Chapter 8
ผ่านมาแล้วไม่รู้กี่วันที่ชีวิตของลฎาภายังคงว่างงาน แม้จะลองหางานที่อื่นๆ ดูระหว่างรอผลสัมภาษณ์แต่ก็ยังไม่มีอะไรคืบหน้า อาจเป็นเพราะเธอเลือกสถานที่ทำงานที่เดินทางสะดวกด้วยก็เป็นได้จึงทำให้ยังไม่ได้งานสักที ครืด—ครืด แรงสั่นจากโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะ ลฎาภาเอื้อมมือหยิบดูก่อนกดรับทันทีที่รู้ว่าคนที่โทร. มาคือเพื่อนสนิทสมัยมัธยม “ว่าไงจ๊ะ คุณครูคนสวย” หญิงสาวเอ่ยทักทาย [ยัยจอม โทษทีนะ ฉันเพิ่งหาเวลาว่างได้] “แล้ว...” [แกว่างไหม ช่วงนี้น่ะ] “ก็ว่างอยู่หรอก แต่จะไปไหนเหรอ ?” ลฎาภาเอ่ยถามขึ้นเพื่อรอคำตอบของอีกฝ่ายก่อนตกลง [ไปกินบุฟเฟต์ไหม ? วันนี้มีโปรโมชั่นลดอยู่ มีเรื่องอยากคุยเยอะเลย] ถ้าแค่กินก็โอเคเพราะเดินช็อปปิ้งด้วยเธอคงไม่ไหวอย่างแน่นอน อีกอย่างช่วงนี้ต้องใช้เงินเก็บอย่างประหยัด ทั้งที่ไม่อยากนำเงินเก็บออกมาใช้จ่ายเลยแท้ ๆ จนกว่าจะหางานใหม่ได้ก็คงต้องตัดรายจ่ายไม่จำเป็นออกไป “ถ้าแค่บุฟเฟต์ก็ได้อยู่นะ แต่เรื่องช็อปปิ้งฉันขอบาย” หญิงสาวพูดขึ้นทันที เพราะเกรงว่าถ้าหากไปเดินด้วยกันแล้วอาจจะอดใจไม่ไหว “แกไม่ได้จะไปเดินช็อปปิ้งด้วยใช่ไหม ?” อาจจะเป็นการปฏิเสธแบบแล้งน้ำใจไปเสียหน่อย แต่จะให้ทำอย่างไรได้กันในเมื่อตอนนี้ยังว่างงานอยู่ [ไม่ช็อปหรอก ฉันแค่อยากคุยเล่นแหละ งั้นศุกร์นี้เจอกันนะ] “โอเค แล้วเจอกันจ้า” หญิงสาววางโทรศัพท์ลงที่โต๊ะถอนหายใจออกมา แล้วเปิดอีเมลเพื่อส่งจดหมายสมัครงานต่อ ก่อนจะเดินออกจากห้องมายังห้องครัวเพื่อทำอาหารกินมื้อกลางวัน ลฎาภาใช้เวลาทำอาหารและรับประทานในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง เดินกลับเข้ามาในห้องนั่งอยู่ที่หน้าคอมพิวเตอร์เช่นเดิม คราวนี้ไม่ได้นั่งหาบริษัทเพื่อสมัครงาน แต่กลับเป็นการหาละครย้อนหลังดู จนกระทั่งมีอีเมลเด้งขึ้นมา หญิงสาวจึงกดพักละครเอาไว้แล้วเปิดอ่านทันที ดวงตากลมเบิกกว้างด้วยความตกใจ ริมฝีปากอ้าค้างก่อนจะกรี๊ดลั่นออกมาเสียงดังแล้วลุกขึ้นวิ่งไปรอบห้องราวกับถูกรางวัลที่หนึ่ง เธอได้งานทำแล้ว ! ลฎาภาตั้งสติและเดินเข้ามาอ่านอีเมลอีกครั้ง ด้วยความรู้สึกตื่นเต้นเป็นที่สุดเหมือนว่าได้โชคใหญ่เข้ามา ไม่คิดไม่ฝันว่าจะมีโอกาสได้เข้าไปทำงานในบริษัทใหญ่ทั้งที่ใจนั้นไม่กล้าคาดหวังเลยสักนิด แน่นอนว่าวันนี้เป็นวันดีที่สุดในรอบหลายเดือนที่ผ่านมา... “เอกสารที่คุณเผิงต้องเซ็นอนุมัติครับ” แฟ้มเอกสารสีดำถูกวางลงบนโต๊ะ เขาละสายตาจากจอคอมพิวเตอร์แล้วหันมอง ก่อนเอื้อมมือหยิบแฟ้มงานขึ้นมาเปิดอ่านดู “เดือนหน้านี้จะมีลูกค้าจากต่างประเทศติดต่อมา นายจัดการหาคนไปรับรองเขาและนำเสนอแผนงานของบริษัทด้วย แล้วเรื่องการติดต่อส่งอาหารสำเร็จรูปไปต่างประเทศ ตอนนี้คืบหน้าไปถึงไปแล้ว” อวิ่นเยว่เอ่ยถามขึ้นขณะที่สายตายังมองเอกสารตรงหน้า เขาคือประธานบริษัท S คนปัจจุบันที่อายุไม่ถึงสามสิบและขึ้นบริหารงานต่อจากเผิงลู่เสียน ผู้เป็นมารดา ด้วยความสามารถและการบริหารงาน ทำให้ธุรกิจเติบโตไปด้วยดีทั้งในประเทศรวมถึงต่างประเทศ “ตอนนี้รอทางนั้นติดต่อกลับมาและทำสัญญากันครับ เขาบอกว่าให้คำตอบภายในสิ้นเดือนนี้” ผู้ช่วยหนุ่มตอบ อวิ่นเยว่พยักหน้าก่อนพูดต่อไปว่า “เรื่องเอกสารที่ลูกค้าติดต่อมารีบดำเนินการให้เสร็จด้วย” “ครับ เอ่อ...คือของที่ให้ผมนำไปคืนผู้หญิงคนนั้น...” เจตนิพัทธ์เกริ่นขึ้นอย่างไม่เต็มเสียงมากนัก เพราะมันไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรมากมายที่เขาควรจะรายงาน อีกทั้งเจ้านายคงไม่สนใจอยู่แล้ว อวิ่นเยว่เงยหน้าขึ้นมอง “มีอะไร ?” “เอ่อ เปล่าครับ” เจตนิพัทธ์ไม่กล้าบอกความจริงที่หญิงสาวคนนั้นขออาสาเลี้ยงอาหารหนึ่งมื้อแก่เจ้านาย อวิ่นเยว่ปิดแฟ้มเอกสารและส่งคืน สายตาก็เหลือบมองเห็นซองสีชมพูที่วางอยู่บนโต๊ะก่อนหน้านั้น ซึ่งเขาเองก็ยุ่งกับการเจรจาธุรกิจกับลูกค้าจึงไม่ได้สนมากนัก “การ์ดแต่งงานของลูกชายคุณลภัสรดาครับ” เจตนิพัทธ์เอ่ยขึ้น “งานแต่งงาน ?” ชายหนุ่มมีท่าทีตกใจเล็กน้อย เขาเอื้อมมือหยิบซองสีชมพูที่วางอยู่หัวมุมโต๊ะขึ้นมาและเปิดดูทันที วันแต่งงานที่ใกล้ถึงในอีกไม่กี่สิบวันข้างหน้าและเป็นช่วงที่เขาไม่มีการเดินทางไปต่างประเทศพอดี