ฉันตื่นขึ้นมาพร้อมกับความหิว แสงสว่างสาดเข้ามาทางกระจกหน้าต่างที่ถูกรวบผ้าม่านสีดำออก ทำให้รู้สึกสงสัยเรื่องวันเวลาอยู่ไม่น้อย
ความเจ็บปวดลดลงไปเยอะแต่ก็ไม่มากพอจะทำให้เคลื่อนไหวได้อย่างใจนึก อาการหน่วงตึงที่เนินอกขวาทำให้ฉันไม่กล้าขยับตัวแรง ค่อยๆ ดันตัวเองขึ้นพิงหัวเตียง พิษไข้หายไปแล้วแต่สิ่งที่เข้ามาแทนกลับเป็นสายน้ำเกลือที่เสียบอยู่ตรงหลังมือ
ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ฉันเหลือบมองอย่างงุนงงและสับสนไปหมด
ทันใดนั้นประตูก็เปิดเข้ามา ฉันชำเลืองมองทันที
ริกกี้!
หมอนั่นจ้องหน้าฉันด้วยสายตาประหลาดใจวูบหนึ่งเดินตรงเข้ามาหาด้วยสีหน้าเรียบตึงเหมือนอารมณ์เสียจากไหนมาแต่เท่าที่สัมผัสมันคงเป็นบุคลิกของเขา
“นึกว่าจะตายแล้วซะอีก”
ฉันมองหน้าริกกี้นิ่ง ไม่มีกำลังใจจะเอ่ยตอบแต่ก็ทนเงียบต่อไม่ไหว
“นี่กี่วันแล้ว”
“หนึ่งอาทิตย์”
ฉันแทบไม่อยากเชื่อกับสิ่งที่ได้ยิน “ไม่จริง ไม่นานขนาดนั้นใช่ไหม”
“เธอจำอะไรไม่ได้หรือไง”
“อะไร?”
“อ่อ คงละเมอสินะ”
“พูดเรื่องอะไร?”
“ก็เธอ...ตอนดึก อืมช่างมันเถอะ”
อะไรของเขา พูดแล้วหยุดแล้วก็ตัดบทเฉยเลย อย่างนี้ฉันก็ยิ่งอยากรู้น่ะสิ
“ฉันจำได้แค่หมอเย็บแผลให้ หลังจากนั้นผ่านมาตั้งอาทิตย์เลยเหรอ”
“อืม”
ฉันคิดถึงที่บ้านขึ้นมาทันที ป่านนี้พ่อกับอาไม่เป็นห่วงฉันแย่แล้วเหรอ ฉันหันไปเรียกริกกี้อย่างร้อนรนแต่พูดไม่ออกเพราะคอแห้งต้องกระแอมทีหนึ่งถึงเปล่งเสียงได้
“กระ....กระเป๋าฉันล่ะ ฉันเป็นห่วงที่บ้าน”
หมอนั่นเลิกคิ้วประหนึ่งว่าได้ยินเรื่องประหลาด คิดว่าฉันเป็นคนเร่ร่อนหรือไง
“กระเป๋า ขอร้องล่ะ อย่างน้อยให้ฉันโทรบอกคนที่บ้านก็ยังดี” ฉันมองเขาด้วยสายตาอ้อนวอน ร้อนใจอยู่ไม่สุขเมื่อพูดถึงครอบครัว
ฉันออกจากบ้านมาเพราะจะตามหายัยเพนนีน้องสาวที่หายตัวไปหลายวัน แต่นี่ฉันกลับมาหายตัวไปซะเอง พ่อกับอาโยต้องกังวลมากแน่
“ฉันจัดการเรื่องทั้งหมดแล้วไม่ต้องห่วง”
“จัดการ.... หมายความว่ายังไง”
ดวงตาคมกริบจ้องฉันอย่างคนที่สามารถควบคุมทุกอย่างได้ ฉันรู้สึกหงออย่างไม่มีสาเหตุเหมือนเป็นแค่มดบนฝ่ามือเขาเท่านั้น
“ฉันไลน์ไปบอกพ่อเธอให้แล้ว”
