เครื่องดื่มกับของกินเล่นวางดาษดื่นบนโต๊ะตัวเตี้ย จนไม่น่าเชื่อว่าทั้งหมดนี้สำหรับคนเพียงสองคน
ในห้องโถงกว้างและสูงถูกโอบล้อมด้วยแสงสีวิบวับ การแสดงประสานกับดนตรีได้อย่างลงตัว
เด็กหนุ่มมากหน้าหลายตาพยายามสร้างความบันเทิงอยู่ด้านหน้าเวที ด้วยความหวังว่าคืนนี้เทพีแห่งโชคลาภจะผลักสายตาของใครสักคนให้สะดุดเข้าหา คืนนี้จะได้กลับออกไปพร้อมเงินสักเล็กน้อยก็ยังดี
มิวเอนหลังชิดติดโซฟา ใบหน้าเหยเกเมื่อกลิ่นรุนแรงของแอลกอฮอล์แตะปลายจมูก แค่เห็นยี่ห้อเหล้าที่ตัวเองต้องกรอกเข้าปากทุกวัน อาการคลื่นเหียนชวนอาเจียนก็กำเริบ
อุตส่าห์ได้หยุดงานด้วยความไม่เต็มใจทั้งที ความตั้งใจแรกเรียกรุ่นน้องสักคนมานั่งเล่น แต่ตอนนี้กลับได้ปีศาจมานั่งเป็นเพื่อน มิหนำซ้ำยังเสียเงินไปโดยไม่สมัครใจอีก
“เงินเป็นแสนเลยนะเว้ย ไอ้บ้า!”
คำก่นด่าจากปากมิวดังจนเกือบเท่าเสียงดนตรี ตลอดเวลาห้านาทีดันเต้แทบไม่เอาฝ่ามือออกจากรูหู เขาปิดมันเอาไว้ให้แน่นที่สุดราวกับนักเดินเรือที่เผชิญหน้าอยู่กับ *ไซเรน
“นี่!” มิวปัดมือของดันเต้ “แล้ววันหยุดทั้งทีฉันยังต้องมานั่งกินเหล้ากับนายอีก”
“ไม่อยากกินก็ไม่มีใครบังคับสักหน่อย” ดันเต้พูดพลางยืดขาเหยียดอย่างสบายใจ
“นายก็พูดได้สิ เงินเป็นแสนเลยนะ”
“เอาอีกแล้ว พวกมนุษย์นี่ชอบพูดแต่เรื่องเศษกระดาษ”
“ก็ลองต้องหาเงินในการใช้ชีวิตดูสิ นายคงไม่มองมันเป็นเศษกระดาษไร้ค่าเหมือนตอนนี้หรอก”
“เอาเหอะ! เรื่องเงินเดี๋ยวฉันจ่ายให้เอง”
“จริงนะ!”
เมื่อเห็นดวงตาลุกวาวของมิว ดันเต้ก็หงุดหงิดนิดหน่อย “เมื่อไหร่นายจะเลิกคิดว่าปีศาจทุกตนต้องโกหกหลอกลวงอยู่เสมอ”
“กับคนทั่วไปฉันก็ไม่ไว้ใจเถอะ” มิวหน้ามุ่ย “การเป็นเด็กกำพร้าทำให้ฉันรู้ว่าแม้แต่คนที่ให้กำเนิดยังไว้ใจไม่ได้”
“อย่างน้อยนายก็เคยมีพ่อมีแม่”
ดวงตากลมโตจ้องไปยังปีศาจที่แสยะยิ้มอยู่ใกล้ตัว มิวไม่รู้ว่าปีศาจหื่นกามอย่างดันเต้จะมีความรู้สึกเศร้าหรือเสียใจไหม แต่มนุษย์อย่างเขาฟังแล้วก็อดสังเวชใจไม่ได้
การเคยมีกับการไม่มีมิวเองก็ตัดสินไม่ได้ว่าอย่างไหนเจ็บปวดที่สุด แต่เท่าที่รู้มันก็ยังน่าเศร้าอยู่ดี
“ว่าแต่วันนี้นายไม่ทำงานเหรอ?” ดันเต้เอ่ยถามหลังเห็นอีกฝ่ายเงียบไป
“นายสนใจเรื่องงานด้วยเหรอ?”
