(5ตอนจบ) ปุณณ์ เด็กหนุ่มเงียบๆ แอบรัก เมฆา หนุ่มฮอตขี้แกล้งที่คอยช่วยเหลือเขาเสมอ แต่เมื่อสารภาพความในใจ กลับถูกเมฆาปฏิเสธอย่างชัดเจนว่ามองเป็นแค่น้องชาย ความเจ็บปวดทำให้ปุณณ์พยายามถอยห่างจากเมฆาที่ยังคงสดใสในโลกของเขา พร้อมบาดแผลในใจที่ยากจะสมาน และความยากที่ไกลเกินกว่าจะเอื้อม
view moreเด็กหนุ่มเงียบๆ กับสายตาที่จับจ้อง
ห้องสมุดคณะวิศวกรรมศาสตร์ในวันธรรมดานั้นเงียบสงบกว่าที่คิด มีเพียงเสียงพลิกหน้ากระดาษเบาๆ กับเสียงพิมพ์คีย์บอร์ดที่ดังเป็นจังหวะ และกลิ่นอายของกระดาษเก่าผสมกับกาแฟอ่อนๆ ที่ลอยกรุ่นอยู่ในอากาศ มุมหนึ่งของห้องสมุดที่ติดหน้าต่างบานใหญ่ ปุณณ์ กำลังนั่งอยู่กับกองตำราเรียนที่สูงท่วมหัว แว่นตากลมโตที่สวมอยู่เลื่อนลงมาเล็กน้อย ทำให้เขาต้องดันขึ้นไปให้เข้าที่อยู่บ่อยครั้ง ปุณณ์เป็นคนเงียบๆ มาตั้งแต่เด็ก เขาไม่ใช่คนขี้อายถึงขั้นพูดไม่ออก แต่ก็ไม่ใช่คนที่จะเริ่มต้นบทสนทนากับใครก่อน สิ่งที่เขาถนัดที่สุดคือการจมดิ่งอยู่กับโลกของตัวเลข สูตรคำนวณ และทฤษฎีทางวิศวกรรม วันนี้ก็เช่นกัน ปุณณ์กำลังง่วนอยู่กับการทำรายงานวิชาฟิสิกส์สำหรับวิศวกรที่แสนจะซับซ้อน สูตรต่างๆ ตีกันยุ่งเหยิงในหัว จนบางครั้งเขาก็เผลอทำหน้ายู่โดยไม่รู้ตัว ปากกาในมือหยุดชะงัก สายตาเหม่อลอยออกไปนอกหน้าต่าง มองวิวต้นไม้เขียวขจีที่พลิ้วไหวตามลม การพักสายตาแบบนี้ช่วยให้สมองของเขาได้เรียบเรียงข้อมูลอีกครั้ง ก่อนจะกลับมาจดจ่อกับงานตรงหน้า เสียงเก้าอี้ที่ถูกเลื่อนออกไปทางด้านหลังของเขาดังขึ้นเบาๆ แต่ก็มากพอที่จะดึงปุณณ์กลับมาจากภวังค์ เขาชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อยๆ หันไปมองช้าๆ โดยที่ไม่ได้คาดหวังอะไรมากนัก และนั่นคือครั้งแรกที่สายตาของเขาประสานกับ เมฆา เมฆาเป็นคนดังของคณะวิศวะฯ ไม่สิ ต้องเรียกว่าเป็นคนดังของมหาวิทยาลัยเลยก็ว่าได้ ใบหน้าคมคาย ดวงตาเรียวคมที่มักจะดูเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่เสมอ จมูกโด่งเป็นสัน และริมฝีปากหยักสวย ผมสีเข้มที่มักจะถูกเสยขึ้นเผยหน้าผากกว้าง ยิ่งเสริมให้เขามีออร่าของความเท่ที่ยากจะปฏิเสธได้ เขาไม่ได้โดดเด่นแค่หน้าตา แต่ยังรวมไปถึงความสามารถที่รอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเรียน กิจกรรม หรือแม้แต่เรื่องกีฬา เมฆาดูเหมือนจะทำได้ดีไปเสียหมดทุกอย่าง และที่สำคัญ เขามักจะปรากฏตัวพร้อมกับกลุ่มเพื่อนสนิทที่ค่อนข้างมีชีวิตชีวา ต่างจากเมฆาที่มักจะเงียบขรึมและมีโลกส่วนตัวสูง ครั้งนี้ก็เช่นกัน เมฆากำลังยืนอยู่ข้างโต๊ะที่อยู่ห่างจากปุณณ์ไปสองโต๊ะ เขากำลังเก็บของใส่กระเป๋าด้วยท่าทางสบายๆ เสื้อยืดสีเข้มกับกางเกงยีนส์ตัวโปรด ทำให้เขาดูผ่อนคลายแต่ก็ยังคงความเท่อยู่เต็มเปี่ยม ปุณณ์มองเขาเพียงแวบเดียว ก่อนจะรีบหันกลับมาที่รายงานของตัวเองทันที ราวกับว่ากลัวอีกฝ่ายจะรู้ว่าเขากำลังแอบมองอยู่ หัวใจดวงน้อยๆ ของปุณณ์เต้นระรัวขึ้นมาเล็กน้อยอย่างไม่มีสาเหตุ เขาไม่เคยพูดคุยกับเมฆาเป็นการส่วนตัว ไม่เคยแม้แต่จะสบตากันตรงๆ นอกห้องเรียน แต่เมฆาก็เป็นเหมือนภาพวาดที่สวยงามที่เขาแอบมองอยู่เสมอ "ขอโทษครับ..." เสียงทุ้มต่ำของเมฆาดังขึ้นใกล้กว่าที่คิด ทำให้ปุณณ์สะดุ้งเล็กน้อย เขาเงยหน้าขึ้นมอง และพบว่าเมฆากำลังยืนอยู่ข้างโต๊ะของเขา พร้อมกับรอยยิ้มมุมปากที่ดูเหมือนกำลังกลั้นขำอะไรบางอย่าง ปุณณ์รีบสำรวจตัวเองอย่างรวดเร็วว่ามีอะไรผิดปกติไปหรือเปล่า หรือเขาเผลอทำอะไรเปิ่นๆ ไปอีกแล้ว "คือ... ผมขอรบกวนอะไรหน่อยได้ไหมครับ" เมฆาพูดต่อ ใบหน้าคมคายยังคงประดับด้วยรอยยิ้มที่ไม่สามารถคาดเดาได้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ ปุณณ์พยักหน้าเล็กน้อยอย่างงงๆ เขาไม่แน่ใจว่าควรจะตอบกลับไปว่าอะไร เพราะปกติเขาไม่ค่อยได้พูดคุยกับใครเท่าไหร่นักเวลาอยู่ในห้องสมุด "ปากกา... ขอปากกาหน่อยได้ไหมครับ ผมลืมหยิบมา" เมฆาชี้ไปที่ปากกาที่วางอยู่บนกองหนังสือของปุณณ์ ปุณณ์ก้มลงมองปากกาตัวเองที่วางอยู่ตรงหน้า มันเป็นปากกาสีน้ำเงินธรรมดาๆ ที่เขาใช้มานานจนตัวอักษรบนด้ามเลือนหายไปเกือบหมด เขาไม่คิดว่าคนอย่างเมฆาจะมายืมปากกาจากเขา ปุณณ์หยิบปากกาขึ้นมาแล้วยื่นให้เมฆาอย่างเงอะงะ มือของเขาเผลอไปแตะโดนปลายนิ้วของเมฆาเพียงชั่วครู่ ก็ทำให้เขารู้สึกเหมือนมีกระแสไฟฟ้าอ่อนๆ แล่นผ่าน เขาชักมือกลับอย่างรวดเร็ว เมฆาไม่ได้สังเกตท่าทีนั้น เขารับปากกาไปพร้อมกับรอยยิ้มที่กว้างขึ้นเล็กน้อย "ขอบคุณนะครับ" เมฆาพูดพลางก้มลงเขียนอะไรบางอย่างลงบนกระดาษแผ่นเล็กๆ ที่ฉีกออกมาจากสมุดของเขา ปุณณ์มองตามการเคลื่อนไหวของมือเรียวยาวนั้นอย่างเผลอไผล เมฆาเขียนข้อความลงไปเพียงไม่กี่คำ ก่อนจะยื่นปากกาคืนให้ปุณณ์ "นี่ครับ" เมฆาพูดพร้อมกับยิ้มบางๆ แล้วเดินจากไป ปุณณ์รับปากกาคืนมาพร้อมกับความรู้สึกงงๆ เขาไม่เข้าใจว่าเมฆามายืมปากกาไปทำไมในเมื่อเขาก็ไม่ได้ใช้มันนานเท่าไหร่ และที่สำคัญคือเขายังไม่ทันได้ถามอะไรเลย ปุณณ์ก้มลงมองปากกาในมือ ก่อนจะสังเกตเห็นว่ามีกระดาษแผ่นเล็กๆ พับไว้อย่างเรียบร้อยเสียบอยู่ใต้คลิปหนีบปากกา เขาหยิบมันออกมาคลี่ดู บนกระดาษแผ่นนั้นมีตัวอักษรหวัดๆ แต่เป็นระเบียบเขียนเอาไว้ว่า... "ถ้ายังแก้สมการนี้ไม่ได้ ลองใช้สูตรนี้ดูนะ (a+b)^2 = a^2 + 2ab + b^2" และด้านล่างของข้อความนั้นคือเบอร์โทรศัพท์มือถือของเมฆา ปุณณ์จ้องมองข้อความนั้นอย่างไม่อยากจะเชื่อ เขาเงยหน้าขึ้นมองตามหลังเมฆาที่เดินออกไปจากห้องสมุดแล้ว รอยยิ้มเล็กๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของปุณณ์อย่างไม่รู้ตัว หัวใจของเขายังคงเต้นแรง และความรู้สึกประหลาดๆ ที่อบอุ่นไปทั่วทั้งตัวก็เริ่มก่อตัวขึ้นอย่างช้าๆ เขาไม่รู้ว่าเมฆาเห็นเขาแก้สมการฟิสิกส์ผิด หรือแค่ต้องการจะแกล้งเขาเล่นๆ แต่สิ่งหนึ่งที่เขารู้สึกได้คือ โลกของเขากำลังจะเปลี่ยนไปแล้ว