“เอ๊ะ?” ได้ยังไง ในหัวฉันหมุนติ้ว เพิ่งจะฟื้นจากการบาดเจ็บก็ต้องมาฟังอะไรที่ชวนเครียดแบบนี้ทำให้ตามไม่ค่อยทัน
“เดี๋ยวจะมีแม่บ้านเข้ามาดูแล”
เขาพูดแค่นั้นก็เดินไปเปิดตู้เสื้อผ้า ถอดเสื้อออกเหมือนฉันไม่ได้อยู่ในห้อง เดี๋ยวสิ! ฉันสูดหายใจลึกไม่ได้รู้สึกเขินหรือคิดมากเรื่องนั้นเพียงแต่มันตั้งตัวไม่ทันและแผ่นหลังที่มีแผลเป็นเป็นรอยยาวตรงบ่าขวาเหมือนโดนฟันนั่นก็ทำเอาฉันอึ้งไปแวบหนึ่ง ริกกี้หันกลับมา ฉันรีบหลบสายตาของเขาทันควัน
“ห้ามบอกเรื่องนี้กับใครเด็ดขาดแม้แต่แม่บ้าน ไม่งั้นฉันฆ่าเธอแน่ วันนี้ฉันรีบ อยู่บ้านเงียบๆ แล้วก็เตรียมคำตอบให้พร้อมฉันจะกลับมาเอาความจริงจากปากเธอ”
เขาตอกย้ำเสียงฉุนเดินออกไปทันทีที่สวมเสื้อเสร็จ ฉันนั่งไหล่ตกอยู่บนเตียง สักพักก็รู้สึกถึงบางอย่างที่ผิดปกติที่ท่อนล่าง เดี๋ยวก่อนนะนี่มันวันที่เท่าไหร่ ฉันขยับตัวเพื่อจะเช็กให้แน่ใจระหว่างนั้นก็กวาดตามองไปรอบห้องเผื่อจะมีอะไรที่ใช้บอกวันเวลาได้บ้าง
ปฏิทินวางอยู่บนโต๊ะหน้ากระจกแต่งตัว แต่มันเล็กเกินไปฉันมองไม่เห็นตัวหนังสือนอกจากภาพเปลือยของนางแบบที่โพสต์ท่าเซ็กซี่
ตอนนั้นเองประตูห้องถูกเปิดเข้ามาพร้อมกับร่างท้วมของแม่บ้านที่ปรากฏตัวขึ้น เธอมีสีหน้าแปลกใจนิดหน่อยตอนสบตาฉันก่อนจะยิ้มให้อย่างเป็นมิตร
“สวัสดีค่ะคุณหนู รู้สึกตัวแล้วเหรอคะ”
“คะค่ะ....”
“หิวไหม เดี๋ยวป้าทำอะไรให้ทาน”
“อือ.... ป้าคะนี่วันที่เท่าไหร่”
“18 ค่ะ ทำไมคะ”
งั้นลางสังหรณ์ฉันก็ถูกน่ะสิ ฉันจ้องตาป้าแม่บ้านด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน
“หนูอยากเข้าห้องน้ำ”
“อ๋อ ลุกไหวเหรอ ใจเย็นค่ะมาๆ ป้าช่วย”
ฉันดันตัวเองลุกโดยไม่ฟังคำยับยั้งของป้าแม่บ้าน แกรีบมาช่วยพยุงฉันทันที กว่าจะลุกยืนได้ก็ใช้เวลาครู่ใหญ่ รู้สึกโล่งใจที่เห็นตัวเองยังสวมกางเกงอยู่แต่.... เดี๋ยวสิก่อนหน้านี้ฉันสวมชุดนักศึกษาไม่ใช่เหรอ
ฉันจ้องหน้าป้าแม่บ้านด้วยสายตาเป็นคำถาม
“อ๋อ ป้าเป็นคนเปลี่ยนให้คุณหนูเองค่ะ คุณหนูมีรอบเดือน คุณริกกี้ก็เลยเรียกป้าให้มาช่วยดูแลคุณหนู”
ฉันกลืนก้อนแข็งๆ ลงคอ วันที่ 18 อยู่ในระหว่างรอบเดือนของฉันพอดีแต่ว่าริกกี้รู้ได้ยังไงถ้าไม่เปิด.... อึก! ฉันกระดากอายจนไม่กล้าคิดต่อ