จึงปฏิเสธที่จะไม่ไปก็ไม่ได้ เป็นถึงคู่ค้าคนสำคัญด้วย “ไม่มีอะไรแล้ว ผมขอไปทำงานที่ค้างอยู่ต่อก่อนนะครับ” เมื่อพูดจบเจตนิพัทธ์ก็เดินออกจากห้องทำงานไปทันที อวิ่นเยว่ถอนหายใจก่อนเก็บการ์ดลงในซองวางไว้ในลิ้นชักของโต๊ะทำงาน สายตาคมจ้องมองภายในลิ้นชักราวกับถูกมนตร์สะกด เขายังเก็บไว้อยู่อีกหรือ ? ...นึกว่าโยนทิ้งลงขยะไปซะแล้ว ชายหนุ่มเอื้อมมือหยิบรูปขึ้นมามองด้วยแววตาที่เย็นชา ก่อนจะขย้ำจนเป็นแค่กระดาษแล้วโยนทิ้งลงในถังขยะอย่างไม่ไยดี เพราะไม่มีความจำเป็นที่ต้องเก็บไว้อีก อวิ่นเยว่เรียกสติของตนเองกลับมา ก่อนจะจดจ่ออยู่กับงานตรงหน้าอีกครั้ง เสียงออดดังขึ้นบอกถึงเวลาเลิกเรียน ลฎาภาเดินเข้าในโรงเรียนอนุบาล พลางมองไปยังรถที่ขับเข้าออกและเด็กน้อยกำลังวิ่งเล่นเพื่อรอผู้ปกครองมารับกลับบ้านในช่วงตอนเย็น หญิงสาวเดินเข้ามานั่งรอด้านนอกที่โต๊ะม้าหินอ่อนจัดวางอยู่ จนกระทั่งถูกสะกิดเรียกจากทางด้านหลังจึงรีบหันไป มองแล้วพบกับเกณิกาเพื่อนที่เป็นครูประจำอยู่ที่นี่ “ยัยจอม ขอโทษนะ” เกณิกาเดินเข้ามาหาพูดด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิด “ไม่เป็นไร” ลฎาภายิ้มรับอย่างอารมณ์ดี เกณิกาสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ พักให้หายเหนื่อย แต่ยังไม่ทันพูดอะไรเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นเสียก่อน เธอกดรับและเมื่อได้ฟังฝ่ายตรงข้ามพูดทำให้แสดงสีหน้าผิดหวังออกมา “แกวันนี้อาจจะต้องรอหน่อยนะ” เกณิกาพูดเสียงแผ่วด้วยความรู้สึกผิด ความจริงแล้ววันนี้ไม่ใช่เวรช่วงเย็นแต่เพราะเพื่อนครูอีกคนดันติดธุระสำคัญขึ้นมาจึงฝากวานให้อยู่แทน “ไม่สิ อาจจะช้ามาก ๆ เลยก็ได้” ลฎาภาเลิกคิ้วมองเพื่อนสาวเป็นเชิงสงสัย “ดูท่าวันนี้ พ่อของเด็กคนนั้นอาจจะมารับช้าอีกแล้วน่ะสิ” เมื่อพูดจบก็หันไปมองเด็กชายที่นั่งอยู่เพียงลำพัง ใบหน้ากลมน่ารัก ริมฝีปากเล็กสีชมพู ทว่าแววตานั้นกลับไม่สดใสเสียเลย “น่ารักอะแก” ลฎาภาเอ่ยปากชมพร้อมกับลุกขึ้น “แกรอฉันหน่อยนะ ฉันต้องรอจนกว่าพ่อของเขาจะมารับ” ลฎาภามองเด็กน้อยอย่างเพลินตา “เขาน่ารักมาก พ่อกับแม่เขาต้องสวยและหล่อมากแน่ ๆ” “แกเป็นเอามากนะ ชอบเด็กแต่ไม่อยากมีแฟน” “มันต่างกันนะยะ” หญิงสาวหันมาพูดอย่างหัวเสีย “ฉันชอบเด็ก แต่ไม่ได้อยากจะแต่งงานมีลูกสักหน่อย” “จ้ะ แม่คนรักเด็ก” “ฉันเข้าไปทักเด็กคนนั้นได้ไหมแก” ลฎาภาเอ่ยถามโดยที่สายตายังคงมองเด็กชายอยู่ “ก็ไปสิ แต่เด็กคนนั้นไม่ค่อยพูดนะ แกอาจจะไม่ชอบ...” ยังฟังไม่ทันจบลฎาภาก็ไม่อยู่ตรงนี้เสียแล้ว เกณิกามองเพื่อนสาวที่เดินเข้าไปหาและย่อตัวนั่งลงตรงหน้าของเด็กชาย ลฎาภานั่งจ้องอยู่นานพอสมควรกว่าเด็กชายจะเงยหน้าขึ้นมองด้วยแววตาที่ไม่เป็นมิตรนัก ทว่าหญิงสาวก็ยังส่งยิ้มหวานให้กลับไป “ให้พี่เล่นเป็นเพื่อนไหม ?” เด็กน้อยจ้องมองและส่ายหน้าก่อนจะหันหลังหนีทันที ลฎาภามองเห็นเด็กชายนั่งกลิ้งลูกบอลพลาสติกเป็นเวลานาน จึงลุกขึ้นเดินไปย่อตัวนั่งที่หน้าของเด็กชายอีกครั้ง “เล่นคนเดียวเหงาน้า” เธอยังคงพูดพร้อมกับยิ้มหวานให้แต่ดูเหมือนว่าเจ้าตัวกลมนั้นยังไม่คิดที่จะคุยด้วยสักนิด “ป๊ะป๋าบอกว่าห้ามคุยกับคนแปลกหน้า คุณป้าเป็นคนแปลกหน้า” คุณป้า ?! หญิงสาวรู้สึกขุ่นเคืองเล็กน้อยเมื่อได้ยิน แต่เพราะความน่ารักและแก้มทั้งสองข้างนั้นทำให้เธอใจอ่อนอีกครั้ง “ยัยจอม ดูท่าแกจะชอบเด็กคนนี้มากเลยนะ” เกณิกาเดินเข้ามาหา “ก็น่ารักนี่ ฉันชอบเด็กผู้ชาย แก้มกลม ๆ ตาตี๋ น่าร๊ากอะ” หญิงสาวพูดขณะที่มองเด็กชายหันหน้าหนีและเล่นลูกบอลเพียงลำพัง ก่อนหันมาเอ่ยถามเกณิกาต่อไปว่า “แล้วพ่อของเขาจะมารับตอนไหนล่ะ” เกณิกาเมื่อได้ยินก็ถอนหายใจออกมา ไม่กล้าพูดเพราะเกรงใจเพื่อนรักนั่นเอง ทั้งที่เป็นฝ่ายนัดแท้ ๆ “ฉันไม่รู้เหมือนกัน ขอโทษนะแก เด็กคนนี้ถ้าวันไหนที่พ่อของเขามารับช้า ครูเวรประจำวันบางครั้งต้องอยู่รอจนกว่าจะมารับ ฉันไม่รู้ว่าเขาจะมารับตอนไหน...”Chapter 61 (special III)“นี่...” เธอเรียกเขาด้วยเสียงสะอื้นก่อนจะใช้มือดึงเสื้อจากทางด้านหลัง “ทำไมถึงยอมมารับฉันล่ะ”“ไม่รู้สิ” ศรันภัทรตอบโดยไม่หันหลังกลับไปงั้นเหรอ...?