:::: ::::
“ใครแกล้ง” ผมเอ่ยถามเด็กหญิงตัวน้อยที่นั่งก้มหน้าตัวสั่นเทาอยู่บนชิงช้าสนามเด็กเล่นในหมู่บ้าน ผมไม่เห็นหน้าเธอหรอกแต่แรงสะอึกสะอื้นนั่นทำให้เดาได้ไม่ยากว่าเธอกำลังร้องไห้อย่างหนักแน่ๆ เธอค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองผมพลางเอามือเช็ดน้ำตาบนแก้มแบบลวกๆ ก่อนจะพูดบอกเสียงสะอื้น
“มะ...ไม่มี ฮึก”
“งั้นทำไมร้องไห้” ผมเลิกคิ้วถามเด็กผู้หญิงตรงหน้าด้วยความสงสัย ไม่มีใครแกล้ง แล้วทำไมเธอถึงต้องร้องไห้หนักขนาดนี้ ปกติผมไม่ค่อยยุ่งวุ่นวายกับใครนะ แต่ไม่รู้ทำไมถึงสนใจเรื่องของเด็กผู้หญิงคนนี้ ยิ่งพอเห็นหน้าเธอผมยิ่งไม่อยากละสายตาไปไหน ขนาดแก้มทั้งสองข้างเปื้อนไปด้วยคาบน้ำตา ยังน่ารักขนาดนี้ แล้วถ้ายิ้มล่ะ จะน่ารักขนาดไหน
“เรา...ไว้ใจเธอได้ใช่ไหม ฮึก แม่บอกไม่ให้เราคุยกับคนแปลกหน้า แต่เธอจะไม่ทำร้ายเราใช่ไหม ฮึก” เสียงสะอื้นเอื้อนเอ่ยออกมาอย่างน่าสงสารนัยน์ตาสั่นระริกเอ่อล้นไปด้วยน้ำใสๆ ที่พร้อมจะไหลออกมาได้ตลอดเวลาและนั่นทำให้ผมมีความรู้สึกอยากปกป้องใครสักคนขึ้นมา
“อืม”
“สัญญานะ” นิ้วก้อยเรียวเล็กถูกยกขึ้นยื่นมาให้ ถ้าเป็นคนอื่นผมคงปัดออกและมองว่าน่ารำค
“แค่จะให้เย็บกระดุมเสื้อ”เพร้งงงง หน้าฉันแตกละเอียดยับเยิน พอพูดจบธามก็ดึงตัวกลับไปนั่งตรงแล้วหยิบอุปกรณ์เย็บผ้าออกมาจากถุงที่รุ่นน้องส่งให้และบ่นพึมพำกับตัวเองแต่สะเทือนมาถึงฉันน้อยๆ“เขินทำไม ไม่เข้าใจ”ฉันกะพริบตาถี่กับสถานการณ์ตรงหน้า ไม่เข้าใจเหมือนกันแค่จะให้ช่วยเย็บกระดุมเสื้อต้องทำขนาดนี้ไหม นี่เขาจงใจแกล้งฉันชัดๆ“แค่เย็บกระดุม?” ฉันถามย้ำอีกครั้งเพื่อความชัวร์“อืม หรืออยากให้มีอย่างอื่นด้วย” ธามครางรับในลำคอก่อนจะหันมาเลิกคิ้วถามฉันแบบนิ่งๆ กลายเป็นฉันที่ประหม่าจนต้องหลบสายตาเขาและรีบเบี่ยงประเด็นไปที่การเย็บกระดุมนั่นทันที“อะ...อะไร ไหนล่ะ เอามาซิ โรสมีคลาสบ่ายนะ”สิ้นเสียงฉันธามก็หันมาจัดการกับเสื้อนักศึกษาตัวเองที่ไม่มีกระดุมเลยสักเม็ด ตอนแรกฉันก็ไม่ได้สังเกตเพราะเหมือนจะใช้เข็มกลัดกลัดไว้ข้างใน แต่เขาไปทำอะไรมา กระดุมขาดทุกเม็ดแบบนี้เกิดจากการกระชากอย่างแรงแน่นอนแต่ฝีมือใคร ผู้ชาย? ผู้หญิง? ถ้าเป็นผู้หญิง กระชากเสื้อกันแบบนี้ก็มีแค่เรื่องเดียวเท่านั้น
