Beranda / วาย / The bonding wings เสน่หาพันธะปีศาจ (Mpreg) / ตอนที่ 26 นายแน่ใจใช่ไหมว่ามาสักที่นี่

Share

ตอนที่ 26 นายแน่ใจใช่ไหมว่ามาสักที่นี่

Penulis: Glita
last update Terakhir Diperbarui: 2025-01-03 19:16:33

          เครื่องดื่มกับของกินเล่นวางดาษดื่นบนโต๊ะตัวเตี้ย จนไม่น่าเชื่อว่าทั้งหมดนี้สำหรับคนเพียงสองคน

          ในห้องโถงกว้างและสูงถูกโอบล้อมด้วยแสงสีวิบวับ การแสดงประสานกับดนตรีได้อย่างลงตัว

          เด็กหนุ่มมากหน้าหลายตาพยายามสร้างความบันเทิงอยู่ด้านหน้าเวที ด้วยความหวังว่าคืนนี้เทพีแห่งโชคลาภจะผลักสายตาของใครสักคนให้สะดุดเข้าหา คืนนี้จะได้กลับออกไปพร้อมเงินสักเล็กน้อยก็ยังดี

          มิวเอนหลังชิดติดโซฟา ใบหน้าเหยเกเมื่อกลิ่นรุนแรงของแอลกอฮอล์แตะปลายจมูก แค่เห็นยี่ห้อเหล้าที่ตัวเองต้องกรอกเข้าปากทุกวัน อาการคลื่นเหียนชวนอาเจียนก็กำเริบ

          อุตส่าห์ได้หยุดงานด้วยความไม่เต็มใจทั้งที ความตั้งใจแรกเรียกรุ่นน้องสักคนมานั่งเล่น แต่ตอนนี้กลับได้ปีศาจมานั่งเป็นเพื่อน มิหนำซ้ำยังเสียเงินไปโดยไม่สมัครใจอีก

          “เงินเป็นแสนเลยนะเว้ย ไอ้บ้า!”

          คำก่นด่าจากปากมิวดังจนเกือบเท่าเสียงดนตรี ตลอดเวลาห้านาทีดันเต้แทบไม่เอาฝ่ามือออกจากรูหู เขาปิดมันเอาไว้ให้แน่นที่สุดราวกับนักเดินเรือที่เผชิญหน้าอยู่กับ *ไซเรน

          “นี่!” มิวปัดมือของดันเต้ “แล้ววันหยุดทั้งทีฉันยังต้องมานั่งกินเหล้ากับนายอีก”

          “ไม่อยากกินก็ไม่มีใครบังคับสักหน่อย” ดันเต้พูดพลางยืดขาเหยียดอย่างสบายใจ

          “นายก็พูดได้สิ เงินเป็นแสนเลยนะ”

          “เอาอีกแล้ว พวกมนุษย์นี่ชอบพูดแต่เรื่องเศษกระดาษ”

          “ก็ลองต้องหาเงินในการใช้ชีวิตดูสิ นายคงไม่มองมันเป็นเศษกระดาษไร้ค่าเหมือนตอนนี้หรอก”

          “เอาเหอะ! เรื่องเงินเดี๋ยวฉันจ่ายให้เอง”

          “จริงนะ!”

          เมื่อเห็นดวงตาลุกวาวของมิว ดันเต้ก็หงุดหงิดนิดหน่อย “เมื่อไหร่นายจะเลิกคิดว่าปีศาจทุกตนต้องโกหกหลอกลวงอยู่เสมอ”

          “กับคนทั่วไปฉันก็ไม่ไว้ใจเถอะ” มิวหน้ามุ่ย “การเป็นเด็กกำพร้าทำให้ฉันรู้ว่าแม้แต่คนที่ให้กำเนิดยังไว้ใจไม่ได้”

          “อย่างน้อยนายก็เคยมีพ่อมีแม่”

          ดวงตากลมโตจ้องไปยังปีศาจที่แสยะยิ้มอยู่ใกล้ตัว มิวไม่รู้ว่าปีศาจหื่นกามอย่างดันเต้จะมีความรู้สึกเศร้าหรือเสียใจไหม แต่มนุษย์อย่างเขาฟังแล้วก็อดสังเวชใจไม่ได้