ถลัชนันท์ปล่อยมือออกจากเสื้อของเขา ก่อนจะสาวเท้าเดินเข้าไปกอดชายหนุ่มทางด้านหลัง นั่นไม่ใช่ความรู้สึกที่รักเลยเพียงแต่ว่าอยากทำยังไงก็ได้ให้ความเจ็บปวดนี้หายไป“มีอะไรกับฉันได้ไหม” เป็นคำพูดสิ้นคิดหรือความต้องการในส่วนลึกกันแน่ เธอเองก็ไม่รู้เหมือนกันเพียงแต่ถ้ามันปลอบใจจากความเจ็บปวดได้แล้วล่ะก็... “แค่ครั้งนี้ แล้วพรุ่งนี้ฉันสัญญาว่าจะหย่ากับคุณ ขอร้องละ”ศรันภัทรยืนอึ้งจนทำอะไรไม่ถูก เมื่อได้ยินคำพูดจากปากหญิงสาว เขาเองตอนนี้ยังสับสนมากที่จะบอกว่ารู้สึกชอบผู้หญิงคนนี้แบบคนรักจริง ๆรู้ดีว่ามันไม่มีทางเกิดขึ้น...ถลัชนันท์คลายมือออกจากชายหนุ่มยกมือขึ้นปาดน้ำตา บางทีก็คิดว่าพอแล้วกับความรักที่เข้ามา“ขอโทษค่ะ ฉันคงบ้าไปหน่อย” เธอพูดเสียงสั่นพลางหัวเราะ “ถ้ายังไงพรุ่งนี้เราไปหย่ากันนะค
(special I)เวลาทำงานผ่านไปจวบจนกระทั่งหมดวันแล้ว ถลัชนันท์ขยับตัวเก็บกองเอกสารบนโต๊ะให้เข้าที่ ก่อนจะหยิบกระเป๋าสะพายเช็กชื่อออกจากบริษัทไป แต่ละวันผ่านไปก็ช่างยาวนานซะเหลือเกิน และก็ไม่ค่อยแตกต่างกันมากนัก ตื่นเช้าออกไปทำงานกลับมาบ้านกินข้าวและเข้านอน ถึงแม้ว่าช่วงเดือนนี้จะเริ่มสนทนากับสามีที่แต่งงานด้วยมากขึ้นก็ตาม ทว่าความสัมพันธ์รักใคร่ก็ไม่ได้พัฒนาตามไปด้วยเลยหญิงสาวเดินออกจากลิฟต์แล้วหยุดชะงักเมื่อเสียงโทรศัพท์ในกระเป๋าดังขึ้น มือข้างหนึ่งล้วงเข้าไปหยิบขึ้นมาดูปลายสายที่โทร. เข้ามา“มีอะไรหรือเปล่าคะ” ถลัชนันท์เอ่ยถามอย่างทันทีเมื่อรู้ว่าคนที่โทร.มาคือสามีนั่นเอง น้อยครั้งที่เขาจะติดต่อมาหาหรือยอมพูดคุยด้วย[เปล่า คุณแม่บอกวันนี้คุณจะไม่กลับมากินข้าวที่บ้าน เลยให้ผมโทร.มาถามว่ากลับดึกไหม ?]พอได้ฟังก็รู้สึกสมเพชตัวเองมานิดหนึ่ง ทว่าเรื่องนี้ก็เริ่มชินไปซะแล้ว อีกอย่างแม่สามีไม่ได้ใจร้ายเหมือนในละครหลังข่าว ตรงข้ามกันกลับทำดีกับเธอด้วยซ้ำไป“ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ ฉันมีนักเดตกับเพื่อนสมัยเรียน” เธอตอบกลับไปแล้วพูดต่อไปว่า &ld