“โอเค! ถ้านายไม่ตอบ ฉันจะอ่านใจ…”
“หยุด! เลิกอ่านใจคนอื่นซี้ซั้วได้ไหม”
“ก็พวกมนุษย์มีอะไรไม่ยอมพูดตรงๆ”
“เราไม่จำเป็นต้องพูดทุกเรื่องออกไปก็ได้”
“แล้วเก็บไว้ไม่สบายใจอยู่คนเดียวน่ะเหรอ? น่าขัน”
“แน่ใจนะว่านายสนใจแค่เรื่องเซ็กซ์ ไม่ได้ชอบยุ่งเรื่องของชาวบ้านด้วย”
“ถ้านายไม่ยอมบอกฉันคงต้อง…”
“ก็ได้ๆ” มิวถอนหายใจ “ฉันโดนแย่งลูกค้าคนสำคัญไปก็เลยไม่มีอารมณ์ทำงาน”
ดวงตาของปีศาจหรี่เล็กลง ราวกับกำลังคิดอะไรสักอย่าง “งั้นเราไปห้องนายกัน”
“ไปทำไม?”
“นายเบื่อที่นี่ไม่ใช่เหรอ?”
“นี่นายแอบอ่านใจฉันเหรอ?”
“ฉันไม่ต้องอ่านใจนายหรอก” ดันเต้ขมวดคิ้วขดแน่น “สีหน้าของนายบอกทุกอย่างโดยที่ฉันไม่ต้องใช้พลังเลยด้วยซ้ำ”
มิวแทบไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองชักสีหน้าไม่พอใจไปคั้งแต่เมื่อไหร่ เพราะการดูแลลูกค้าต้องระวังเรื่องการใช้อากัปกิริยาให้เหมาะสม ดังนั้นเขาจึงระมัดระวังการใช้ภาษากายเป็นพิเศษ
ชายหนุ่มไม่แน่ใจว่าเพราะกลิ่นหอมของดันเต้ทำให้เขาไม่เป็นตัวของตัวเอง หรือทำให้เขายิ่งเป็นตัวเองมากขึ้นกันแน่
“ฉันยังไม่อยากกลับห้อง” มิวดึงสีหน้าให้กลับเป็นปกติ “ฉันแทบไม่เคยกลับบ้านทั้งๆที่ดวงอาทิตย์ยังไม่ขึ้น”
“งั้นเราไปทำพันธสัญญาให้สำเร็จกัน”
“ยังไง?”
“ก็เริ่มสืบจากร้านสัก นายบอกเองนี่ว่าอยู่แถวนี้”
เด็กหนุ่มหลบตาลงต่ำจ้องมองเวลาบนนาฬิกาข้อมือ “เกือบสามทุ่มแล้ว ฉันไม่แน่ใจว่าร้านจะยังเปิดไหม?”
“ลองไปดูก็ไม่เสียหาย ต่อให้ร้านปิดเราอาจจะได้เบาะแสอื่นเพิ่มเติมก็ได้”
ความกระตือรือร้นที่จะช่วยเหลือของดันเต้ ประจวบเหมาะกับความอยากจะถอนคำแช่งของมิว เขากระหายการกลับไปเป็นปกติแล้วกลับมาใช้ร่างกายแก้แค้น มิวมั่นใจว่าหากเขายินยอมหลับนอน ลูกค้าแบบศักดิ์ชัยต้องยอมกลับมาหาเขาอย่างแน่นอน
เมื่อตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว ชายทั้งคู่ก็ทิ้งอมอร์ไว้เบื้องหลัง ออกเดินทางโดยมีดวงดารานำทางในแต่ละก้าวเดิน จนกระทั่งเสียงอึกทึกครึกโครมเริ่มเบาบางลง เหลือทิ้งไว้เพียงความอื้ออึงในหูเป็นการส่งท้าย
นี่เป็นครั้งแรกที่มิวเดินเคียงข้างกับดันเต้ ชายหนุ่มแอบเหล่ตาไปด้านข้างเพื่อมองปีศาจอย่างใกล้ชิด ทว่าก็เห็นเพียงซอกคอสีเข้มเท่านั้น