“ค่อยๆ เดินนะคะ ให้ป้าอยู่เป็นเพื่อนไหม”
“มะไม่เป็นไรค่ะ”
แม่บ้านทิ้งฉันไว้ในห้องน้ำอย่างจำใจ ฉันกวาดตามองรอบๆ ค่อยๆ เดินโดยจับเสาน้ำเกลือเอาไว้เป็นที่ยึดเหนี่ยว นั่งลงบนชักโครกจัดการธุระหนักเบาของตัวเองจนเรียบร้อย แต่ใช้เวลานานโข แผลเจ็บแปลบทุกทีที่เคลื่อนไหว ยังไม่หายดีจริงๆ ด้วย
“คุณหนูนั่งรออยู่ที่นี่ก่อนนะคะ ป้าไปทำอะไรมาให้ทาน”
หลังออกจากห้องน้ำแม่บ้านก็พาฉันออกมาข้างนอก ให้นั่งลงบนโซฟา ฉันพยักหน้าพลางสำรวจห้องหับของริกกี้ไปด้วย มีโปสเตอร์รถยนต์หลายคันรวมถึงศิลปินระดับตำนานและภาพเขียนที่ท่าทางราคาแพงห้อยติดผนังทุกมุม นอกจากนั้นก็มีกีตาร์ไฟฟ้าหลายรุ่นวางเรียงอยู่ติดผนังคล้ายเป็นแค่ของโชว์เท่านั้น ถ้าไม่นับทางเดินไปที่ครัวก็จะมีประตูอีกสองบานที่ปิดเอาไว้ เดาว่าน่าจะเป็นห้องย่อยไม่ก็ห้องเก็บของ
กลิ่นหอมกรุ่นที่โชยมาแตะจมูกเรียกน้ำย่อยในกระเพาะได้เป็นอย่างดี แม่บ้านไม่ปล่อยให้ฉันรอนานเดินกลับมาพร้อมกับชามข้าวต้มอุ่นๆ
“มาแล้วค่ะคุณหนู ค่อยๆ ทานนะคะ”
“ค่ะ....”
“คุณหนูชื่ออะไรคะ ป้าเคยถามคุณริกกี้แล้วแต่คุณริกกี้บอกให้ป้ามาถามคุณหนูเอง”
“เอ่อ.... คะนิ้งค่ะ”
“ชื่อเพราะดีนะคะ”
ฉันยิ้มเบาๆ เมื่อถูกชม ทานต่อได้ไม่กี่คำก็วางช้อนลงอย่างรู้สึกตันๆ ในกระเพาะ แม่บ้านเซ้าซี้ฉันให้ทานต่อแต่ฉันส่ายหน้าเธอจึงจัดยาหลังอาหารมาให้ก่อนจะจัดแจงให้ฉันนอนบนโซฟา
“คุณหนูนอนตรงนี้ก่อนนะคะ ป้าต้องจัดการผ้าปูเตียงก่อนคุณริกกี้สั่งไว้ให้ทำความสะอาด”
ฉันแกล้งหลับตาระหว่างแม่บ้านกำลังวุ่นวายอยู่กับการทำความสะอาดเตียง รอให้เธอเอาผ้าปูที่นอนไปซักข้างนอกฉันฉวยโอกาสนั้นลุกขึ้น กวาดตามองหากระเป๋า ริกกี้น่าจะเอามาด้วย แต่หาเท่าไหร่ก็ไม่พบ เขาไลน์ไปบอกพ่อฉันได้ไงนะ หรือว่าโกหก สายตาฉันสะดุดเข้ากับโทรศัพท์บ้าน รีบโทรกลับบ้านทันที
ระหว่างเสียงสัญญาณดังฉันลุ้นด้วยใจระทึก.... มือที่ยกหูโทรศัพท์อยู่สั่นพั่บๆ
แต่ว่าไม่มีใครรับ จริงสิ.... คงทำงานอยู่ทั้งคู่เลย
ฉันถอดใจหลังจากโทรหาพ่อกับอาโยคนละรอบแล้วไม่มีใครรับ โทรหาเพื่อนแทน ระหว่างนั้นก็ลอบมองประตูอย่างร้อนรน
รับสิ....
(ฮะโหล)
แกร๊ก!