          การเคยมีกับการไม่มีมิวเองก็ตัดสินไม่ได้ว่าอย่างไหนเจ็บปวดที่สุด แต่เท่าที่รู้มันก็ยังน่าเศร้าอยู่ดี

          “ว่าแต่วันนี้นายไม่ทำงานเหรอ?” ดันเต้เอ่ยถามหลังเห็นอีกฝ่ายเงียบไป

          “นายสนใจเรื่องงานด้วยเหรอ?”

          “โอเค! ถ้านายไม่ตอบ ฉันจะอ่านใจ…”

          “หยุด! เลิกอ่านใจคนอื่นซี้ซั้วได้ไหม”

          “ก็พวกมนุษย์มีอะไรไม่ยอมพูดตรงๆ”

          “เราไม่จำเป็นต้องพูดทุกเรื่องออกไปก็ได้”

          “แล้วเก็บไว้ไม่สบายใจอยู่คนเดียวน่ะเหรอ? น่าขัน”

          “แน่ใจนะว่านายสนใจแค่เรื่องเซ็กซ์ ไม่ได้ชอบยุ่งเรื่องของชาวบ้านด้วย”

          “ถ้านายไม่ยอมบอกฉันคงต้อง…”

          “ก็ได้ๆ” มิวถอนหายใจ “ฉันโดนแย่งลูกค้าคนสำคัญไปก็เลยไม่มีอารมณ์ทำงาน”

          ดวงตาของปีศาจหรี่เล็กลง ราวกับกำลังคิดอะไรสักอย่าง “งั้นเราไปห้องนายกัน”

          “ไปทำไม?”

          “นายเบื่อที่นี่ไม่ใช่เหรอ?”

          “นี่นายแอบอ่านใจฉันเหรอ?”

          “ฉันไม่ต้องอ่านใจนายหรอก” ดันเต้ขมวดคิ้วขดแน่น “สีหน้าของนายบอกทุกอย่างโดยที่ฉันไม่ต้องใช้พลังเลยด้วยซ้ำ”

          มิวแทบไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองชักสีหน้าไม่พอใจไปคั้งแต่เมื่อไหร่ เพราะการดูแลลูกค้าต้องระวังเรื่องการใช้อากัปกิริยาให้เหมาะสม ดังนั้นเขาจึงระมัดระวังการใช้ภาษากายเป็นพิเศษ

          ชายหนุ่มไม่แน่ใจว่าเพราะกลิ่นหอมของดันเต้ทำให้เขาไม่เป็นตัวของตัวเอง หรือทำให้เขายิ่งเป็นตัวเองมากขึ้นกันแน่

          “ฉันยังไม่อยากกลับห้อง” มิวดึงสีหน้าให้กลับเป็นปกติ “ฉันแทบไม่เคยกลับบ้านทั้งๆที่ดวงอาทิตย์ยังไม่ขึ้น”

          “งั้นเราไปทำพันธสัญญาให้สำเร็จกัน”

          “ยังไง?”

          “ก็เริ่มสืบจากร้านสัก นายบอกเองนี่ว่าอยู่แถวนี้”

          เด็กหนุ่มหลบตาลงต่ำจ้องมองเวลาบนนาฬิกาข้อมือ “เกือบสามทุ่มแล้ว ฉันไม่แน่ใจว่าร้านจะยังเปิดไหม?”