‘หมอนี่มันสูงจังแฮะ’ มิวอดคิดแบบนี้ไม่ได้ และชั่วครู่หนึ่งเขามั่นใจว่าดันเต้แอบยิ้ม
จู่ๆมิวก็คิดถึงความฝันแสนแปลกประหลาดในตอนแรก ร่างเปลือยเปล่าของดันเต้ทำให้เขารู้สึกวูบวาบแถวท้องน้อย หัวใจเริ่มเต้นผิดจังหวะ
ยิ่งพยายามสลัดภาพลามกนั่นเท่าไหร่ มันก็ยิ่งฝังแน่นลงลึกมากกว่าเดิม ชายหนุ่มมั่นใจว่าเขาไม่ได้เมา แต่ไม่รู้ทำไมถึงควบคุมตัวเองได้ยากเย็นไม่ต่างกัน
“ไปทางไหนต่อ” ดันเต้หันไปถามมิวที่ความเร็วในการเดินลดลง
“เอ่อ!” มิวหันรีหันขวางมองทิวทัศน์โดยรอบ “ข้ามสะพานลอยตรงนี้ไป แล้วก็เลี้ยวเข้าไปตรงซ้ายก็เกือบถึงแล้ว”ชายหนุ่มชี้มือไล่ไปตามเส้นทางเท่าที่นึกออก
“อยู่ใกล้ขนาดนี้ นายไม่เคยคิดจะกลับไปที่ร้านสักนั่นเลยเหรอ?” ดันเต้ถามพลางก้าวขาขึ้นบันไดขั้นแรก
“ไม่รู้สิ! ฉันไม่เคยคิดถึงร้านนั้นเลยด้วยซ้ำ” มิวลูบท้องน้อยตรงตราสัญลักษณ์ “อย่างที่บอก… ฉันเองยังลืมเลยว่าไปสักมา”
“พวกเทพเจ้าเล่ห์ มันชอบมีลูกเล่นแปลกๆที่ฉันเองก็ตามไม่ทัน”
“แล้วปีศาจอย่างพวกนายไม่มีของพวกนี้บ้างเหรอ?”
ดันเต้ทำท่าคิดครู่หนึ่งก่อนจะตอบอย่างเรียบง่าย “ไม่ค่อยมี! ส่วนใหญ่พวกเราจะเคารพอนุสัญญาของสองโลกมากกว่าพวกเทพ พวกนั้นน่ะมันจองหอง… ถือว่ามนุษย์เคารพบูชาก็เลยทำอะไรตามอำเภอใจ”
“แต่นายจะช่วยฉันได้แน่ๆใช่ไหม?” มิวย้ำถามด้วยความสงสัย
“เหมือนนายจะเป็นห่วงมากเลยนะ” ดันเต้หรี่ดวงตา “ฉันเองก็มีพลังอีกเยอะแยะที่ยังไม่ได้โชว์”
“ฉันไม่ได้ห่วงเรื่องพลังของนายจะมากหรือน้อย” มิวปล่อยคำพูดให้คลอเคลียไปกับสายลมแผ่วเบา “ฉันแค่ไม่ชอบโดนป่วนหัว ไม่ว่าจะจากคน ปีศาจ หรือเทพอะไรก็ตามแต่”
“ปั่นหัวเหรอ? นายเป็นแค่มนุษย์ ยังไงจิตใจของพวกนายก็เป็นของเล่นของพวกเราอยู่แล้ว”
“ถ้านายยังเอาแต่ดูถูกมนุษย์อย่างฉัน นายเองก็ไม่ต่างจากเทพนิสัยแย่พวกนั้นหรอก” น้ำเสียงของมิวหนักแน่นจนดันเต้ต้องเงี่ยหูฟัง “นายพึ่งบ่นไปว่าพวกเทพเจ้าเล่ห์หรือจองหอง แต่นายก็ทำแบบนั้นกับฉัน”
ความอ่อนไหวทำให้ปีศาจถึงกับชะงักงัน ถึงจะอยู่มานานจนจำไม่ได้ ทว่าดันเต้ก็แทบไม่เคยเห็นมนุษย์เป็นอย่างอื่นนอกจากขุมพลัง
เพราะแม้แต่มนุษย์ที่ขึ้นชื่อว่าแข็งแกร่งที่สุด ไม่เกินอาทิตย์ก็ลืมเรื่องราวปีศาจอย่างดันเต้ไปจนสิ้น การเรียนรู้วิถีของมนุษย์จึงแทบเป็นไปไม่ได้ มิวเองก็คงเป็นเช่นนั้น… อีกไม่กี่วันเขาก็จะกลายเป็นเพียงความทรงจำสีจางซ่อนอยู่ในมุมลึกสุดของจิตใต้สำนึก