ปุณณ์นั่งจ้องกระดาษแผ่นเล็กในมืออยู่นาน หัวใจยังคงเต้นไม่เป็นจังหวะ เขาไม่แน่ใจว่าควรจะทำอย่างไรกับเบอร์โทรศัพท์ที่ได้รับมานี้ ปกติแล้วเขาไม่ค่อยมีปฏิสัมพันธ์กับใครนอกเหนือจากเพื่อนสนิทไม่กี่คน และแน่นอนว่าไม่เคยมีใครยื่นเบอร์โทรศัพท์ให้เขาแบบนี้มาก่อน ยิ่งเป็นเมฆา คนที่ดูเหมือนจะอยู่คนละโลกกับเขาด้วยแล้ว ยิ่งทำให้ปุณณ์รู้สึกสับสน เขาก้มลงมองสมการฟิสิกส์บนรายงานอีกครั้ง (a+b)^2 = a^2 + 2ab + b^2... สูตรนี้มันคือสูตรกำลังสองสมบูรณ์นี่นา แล้วมันเกี่ยวอะไรกับสมการฟิสิกส์ที่เขากำลังแก้อยู่ล่ะ? ปุณณ์ลองพยายามเชื่อมโยงดู แต่ก็ยังนึกไม่ออก หรือว่าเมฆาแค่ต้องการจะแกล้งเขาเล่นๆ? แต่แกล้งอะไรแบบนี้มันดู...แปลกๆ ปุณณ์เก็บกระดาษแผ่นนั้นใส่กระเป๋าเสื้ออย่างระมัดระวัง แม้จะยังไม่เข้าใจเจตนาของเมฆา แต่เขาก็ยอมรับว่ามันทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงอย่างประหลาด และความรู้สึกตื่นเต้นเล็กๆ ก็ก่อตัวขึ้นในใจ เขาพยายามกลับมาจดจ่อกับรายงานอีกครั้ง แต่ภาพของเมฆากับรอยยิ้มมุมปากนั้นก็ยังคงวนเวียนอยู่ในความคิด วันรุ่งขึ้น ปุณณ์ยังคงใช้ชีวิตตามปกติ เขาไปเรียน ทำกิจกรรมของคณะ และกลับมาอ่านหนังสือที่ห้องสมุด แต่ทุกครั้งที่เดินผ่านอาคารคณะวิศวะฯ หรือแม้แต่โรงอาหาร เขาก็จะแอบมองหาเมฆาอยู่เสมอ และทุกครั้งที่เห็น เมฆาก็ยังคงเป็นเมฆาคนเดิม คนที่ดูดีในทุกมุมมอง ไม่ว่าจะตอนที่กำลังคุยกับเพื่อนอย่างออกรส หรือตอนที่กำลังนั่งอ่านหนังสือเงียบๆ อยู่คนเดียว ปุณณ์ไม่กล้าที่จะเริ่มต้นบทสนทนากับเมฆา เขารู้สึกประหม่าทุกครั้งที่คิดถึงเรื่องนั้น แม้ว่าจะมีเบอร์โทรศัพท์อยู่ในมือ แต่เขาก็ไม่รู้ว่าจะทักไปว่าอะไรดี จะถามเรื่องสมการฟิสิกส์ที่เมฆาบอกมางั้นเหรอ? มันดูจะแปลกๆ ไปหน่อย เวลาผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ ปุณณ์ยังคงเก็บเบอร์โทรศัพท์ของเมฆาไว้ในกระเป๋าเสื้อเหมือนเดิม เขายังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรกับมันดี จนกระทั่งวันหนึ่ง ในคาบเรียนฟิสิกส์สำหรับวิศวกร อาจารย์ประกาศว่าจะมีการสอบกลางภาคในสัปดาห์หน้า และเนื้อหาที่ออกสอบก็คือเรื่องสมการที่ปุณณ์กำลังงงงวยอยู่นั่นเอง ปุณณ์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขารู้สึกกังวลอย่างมาก เพราะเขาไม่ถนัดวิชานี้เอาเสียเลย และยิ่งมาเจอสมการยากๆ แบบนี้ เขาก็ยิ่งรู้สึกท้อแท้ หลังเลิกเรียน ปุณณ์เดินคอตกออกจากห้องเรียน เขาเดินไปที่ห้องสมุดตามปกติ แต่ครั้งนี้เขารู้สึกไม่สบายใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เขาเปิดหนังสือฟิสิกส์อีกครั้ง พยายามทำความเข้าใจสมการที่ค้างคาใจ แต่ไม่ว่าจะอ่านกี่รอบ เขาก็ยังคงไม่เข้าใจอยู่ดี ในขณะที่ปุณณ์กำลังจมอยู่กับความสิ้นหวัง จู่ๆ ก็มีเงาของใครบางคนทาบทับลงมาบนหน้าหนังสือของเขา ปุณณ์เงยหน้าขึ้นมอง และพบว่าเป็นเมฆาอีกครั้ง "ยังแก้สมการนั้นไม่ได้อีกเหรอ" เมฆาถามด้วยน้ำเสียงเรียบๆ แต่แฝงไปด้วยความขี้เล่น ปุณณ์รู้สึกหน้าแดงขึ้นมาเล็กน้อย เขาไม่คิดว่าเมฆาจะยังจำเรื่องนั้นได้ และที่สำคัญคือเขากำลังอยู่ในสภาพที่ดูไม่ได้เลยในตอนนี้ "เอ่อ... คือ... มันยากน่ะครับ" ปุณณ์ตอบเสียงอ้อมแอ้ม เขาไม่รู้จะอธิบายอย่างไรดีว่าทำไมเขาถึงยังแก้สมการง่ายๆ แบบนั้นไม่ได้ เมฆายิ้มมุมปากเล็กน้อย ก่อนจะเลื่อนเก้าอี้มานั่งลงข้างๆ ปุณณ์ เขาหยิบปากกาในมือของปุณณ์ไปอย่างถือวิสาสะ แล้วเริ่มเขียนอะไรบางอย่างลงบนกระดาษทดของปุณณ์ "สมการที่ฉันบอกไปวันนั้นน่ะ มันไม่ได้เกี่ยวกับสมการฟิสิกส์โดยตรงหรอกนะ" เมฆาพูดพลางเขียนสูตรคณิตศาสตร์ลงไป "แต่มันคือสูตรพื้นฐานที่ใช้ในการจัดรูปสมการหลายๆ อย่าง ถ้าเราเข้าใจมัน เราก็จะมองเห็นภาพรวมของสมการที่ซับซ้อนได้ง่ายขึ้น" ปุณณ์มองตามมือของเมฆาที่เขียนอธิบายอย่างคล่องแคล่ว เมฆาอธิบายด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย ยกตัวอย่างประกอบที่ทำให้ปุณณ์เห็นภาพมากขึ้น จากที่เคยรู้สึกว่าสมการนั้นเป็นเรื่องยากและซับซ้อน ตอนนี้มันกลับดูง่ายขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ "เห็นไหม ไม่ได้ยากอย่างที่คิดเลยใช่ไหม" เมฆาเงยหน้าขึ้นมามองปุณณ์ ดวงตาคมคายนั้นเต็มไปด้วยแววขี้เล่น ปุณณ์พยักหน้าหงึกหงัก เขารู้สึกเหมือนมีแสงสว่างส่องเข้ามาในหัว "ขอบคุณครับ... ผม... ผมไม่รู้จะขอบคุณยังไงดี" ปุณณ์พูดด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก เขารู้สึกขอบคุณเมฆาจริงๆ ที่เข้ามาช่วยเขาในเวลาที่เขากำลังหมดหนทาง เมฆายิ้มบางๆ "ไม่เป็นไรหรอก ถือว่าเป็นการตอบแทนที่ให้ยืมปากกาแล้วกัน" ปุณณ์รู้สึกร้อนผ่าวไปทั่วใบหน้า เขานึกถึงกระดาษแผ่นเล็กๆ ที่มีเบอร์โทรศัพท์ของเมฆาอยู่ในกระเป๋าเสื้อ เมฆาคงจะแกล้งเขาจริงๆ นั่นแหละ แต่เป็นการแกล้งที่ทำให้เขารู้สึกดีอย่างประหลาด "ถ้ามีอะไรสงสัยอีก ก็ทักมาถามได้นะ" เมฆาพูดพลางลุกขึ้นยืน "ฉันไปก่อนนะ" เมฆาเดินจากไป ทิ้งให้ปุณณ์นั่งอยู่กับสมการที่เพิ่งเข้าใจ และความรู้สึกที่อบอุ่นในใจ ปุณณ์มองตามหลังเมฆาจนลับสายตา ก่อนจะหยิบกระดาษแผ่นเล็กๆ ในกระเป๋าเสื้อออกมาดูอีกครั้ง คราวนี้เขารู้สึกว่าเบอร์โทรศัพท์นั้นไม่ได้ดูน่ากลัวอีกต่อไปแล้ว เขาตัดสินใจที่จะลองทักเมฆาไปดูสักครั้ง ไม่ใช่เพราะเรื่องสมการฟิสิกส์ แต่เป็นเพราะเขาอยากจะรู้จักคนตรงหน้าให้มากขึ้นกว่านี้ หลังจากเมฆาจากไป ปุณณ์ยังคงนั่งอยู่ที่โต๊ะในห้องสมุด แต่คราวนี้สมองของเขาไม่ได้คิดถึงแค่สมการฟิสิกส์อีกต่อไป ภาพของเมฆาที่นั่งอยู่ข้างๆ อธิบายสมการด้วยความใจเย็น และรอยยิ้มบางๆ นั้นยังคงติดอยู่ในใจ ปุณณ์หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอย่างลังเล เขามองเบอร์โทรศัพท์ที่จดอยู่ในกระดาษแผ่นเล็กๆ พิมพ์ตัวเลขลงไปช้าๆ แล้วกดเข้าไปในหน้าต่างข้อความ มือของปุณณ์เหงื่อซึม เขาคิดแล้วคิดอีกว่าจะพิมพ์อะไรดี