เสียงหมุนลูกบิดประตูทำฉันผวารีบวางหูโทรศัพท์ทันทีทั้งๆ ที่ได้ยินเสียงปลายสายตอบรับแล้ว หัวใจจะวาย รีบเดินกลับมาที่โซฟาแต่ก็ได้แค่ครึ่งทางเท่านั้นก็เจอแม่บ้านซะก่อน
“อ้าวคุณหนู ลุกขึ้นมาทำไมคะ”
“เอ่อนิ้งหิวน้ำค่ะ”
“อ้าวเหรอคะ ป้าผิดเองที่ไม่เตรียมเอาไว้ให้ แล้วนี่นานหรือยังคะ”
ฉันส่ายหน้า.... แม่บ้านทำหน้ารู้สึกผิด กุลีกุจอหาน้ำให้ฉันดื่มอย่างรวดเร็ว ระหว่างที่นอนอยู่บนโซฟาฉันครุ่นคิดหาวิธีที่จะหลบออกไปจากที่นี่ สุดท้ายก็นึกได้ แกล้งทำเป็นปวดท้องประจำเดือนซะเลย
“โอ๊ย!”
“คุณหนูเป็นไรคะ”
“ปวดท้องค่ะ”
“ปวดท้องประจำเดือนหรือเปล่า”
“ใช่ค่ะ มียาแก้ปวดประจำเดือนในกระเป๋านิ้งป้าพอเห็นไหมคะ”
“กระเป๋า... ไม่ค่ะคุณริกกี้ไม่ได้บอกป้าไว้ คุณหนูทานยาพาราแทนได้ไหม”
“เคยทานพาราแล้วไม่หาย ถ้าหากระเป๋าไม่เจองั้นป้าช่วยไปซื้อให้นิ้งได้ไหม”
แม่บ้านทำท่าคิดหนัก.... แต่คงทนเห็นใบหน้าเจ็บปวดฉันไม่ไหวสุดท้ายก็พยักหน้ายินยอม “ได้ค่ะ เดี๋ยวป้าไปซื้อให้”
ฉันบอกชื่อยาให้แม่บ้านทราบ มองตามหลังแกไปด้วยสายตาเจ็บปวด กระทั่งเสียงประตูปิดดังแกร๊ก ฉันกลั้นใจดึงเข็มน้ำเกลือออกจากหลังมือทันที เจ็บหนึบเลยล่ะ เดินมาเปิดตู้เสื้อผ้าริกกี้หยิบแจ็คเกตตัวหนึ่งออกมาสวมทับเสื้อบางๆ แถมยังโนบราของตัวเอง แล้วก้าวขาสั่นๆ ออกจากห้องโดยไม่มีเงินติดตัวสักบาท
ฉันสับสนและหวาดหวั่น ออกจากห้องริกกี้ได้แล้วแต่ดันไม่รู้ควรไปทางไหน ระเบียงที่ทอดยาวสุดสายตา ห้องริกกี้ดันอยู่ตรงกลาง เอาวะลองเสี่ยงดวงดูก็ได้ ฉันเลือกเดินไปทางซ้ายแล้วก็เจอกับประตูลิฟต์เข้าจริงๆ รีบกดลิฟต์อย่างใจสั่น
ติ้ง!
ลิฟต์ว่าง โชคดีชะมัด
ฉันก้าวเข้าไปข้างในอย่างไม่รั้งรอ กดลงไปที่ชั้น G ตัวเลขบนผนังลิฟต์ค่อยๆ กะพริบจากชั้นสู่ชั้นเหมือนนับถอยหลัง มันทำเอาฉันตื่นเต้นไปด้วย อีกไม่กี่นาทีฉันก็จะเป็นอิสระ
ติ้ง!
ลิฟต์เปิด
ด้านล่างเป็นล็อบบี้เหมือนอยู่ในโรงแรมหรู มีเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ ร้านอาหาร เบเกอร์รี่ บ่อน้ำพุ ผู้คนพลุ่กพล่านประมาณหนึ่งแต่ไม่มาก ส่วนใหญ่จะเป็นพนักงานมากกว่า ฉันเดินฝ่าคนสามสี่คนที่ยืนรอเข้าลิฟต์ออกมาอย่างไม่สนใจสายตาที่มองมา หันซ้ายหันขวาหาทางไปครู่หนึ่งก็เจอทางออก รีบวิ่งมาที่จุดเรียกแท็กซี่แจ้งรปภ.ที่ยืนประจำตำแหน่งอยู่ เขาก็วอเรียกรถให้ ทุกวินาทีที่เคลื่อนผ่านดูจะเชื่องช้าสำหรับฉันที่ต้องการออกไปให้พ้นจากที่นี่เร็วๆ
เอี๊ยด!