วิธีเดียวที่จะรักษาความทรงจำล้ำค่าเหล่านี้เอาไว้ คือดันเต้ห้ามสร้างสัมพันธ์ทางกายกับมิว แน่นอนว่าสิ่งนี้ก็เป็นไปไม่ได้เช่นกัน เพราะท้ายที่สุดสัญชาตญาณปีศาจจะชักจูงให้เขาต้องดูดกลืนพลังงานอยู่ดี
“ถ้าฉันรู้ว่ากำลังสู้อยู่กัยใคร… ฉันก็ไม่กลัวหรอกนะ” มิวเสริม “ต่อให้เป็นปีศาจอย่างนายก็เถอะ”
“น่าสนใจ” ดันเต้เหลือบมองสีหน้าจริงจังของมิว “แต่วางใจได้ ฉันไม่ให้ไอ้กามเทพนั่นรังแกนายได้นานหรอก ฉันอยากลิ้มลองนายหลังจากได้รับการปลดปล่อย… หวังว่ามันจะคุ้มค่า”
เสียงรถจอแจด้านล่างรวมกับเสียงอื้ออึงในหูทำให้มิวไม่อยากต่อการสนทนา เขาทำเพียงย่ำเท้าก้าวผ่านแสงไฟแต่ละวงอย่างเงียบเชียบ
เอาเข้าจริงถึงจะยอมรับได้ว่าดันเต้เป็นปีศาจ แต่ทั้งหมดทั้งมวลมิวก็ยังไม่เห็นอภินิหารอื่นของเขา นอกเสียจากมายากลเล็กๆน้อยๆที่ดูไม่เป็นพิษเป็นภัย
แล้วไหนจะเรื่องโลกอีกใบที่ซ้อนทับอยู่กับโลกของเขาอีก หากไม่ใช่คนที่ชอบอ่านแฮร์รี่พอตเตอร์มากขนาดนั้น ก็คงจินตนาการไม่ออกว่าจะมีอะไรแบบนั้นเกิดขึ้นจริง
“เดินเข้าไปอีกประมาณห้าร้อยเมตรก็ถึงแล้ว” มิวเอ่ยพลางเลี้ยวเข้าไปในซอย
ถนนแคบๆดูเงียบสงบผิดจากข้างหลังที่แน่นขนัดชวนอึดอัด ร้านรวงทั้งสองข้างทางดูเงียบเหงาแม้จะยังเปิดไฟจนสว่างไสว
แสงไฟสีส้มนวลทำให้ซอยนี้ดูลึกลับแปลกตา หากไม่ลองนึกคิดให้ถี่ถ้วน ตัวมิวเองที่ผ่านไปผ่านมาบ่อยๆ ก็ลืมไปเสียสนิทว่ามีที่นี่อยู่ด้วย
“ตรงนี้แหละ” มิวหยุดเดินพลางหันหน้าเข้าหาอาคารสูงสองชั้น
“นายแน่ใจนะว่ามาสักที่นี่” ดันเต้สีหน้ากังวล “มันดูไม่ค่อยเหมือนร้านสักเท่าไหร่”
ตึกสีขาวสะอาดตาสูงประมาณสองชั้นตั้งแซมติดอยู่กับห้องแถวซอมซ่อ หน้าต่างบานใหญ่ที่ถูกติดโดยรอบทำให้สามารถมองทะลุเข้าไปข้างในได้อย่างแจ่มแจ้ง
กระจกโมเสคถูกตกแต่งประดับประดาเป็นเรื่องราว เหล่าเทวดาตัวเล็กมีปีกบินร่อนอยู่ในฝาผนัง ดูคล้ายกับโบสถ์สำหรับประกอบศาสนพิธีมากกว่า
ความสงบจนเกือบวังเวงปรี่ออกมาต้อนรับแม้บานประตูไม้ขนาดใหญ่จะยังปิดอยู่ ข้างหน้ามีป้ายเล็กเขียนเอาไว้ว่า ‘อาร์ตสเปซ’ ถูกวางเอาไว้อย่างไม่ใส่ใจ
“ฉันไม่ลืมแน่ๆ ที่นี่เคยเป็นร้านสักมาก่อน” มิวหยักหน้าเล็กน้อยขณะกำลังพูด
—---------------------