          “ลองไปดูก็ไม่เสียหาย ต่อให้ร้านปิดเราอาจจะได้เบาะแสอื่นเพิ่มเติมก็ได้”

          ความกระตือรือร้นที่จะช่วยเหลือของดันเต้ ประจวบเหมาะกับความอยากจะถอนคำแช่งของมิว เขากระหายการกลับไปเป็นปกติแล้วกลับมาใช้ร่างกายแก้แค้น มิวมั่นใจว่าหากเขายินยอมหลับนอน ลูกค้าแบบศักดิ์ชัยต้องยอมกลับมาหาเขาอย่างแน่นอน

          เมื่อตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว ชายทั้งคู่ก็ทิ้งอมอร์ไว้เบื้องหลัง ออกเดินทางโดยมีดวงดารานำทางในแต่ละก้าวเดิน จนกระทั่งเสียงอึกทึกครึกโครมเริ่มเบาบางลง เหลือทิ้งไว้เพียงความอื้ออึงในหูเป็นการส่งท้าย

          นี่เป็นครั้งแรกที่มิวเดินเคียงข้างกับดันเต้ ชายหนุ่มแอบเหล่ตาไปด้านข้างเพื่อมองปีศาจอย่างใกล้ชิด ทว่าก็เห็นเพียงซอกคอสีเข้มเท่านั้น

          ‘หมอนี่มันสูงจังแฮะ’ มิวอดคิดแบบนี้ไม่ได้ และชั่วครู่หนึ่งเขามั่นใจว่าดันเต้แอบยิ้ม

          จู่ๆมิวก็คิดถึงความฝันแสนแปลกประหลาดในตอนแรก ร่างเปลือยเปล่าของดันเต้ทำให้เขารู้สึกวูบวาบแถวท้องน้อย หัวใจเริ่มเต้นผิดจังหวะ

          ยิ่งพยายามสลัดภาพลามกนั่นเท่าไหร่ มันก็ยิ่งฝังแน่นลงลึกมากกว่าเดิม ชายหนุ่มมั่นใจว่าเขาไม่ได้เมา แต่ไม่รู้ทำไมถึงควบคุมตัวเองได้ยากเย็นไม่ต่างกัน

          “ไปทางไหนต่อ” ดันเต้หันไปถามมิวที่ความเร็วในการเดินลดลง

          “เอ่อ!” มิวหันรีหันขวางมองทิวทัศน์โดยรอบ “ข้ามสะพานลอยตรงนี้ไป แล้วก็เลี้ยวเข้าไปตรงซ้ายก็เกือบถึงแล้ว”ชายหนุ่มชี้มือไล่ไปตามเส้นทางเท่าที่นึกออก

          “อยู่ใกล้ขนาดนี้ นายไม่เคยคิดจะกลับไปที่ร้านสักนั่นเลยเหรอ?” ดันเต้ถามพลางก้าวขาขึ้นบันไดขั้นแรก

          “ไม่รู้สิ! ฉันไม่เคยคิดถึงร้านนั้นเลยด้วยซ้ำ” มิวลูบท้องน้อยตรงตราสัญลักษณ์ “อย่างที่บอก… ฉันเองยังลืมเลยว่าไปสักมา”

          “พวกเทพเจ้าเล่ห์ มันชอบมีลูกเล่นแปลกๆที่ฉันเองก็ตามไม่ทัน”

          “แล้วปีศาจอย่างพวกนายไม่มีของพวกนี้บ้างเหรอ?”

          ดันเต้ทำท่าคิดครู่หนึ่งก่อนจะตอบอย่างเรียบง่าย “ไม่ค่อยมี! ส่วนใหญ่พวกเราจะเคารพอนุสัญญาของสองโลกมากกว่าพวกเทพ พวกนั้นน่ะมันจองหอง… ถือว่ามนุษย์เคารพบูชาก็เลยทำอะไรตามอำเภอใจ”

          “แต่นายจะช่วยฉันได้แน่ๆใช่ไหม?” มิวย้ำถามด้วยความสงสัย

          “เหมือนนายจะเป็นห่วงมากเลยนะ” ดันเต้หรี่ดวงตา “ฉันเองก็มีพลังอีกเยอะแยะที่ยังไม่ได้โชว์”

          “ฉันไม่ได้ห่วงเรื่องพลังของนายจะมากหรือน้อย” มิวปล่อยคำพูดให้คลอเคลียไปกับสายลมแผ่วเบา “ฉันแค่ไม่ชอบโดนป่วนหัว ไม่ว่าจะจากคน ปีศาจ หรือเทพอะไรก็ตามแต่”