ค่ำคืนแสนหวานอันยาวนานได้ผ่านพ้นไปเข้าสู่เช้าวันหยุดสุดสัปดาห์ ร่างเล็กบนเตียงขยับตัวปรือตาด้วยความหนักอึ้ง หันมองพื้นที่เตียงว่างเปล่าก่อนใช้แรงที่เหลืออยู่น้อยนิดพยุงร่างกายขึ้นนั่ง สะโพกปวดร้าวระบมไปหมดจนไม่มีแรงจะขยับ ดวงตากลมมองรอบห้องที่เงียบสนิทไร้วี่แววของชายหนุ่มประตูห้องถูกเปิดออกหญิงสาวรีบยกผ้านวมขึ้นปิดบังร่างกาย พลางส่งสายตามองอวิ่นเยว่เดินเข้ามาหา“คุณตื่นแล้วหรือ” เขาเดินเข้ามาหาลฎาภาพยักหน้าแทนคำตอบด้วยความเขินอายพลางขยับตัวลงจากเตียงแต่ว่าขาสั่นจนแทบไม่มีแรง ชายหนุ่มยิ้มที่มุมปากก่อนเดินเข้ามาอุ้มเธอขึ้น นัยน์ตาคมมองร่างเปลือยที่เชยชมมาทั้งคืนมีร่องรอยตีตราจนนับไม่ถ้วน“ฉันเดินเองได้ค่ะ”อวิ่นเยว่หัวเราะในลำคอ “แสดงว่ายังมีแรงเหลือสินะ”“คุณเผิง !” เธอแก้มแดงผ่าวร้อนขึ้นมาทันทีชายหนุ่มยิ้มขำก่อนจะอุ้มหญิงสาวมายังห้องน้ำ เขาวางเธอลงบนขอบอ่างอาบน้ำก่อนเอ่ยถามขึ้นว่า “คุณอาบน้ำไหวไหม ?”“ไหวค่ะ คุณออกไปเลยนะคะ” ลฎาภาตอบกลับในทันทีอวิ่นเยว่ยิ้มข
Chapter 57การเคลื่อนไหวของร่างกายรุกล้ำเข้ามาโดยที่ไม่รู้ตัวเลยสักนิด อวิ่นเยว่ดันร่างเล็กให้ชนชิดกับผนังกำแพง บดจูบขยี้ริมฝีปากด้วยความโหยหา คราวนี้ทำเธอหายใจลำบากจึงต้องดันเขาออกห่าง แต่กลายเป็นว่าการพักนั้นทำให้ชายหนุ่มรุกล้ำลิ้นเข้ามาได้สำเร็จ“อื้อ” เสียงร้องครางดังประท้วงบอกจนต้องถอนจูบออกด้วยความเสียดาย อวิ่นเยว่จ้องมองใบหน้าเนียนสวยแดงก่ำก้มหลบเขินอาย มือข้างหนึ่งเชยขึ้นให้สบตาอีกครั้งและจูบหยอกเย้าเบา ๆ จนสติสัมปชัญญะของหญิงสาวหลุดล่องลอยไปลฎาภาควบคุมความต้องการของร่างกายไม่ได้ราวกับว่าไม่ฟังสิ่งที่สมองสั่งการสักนิด เธอเผลอให้ความปรารถนาที่อยู่ภายในจิตใจเข้าครอบงำจนหมดสิ้น จูบเร่าร้อนอ่อนโยนจนแทบระทวยนี้กลับรู้สึกคุ้นเคยโหยหามากที่สุดแต่...ที่บ้าที่สุดคือการตอบสนองเผลอไปกับคารมของเขา !อวิ่นเยว่จูบซับไปตามใบหน้าไล่จนมาถึงต้นคอของหญิงสาว มือที่เคยรั้งเอวไว้คลายออกล้วงเข้าไปในสาบเสื้ออย่างรวดเร็ว ไม่รอช้าที่จะใช้มือปลดเสื้อผ้าส่วนบนออกโยนทิ้งลงพื้นในขณะที่สติของเธอกำลังหลุดลอย“คุณเผิง” เธอเอ่ยเรียกชื่อเขา ทั้งที่ยิ่งเร