*ไซเรน คืออมนุษย์ในปกรณัมกรีก มีลักษณะคล้ายนางเงือก กล่าวคือท่อนล่างเป็นปลาและมีปีกเหมือนนก บ้างก็ว่าไซเรนเป็นมนุษย์ครึ่งนกคล้ายกินรีของไทย
ว่ากันว่านางไซเรนล่อลวงผู้คนให้เสียสติด้วยบทเพลงและเสียงอันไพเราะ
“ทวดของผม” โพรงปากของเด็กหนุ่มอ้าค้างจนมองเห็นลิ้นไก่ข้างในลึกสุด “นี่พี่เกิดสมัยอยุธยาเป็นเมืองหลวงเลยไหมเนี่ย?” “ไม่นานขนาดนั้น” เสียงหัวเราะร่วนของเป็นเอกดัง “พี่เกิดหลังทวดของนายไม่กี่ปี ปี พ.ศ. สองพันสี่ร้อยกว่าเห็นจะได้” “แล้วพี่เป็นใครกันแน่?… ผีบรรพบุรุษส่งให้พี่มาดูแลตระกูลของผมหรือยังไง?” “ฉันว่าเรื่องของนายเหลือเชื่อกว่าเรื่องของฉันอีก” ยังไม่ทันจะต่อความยาวสาวความยืด เสียงฝีเท้าตึงตังก็ดังมาจากบันไดไม้ หญิงสาวแรกรุ่นพรวดพราดเข้ามาในห้องนอนที่ชายทั้งคู่อยู่ เธอกระโจนเข้าหาเป็นเอกและสวมกอดรอบคอจนแน่น “คิดถึงคุณลุงจัง” น้ำเสียงของหญิงสาวสดใสพอกันกับหน้าตา ดวงตาของเธอสุกใสเป็นประกาย ผิวหนังเนียนหนุ่มอ่อนเยาว์สมกับการเป็นสาวแรกรุ่น “คิดถึงลุงหรือคิดถึงของฝากกันแน่” มือของชายผู้แก่กว่ามากลูบศีรษะอย่างเอ็นดู “ก็ต้องคิดถึงคุณลุงอยู่แล้วสิคะ” “ถ้าอย่างนั้นวันนี้ลุงไม่มีของฝาก นิดหน่อยก็จะยังคิดถึงลุงอยู่ใช่ไหม?” หญิงสาวตัวเล็กยืดตัวขึ้นทำแก้มป่อง “ไม่มีจริงเหรอ?”
ไม่ได้มีโอกาสบ่อยนักที่อาร์เต้จะได้อ้าแขนกอดรับดวงอาทิตย์ยามสาย ถึงมันออกจะร้อนสักหน่อยก็เถอะแต่สำหรับชายหนุ่มที่ไม่ค่อยชอบชีวิตช่วงกลางคืนเท่าไหร่นัก นี่ก็นับว่าเป็นคุ้มค่าที่จะแลก หลังจากได้ฟังเรื่องราวอันไกลเกินขอบเขตของความเชื่อมาแล้ว แววตาของอาร์เต้ตอนมองเป็นเอกกลับไม่ได้ต่างจากเดิมเท่าไหร่ หากไม่ใช่เพราะยังไม่เชื่ออย่างสมบูรณ์แบบบ ก็คงเป็นเพราะอคติบางอย่างที่สร้างความเอนเอียง ความรู้สึกในใจของชายทั้งสองไม่อาจถูกคั่นกลางด้วยสิ่งแปลกปลอม ระยะห่างระหว่างกันยังคงเส้นคงวา ไม่อาจใกล้มากกว่านี้หรือถอยห่างจากที่เป็น ถึงหมุดหมายของทริปนี้เป็นเอกจะบอกไว้ว่าเป็นการออกตามหาความจริง ทว่าอาร์เต้มองแตกต่างออกไป เขาคิดเงียบๆ อยู่คนเดียวว่าการเดินทางครั้งนี้เป็นเสมือนการออกเดตนอกสถานที่ครั้งแรกของพวกเขา นั่นเลยช่วยทำให้รู้สึกดีมากกว่ากังวล อาร์เต้ไม่เอ่ยถามถึงจุดหมายปลายทาง เขารู้ว่าอีกฝ่ายคงไม่ยอมพูดอะไรแน่นอน ซึ่งเป็นเอกก็คิดเช่นนั้น ชายแก่ในร่างหนุ่มคิดไว้ว่าการอธิบายกลางอากาศอย่างเดียว คงไม่หนักแน่นพอจะยืนยันทุกอย่าง ท้องฟ้าปลอ