จะทักไปขอบคุณเรื่องสมการอีกรอบดีไหม? หรือจะแกล้งทำเป็นว่าเพิ่งเห็นเบอร์? สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจพิมพ์ข้อความที่สั้นที่สุดเท่าที่จะทำได้ ด้วยความรู้สึกประหม่าที่พุ่งขึ้นสูง "ขอบคุณสำหรับเรื่องสมการนะครับ... ปุณณ์ครับ" เขากดส่งไปอย่างรวดเร็ว ราวกับกลัวว่าจะเปลี่ยนใจ ข้อความถูกส่งออกไปแล้ว ปุณณ์วางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะ หัวใจเต้นรัวแรงจนแทบจะได้ยินเสียง เขาพยายามกลับมาอ่านหนังสือ แต่สายตาก็เอาแต่เหลือบมองโทรศัพท์อยู่ตลอดเวลา ผ่านไปสิบนาที... ไม่มีเสียงแจ้งเตือน ผ่านไปครึ่งชั่วโมง... ยังคงเงียบ ผ่านไปหนึ่งชั่วโมง... ปุณณ์เริ่มรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย หรือว่าเมฆาจะไม่ตอบกลับ? หรืออาจจะรำคาญที่เขาทักไป? เขาน่าจะเก็บเรื่องนี้ไว้กับตัวเองเหมือนเดิมตั้งแต่แรก ทันใดนั้น! เสียงแจ้งเตือนจากโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมา! ปุณณ์สะดุ้งเล็กน้อย รีบคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาดูอย่างรวดเร็ว "รู้แล้ว" เป็นข้อความสั้นๆ จากเบอร์ที่ไม่รู้จัก แต่มันทำให้ปุณณ์ยิ้มออกมาได้ในทันที รู้แล้วเหรอ? แค่สองคำ แต่ทำไมมันถึงทำให้เขารู้สึกดีได้ขนาดนี้ก็ไม่รู้ เขากำลังจะพิมพ์ตอบกลับไป แต่ก็คิดไม่ออกว่าจะตอบอะไรดี ในที่สุดเขาก็เลือกที่จะไม่ตอบกลับไปในตอนนี้ เขาไม่อยากทำให้เมฆารู้สึกว่าเขากำลังรุกมากเกินไป หรือดูเหมือนคนไม่มีอะไรทำ วันถัดมา ในห้องเรียนวิชาสัมมนา ปุณณ์นั่งอยู่ท้ายห้องตามปกติ สายตาเขากวาดมองไปทั่วห้อง และก็พบเมฆาที่นั่งอยู่แถวหน้าสุดกับกลุ่มเพื่อนสนิท เมฆากำลังคุยกับเพื่อนด้วยท่าทีสบายๆ ดูเหมือนจะไม่ได้ใส่ใจอะไรกับข้อความที่เขาเพิ่งส่งไปเลย ปุณณ์ถอนหายใจออกมาอย่างเงียบๆ พอพักเที่ยง ปุณณ์เดินไปโรงอาหารกับ วิน เพื่อนสนิทของเขา วินเป็นคนอารมณ์ดี ช่างพูด และเป็นไม่กี่คนที่ไม่เคยเบื่อเวลาอยู่กับปุณณ์ที่เงียบๆ "นี่ปุณณ์ ทำไมวันนี้ดูเหม่อๆ วะ" วินถามขณะที่กำลังตักข้าวใส่จาน ปุณณ์สะดุ้งเล็กน้อย "เปล่า ไม่มีอะไร" ปุณณ์ตอบปัดๆ "ไม่มีอะไรก็แปลกละ ปกติแกจะสนใจแต่สูตรคณิตศาสตร์กับวงจรไฟฟ้า วันนี้หน้าแดงๆ ด้วยนะ มีอะไรไปแอบชอบใครหรือเปล่า?" วินหรี่ตามองปุณณ์อย่างจับผิด ปุณณ์รีบปฏิเสธพัลวัน "บ้า! จะไปมีได้ไง" "โห ปฏิเสธเร็วขนาดนี้ มีพิรุธนะเว้ย" วินหัวเราะร่า "บอกมาเลย ฉันจะได้ช่วยเชียร์" ปุณณ์ส่ายหน้า เขาไม่อยากเล่าเรื่องเมฆาให้วินฟังในตอนนี้ มันเป็นความรู้สึกที่เขาไม่แน่ใจว่าจะอธิบายออกมาอย่างไร และเขาเองก็ยังไม่แน่ใจว่ามันเป็นแค่ความรู้สึกชั่ววูบ หรืออะไรที่มากกว่านั้น ขณะที่ทั้งคู่กำลังเดินหาโต๊ะนั่ง ปุณณ์ก็บังเอิญเหลือบไปเห็นเมฆากับเพื่อนๆ กำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะมุมหนึ่งของโรงอาหาร เมฆาเงยหน้าขึ้นมาพอดี