          “ปั่นหัวเหรอ? นายเป็นแค่มนุษย์ ยังไงจิตใจของพวกนายก็เป็นของเล่นของพวกเราอยู่แล้ว”

          “ถ้านายยังเอาแต่ดูถูกมนุษย์อย่างฉัน นายเองก็ไม่ต่างจากเทพนิสัยแย่พวกนั้นหรอก” น้ำเสียงของมิวหนักแน่นจนดันเต้ต้องเงี่ยหูฟัง “นายพึ่งบ่นไปว่าพวกเทพเจ้าเล่ห์หรือจองหอง แต่นายก็ทำแบบนั้นกับฉัน”

          ความอ่อนไหวทำให้ปีศาจถึงกับชะงักงัน ถึงจะอยู่มานานจนจำไม่ได้ ทว่าดันเต้ก็แทบไม่เคยเห็นมนุษย์เป็นอย่างอื่นนอกจากขุมพลัง 

          เพราะแม้แต่มนุษย์ที่ขึ้นชื่อว่าแข็งแกร่งที่สุด ไม่เกินอาทิตย์ก็ลืมเรื่องราวปีศาจอย่างดันเต้ไปจนสิ้น การเรียนรู้วิถีของมนุษย์จึงแทบเป็นไปไม่ได้ มิวเองก็คงเป็นเช่นนั้น… อีกไม่กี่วันเขาก็จะกลายเป็นเพียงความทรงจำสีจางซ่อนอยู่ในมุมลึกสุดของจิตใต้สำนึก

          วิธีเดียวที่จะรักษาความทรงจำล้ำค่าเหล่านี้เอาไว้ คือดันเต้ห้ามสร้างสัมพันธ์ทางกายกับมิว แน่นอนว่าสิ่งนี้ก็เป็นไปไม่ได้เช่นกัน เพราะท้ายที่สุดสัญชาตญาณปีศาจจะชักจูงให้เขาต้องดูดกลืนพลังงานอยู่ดี

          “ถ้าฉันรู้ว่ากำลังสู้อยู่กัยใคร… ฉันก็ไม่กลัวหรอกนะ” มิวเสริม “ต่อให้เป็นปีศาจอย่างนายก็เถอะ”

          “น่าสนใจ” ดันเต้เหลือบมองสีหน้าจริงจังของมิว “แต่วางใจได้ ฉันไม่ให้ไอ้กามเทพนั่นรังแกนายได้นานหรอก ฉันอยากลิ้มลองนายหลังจากได้รับการปลดปล่อย… หวังว่ามันจะคุ้มค่า”

          เสียงรถจอแจด้านล่างรวมกับเสียงอื้ออึงในหูทำให้มิวไม่อยากต่อการสนทนา เขาทำเพียงย่ำเท้าก้าวผ่านแสงไฟแต่ละวงอย่างเงียบเชียบ

          เอาเข้าจริงถึงจะยอมรับได้ว่าดันเต้เป็นปีศาจ แต่ทั้งหมดทั้งมวลมิวก็ยังไม่เห็นอภินิหารอื่นของเขา นอกเสียจากมายากลเล็กๆน้อยๆที่ดูไม่เป็นพิษเป็นภัย 

          แล้วไหนจะเรื่องโลกอีกใบที่ซ้อนทับอยู่กับโลกของเขาอีก หากไม่ใช่คนที่ชอบอ่านแฮร์รี่พอตเตอร์มากขนาดนั้น ก็คงจินตนาการไม่ออกว่าจะมีอะไรแบบนั้นเกิดขึ้นจริง

          “เดินเข้าไปอีกประมาณห้าร้อยเมตรก็ถึงแล้ว” มิวเอ่ยพลางเลี้ยวเข้าไปในซอย

          ถนนแคบๆดูเงียบสงบผิดจากข้างหลังที่แน่นขนัดชวนอึดอัด ร้านรวงทั้งสองข้างทางดูเงียบเหงาแม้จะยังเปิดไฟจนสว่างไสว