“เดี๋ยวก็รู้” ธามหันกลับมาบอกฉันเสียงเรียบ...คือมันเรียบจนแยกไม่ออกว่าฉันควรจะตื่นเต้นหรือกลัวดี คนอะไรไม่มีการแสดงอารมณ์ใดๆ ออกมาทางสีหน้า น้ำเสียงหรือแม้แต่แววตา มีแต่คิ้วหนาเข้มผูกกันเป็นโบเท่านั้นที่พอจะบอกได้ว่าเขาค่อนข้างจะหงุดหงิดพอสมควรสุดท้ายฉันก็ได้แต่ปล่อยให้ธามจูงไป ไม่สิ...น่าจะเรียกว่าลากซะมากกว่าไปยังจุดหมายที่ไม่รู้ว่าคือที่ไหนเส้นทางที่ไม่คุ้นตาและดูเหมือนจะไม่ค่อยมีคนพลุกพล่าน ฉันไม่เคยผ่านมาทางนี้แน่ๆ ธามพาฉันเดินมาขึ้นลิฟต์ใต้อาคาร ที่ดูเหมือน...ตึกวิศวะ ใช่...ป้ายเยื้องๆ กับลิฟต์เขียนไว้แบบนั้น ฉันไม่ได้สนใจเลยว่าเขากดมาชั้นไหนเพราะมัวแต่มองใบหน้าคมและแววตากราดเกรี้ยวนั่น จนปล่อยให้เขาลากเข้ามาในห้องอะไรก็ไม่รู้จนได้“ช้าจังวะเฮีย รอตั้งนาน” เสียงบุคคลที่นั่งอยู่ข้างหลังกลองชุดสุดหรูเอ่ยทักขึ้นทันทีที่เราก้าวเข้ามา ดูเหมือนเขาคนนั้นจะเป็นรุ่นน้อง เพราะเรียกธามว่าเฮีย และเหมือนเขาสองคนจะนัดกันไว้ก่อนแล้ว นี่คงเป็นห้องซ้อมดนตรีสินะ...แต่เครื่องดนตรีพวกนี้ดูหรูกว่าจะเป็นของมหาวิทยาลัย“ไหนของ” ธามเอ่
“เฮียไม่รู้เรื่องของโรสกับไอ้ธามหรอกนะ แต่ก็จะพยายามไม่พูดถึงแหละกัน”“ความจริง โรสไม่คิดว่าจะได้กลับมาไทยอีกแล้ว และไม่คิดด้วยว่าจะมาเจอเขาอีกครั้ง ทุกอย่างมันไม่เป็นอย่างที่คิดเลย และพอได้เจอ โรสกลับไม่อยากเสียเขาไปอีกแล้ว เฮียหมอเข้าใจไหมคะ” ฉันเลยตัดสินใจระบายให้เฮียหมอฟัง เพราะคิดว่าเขาไว้ใจได้ที่สุดในตอนนี้“แล้วทำไมถึงคิดว่า ถ้ามันรู้แล้วจะทิ้งโรสล่ะ”
วันต่อมา….@โรงพยาบาลฉันยกข้อมือเล็กพลิกหน้าปัดนาฬิกาเรือนโปรดเข้าหาสายตาที่กำลังเพ่งมองอยู่ และทิ้งกำปั้นลงบนตักทุบรัวเบาๆ ชะเง้อชะแง้มองหน้าห้องตรวจว่าเมื่อไหร่ประตูจะเปิด แล้วก็วนกลับไปที่ยกข้อมือขึ้นใหม่ วนไปวนมาแบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำ
ปัจจุบัน….ผมตะแคงตัวพิงเบาะอยู่หลังพวงมาลัยรถทอดสายตาไปยังใบหน้าหวานที่หลับตาพริ้มอยู่บนเบาะฝั่งคนนั่งในท่าตะแคงมาทางผมเหมือนกัน ในตอนที่เธอหายไปเมื่อสี่ปีก่อนผมคิดมาตลอดว่าจะไม่มีวันให้อภัยเธอเด็ดขาดไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ผมสัญญาว่าจะไม่ทิ้งเธอไปไหน แต่เธอซะเองที่เป็นคนผิดสัญญา และพอเอาเข้าจริงๆ ผมกลับตัดเธอออกไปจากสารระบบตัวเองไม่ได้เลยและมันยิ่งชัดเจนขึ้นตอนที่เฮียวาโยส่งรูปโรสนั่งอยู่ข้างไอ้ซันอะไรนั่นมาให้ ผมควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้เลย คิดได้อย่างเดียวคือผมจะไม่มีวันเสียเธอไปอีกเด็ดขาดไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร ที่ผ่านมาจะเป็นยังไงผมไม่สนใจอีกต่อไปแล้ว สนแค่ตอนนี้เธอกลับมาหาผม เธอยังรักผมอยู่ก็พอมือหนายกขึ้นลูบผมสลวยอย่างอ่อนโยนพร้อมกับรอยยิ้มบางผุดขึ้นมาบนหน้าผมอย่างห้ามไม่ได้ ดีใจแค่ไหนผมไม่รู้...รู้แต่หัวใจที่เคยแห้งเหี่ยวกลับมาพองโตอีกครั้ง‘งั้นโรสก็จะคิดตามที่โรสเข้าใจ เพราะฉะนั้นต่อจากนี้ธามห้ามยุ่งกับผู้หญิงคนอื่นอีกเด็ดขาด ไอ้ที่เคยซื้อกินก็เลิกซะนะ ธามมีโรสแล้ว เข้าใจตรงกันนะ’ประโยคนี้ทำผมอึ้งและ
