ผมอยู่ที่เซอร์กิตหรือสนามแข่งรถระดับนานาชาติแห่งหนึ่งแถวปริมณฑล มีรายการแข่งรถเล็กๆ ถูกจัดขึ้นและทีมของเราก็เข้าร่วม รายการแข่งรถบนดินแบบนี้ส่วนใหญ่จะให้สมาชิกทีมที่เป็นทางการลง
พวกผมห้าคนไม่สิตอนนี้มีแค่สี่คนซึ่งเป็นตัวนำหลักของทีมจะปรากฏตัวเฉพาะการแข่งใต้ดินเท่านั้น ไม่ได้หมายถึงแข่งรถในอุโมงค์นะครับ ถึงแม้บางครั้งจะมีเส้นทางลอดใต้อุโมงค์ก็เถอะ
แดดตอนเช้าร้อนเปรี้ยงอย่างกับตอนตะวันตรงหัวทั้งที่เวลานี้เพิ่งจะเก้าโมงเช้าหน่อยๆ คนดูไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่เพราะไม่ใช่งานแข่งใหญ่อะไร แต่ดูเหมือนจะถ่ายทอดสดทางช่องเคเบิ้ลสักอย่าง ผมจำรายละเอียดไม่ได้เพราะไอ้เรซเป็นคนจัดการเรื่องทั้งหมด
“อ้าวริกกี้ ว่างเหรอวะ นึกว่าไปสำรวจเส้นทางขึ้นเขาเพชรบูรณ์กับเฮียหมูซะอีก”
แฮคกำลังตรวจสอบสภาพเครื่องยนต์รถหันมามองผมอย่างแปลกใจ เด็กคนอื่นๆ ภายในเต็นท์ก็พลอยหันมายกมือไหว้ผมด้วย
ผมแค่พยักหน้าให้ทุกคนแล้วพูดกับแฮคเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “เดี๋ยวไปพร้อมมึง”
แฮคมันพยักหน้ารู้เรื่องแบบไม่ใส่ใจ ไม่ซักอะไรอีกหันไปสนใจงานตรงหน้าและคุยกับลูกมือใกล้ๆ อย่างจริงจัง
ระหว่างที่ผมเดินดูความเรียบร้อยและพูดคุยกับนักแข่งของทีมที่จะลงสนามในไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้าโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น
พอหยิบมาดูก็เห็นชื่อ ‘เก่งกาจ’ เด่นหราอยู่บนจอ
“ว่าไงวะ”
(ไอ้ริกกี้ ฟังแล้วอย่าโกรธนะโว้ย)
อะไรของมัน โทรมาแล้วพูดแบบนี้ ผมขมวดคิ้วยังไม่ได้พูดอะไรตอบ รอฟังเงียบๆ
(ยัยนั่นหนีไปแล้ว)
“...!!!”
“อ้าวเฮ้ยริกกี้ นั่นจะรีบไปไหนวะ”
แฮคหันมาตะโกนถามเมื่อเห็นผมเดินหุนหันออกมาแบบไม่บอกกล่าวใคร พอไอ้เก่งโทรมาบอกว่ายัยนั่นหนีไปผมก็เลือดขึ้นหน้าทันที ตะโกนด่าไอ้เก่งไปชุดใหญ่จนมันกระแทกเสียงด่าผมกลับมาแล้วตัดสายไปทันที ถึงผมจะรู้ว่าไม่ใช่ความผิดมันแต่มันที่เห็นยัยนั่นกำลังหนีกลับไม่มีปัญญาหยุดเอาไว้ได้ ยิ่งคิดยิ่งฉุน ให้ตายเถอะว่ะ
“กูมีเรื่องต้องทำ ถ้าเสร็จนี่แล้วมึงล่วงหน้าไปก่อน เดี๋ยวกูตามไป”
“แข่งสี่ทุ่มนะโว้ยอย่าลืม?”
“เออ!”
ผมโบกมือให้แฮคโดยไม่หยุดมองหน้ามันด้วยซ้ำ ก้าวฉับๆ ตรงมาที่รถซึ่งจอดห่างจากเต็นท์พอสมควร
ปี๊บ!