          แสงไฟสีส้มนวลทำให้ซอยนี้ดูลึกลับแปลกตา หากไม่ลองนึกคิดให้ถี่ถ้วน ตัวมิวเองที่ผ่านไปผ่านมาบ่อยๆ ก็ลืมไปเสียสนิทว่ามีที่นี่อยู่ด้วย

          “ตรงนี้แหละ” มิวหยุดเดินพลางหันหน้าเข้าหาอาคารสูงสองชั้น

          “นายแน่ใจนะว่ามาสักที่นี่” ดันเต้สีหน้ากังวล “มันดูไม่ค่อยเหมือนร้านสักเท่าไหร่”

          ตึกสีขาวสะอาดตาสูงประมาณสองชั้นตั้งแซมติดอยู่กับห้องแถวซอมซ่อ หน้าต่างบานใหญ่ที่ถูกติดโดยรอบทำให้สามารถมองทะลุเข้าไปข้างในได้อย่างแจ่มแจ้ง

          กระจกโมเสคถูกตกแต่งประดับประดาเป็นเรื่องราว เหล่าเทวดาตัวเล็กมีปีกบินร่อนอยู่ในฝาผนัง ดูคล้ายกับโบสถ์สำหรับประกอบศาสนพิธีมากกว่า

          ความสงบจนเกือบวังเวงปรี่ออกมาต้อนรับแม้บานประตูไม้ขนาดใหญ่จะยังปิดอยู่ ข้างหน้ามีป้ายเล็กเขียนเอาไว้ว่า ‘อาร์ตสเปซ’ ถูกวางเอาไว้อย่างไม่ใส่ใจ

          “ฉันไม่ลืมแน่ๆ ที่นี่เคยเป็นร้านสักมาก่อน” มิวหยักหน้าเล็กน้อยขณะกำลังพูด

                                             —---------------------

          *ไซเรน คืออมนุษย์ในปกรณัมกรีก มีลักษณะคล้ายนางเงือก กล่าวคือท่อนล่างเป็นปลาและมีปีกเหมือนนก บ้างก็ว่าไซเรนเป็นมนุษย์ครึ่งนกคล้ายกินรีของไทย

          ว่ากันว่านางไซเรนล่อลวงผู้คนให้เสียสติด้วยบทเพลงและเสียงอันไพเราะ

Lanjutkan membaca buku ini secara gratis
Pindai kode untuk mengunduh Aplikasi

Bab terbaru

  • The bonding wings เสน่หาพันธะปีศาจ (Mpreg)   ตอนที่ 67 มุมมองที่ต่างกัน

    “ทวดของผม” โพรงปากของเด็กหนุ่มอ้าค้างจนมองเห็นลิ้นไก่ข้างในลึกสุด “นี่พี่เกิดสมัยอยุธยาเป็นเมืองหลวงเลยไหมเนี่ย?” “ไม่นานขนาดนั้น” เสียงหัวเราะร่วนของเป็นเอกดัง “พี่เกิดหลังทวดของนายไม่กี่ปี ปี พ.ศ. สองพันสี่ร้อยกว่าเห็นจะได้” “แล้วพี่เป็นใครกันแน่?… ผีบรรพบุรุษส่งให้พี่มาดูแลตระกูลของผมหรือยังไง?” “ฉันว่าเรื่องของนายเหลือเชื่อกว่าเรื่องของฉันอีก” ยังไม่ทันจะต่อความยาวสาวความยืด เสียงฝีเท้าตึงตังก็ดังมาจากบันไดไม้ หญิงสาวแรกรุ่นพรวดพราดเข้ามาในห้องนอนที่ชายทั้งคู่อยู่ เธอกระโจนเข้าหาเป็นเอกและสวมกอดรอบคอจนแน่น “คิดถึงคุณลุงจัง” น้ำเสียงของหญิงสาวสดใสพอกันกับหน้าตา ดวงตาของเธอสุกใสเป็นประกาย ผิวหนังเนียนหนุ่มอ่อนเยาว์สมกับการเป็นสาวแรกรุ่น “คิดถึงลุงหรือคิดถึงของฝากกันแน่” มือของชายผู้แก่กว่ามากลูบศีรษะอย่างเอ็นดู “ก็ต้องคิดถึงคุณลุงอยู่แล้วสิคะ” “ถ้าอย่างนั้นวันนี้ลุงไม่มีของฝาก นิดหน่อยก็จะยังคิดถึงลุงอยู่ใช่ไหม?” หญิงสาวตัวเล็กยืดตัวขึ้นทำแก้มป่อง “ไม่มีจริงเหรอ?”