เมื่อความสุขสุดขีดพุ่งสูงจนทะลุหลอด ความเหนื่อยล้าก็เข้ามาห่อหุ้มร่างกึ่งเปลือยเปล่าของเด็กหนุ่ม หน้าอกภายใต้เสื้อตัวบางกระเพื่อมหนักหน่วง ริมฝีปากเผยออ้าเติมอากาศเข้าไปทดแทนกับที่ขาดหาย ใบหน้าฝาดก่ำด้วยสีเลือดสดๆ และเข้มมากขึ้นไปอีกเมื่อนึกถึงความดังของเสียงที่เพิ่งเปล่งออกไป ท่อนล่างโล่งโจ้งเลอะเทอะด้วยคราบของเหลวจากร่างกาย ในใจของมิวร้องตะโกนกู่ก้องเมื่อความรู้สึกที่อัดอั้นถูกระบายออกมาได้เสียที นั่นเป็นสิ่งประจักษ์แน่ชัดแล้วว่า ร่างกายและความเป็นชายได้กลับเป็นปกติอย่างที่ควรจะเป็น ทว่าก็ยังรู้สึกติดค้างบางอย่างแถวก้นบึ้งของจิตใต้สำนึก รอยยิ้มกางกว้างบนใบหน้าเรียวงาม เด็กหนุ่มรีบจัดแจงตัวเองให้เรียบร้อย ด้วยกลัวจะมีใครเปิดประตูเข้ามา การโดนมองเห็นไม่น่าหนักใจเท่ากับการโดนล้อ มิวนึกออกว่าดันเต้จะพูดอะไรบ้างหากเห็นสภาพของเขาในตอนนี้ ‘ไม่คิดจะชวนกันสักหน่อยเหรอ?’ ‘ทำไมนายถึงหนีมาสนุกคนเดียวล่ะ!’ ‘อีกรอบไหม?’ ‘คิดถึงดุ้นยักษ์ของฉันล่ะสิ!’ น้ำเสียงทะลึ่งตึงตังรวมกับสีหน้าหื่นกระหายของดันเต้ ผุดขึ้นมาใน
ความเงียบบรรเลงดนตรีกระซิบข้างใบหู ความเหนื่อยล้าขับกล่อมท่วงทำนองยืดยานจนชายหนุ่มหลับใหลไปอย่างง่ายดาย พื้นที่แสนปลอดภับโอบกอดมิวเอาไว้แน่นไปถึงความฝัน ชายหนุ่มทิ้งความหวาดระแวงเอาไว้ข้างเตียง และปล่อยความอิสระให้คืนสู่จิตใจ เวลาในกำมือหมดไปอย่างรวดเร็ว จนแอบนึกเสียไม่ได้ว่าสิ่งล้ำค่านี้ไม่เคยเพียงพอในหนึ่งชีวิต… ร่างกายของมิวนั้นฟื้นฟูได้ดีอย่างน่าเหลือเชื่อ ทั้งความเหนื่อยล้าหรือบาดแผลบนร่างกาย อันที่จริงเขาไม่จำเป็นต้องนอนเลยด้วยซ้ำหากในตัวมีเมล็ดพันธุ์ปีศาจอยู่ ความรู้สึกเบาสบายจากห้วงนิทราถูกความร้อนตรงท้องทำลาย เด็กหนุ่มกระสับกระส่ายอยู่บนเตียงขนาดใหญ่ ลำตัวบิดงองุ่นง่าน การข่มตาให้หลับกลายเป็นเรื่องยากขึ้นทุกที การโดนร่างกายของตัวเองรังควานสร้างความหงุดหงิดนิดๆ มิวลืมตาตื่นนั่งพิงหัวเตียง ดวงตาแจ่มใสทั้งที่เพิ่งนอนไปได้แค่สองชั่วโมง ด้านล่างของลำตัวร้อนรุ่มอยู่ภายใต้ผ้าห่มผืนบาง ปลายเท้าบิดงอเข้าหากัน ต้นขาหนีบแน่นจนสะโพกเกร็ง อาการวูบวาบแผ่ซ่านจากศูนย์รวมความรู้สึกไปยังเส้นประสาท ดวงตาของมิวหั