และสายตาของทั้งคู่ก็ประสานกันโดยบังเอิญ ปุณณ์รีบหลบสายตาอย่างรวดเร็ว ใบหน้าของเขาร้อนผ่าวขึ้นมาอีกครั้ง เมฆายิ้มบางๆ ที่มุมปาก แล้วก็ก้มหน้าลงคุยกับเพื่อนต่อ ปุณณ์เดินตามวินไปนั่งที่โต๊ะอีกฝั่งหนึ่งของโรงอาหาร โดยที่หัวใจยังคงเต้นแรง ตลอดทั้งวัน ปุณณ์รู้สึกว่าตัวเองถูกจับตามองอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะไปไหน เขาก็รู้สึกเหมือนมีสายตาคู่หนึ่งกำลังมองมาที่เขาอยู่เสมอ เขาพยายามหันไปมองหา แต่ก็ไม่พบอะไรผิดปกติ จนบางครั้งก็คิดไปเองว่าอาจจะเป็นแค่ความรู้สึกส่วนตัว จนกระทั่งเย็นวันนั้น หลังจากเลิกเรียน ปุณณ์กำลังเดินกลับหอพัก เขาเดินผ่านสนามบาสเก็ตบอลของมหาวิทยาลัย และก็ได้ยินเสียงลูกบาสกระทบพื้นดังขึ้นเป็นจังหวะ ปุณณ์ชะลอฝีเท้าลงเล็กน้อย และมองเข้าไปในสนาม เมฆากำลังเล่นบาสเก็ตบอลกับเพื่อนๆ เสื้อยืดสีขาวที่สวมอยู่เปียกเหงื่อจนแนบลำตัว เผยให้เห็นรูปร่างที่สมส่วนและกล้ามเนื้อที่แข็งแรง ผมสีเข้มของเขาเปียกชื้นเล็กน้อยจากการออกกำลังกาย ทุกการเคลื่อนไหวของเขานั้นดูมีพลังและคล่องแคล่ว ปุณณ์ยืนมองอยู่เงียบๆ ราวกับถูกสะกด จู่ๆ ลูกบาสก็หลุดมือจากเมฆาและกลิ้งมาทางที่ปุณณ์ยืนอยู่ ปุณณ์ก้มลงหยิบลูกบาสขึ้นมาอย่างอัตโนมัติ เมฆาหันมามองเขา พร้อมกับรอยยิ้มที่มุมปาก "ขว้างมานี่หน่อย" เมฆาพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ ปุณณ์ขว้างลูกบาสกลับไปอย่างทุลักทุเล ลูกบาสลอยโด่งไปเล็กน้อย แต่เมฆาก็รับไว้ได้อย่างสบายๆ "ขอบคุณนะ" เมฆาพูดพลางส่งยิ้มให้ ปุณณ์พยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะรีบเดินจากไป เขารู้สึกประหม่าเกินกว่าที่จะยืนอยู่ตรงนั้นนานกว่านี้ ขณะที่ปุณณ์เดินห่างออกมา เขาก็อดไม่ได้ที่จะหันกลับไปมอง เมฆายังคงยืนอยู่ที่เดิม และสายตาคมคายนั้นกำลังจ้องมองมาที่เขา รอยยิ้มบนใบหน้าของเมฆาดูเหมือนจะกว้างขึ้นเล็กน้อย ปุณณ์รีบเดินจากไปทันที หัวใจของเขาเต้นรัวแรงจนแทบจะทะลุออกมานอกอก เขามั่นใจแล้วว่าความรู้สึกที่เขามีต่อเมฆามันไม่ใช่แค่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ อีกต่อไปแล้ว จะเกิดอะไรขึ้นต่อไปกับปุณณ์และเมฆา หลังจากเหตุการณ์ที่สนามบาส ปุณณ์รู้สึกว่ากำแพงที่เคยกั้นเขากับเมฆากำลังพังทลายลงทีละน้อย แม้จะยังไม่กล้าเริ่มต้นบทสนทนาที่ยาวไปกว่าคำขอบคุณ แต่การที่เมฆาเข้ามาข้องแวะกับชีวิตของเขามากขึ้น ก็ทำให้ปุณณ์รู้สึกอุ่นใจอย่างประหลาด เขาเริ่มที่จะสังเกตเมฆามากขึ้น ไม่ใช่แค่จากระยะไกล แต่รวมถึงรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ อย่างท่าทางการขมวดคิ้วเวลาคิด หรือรอยยิ้มบางๆ ที่มุมปากที่มักจะปรากฏขึ้นเวลาที่เมฆาแกล้งเขา วันหนึ่ง ปุณณ์กำลังเดินกลับจากคาบแล็บที่แสนจะยาวนาน เขากำลังถือกล่องอุปกรณ์ไฟฟ้าขนาดใหญ่ที่ค่อนข้างหนักและเกะกะ สายตาของเขาจดจ่ออยู่กับพื้นเพื่อไม่ให้สะดุดล้ม