  • The bonding wings เสน่หาพันธะปีศาจ (Mpreg)   ตอนที่ 66 เพื่อนเก่าเพื่อนแก่

    ไม่ได้มีโอกาสบ่อยนักที่อาร์เต้จะได้อ้าแขนกอดรับดวงอาทิตย์ยามสาย ถึงมันออกจะร้อนสักหน่อยก็เถอะแต่สำหรับชายหนุ่มที่ไม่ค่อยชอบชีวิตช่วงกลางคืนเท่าไหร่นัก นี่ก็นับว่าเป็นคุ้มค่าที่จะแลก หลังจากได้ฟังเรื่องราวอันไกลเกินขอบเขตของความเชื่อมาแล้ว แววตาของอาร์เต้ตอนมองเป็นเอกกลับไม่ได้ต่างจากเดิมเท่าไหร่ หากไม่ใช่เพราะยังไม่เชื่ออย่างสมบูรณ์แบบบ ก็คงเป็นเพราะอคติบางอย่างที่สร้างความเอนเอียง ความรู้สึกในใจของชายทั้งสองไม่อาจถูกคั่นกลางด้วยสิ่งแปลกปลอม ระยะห่างระหว่างกันยังคงเส้นคงวา ไม่อาจใกล้มากกว่านี้หรือถอยห่างจากที่เป็น ถึงหมุดหมายของทริปนี้เป็นเอกจะบอกไว้ว่าเป็นการออกตามหาความจริง ทว่าอาร์เต้มองแตกต่างออกไป เขาคิดเงียบๆ อยู่คนเดียวว่าการเดินทางครั้งนี้เป็นเสมือนการออกเดตนอกสถานที่ครั้งแรกของพวกเขา นั่นเลยช่วยทำให้รู้สึกดีมากกว่ากังวล อาร์เต้ไม่เอ่ยถามถึงจุดหมายปลายทาง เขารู้ว่าอีกฝ่ายคงไม่ยอมพูดอะไรแน่นอน ซึ่งเป็นเอกก็คิดเช่นนั้น ชายแก่ในร่างหนุ่มคิดไว้ว่าการอธิบายกลางอากาศอย่างเดียว คงไม่หนักแน่นพอจะยืนยันทุกอย่าง ท้องฟ้าปลอ

  • The bonding wings เสน่หาพันธะปีศาจ (Mpreg)   ตอนที่ 65 เริ่มนับเวลาถอยหลัง

    เมื่อความสุขสุดขีดพุ่งสูงจนทะลุหลอด ความเหนื่อยล้าก็เข้ามาห่อหุ้มร่างกึ่งเปลือยเปล่าของเด็กหนุ่ม หน้าอกภายใต้เสื้อตัวบางกระเพื่อมหนักหน่วง ริมฝีปากเผยออ้าเติมอากาศเข้าไปทดแทนกับที่ขาดหาย ใบหน้าฝาดก่ำด้วยสีเลือดสดๆ และเข้มมากขึ้นไปอีกเมื่อนึกถึงความดังของเสียงที่เพิ่งเปล่งออกไป ท่อนล่างโล่งโจ้งเลอะเทอะด้วยคราบของเหลวจากร่างกาย ในใจของมิวร้องตะโกนกู่ก้องเมื่อความรู้สึกที่อัดอั้นถูกระบายออกมาได้เสียที นั่นเป็นสิ่งประจักษ์แน่ชัดแล้วว่า ร่างกายและความเป็นชายได้กลับเป็นปกติอย่างที่ควรจะเป็น ทว่าก็ยังรู้สึกติดค้างบางอย่างแถวก้นบึ้งของจิตใต้สำนึก รอยยิ้มกางกว้างบนใบหน้าเรียวงาม เด็กหนุ่มรีบจัดแจงตัวเองให้เรียบร้อย ด้วยกลัวจะมีใครเปิดประตูเข้ามา การโดนมองเห็นไม่น่าหนักใจเท่ากับการโดนล้อ มิวนึกออกว่าดันเต้จะพูดอะไรบ้างหากเห็นสภาพของเขาในตอนนี้ ‘ไม่คิดจะชวนกันสักหน่อยเหรอ?’ ‘ทำไมนายถึงหนีมาสนุกคนเดียวล่ะ!’ ‘อีกรอบไหม?’ ‘คิดถึงดุ้นยักษ์ของฉันล่ะสิ!’ น้ำเสียงทะลึ่งตึงตังรวมกับสีหน้าหื่นกระหายของดันเต้ ผุดขึ้นมาใน