เบื้องบนโปรยแสงรำไรออกมาจากมาจากรูโหว่อันดำมืดของท้องฟ้า เช้าวันใหม่นี้แสนอึมครึมไม่สดใส ส่งผลโดยตรงต่อจิตใจให้ขมุกขมัว หัวงมหรรณพแห่งเวลาสงบเสงี่ยมเฉกเช่นหนุ่มน้อยหน้าตาใสซื่อ ปกติท่าทีของอาร์เต้จะกระโดกกระเดกไม่เรียบร้อย บัดนี้กลับสงวนกิริยาขัดจากนิสัยปกติราวกับเป็นอีกคน อาจเพราะเขาถนัดการซ่อนมุมจริงจังเอาไว้เพื่อบดบังตัวตน จึงมีน้อยคนจะเคยได้เห็นอีกด้าน “ที่จริงแล้วพี่เลือกจะโกหกต่อไปก็ได้ แต่พี่ไม่อยากทำ” ชายวัยกลางคนนั่งบนโซฟาที่คุ้นเคย สายตาจับจ้องร่างเด็กกว่าตรงกันข้ามด้วยความสับสน หลังจากพยายามเลี่ยงการเปิดปากตอนอยู่ในรถอยู่นาน เขาก็มาถึงสถานที่เหมาะแก่การคายทุกอย่างออกมา “พี่รู้ว่ามันอาจจะฟังแล้วเหลือเชื่อไปหน่อย แต่พี่ก็อยากให้อาร์ตเปิดใจ” หนุ่มน้อยเอียงคอสงสัย ปกติเป็นเอกเป็นคนขึงขังอยู่แล้ว ยังมีเรื่องอะไรที่ทำให้ผู้จัดการร้านคนนี้หัวเสียได้มากกว่าเดิมอีกเหรอ “ผมเปิดใจให้พี่อยู่แล้ว… พี่รู้ใช่ไหม?” “แต่เรื่องที่พี่จะเล่ามันจะเปลี่ยนความคิดของนายที่มีต่อพี่ไปเลย” นี่คือสิ่งที่อาร์เต้ไม่ชอบ
การโดนสปอยด์ตอนจบไม่น่าอภิรมย์ของพิธีกรรมปีศาจที่ได้ยินจากปากของกามเทพ เป็นสิ่งที่มิวพกติดตัวออกจากห้องคุมขังมาด้วย หากเป็นก่อนหน้านี้เด็กหนุ่มคงดวงตาเบิกโพลง จิตใจแช่มชื่นเมื่อรู้ว่าตัวเองมีส่วนพัวพันกับเรื่องราวลี้ลับที่น้อยคนจะได้พบเจอ ตอนนี้ทุกอย่างตาลปัตรกลับด้านชวนใจหาย เขาเริ่มหวาดกลัวในสิ่งเหนือธรรมชาติที่ไม่อาจคาดเดาได้ และโทษที่ตัวเองคิดน้อยเกินไป บนถนนที่แออัดไปด้วยรถยนต์อุ่นหนาฝาคั่ง ในห้องโดยสารนั้นกลับอึดอัดมากกว่าข้างนอกนั่นหลายเท่า การหายใจไม่อาจทั่วท้องเมื่อต้องนั่งชิดติดอยู่กับความหงุดหงิด บรรยากาศธรรมดาที่สามารถพบเจอได้ทุกวัน ท้องฟ้าขมุกขมัวสาดไปด้วยแสงของดวงดาว เสียงบีบแตรและไฟท้ายของรถที่สะท้อนเข้าดวงตา ทุกอย่างในการมองเห็นตอนนี้กลับพิเศษเมื่อเด็กหนุ่มขาดหายไปหลายวัน ปกติมิวไม่ค่อยชอบคนขับรถที่ซอกแซกชีวิตส่วนตัวของผู้โดยสาร ยกเว้นวันนี้… เขารู้สึกอยากกดทิปให้หลายร้อยบาทเพื่อเป็นการแสดงความขอบคุณที่ช่วยให้สมองวุ่นวายได้คิดเรื่องอื่นบ้าง คำพูดยาวเหยียดก่นด่าไปทั่ว ตั้งแต่ลม ฟ้า อากาศ รวมไปถึงปัญหาค่าครองชีพถูกยัด