เพราะเขาขึ้นชื่อเรื่องความโก๊ะอยู่แล้ว ยิ่งวันไหนที่ถือของเยอะๆ ก็ยิ่งต้องระวังเป็นพิเศษ ขณะที่กำลังเดินลงบันได จู่ๆ ขาของปุณณ์ก็ก้าวพลาด เขาทรงตัวไม่อยู่ กล่องอุปกรณ์ในมือกำลังจะร่วงหล่นลงพื้น และตัวเขาก็ทำท่าจะล้มตามไปอย่างช่วยไม่ได้ "ระวัง!" เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นพร้อมกับวงแขนแข็งแรงที่คว้าเอวของปุณณ์ไว้ทันท่วงที ทำให้ร่างของเขาหยุดชะงักจากการร่วงหล่น กล่องอุปกรณ์ไฟฟ้าถูกช้อนรับไว้ได้ก่อนที่จะตกถึงพื้น เสียงดัง กึ๊ก เบาๆ ปุณณ์เงยหน้าขึ้นมอง และพบว่าเป็น เมฆา อีกครั้ง ใบหน้าของเมฆาอยู่ใกล้เขามากจนปุณณ์สัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ที่รินรดลงบนหน้าผาก ดวงตาคมคายจ้องมองมาที่เขาอย่างเป็นห่วง "เป็นอะไรมากไหม?" เมฆาถามเสียงเรียบ แต่แววตาเต็มไปด้วยความกังวล ปุณณ์ส่ายหน้าปฏิเสธอย่างรวดเร็ว ใบหน้าของเขาร้อนผ่าวขึ้นมาทันที เขารู้สึกอับอายที่ตัวเองโก๊ะจนเกือบจะล้มต่อหน้าเมฆา "ไม่... ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณมากครับ" ปุณณ์พูดด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก พยายามจะขยับตัวออกห่าง แต่เมฆายังคงประคองเอวเขาไว้แน่น ราวกับกลัวว่าเขาจะล้มอีกครั้ง "เดินระวังหน่อยสิ นี่ดีนะที่ฉันเดินผ่านมาพอดี" เมฆาพูดพลางคลายแขนออก แต่ก็ยังคงยืนอยู่ใกล้ๆ ปุณณ์สังเกตเห็นว่ามือของเมฆาจับอยู่ที่กล่องอุปกรณ์ไฟฟ้าของเขาอย่างช่วยถือให้ "ขอบคุณอีกครั้งนะครับ" ปุณณ์พูด เขาไม่รู้จะขอบคุณอีกฝ่ายกี่ครั้งถึงจะพอ เมฆาช่วยเขาไว้หลายครั้งแล้วจริงๆ "คราวหลังระวังหน่อยสิ นายมันซุ่มซ่ามตลอดเลย" เมฆาพูดพลางยิ้มเล็กน้อย รอยยิ้มนั้นทำให้ปุณณ์รู้สึกว่าใบหน้าของตัวเองกำลังจะระเบิด เมฆาจำได้ว่าเขาซุ่มซ่าม? หรือว่าเขาเคยเห็นปุณณ์ทำอะไรโก๊ะๆ มาก่อนหน้านี้อีก? "เอ่อ... ผม... ผมจะพยายามระวังให้มากกว่านี้ครับ" ปุณณ์ตอบอย่างเลิ่กลั่ก "ไปไหน ให้ฉันช่วยถือไปส่งไหม" เมฆาเสนอ ปุณณ์ส่ายหน้าอย่างรวดเร็ว "ไม่เป็นไรครับ ผมไปเองได้" ปุณณ์ไม่อยากให้เมฆาต้องเสียเวลามาดูแลเขา เมฆาดูเหมือนจะยุ่งอยู่เสมอ "แน่ใจนะ?" เมฆาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย มองปุณณ์อย่างไม่ไว้ใจ "แน่ใจครับ" ปุณณ์พยักหน้าอย่างมั่นใจ เมฆาถอนหายใจเล็กน้อย ก่อนจะส่งกล่องอุปกรณ์ให้ปุณณ์ "โอเค งั้นก็ระวังตัวด้วยล่ะ" เมฆาเดินจากไป ปุณณ์ยังคงยืนอยู่ที่เดิม มือยังคงกำกล่องอุปกรณ์แน่น หัวใจเต้นระรัวไม่หยุด เขาไม่เข้าใจว่าทำไมเมฆาถึงได้มาช่วยเขาอยู่บ่อยๆ หรือเป็นแค่ความบังเอิญ? หลังจากวันนั้น ปุณณ์ก็เริ่มเห็นเมฆาบ่อยขึ้น ไม่ใช่แค่ในห้องสมุดหรือโรงอาหาร แต่บางครั้งก็บังเอิญเจอกันที่ร้านกาแฟหน้ามหาวิทยาลัย หรือแม้แต่ที่ร้านสะดวกซื้อหน้าหอพัก ทุกครั้งที่เจอกัน เมฆาก็มักจะทักทายเขาด้วยรอยยิ้มเล็กๆ น้อยๆ หรือไม่ก็แกล้งเขาเบาๆ อย่างการสะกิดไหล่แล้วทำเป็นเดินผ่านไป