รถคันหนึ่งวิ่งเข้ามาเบรกกึกตรงหน้าผมพร้อมกับบีบแตร์ดังลั่น ไอ้เวรนั่น จะรีบไปตามควายหรือไงวะเห็นอยู่ว่าคนกำลังข้ามถนนยังจะเร่งเครื่องใส่อีก
ผมหยุดอยู่กับที่เหลือบมองประตูรถที่กำลังเปิดออกมา กันชนหน้ารถห่างจากเข่าผมไม่ถึงเมตร
รู้ว่ามันไม่ได้มีเจตนาชนแต่คงหาเรื่องตามประสาพวกหมาขี้แพ้น่ะ ผมจำรถไอ้บ้านี่ได้ตั้งแต่มันขยับพุ่งเข้ามาแล้ว
“เฮ้ย! แม่ตายเหรอ รีบซะขนาดข้ามถนนไม่ดูรถ”
“งานศพแม่มึงไง”
ผมสวนกลับไปอย่างไม่ยี่หระ ไอ้หมอนั่นก็ไม่ได้โวยวาย มันทำแค่แสยะยิ้มมุมปากแล้วเดินเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าผม สายตามันกวนเบื้องล่างสุดๆ
คริส ผู้นำของทีมอีเกิลสปีดศัตรูตัวฉกาจในเรื่องแข่งรถ พี่ชายไอ้คลื่นที่มาหาเรื่องผมในปาร์ตี้เมื่อหลายวันก่อน ไอ้คลื่นน่ะมันแค่เด็กน้อยแต่หมอนี่ของจริง คริสคือเจ้าพ่อแห่งวงการแข่งรถใต้ดิน ทรงอิทธิพล และอยู่ในเส้นทางสายนี้มาตั้งแต่รุ่นพ่อ ต่างกับผม.... ถึงผมจะรักการอัดรถมาตั้งแต่เด็กแต่ก็เพิ่งตั้งทีมได้ไม่นาน ต้องขอบคุณฮานที่ชวนผมมาตั้งทีมและรวบรวมคนเก่งๆ เข้ามาอยู่ด้วยกัน จนกลายเป็น RED SUN ในทุกวันนี้ ในเวลาเพียงไม่กี่ปี ชื่อ RED SUN ก็มีอิทธิพลในวงการแข่งรถทั้งบนดินและใต้ดิน
จนไปทับเส้นทีมอีเกิลสปีดของคริสเข้า พวกเรากลายเป็นคู่แข่งกันโดยธรรมชาติ เหมือนเสือสองตัวที่อยู่ในถ้ำเดียวกันไม่ได้
“มีอะไรก็พูดมา รีบ!”
“เผาศพแม่น่ะเหรอ”
“ไอ้นี่...”
“ฮ่าๆ เดี๋ยวสิ ล้อเล่นแค่นี้ก็โมโหแล้วเหรอวะ”
ผมกำลังจะเดินออกมาเพราะขี้เกียจต่อปากต่อคำกับมัน คริสเห็นแบบนั้นก็ขำออกมารีบเรียกผมเอาไว้ก่อนปรับสีหน้าจริงจัง
“ได้ยินว่าน้องชายกูมันไปป่วนงานพวกมึง”
“....”
“แต่ถึงกับต้องชักปืนออกมายิงไม่รุนแรงไปหน่อยเหรอวะ อย่าหาว่าสอนเลยว่ะ แต่นักแข่งมันต้องสู้กันบนถนนไม่ใช่นักเลงที่คิดจะตีกันตอนไหนเมื่อไหร่ก็ได้”
สู้กันบนถนนเหรอ หึ! “เก็บคำพูดนั่นไว้บอกตัวเองเถอะว่ะ”
ผมจ้องหน้าคริสอย่างคนที่รู้เท่าทันกันแล้วเดินออกมา
“แล้วผู้หญิงที่รับกระสุนแทนไอ้เด็กนั่นเป็นไงบ้างวะ”
ผมชะงัก หันกลับไปทางไอ้คริสที่ตะโกนถามไล่หลังมา แปลกใจที่มันถามถึงยัยนั่น ถึงแม้ว่าลึกๆ แล้วผมจะสงสัยว่าผู้หญิงนั่นอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับพวกอีเกิลสปีดก็เถอะ
“ได้ยินว่ามึงเก็บร่างเธอไป หรือฝังไปแล้ว?”