  • The bonding wings เสน่หาพันธะปีศาจ (Mpreg)   ตอนที่ 64 กลับไปใช้งานได้

    ความเงียบบรรเลงดนตรีกระซิบข้างใบหู ความเหนื่อยล้าขับกล่อมท่วงทำนองยืดยานจนชายหนุ่มหลับใหลไปอย่างง่ายดาย พื้นที่แสนปลอดภับโอบกอดมิวเอาไว้แน่นไปถึงความฝัน ชายหนุ่มทิ้งความหวาดระแวงเอาไว้ข้างเตียง และปล่อยความอิสระให้คืนสู่จิตใจ เวลาในกำมือหมดไปอย่างรวดเร็ว จนแอบนึกเสียไม่ได้ว่าสิ่งล้ำค่านี้ไม่เคยเพียงพอในหนึ่งชีวิต… ร่างกายของมิวนั้นฟื้นฟูได้ดีอย่างน่าเหลือเชื่อ ทั้งความเหนื่อยล้าหรือบาดแผลบนร่างกาย อันที่จริงเขาไม่จำเป็นต้องนอนเลยด้วยซ้ำหากในตัวมีเมล็ดพันธุ์ปีศาจอยู่ ความรู้สึกเบาสบายจากห้วงนิทราถูกความร้อนตรงท้องทำลาย เด็กหนุ่มกระสับกระส่ายอยู่บนเตียงขนาดใหญ่ ลำตัวบิดงองุ่นง่าน การข่มตาให้หลับกลายเป็นเรื่องยากขึ้นทุกที การโดนร่างกายของตัวเองรังควานสร้างความหงุดหงิดนิดๆ มิวลืมตาตื่นนั่งพิงหัวเตียง ดวงตาแจ่มใสทั้งที่เพิ่งนอนไปได้แค่สองชั่วโมง ด้านล่างของลำตัวร้อนรุ่มอยู่ภายใต้ผ้าห่มผืนบาง ปลายเท้าบิดงอเข้าหากัน ต้นขาหนีบแน่นจนสะโพกเกร็ง อาการวูบวาบแผ่ซ่านจากศูนย์รวมความรู้สึกไปยังเส้นประสาท ดวงตาของมิวหั