ระหว่างนั้นรถคันหนึ่งก็วิ่งเข้ามาเบรกอยู่ตรงหน้า ไม่ใช่แท็กซี่.... ฉันมองอย่างไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น รปภ.ทำหน้าประหลาดใจเช่นเดียวกัน รีบตะโกนบอกคนขับให้ออกไปเพราะนี่เป็นจุดจอดแท็กซี่ไม่อนุญาตให้รถทั่วไปเข้ามาเสียบ
ระหว่างนั้นกระจกฝั่งคนขับก็เลื่อนลง ฉันนิ่งอึ้ง
หมอ!!!?
ผมยาวปรกบ่าไม่ได้ถูกรวบมัดเหมือนวันนั้น หนวดเขายาวขึ้นประมาณเซนหนึ่งยิ่งทำให้หน้าคมๆ นั่นโฉดเหมือนหัวหน้าแก๊ง ดวงตาสีน้ำตาลดุดันตวัดมองรปภ.อย่างไม่ยี่หระ
“ฉันมีธุระกับเจ้าของห้องข้างบนและผู้หญิงคนนี้ก็เป็นเมียเพื่อนฉันด้วย เธองอนแฟนก็เลยหนีลงมาฉันจะพาเธอไปส่งเอง”
หน้าฉันชาวาบ รปภ.หันมามองฉันด้วยสายตาเป็นคำถาม ไล่มองเสื้อผ้าที่ฉันสวมซึ่งไม่เหมาะกับการออกมาข้างนอก ถ้าบอกว่าทะเลาะกับแฟนแล้วหนีลงมาก็น่าเชื่อกว่า แต่มันไม่ใช่เรื่องจริงสักหน่อย ฉันกำลังจะส่ายหน้าเสียงแตร์แท็กซี่ที่วิ่งมาจ่อด้านหลังก็ดังขึ้น ฉันไม่สนใจหมอ รีบสาวเท้ายาวๆ ไปยังแท็กซี่นั่นทันที แต่ว่า
หมับ!
แรงฉุดที่รุนแรงทำฉันร้องออกมาอย่างตกใจ หันกลับไปมองหน้าเจ้าของมืออย่างแตกตื่น
มะหมอ! เขาลงมาจากรถแล้วหยุดฉันที่กำลังจะเดินไปหาแท็กซี่เอาไว้ จ้องฉันด้วยแววตาคมกริบ
“ถ้าไม่อยากซวยกันหมดก็ขึ้นรถ”
“ไม่ ปล่อยฉัน”
ฉันหันไปส่งสายตาขอความช่วยเหลือจากรปภ.ที่ทำท่ายึกยักไม่มั่นใจในสถานการณ์
“ช่วยด้วยค่ะ ผู้ชายคนนี้จะทำร้ายฉัน เขาโกหก ฉันถูกลักพาตัวมา”
“เฮ้ย เงียบ!”
“อื้อ!~”
หมอเอามือปิดปากฉัน ออกคำสั่งเสียงดุ ฉันดิ้นพล่านสุดฤทธิ์ ยังไงก็ไม่ยอมถูกจับขึ้นไปขังบนห้องนั่นอีกเด็ดขาด ถ้าฉันกลับไปริกกี้อาจจะฆ่าฉันจริงๆ ก็ได้ ฉันอ้าปากงับมือหมอทันทีที่ได้จังหวะ
“โอ๊ย!”