“อยากรู้ทำไม”
“เปล่า.... แค่จะแจ้งตำรวจมาจับมึงข้อหาฆ่าคนตาย” คริสยกไหล่ กระตุกยิ้มกวนๆ ใส่ผม หันกลับไปเดินขึ้นรถแล้วมันก็ขับออกไปทันทีที่ป่วนประสาทผมเสร็จ ไอ้เวรนั่น!
ผมขับรถเข้ามาที่บ้านพักตากอากาศของไอ้เรซตั้งอยู่หลังดงมะขามกว่าร้อยไร่ แต่คนที่เป็นเจ้าของไร่มะขามจริงๆ คือป้ามัน มันเคยเล่าให้ฟังว่าเครือญาติสนิทกันเป็นครอบครัวใหญ่และบ้านไม้ทรงไทยหลังใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้าผมตอนนี้ก็คือบ้านที่พ่อแม่มันสร้างในที่ของป้ามันเสียงเพลงดังกระฮึ่มตั้งแต่ปากทางเข้ามีรถมากกว่าสิบคันจอดเรียงรายล้อมตัวบ้าน คือที่ไหนสามารถจอดได้ก็จอดเลย บ้านพักหลังนี้ตั้งห่างจากบ้านใหญ่(บ้านป้ามัน)หลายกิโล เพราะงั้นจึงไม่ค่อยมีพวกคนงานหรือใครเข้ามายุ่มย่าม ทุกๆ คนสามารถสนุกกันได้แบบไร้ความกังวล “ริกกี้....” เสียงเรียกชื่อสั่นกระเส่าด้านหลังทำผมเหลือบไปมองอย่างหงุดหงิด ตลอดทางเลยให้ตายสิ ผมโคตรอารมณ์เสีย หลังจากมีคนรายงานว่าเห็นรถไอ้คลื่นวิ่งเข้ารีสอร์ตผมก็ซิ่งออกไปอย่างแทบจะบินได้เอาตรงๆ ผมไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมต้องรีบร้อนขนาดนั้น แต่ผมไม่ได้เป็นห่วงยัยนี่แน่ๆ มันก็แค่.... ทนอยู่เฉยๆ ให้ศัตรูมาฉกเหยื่อไปต่อหน้าต่อตาไม่ได้ กับยัยนี่.... ผมเห็นเป็นแค่เหยื่อโง่ๆ ตัวหนึ่งเท่านั้น “อ้าวเฮียมาแล้วเหรอครับ” เด็กคนหนึ่
“คะคลื่น....” ฉันเรียกชื่อเขาอย่างกลั้นหายใจ คลื่นเอาแต่จ้องหน้าอกฉันนิ่งอยู่อย่างนั้นหลังเปิดแผลให้เขาดูจนฉันเริ่มไม่แน่ใจว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่มันถูกหรือเปล่า “ทั้งหมดนี่มันคงจะอยู่บนตัวฉัน ถ้าเธอไม่เอาตัวเข้ามาป้อง” หมอนั่นพูดอย่างเหม่อลอยเหมือนกำลังคุยกับตัวเอง เขาเหลือบตามองฉันในคำสุดท้าย สายตาคมกริบที่ราวกับจะมองลึกเข้ามาถึงข้างในทำฉันร้อนวูบไปทั้งหน้า ก้มหลบดวงตาสีครามอย่างเหนียมอาย การที่มีผู้ชายหน้าตาหล่อขนาดนี้ถึงลุคจะดูร้ายและเจ้าเล่ห์มากก็ตามแต่มาทำอ่อนโยนด้วยและคอยส่งสายตาหวานซึ้งมาให้ตลอดเวลา ฉันคงไม่สามารถทำใจให้เป็นปกติได้ คือฉันไม่ได้จะคิดเข้าข้างตัวเองหรืออยากสานสัมพันธ์อะไรกับเขานะ ก็แค่ตั้งรับไม่ทันเท่านั้น “มองอะไรล่ะ ทำแผลสิ ฉันเย็นไปหมดแล้วนะ” ฉันบอกเสียงตะกุกตะกัก แกล้งทำเป็นประท้วงเพื่อที่จะกลบเกลื่อนความประหม่าของตัวเอง สถานการณ์ตอนนี้มันล่อแหลมมากเลยนะ ถ้าฉันไม่บาดเจ็บ ไม่มีทางที่จะทนนั่งนิ่งๆ แล้วเปิดอกให้ผู้ชายดูแบบนี้หรอก “โทษที” คลื่นยิ้มจากใจจริง(ห