Chapter 56อวิ่นเยว่ผ่อนลมหายใจซุกที่หัวไหล่ของเธอ “นะ”เพียงคำเดียวก็รู้ถึงความหมายที่เขาต้องการบอกว่า ‘ขอซุกหน้าอกแบบอาหยูด้วยคน’“ทำไมอาหยูถึงได้ แล้วผมไม่ ?”ไม่น่าถามนะคำถามนี้ คุณเผิง !“ไม่ค่ะ” เธอตอบกลับเสียงเข้มพลางจ้องหน้าเขาเขม็ง“อาหยูเป็นเด็ก”“เหรอ” เขาขานรับอย่างจำใจก่อนจะขยับตัวหันมา นัยน์ตาคมจ้องมองหญิงสาวตรงหน้า เขาต้องใช้ความอดกลั้นอย่างมากที่จะไม่คิดอะไรเกินเลยตอนนี้ ชายหนุ่มเบี่ยงหน้าหลบยกมือขึ้นปิดปากด้วยความเขินอาย ไม่รู้ว่าจะอดทนไปได้นานแค่ไหนกัน“เราขึ้นกันเถอะ อาหยูกำลังรออยู่”อวิ่นเยว่พูดพลางขยับตัวออกห่างจากหญิงสาว ก่อนจะลุกขึ้นโดยลืมไปว่าร่างเปลือยของเขานั้นเธอได้เห็นเต็มสองตา !ลฎาภาอึ้งนิ่งค้างจนทำอะไรไม่ถูก เขาลืมไปไหมว่าเธอยังอยู่ตรงนี้ “คุณเผิงรีบออกไปเลยนะคะ !”อวิ่นเยว่หันมองและเพิ่งคิดได้ว่าตอนนี้โชว์กายให้หญิงสาวมองอยู่นั่นเอง เขาทำหน้านิ่งรีบเดินไปหยิบผ้าขนหนูและเสื้อคลุมเดินออกจากห้องน้ำไปอย่าง
Chapter 55หลังจากรับประทานอาหารมื้อเย็นเสร็จเรียบร้อยแล้ว ป้าผ่องจึงจัดการเก็บครัวและกลับบ้านไป ทางด้านลฎาภาที่ไม่รู้สึกคุ้นชินบ้านหลังใหญ่จึงทำตัวไม่ค่อยถูก ทั้งยังไม่รู้ว่าควรจะไปตรงไหนต่อดี จึงได้แต่ยืนงงอยู่หน้าบันไดเป็นเวลานาน“หม่าม้า” เจ้าตัวกลมเดินเข้ามาดึงชายเสื้อของเธอและออกแรงลาก“อาหยู...”เธอเอ็นดูก่อนจะเอ่ยถามขึ้น “มีอะไรเหรอจ๊ะ”“อาบน้ำกับอาหยูได้ไหม” น้ำเสียงออดอ้อนและแววตาของ เจ้าตัวกลมทำให้ลฎาภานิ่งเงียบไปชั่วขณะ ไม่ใช่ว่าจะปฏิเสธหรอกนะ เพียงแต่ว่าสภาพร่างกายที่ยังพักฟื้นไม่สมบูรณ์ ก็ไม่อยากจะใช้แรงดูแลเด็กมากนัก แต่ถ้าหากปฏิเสธไปจะเป็นการทำร้ายจิตใจหรือเปล่านี่สิ“ไม่ได้เหรอ” เสียงอู้อี้ในปากและท่าทางออดอ้อนของเจ้าตัวกลมทำให้หญิงสาวรู้สึกลำบากใจไม่น้อย ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเหมือนกัน อาจเป็นเพราะว่าพ่ายแพ้ต่อเด็กผู้ชายน่ารัก ๆ ทว่าความรู้สึกที่เป็นอยู่ตอนนี้แตกต่างจากการพบกับเด็กคนอื่น ๆ ที่เพิ่งเคยเจอครั้งแรก“แต่ว่านะ...”“ได้สิ” เสียงของอวิ่น