หมอสะบัดมือเร่าๆ แรงที่ฉุดฉันอยู่ก็คลายออกเล็กน้อย ฉันไม่รอช้า วิ่งพรวดไปหาแท็กซี่ ตะโกนร้องขอความช่วยเหลือไปด้วย จนรปภ.ที่สังเกตการณ์อยู่เริ่มทนไม่ไหว วิ่งเข้ามาตะครุบตัวหมอเอาไว้เพื่อห้ามเขาไม่ให้เข้ามาทำร้ายฉัน แต่ก็ได้ไม่นาน รปภ.ก็ถูกคนที่เรียกตัวเองว่าหมอสะบัดหลุด ทว่า.... วินาทีนั้นฉันก็ก้าวเข้ามาอยู่ในรถแท็กซี่แล้ว
“ออกรถเลยค่ะ”
“หยุดนะโว้ย!” หมอวิ่งตามมาตบประตูรถ ตะโกนสั่งให้หยุดรถ แต่ฝันไปเถอะ ฉันไม่มองเขาด้วยซ้ำเร่งคนขับแท็กซี่ให้ออกรถไวๆ จนรถวิ่งออกมาในที่สุด
ฉันรอดแล้ว! ฉันถอนหายใจอย่างโล่งอก หันกลับไปมองด้านหลังที่รถวิ่งผ่านเห็นหมอวิ่งตามท้ายรถมาอย่างเอาเรื่องแต่ท้ายที่สุดเขาก็หมดแรงตามไม่ทัน
ทำเอาใจหายใจคว่ำหมด พอแน่ใจแล้วว่าปลอดภัยฉันก็หันกลับมาบอกจุดหมายปลายทางกับคนขับแท็กซี่ทันที
ผมขับรถเข้ามาที่บ้านพักตากอากาศของไอ้เรซตั้งอยู่หลังดงมะขามกว่าร้อยไร่ แต่คนที่เป็นเจ้าของไร่มะขามจริงๆ คือป้ามัน มันเคยเล่าให้ฟังว่าเครือญาติสนิทกันเป็นครอบครัวใหญ่และบ้านไม้ทรงไทยหลังใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้าผมตอนนี้ก็คือบ้านที่พ่อแม่มันสร้างในที่ของป้ามันเสียงเพลงดังกระฮึ่มตั้งแต่ปากทางเข้ามีรถมากกว่าสิบคันจอดเรียงรายล้อมตัวบ้าน คือที่ไหนสามารถจอดได้ก็จอดเลย บ้านพักหลังนี้ตั้งห่างจากบ้านใหญ่(บ้านป้ามัน)หลายกิโล เพราะงั้นจึงไม่ค่อยมีพวกคนงานหรือใครเข้ามายุ่มย่าม ทุกๆ คนสามารถสนุกกันได้แบบไร้ความกังวล “ริกกี้....” เสียงเรียกชื่อสั่นกระเส่าด้านหลังทำผมเหลือบไปมองอย่างหงุดหงิด ตลอดทางเลยให้ตายสิ ผมโคตรอารมณ์เสีย หลังจากมีคนรายงานว่าเห็นรถไอ้คลื่นวิ่งเข้ารีสอร์ตผมก็ซิ่งออกไปอย่างแทบจะบินได้เอาตรงๆ ผมไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมต้องรีบร้อนขนาดนั้น แต่ผมไม่ได้เป็นห่วงยัยนี่แน่ๆ มันก็แค่.... ทนอยู่เฉยๆ ให้ศัตรูมาฉกเหยื่อไปต่อหน้าต่อตาไม่ได้ กับยัยนี่.... ผมเห็นเป็นแค่เหยื่อโง่ๆ ตัวหนึ่งเท่านั้น “อ้าวเฮียมาแล้วเหรอครับ” เด็กคนหนึ่
“คะคลื่น....” ฉันเรียกชื่อเขาอย่างกลั้นหายใจ คลื่นเอาแต่จ้องหน้าอกฉันนิ่งอยู่อย่างนั้นหลังเปิดแผลให้เขาดูจนฉันเริ่มไม่แน่ใจว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่มันถูกหรือเปล่า “ทั้งหมดนี่มันคงจะอยู่บนตัวฉัน ถ้าเธอไม่เอาตัวเข้ามาป้อง” หมอนั่นพูดอย่างเหม่อลอยเหมือนกำลังคุยกับตัวเอง เขาเหลือบตามองฉันในคำสุดท้าย สายตาคมกริบที่ราวกับจะมองลึกเข้ามาถึงข้างในทำฉันร้อนวูบไปทั้งหน้า ก้มหลบดวงตาสีครามอย่างเหนียมอาย