คู่แข่งเป็นนักแข่งมืออาชีพในเซอร์กิตเหรอ เหอะ ก็ไม่เห็นจะเท่าไหร่เลยนี่หว่า ไอ้แฮคบอกว่าความเร็วผมดีแต่แค่นี้เอาชนะคู่แข่งไม่ได้ ผมว่าข้อมูลมันมั่วแล้วล่ะ ตั้งแต่สตาร์ทผมเป็นฝ่ายตามก็จริง เราเลือกวิธีออกตัวแบบโยนเหรียญ โดยจะให้รถคันหนึ่งวิ่งนำไปก่อนแล้วอีกคันตามหลังเพราะถนนบนทางลาดเขาแคบเขาลูกนี้ถนนสองเลนก็จริงแต่กฎนี้เป็นธรรมเนียมสากลที่ใช้ในทุกๆ การแข่ง ผมขับตามรถคู่แข่งมาแบบประชิด มองไลน์การขับและการเคลื่อนไหวของรถข้างหน้าอย่างวิเคราะห์ไปด้วย ก็ดูมีทักษะดีอ่ะนะ แต่ขับตามตำราเป๊ะๆ อย่างนี้เอาชนะผมไม่ได้หรอก ไม่รู้ไอ้แฮคกับเรซมันเอาข้อมูลนักแข่งมาจากไหน เทียบกับโปรไฟล์ที่พวกนั้นบอกแล้วตัวจริงอย่างห่วย! ผมเหยียบคันเร่งแซงตรงโค้งมรณะเลยครับ ป้ายเตือนภัยสะเทือนวูบไหวทันทีที่รถสองคันวิ่งคู่ขี่สูสีกันเข้าโค้ง แป๊บเดียวแต่เหมือนนาน เวลาในรถเดินช้าลงไปด้วย ทุกวินาทีที่ผ่านไปผมจดจำภาพเหล่านั้นได้ชัดเจน ไอ้ไก่อ่อนที่คุยโวนักหนาว่ามีฝีมือทำหน้าตื่นตกใจเมื่อเห็นผมเบียดแซงขึ้นมา “อยากตายหรือไงวะ” หมอนั่นที่ขนาดชื่อผมยังจำไม่ได้แหกปากตะโกนอยู่ในรถ ผมมองเห็นหน้
กรี๊ดดดดดดดดดด ฉันนั่งตัวเกร็งอยู่บนเบาะ มือบีบสายเข็มขัดนิรภัยเอาไว้แน่น กรีดร้องอย่างหวาดกลัวตั้งแต่นาทีแรกที่ริกกี้เหยียบคันเร่งจนรถพุ่งออกไปข้างหน้าอย่างบ้าดีเดือด คิดจะฆ่าตัวตายหรือไงเนี่ย“โค้งๆ กรี๊ดดดด”ฉันแหกปากลั่น ริกกี้เหยียบทะลุโค้งแบบท้ายรถเฉียดกับขอบกั้นเหวนิดเดียว หัวใจฉันเต้นโครมครามเหมือนจะหลุดกระเด็นออกมาข้างนอก หันกลับไปมองจุดหวิดตายอย่างใจหายใจคว่ำ ให้ตายเถอะ เมื่อกี้มันบ้าบิ่นชะมัด ยังไม่ทันหายตกใจกับโค้งแรก รถก็วูบเอียงไปอีกด้าน ฉันหันกลับมาอย่างอกสั่นขวัญแขวนตอนนั้นรถก็ปาดเข้าโค้งอีกฝั่งด้วยความเร็วที่ไม่ลดลงไอ้บ้าริกกี้ไม่แตะเบรกด้วยซ้ำ สับเท้าเหยียบคันเร่งพึบพับอย่างกับพวกนักแข่งมืออาชีพที่เคยเห็นในหนัง สีหน้าเรียบนิ่ง แววตาที่จ้องมองไปด้านหน้าถึงจะดูเครียดนิดๆ แต่ไม่มีวี่แววหวั่นเกรงสักนิด นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย“กรี๊ด!”ฉันกรีดร้องออกมาแทบจะต่อเนื่อง ถนนบนเขาคดโค้งและซิกแซกเหมือนงูขดบวกกับความเร็วกระชากวิญญาณของรถที่ริกกี้เป็นคนขับ ฉันแทบสลบกลางอากาศหลายรอบ หวาดเสียวยิ่งกว่านั่งรถไฟเหาะตีลังกาอีก เมื่อไหร่เรื่องบ้าบอคอแตกนี่มันจะจ