:::: ::::“ใครแกล้ง” ผมเอ่ยถามเด็กหญิงตัวน้อยที่นั่งก้มหน้าตัวสั่นเทาอยู่บนชิงช้าสนามเด็กเล่นในหมู่บ้าน ผมไม่เห็นหน้าเธอหรอกแต่แรงสะอึกสะอื้นนั่นทำให้เดาได้ไม่ยากว่าเธอกำลังร้องไห้อย่างหนักแน่ๆ เธอค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองผมพลางเอามือเช็ดน้ำตาบนแก้มแบบลวกๆ ก่อนจะพูดบอกเสียงสะอื้น“มะ...ไม่มี ฮึก”“งั้นทำไมร้องไห้” ผมเลิกคิ้วถามเด็กผู้หญิงตรงหน้าด้วยความสงสัย ไม่มีใครแกล้ง แล้วทำไมเธอถึงต้องร้องไห้หนักขนาดนี้ ปกติผมไม่ค่อยยุ่งวุ่นวายกับใครนะ แต่ไม่รู้ทำไมถึงสนใจเรื่องของเด็กผู้หญิงคนนี้ ยิ่งพอเห็นหน้าเธอผมยิ่งไม่อยากละสายตาไปไหน ขนาดแก้มทั้งสองข้างเปื้อนไปด้วยคาบน้ำตา ยังน่ารักขนาดนี้ แล้วถ้ายิ้มล่ะ จะน่ารักขนาดไหน“เรา...ไว้ใจเธอได้ใช่ไหม ฮึก แม่บอกไม่ให้เราคุยกับคนแปลกหน้า แต่เธอจะไม่ทำร้ายเราใช่ไหม ฮึก” เสียงสะอื้นเอื้อนเอ่ยออกมาอย่างน่าสงสารนัยน์ตาสั่นระริกเอ่อล้นไปด้วยน้ำใสๆ ที่พร้อมจะไหลออกมาได้ตลอดเวลาและนั่นทำให้ผมมีความรู้สึกอยากปกป้องใครสักคนขึ้นมา“อืม”“สัญญานะ” นิ้วก้อยเรียวเล็กถูกยกขึ้นยื่นมาให้ ถ้าเป็นคนอื่นผมคงปัดออกและมองว่าน่ารำค
แกร่กก...แอ๊ดดดสักพักประตูก็ถูกเปิดเข้ามาโดยดินและพี่ซันที่ตามหลังมาติดๆ ดินทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาข้างๆ คุณหมอ และพี่ซันก็เดินมาทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาข้างฉัน เป็นจังหวะเดียวกับที่ธามหันขวับมามองพี่ซันตาขวางทันที หวงขนาดนี้เลยเหรอ ฉันได้แต่แอบยิ้มในใจ“น้องมึงใช้ได้เลยว่ะ ตีนผีฉิบหาย” พี่ซันพูดชมขึ้นแบบขำๆ ซึ่งฉันพอจะเดาออกว่าเขาน่าจะชมดิน ดินคงเป็นคนที่ลงไปลองสนามกับเขา“แน่นอนดิวะ ไอ้ดินเนี่ย มันคือนัมเบอร์วันของสนามกู” เฮียวาโยตอบกลับพร้อมกับยักคิ้วให้ดินที่ตอนนี้เหมือนจะตัวลอยหน่อยๆ จากคำชมพวกนั้น เพราะท่าทางยักไหล่แบบกวนๆ ตามสไตล์ของดิน แต่ตอนนี้ฉันรู้สึกเหมือนไม่ปลอดภัยยังไงก็ไม่รู้เพราะแขนแกร่งของธามเริ่มขยับมาวางข้างเอวคอดฉันแล้ว ดูเหมือนฉันจะเข้าใจความหมายของคำว่าแสดงตัวที่เฮียวาโยพูดแล้วนะฉันพยายามแกะมือหนาที่ตอนนี้ดึงรั้งเอวฉันเข้าไปใกล้เขามากขึ้นออกพลางหันไปถลึงตาใส่ให้เขาหยุดการกระทำแบบนี้แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผล เพราะเขาไม่มีท่าทีว่าจะคายมือออกเลย“ทำอะไรกัน” เสียงแข็งของพี่ซันดังขึ้น พร้อมกับอาการสะดุ้งน้