การที่มีผู้ชายหน้าตาหล่อขนาดนี้ถึงลุคจะดูร้ายและเจ้าเล่ห์มากก็ตามแต่มาทำอ่อนโยนด้วยและคอยส่งสายตาหวานซึ้งมาให้ตลอดเวลา ฉันคงไม่สามารถทำใจให้เป็นปกติได้ คือฉันไม่ได้จะคิดเข้าข้างตัวเองหรืออยากสานสัมพันธ์อะไรกับเขานะ ก็แค่ตั้งรับไม่ทันเท่านั้น “มองอะไรล่ะ ทำแผลสิ ฉันเย็นไปหมดแล้วนะ” ฉันบอกเสียงตะกุกตะกัก แกล้งทำเป็นประท้วงเพื่อที่จะกลบเกลื่อนความประหม่าของตัวเอง สถานการณ์ตอนนี้มันล่อแหลมมากเลยนะ ถ้าฉันไม่บาดเจ็บ ไม่มีทางที่จะทนนั่งนิ่งๆ แล้วเปิดอกให้ผู้ชายดูแบบนี้หรอก “โทษที” คลื่นยิ้มจากใจจริง(ห
คู่แข่งเป็นนักแข่งมืออาชีพในเซอร์กิตเหรอ เหอะ ก็ไม่เห็นจะเท่าไหร่เลยนี่หว่า ไอ้แฮคบอกว่าความเร็วผมดีแต่แค่นี้เอาชนะคู่แข่งไม่ได้ ผมว่าข้อมูลมันมั่วแล้วล่ะ ตั้งแต่สตาร์ทผมเป็นฝ่ายตามก็จริง เราเลือกวิธีออกตัวแบบโยนเหรียญ โดยจะให้รถคันหนึ่งวิ่งนำไปก่อนแล้วอีกคันตามหลังเพราะถนนบนทางลาดเขาแคบเขาลูกนี้ถนนสองเลนก็จริงแต่กฎนี้เป็นธรรมเนียมสากลที่ใช้ในทุกๆ การแข่ง ผมขับตามรถคู่แข่งมาแบบประชิด มองไลน์การขับและการเคลื่อนไหวของรถข้างหน้าอย่างวิเคราะห์ไปด้วย ก็ดูมีทักษะดีอ่ะนะ แต่ขับตามตำราเป๊ะๆ อย่างนี้เอาชนะผมไม่ได้หรอก ไม่รู้ไอ้แฮคกับเรซมันเอาข้อมูลนักแข่งมาจากไหน เทียบกับโปรไฟล์ที่พวกนั้นบอกแล้วตัวจริงอย่างห่วย! ผมเหยียบคันเร่งแซงตรงโค้งมรณะเลยครับ ป้ายเตือนภัยสะเทือนวูบไหวทันทีที่รถสองคันวิ่งคู่ขี่สูสีกันเข้าโค้ง แป๊บเดียวแต่เหมือนนาน เวลาในรถเดินช้าลงไปด้วย ทุกวินาทีที่ผ่านไปผมจดจำภาพเหล่านั้นได้ชัดเจน ไอ้ไก่อ่อนที่คุยโวนักหนาว่ามีฝีมือทำหน้าตื่นตกใจเมื่อเห็นผมเบียดแซงขึ้นมา “อยากตายหรือไงวะ” หมอนั่นที่ขนาดชื่อผมยังจำไม่ได้แหกปากตะโกนอยู่ในรถ ผมมองเห็นหน้
กรี๊ดดดดดดดดดด ฉันนั่งตัวเกร็งอยู่บนเบาะ มือบีบสายเข็มขัดนิรภัยเอาไว้แน่น กรีดร้องอย่างหวาดกลัวตั้งแต่นาทีแรกที่ริกกี้เหยียบคันเร่งจนรถพุ่งออกไปข้างหน้าอย่างบ้าดีเดือด คิดจะฆ่าตัวตายหรือไงเนี่ย“โค้งๆ กรี๊ดดดด”ฉันแหกปากลั่น ริกกี้เหยียบทะลุโค้งแบบท้ายรถเฉียดกับขอบกั้นเหวนิดเดียว หัวใจฉันเต้นโครมครามเหมือนจะหลุดกระเด็นออกมาข้างนอก หันกลับไปมองจุดหวิดตายอย่างใจหายใจคว่ำ ให้ตายเถอะ เมื่อกี้มันบ้าบิ่นชะมัด ยังไม่ทันหายตกใจกับโค้งแรก รถก็วูบเอียงไปอีกด้าน ฉันหันกลับมาอย่างอกสั่นขวัญแขวนตอนนั้นรถก็ปาดเข้าโค้งอีกฝั่งด้วยความเร็วที่ไม่ลดลงไอ้บ้าริกกี้ไม่แตะเบรกด้วยซ้ำ สับเท้าเหยียบคันเร่งพึบพับอย่างกับพวกนักแข่งมืออาชีพที่เคยเห็นในหนัง สีหน้าเรียบนิ่ง แววตาที่จ้องมองไปด้านหน้าถึงจะดูเครียดนิดๆ แต่ไม่มีวี่แววหวั่นเกรงสักนิด นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย“กรี๊ด!”ฉันกรีดร้องออกมาแทบจะต่อเนื่อง ถนนบนเขาคดโค้งและซิกแซกเหมือนงูขดบวกกับความเร็วกระชากวิญญาณของรถที่ริกกี้เป็นคนขับ ฉันแทบสลบกลางอากาศหลายรอบ หวาดเสียวยิ่งกว่านั่งรถไฟเหาะตีลังกาอีก เมื่อไหร่เรื่องบ้าบอคอแตกนี่มันจะจ
