็นคนแรกที่เอ่ยถามขึ้น น้ำเสียงของเธอสั่นเครือจนแทบไม่เป็นคำพูดนายแพทย์วัยกลางคนถอดหน้ากากอนามัยออก เผยให้เห็นรอยยิ้มบาง ๆ ที่ส่งผลให้หัวใจของทุกคนพองโตขึ้นด้วยความหวัง“ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ คนไข้ปลอดภัยแล้ว”คำพูดสั้น ๆ นั้นทรงพลังราวกับน้ำทิพย์ชโลมจิตใจฟาริศาแทบจะทรุดลงกับพื้นหากไม่ได้ธีรนัยช่วยประคองไว้ น้ำตาที่เธอพยายามกลั้นไว้ก็ไหลทะลักออกมาทันที แต่มันคือน้ำตาแห่งความโล่งใจ“โชคดีมากที่กระสุนแค่ถากกล้ามเนื้อบริเวณหัวไหล่ไปเท่านั้น ไม่ได้โดนอวัยวะสำคัญหรือเส้นเลือดใหญ่ ที่คนไข้หมดสติไปน่าจะเกิดจากการเสียเลือด และความอ่อนเพลียสะสมของร่างกายมากกว่าครับ”คุณหมอกวาดสายตามองทุกคน ก่อนจะอธิบายต่อ“ตอนนี้คนไข้ฟื้นแล้วนะครับ หมอทำแผลและให้น้ำเกลือเรียบร้อยแล้ว ผมให้พยาบาลย้ายไปห้องพักฟื้นแล้ว ญาติเข้าไปเยี่ยมได้เลยนะครับ”สิ้นเสียงคุณหมอ ทุกคนต่างหันไปมองฟาริศาเป็นตาเดียวกัน