“จะไปไหนกับแฟน ต้องรายงานคนอื่นด้วย?”สิ้นเสียงเรียบที่เป็นเชิงคำถามนั่นดวงใจน้อยๆ มันก็ทำงานหนักขึ้นมาอีกและเหมือนจะหนักกว่าทุกๆ ครั้ง นี่ไม่ใช่ความฝัน หูฉันก็ไม่ได้ฝาด แฟนงั้นเหรอ? แฟนที่แปลว่าคนรักกันใช่มะ? แสดงว่าเขาไม่โกรธแล้วสินะ แต่เหมือนธามจะพูดออกมาแบบไม่รู้ตัวพอเห็นหน้าฉันแบบว่าอึ้งๆ เขาก็ตีหน้านิ่งใส่ฉันทันที“ฟะ...แฟนเหรอ มะ...หมายถึงเราเหรอ” ฉันถามออกไปแบบโง่ๆ พลางเอามือชี้ไปที่ธามและตัวฉันสลับไปมา ทั้งที่ตอนนี้ก็มีแค่เราสองคน จะให้หมายถึงใครล่ะ บ้าจริง แต่ก็นะ...บางทีก็อยากมั่นใจกว่านี้ แต่คำตอบที่ได้กลับมาไม่ได้ทำให้ฉันมั่นใจขึ้นแถมยังหมั่นไส้คนตรงหน้าหนักเข้าไปอีก“หมายถึงเธอกับไอ้เวรนั่นมั้ง”พอพูดจบธามดึงมือที่จับฉันไว้กลับไปล้วงกระเป๋ากางเกงยีนตัวเองทันที สายตาทอดมองไปยังสนามที่มีรถสองคันแล่นแข่งกันอยู่แบบไม่มีใครยอมใคร ไอ้เวรนั่นที่เขาหมายถึงก็คงเป็นพี่ซัน คนอะไรปากแข็งชะมัด ถึงเขาจะนิ่งแค่ไหนแต่เวลามีผู้ชายเข้าใกล้ฉันทีไรไม่เคยควบคุมอารมณ์ตัวเองอยู่สักครั้ง ยิ่งเห็นอาการกระฟัดกระเฟียดของเขายิ่งน่าแก
จิ๊!!ฉันหอบหายใจถี่ก่อนจะรีบสูดเอาอากาศเข้าปอดทันทีที่ปากถูกปล่อยเป็นอิสระ เสียงจิจ๊ะในลำคอของคนตรงหน้าดังขึ้นอย่างหัวเสียแล้วล้วงกระเป๋ากางเกงหยิบมือถือที่มีสายเรียกเข้าออกมา เลื่อนสไลด์รับสายเอาแนบหูทันที ส่วนแขนอีกข้างยังรั้งเอวฉันไว้ไม่ให้หนีไปไหน ใครกันที่โทรเข้ามาฉันอยากขอบคุณเขาจริงๆ ไม่งั้นฉันต้องขาดใจตายแน่ๆ ระหว่างที่ฉันไม่อยู่เขาไปเรียนรู้วิธีจูบแบบช่ำชองขนาดนี้มาจากผู้หญิงคนไหนกัน“อืม” ธามตอบกลับไปยังปลายสายแบบห้วนๆ หลังจากที่เงียบฟังได้ไม่นานก่อนจะกดวางสายและเก็บมือถือเข้ากระเป๋ากางเกงเหมือนเดิม แล้วหันกลับมามองฉันด้วยสายตาที่อ่อนลงจากก่อนหน้านี้ฉันเบือนหน้าหนีทันทีเมื่อใบหน้าคมโน้มลงมาคล้ายกับตั้งใจจะจูบฉันอีกครั้ง นึกแล้วมันก็รู้สึกแปลกๆ ขึ้นมา เขาจูบเก่งขนาดนี้ได้ยังไงกัน ธามชะงักไปนิดก่อนจะกดจูบลงมาตรงขมับฉันทีหนึ่งอย่างอ่อนโยนแล้วผละออก ใจฉันที่มันเต้นอ่อนลงจากความคิดเมื่อครู่กลายเป็นเพิ่มจังหวะขึ้นเป็นเท่าตัวจนแทบจะหลุดออกมา ใบหน้าเห่อร้อนผ่าวๆ เราเคยคบกับแต่ธามไม่เคยทำแบบนี้อาจเพราะด้วยตอนนั้นเรายังเด็ก แต่ความจริงตอนนี้เราก็ยั