“คะนิ้ง!” อาโยออกมาเปิดประตูรั้วหลังจากฉันกดกริ่งไปสองครั้ง ทำหน้าตกใจแกมอึ้งที่เห็นฉัน มือรีบดึงประตูรั้วออก เดินออกมาคว้ามือฉันไปจับเอาไว้มองสารรูปฉันด้วยท่าทางสับสน “คะนิ้งจริงๆ ด้วย....” “อาโย พ่อละค่ะ” “ไปทำงานน่ะลูก คะนิ้งหายไปไหนมาตั้งหลายวัน รู้ไหมอากับพ่อเป็นห่วงแค่ไหน” “เอ่อ อาโยคะค่าแท็กซี่” “อ้อ....” อาโยมองแท็กซี่ที่เปิดไฟกะพริบอยู่ด้านหลังฉันอย่างเข้าใจ ชะโงกหน้าไปบอกคนขับให้รอครู่หนึ่งแล้วค่อยหันกลับมาจูงมือฉันเข้าบ้าน “คะนิ้งนั่งรอนี่นะ อาเอาเงินไปจ่ายค่ารถให้” ฉันพยักหน้าหลังจากถูกอาโยจับตัวให้นั่งลงบนโซฟาในห้องโถงชั้นล่าง รอแป๊บหนึ่งร่างอวบอิ่มได้ทรวดทรงในวัยสามสิบปลายก็เดินกลับเข้ามา ทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ “คะนิ้ง.... ไหนเล่ามาสิมันเกิดอะไรขึ้น” อาโยมองสำรวจเนื้อตัวฉันแล้วเอ่ยถามตรงๆ ฉันมองสบแววตาเป็นห่วงเป็นใยของคนตรงหน้าอย่างรู้สึกจุกตันในคอ พูดไม่ออกบอกไม่ถูก ดีใจที่กลับถึงบ้านอย่างปลอดภัยแต่อีกใจก็หวาดกลัวที่จะเล่าความจริง ถ้าอาโยรู้ว่า
ผมอยู่ที่เซอร์กิตหรือสนามแข่งรถระดับนานาชาติแห่งหนึ่งแถวปริมณฑล มีรายการแข่งรถเล็กๆ ถูกจัดขึ้นและทีมของเราก็เข้าร่วม รายการแข่งรถบนดินแบบนี้ส่วนใหญ่จะให้สมาชิกทีมที่เป็นทางการลงพวกผมห้าคนไม่สิตอนนี้มีแค่สี่คนซึ่งเป็นตัวนำหลักของทีมจะปรากฏตัวเฉพาะการแข่งใต้ดินเท่านั้น ไม่ได้หมายถึงแข่งรถในอุโมงค์นะครับ ถึงแม้บางครั้งจะมีเส้นทางลอดใต้อุโมงค์ก็เถอะ แดดตอนเช้าร้อนเปรี้ยงอย่างกับตอนตะวันตรงหัวทั้งที่เวลานี้เพิ่งจะเก้าโมงเช้าหน่อยๆ คนดูไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่เพราะไม่ใช่งานแข่งใหญ่อะไร แต่ดูเหมือนจะถ่ายทอดสดทางช่องเคเบิ้ลสักอย่าง ผมจำรายละเอียดไม่ได้เพราะไอ้เรซเป็นคนจัดการเรื่องทั้งหมด “อ้าวริกกี้ ว่างเหรอวะ นึกว่าไปสำรวจเส้นทางขึ้นเขาเพชรบูรณ์กับเฮียหมูซะอีก” แฮคกำลังตรวจสอบสภาพเครื่องยนต์รถหันมามองผมอย่างแปลกใจ เด็กคนอื่นๆ ภายในเต็นท์ก็พลอยหันมายกมือไหว้ผมด้วย ผมแค่พยักหน้าให้ทุกคนแล้วพูดกับแฮคเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “เดี๋ยวไปพร้อมมึง” แฮคมันพยักหน้ารู้เรื่องแบบไม่ใส่ใจ ไม่ซักอะไรอีกหันไปสนใจงานตรงหน้าและคุยกับลูกมือใกล้ๆ