  • The bonding wings เสน่หาพันธะปีศาจ (Mpreg)   ตอนที่ 63 กาลเวลาที่ยืดหดได้

    เบื้องบนโปรยแสงรำไรออกมาจากมาจากรูโหว่อันดำมืดของท้องฟ้า เช้าวันใหม่นี้แสนอึมครึมไม่สดใส ส่งผลโดยตรงต่อจิตใจให้ขมุกขมัว หัวงมหรรณพแห่งเวลาสงบเสงี่ยมเฉกเช่นหนุ่มน้อยหน้าตาใสซื่อ ปกติท่าทีของอาร์เต้จะกระโดกกระเดกไม่เรียบร้อย บัดนี้กลับสงวนกิริยาขัดจากนิสัยปกติราวกับเป็นอีกคน อาจเพราะเขาถนัดการซ่อนมุมจริงจังเอาไว้เพื่อบดบังตัวตน จึงมีน้อยคนจะเคยได้เห็นอีกด้าน “ที่จริงแล้วพี่เลือกจะโกหกต่อไปก็ได้ แต่พี่ไม่อยากทำ” ชายวัยกลางคนนั่งบนโซฟาที่คุ้นเคย สายตาจับจ้องร่างเด็กกว่าตรงกันข้ามด้วยความสับสน หลังจากพยายามเลี่ยงการเปิดปากตอนอยู่ในรถอยู่นาน เขาก็มาถึงสถานที่เหมาะแก่การคายทุกอย่างออกมา “พี่รู้ว่ามันอาจจะฟังแล้วเหลือเชื่อไปหน่อย แต่พี่ก็อยากให้อาร์ตเปิดใจ” หนุ่มน้อยเอียงคอสงสัย ปกติเป็นเอกเป็นคนขึงขังอยู่แล้ว ยังมีเรื่องอะไรที่ทำให้ผู้จัดการร้านคนนี้หัวเสียได้มากกว่าเดิมอีกเหรอ “ผมเปิดใจให้พี่อยู่แล้ว… พี่รู้ใช่ไหม?” “แต่เรื่องที่พี่จะเล่ามันจะเปลี่ยนความคิดของนายที่มีต่อพี่ไปเลย” นี่คือสิ่งที่อาร์เต้ไม่ชอบ

  • The bonding wings เสน่หาพันธะปีศาจ (Mpreg)   ตอนที่ 62 ความจริงที่พูดไม่หมด

    การโดนสปอยด์ตอนจบไม่น่าอภิรมย์ของพิธีกรรมปีศาจที่ได้ยินจากปากของกามเทพ เป็นสิ่งที่มิวพกติดตัวออกจากห้องคุมขังมาด้วย หากเป็นก่อนหน้านี้เด็กหนุ่มคงดวงตาเบิกโพลง จิตใจแช่มชื่นเมื่อรู้ว่าตัวเองมีส่วนพัวพันกับเรื่องราวลี้ลับที่น้อยคนจะได้พบเจอ ตอนนี้ทุกอย่างตาลปัตรกลับด้านชวนใจหาย เขาเริ่มหวาดกลัวในสิ่งเหนือธรรมชาติที่ไม่อาจคาดเดาได้ และโทษที่ตัวเองคิดน้อยเกินไป บนถนนที่แออัดไปด้วยรถยนต์อุ่นหนาฝาคั่ง ในห้องโดยสารนั้นกลับอึดอัดมากกว่าข้างนอกนั่นหลายเท่า การหายใจไม่อาจทั่วท้องเมื่อต้องนั่งชิดติดอยู่กับความหงุดหงิด บรรยากาศธรรมดาที่สามารถพบเจอได้ทุกวัน ท้องฟ้าขมุกขมัวสาดไปด้วยแสงของดวงดาว เสียงบีบแตรและไฟท้ายของรถที่สะท้อนเข้าดวงตา ทุกอย่างในการมองเห็นตอนนี้กลับพิเศษเมื่อเด็กหนุ่มขาดหายไปหลายวัน ปกติมิวไม่ค่อยชอบคนขับรถที่ซอกแซกชีวิตส่วนตัวของผู้โดยสาร ยกเว้นวันนี้… เขารู้สึกอยากกดทิปให้หลายร้อยบาทเพื่อเป็นการแสดงความขอบคุณที่ช่วยให้สมองวุ่นวายได้คิดเรื่องอื่นบ้าง คำพูดยาวเหยียดก่นด่าไปทั่ว ตั้งแต่ลม ฟ้า อากาศ รวมไปถึงปัญหาค่าครองชีพถูกยัด

Bab Lainnya
Jelajahi dan baca novel bagus secara gratis
Akses gratis ke berbagai novel bagus di aplikasi GoodNovel. Unduh buku yang kamu suka dan baca di mana saja & kapan saja.
Baca buku gratis di Aplikasi
Pindai kode untuk membaca di Aplikasi
DMCA.com Protection Status