“คะนิ้ง!” อาโยออกมาเปิดประตูรั้วหลังจากฉันกดกริ่งไปสองครั้ง ทำหน้าตกใจแกมอึ้งที่เห็นฉัน มือรีบดึงประตูรั้วออก เดินออกมาคว้ามือฉันไปจับเอาไว้มองสารรูปฉันด้วยท่าทางสับสน “คะนิ้งจริงๆ ด้วย....” “อาโย พ่อละค่ะ” “ไปทำงานน่ะลูก คะนิ้งหายไปไหนมาตั้งหลายวัน รู้ไหมอากับพ่อเป็นห่วงแค่ไหน” “เอ่อ อาโยคะค่าแท็กซี่” “อ้อ....” อาโยมองแท็กซี่ที่เปิดไฟกะพริบอยู่ด้านหลังฉันอย่างเข้าใจ ชะโงกหน้าไปบอกคนขับให้รอครู่หนึ่งแล้วค่อยหันกลับมาจูงมือฉันเข้าบ้าน “คะนิ้งนั่งรอนี่นะ อาเอาเงินไปจ่ายค่ารถให้” ฉันพยักหน้าหลังจากถูกอาโยจับตัวให้นั่งลงบนโซฟาในห้องโถงชั้นล่าง รอแป๊บหนึ่งร่างอวบอิ่มได้ทรวดทรงในวัยสามสิบปลายก็เดินกลับเข้ามา ทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ “คะนิ้ง.... ไหนเล่ามาสิมันเกิดอะไรขึ้น” อาโยมองสำรวจเนื้อตัวฉันแล้วเอ่ยถามตรงๆ ฉันมองสบแววตาเป็นห่วงเป็นใยของคนตรงหน้าอย่างรู้สึกจุกตันในคอ พูดไม่ออกบอกไม่ถูก ดีใจที่กลับถึงบ้านอย่างปลอดภัยแต่อีกใจก็หวาดกลัวที่จะเล่าความจริง ถ้าอาโยรู้ว่า
ผมอยู่ที่เซอร์กิตหรือสนามแข่งรถระดับนานาชาติแห่งหนึ่งแถวปริมณฑล มีรายการแข่งรถเล็กๆ ถูกจัดขึ้นและทีมของเราก็เข้าร่วม รายการแข่งรถบนดินแบบนี้ส่วนใหญ่จะให้สมาชิกทีมที่เป็นทางการลงพวกผมห้าคนไม่สิตอนนี้มีแค่สี่คนซึ่งเป็นตัวนำหลักของทีมจะปรากฏตัวเฉพาะการแข่งใต้ดินเท่านั้น ไม่ได้หมายถึงแข่งรถในอุโมงค์นะครับ ถึงแม้บางครั้งจะมีเส้นทางลอดใต้อุโมงค์ก็เถอะ แดดตอนเช้าร้อนเปรี้ยงอย่างกับตอนตะวันตรงหัวทั้งที่เวลานี้เพิ่งจะเก้าโมงเช้าหน่อยๆ คนดูไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่เพราะไม่ใช่งานแข่งใหญ่อะไร แต่ดูเหมือนจะถ่ายทอดสดทางช่องเคเบิ้ลสักอย่าง ผมจำรายละเอียดไม่ได้เพราะไอ้เรซเป็นคนจัดการเรื่องทั้งหมด “อ้าวริกกี้ ว่างเหรอวะ นึกว่าไปสำรวจเส้นทางขึ้นเขาเพชรบูรณ์กับเฮียหมูซะอีก” แฮคกำลังตรวจสอบสภาพเครื่องยนต์รถหันมามองผมอย่างแปลกใจ เด็กคนอื่นๆ ภายในเต็นท์ก็พลอยหันมายกมือไหว้ผมด้วย ผมแค่พยักหน้าให้ทุกคนแล้วพูดกับแฮคเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “เดี๋ยวไปพร้อมมึง” แฮคมันพยักหน้ารู้เรื่องแบบไม่ใส่ใจ ไม่ซักอะไรอีกหันไปสนใจงานตรงหน้าและคุยกับลูกมือใกล้ๆ