หรือแกล้งพูดเรื่องสมการยากๆ ที่ปุณณ์ไม่เข้าใจ แล้วทิ้งให้เขาทำหน้าเหวอ ปุณณ์เริ่มคุ้นชินกับการถูกเมฆาแกล้ง และบางครั้งเขาก็เริ่มจับจังหวะการแกล้งของเมฆาได้ การแกล้งของเมฆาไม่ได้ทำให้ปุณณ์รู้สึกไม่ดี แต่มันกลับทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองไม่ได้ถูกทิ้งให้อยู่คนเดียวในโลกที่เงียบเหงาอีกต่อไป วันหนึ่งขณะที่ปุณณ์กำลังนั่งทำรายงานในห้องสมุดตามปกติ เขาก็รู้สึกว่ามีใครบางคนกำลังยืนอยู่ข้างๆ โต๊ะ ปุณณ์เงยหน้าขึ้น และก็พบว่าเป็นเมฆาอีกแล้ว คราวนี้เมฆากำลังถือถุงกาแฟร้อนๆ อยู่ในมือ "กาแฟไหม?" เมฆาถามพลางยื่นแก้วกาแฟให้ปุณณ์ ปุณณ์เบิกตากว้างอย่างประหลาดใจ "เอ่อ... คือ..." ปุณณ์ไม่รู้จะพูดอะไร เมฆาไม่เคยซื้ออะไรมาให้เขาเลย "เห็นนายทำหน้างงๆ สงสัยจะอ่านหนังสือหนักไป ดื่มกาแฟจะได้ตาสว่าง" เมฆาพูดพลางวางแก้วกาแฟลงบนโต๊ะข้างๆ หนังสือของปุณณ์ กลิ่นหอมกรุ่นของกาแฟลอยแตะจมูก "ขอบคุณครับ... ไม่เป็นไรเลยครับ" ปุณณ์พยายามปฏิเสธอย่างสุภาพ เขารู้สึกเกรงใจเมฆามาก "ไม่ต้องเกรงใจหรอก วันนี้ฉันผ่านมาพอดีเลยแวะซื้อ" เมฆาพูดพลางเลื่อนเก้าอี้มานั่งลงฝั่งตรงข้ามกับปุณณ์ ปุณณ์มองกาแฟในมือสลับกับใบหน้าของเมฆา เขาไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี สุดท้ายก็ตัดสินใจยกกาแฟขึ้นมาจิบเล็กน้อย รสชาติกาแฟเข้มข้นแต่ก็มีความหวานเล็กน้อยกำลังดี ซึ่งเป็นรสชาติที่ปุณณ์ชอบพอดี "อร่อยไหม?" เมฆาถามพลางมองปุณณ์ด้วยสายตาที่ดูเหมือนจะล้อเลียน ปุณณ์พยักหน้าเล็กน้อย "อร่อยครับ" ปุณณ์ตอบด้วยรอยยิ้มบางๆ เมฆายิ้มมุมปาก ก่อนจะเริ่มหยิบหนังสือของตัวเองขึ้นมาอ่านอย่างเงียบๆ ปุณณ์มองแผ่นหลังของเมฆาที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม เขารู้สึกว่าบรรยากาศรอบตัวมันอบอุ่นและสบายใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน การนั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้องสมุดที่เงียบสงบ พร้อมกับกลิ่นกาแฟหอมกรุ่น และมีเมฆานั่งอยู่ไม่ไกล มันเป็นความรู้สึกที่ปุณณ์ไม่เคยคิดว่าเขาจะได้รับ นับตั้งแต่วันที่เมฆาซื้อกาแฟมาให้ ความสัมพันธ์ระหว่างปุณณ์กับเมฆาก็พัฒนาไปอีกขั้น เมฆามักจะมานั่งข้างๆ ปุณณ์ในห้องสมุดบ่อยขึ้น บางครั้งก็แค่เงียบๆ อ่านหนังสือของตัวเอง บางครั้งก็ชวนคุยเรื่องเรียนบ้าง เรื่องทั่วไปบ้าง ปุณณ์เองก็เริ่มที่จะตอบสนองต่อบทสนทนาได้ดีขึ้น แม้จะยังคงพูดน้อย แต่เขาก็กล้าที่จะแสดงความคิดเห็นหรือถามคำถามมากขึ้น ความโก๊ะของปุณณ์ก็ยังคงอยู่ เมฆาเองก็ยังคงขี้แกล้ง แต่การแกล้งของเขากลับทำให้ปุณณ์รู้สึกสบายใจและอบอุ่นใจ เย็นวันหนึ่ง ท้องฟ้ามืดครึ้มตั้งแต่บ่าย ปุณณ์กำลังเดินออกจากห้องเรียนพิเศษ หลังจากที่อาจารย์ปล่อยช้ากว่าปกติ เขากำลังจะเดินไปที่ป้ายรถเมล์เพื่อกลับหอพัก แต่ทันใดนั้น ฝนก็เทกระหน่ำลงมาอย่างไม่ทันตั้งตัว ปุณณ์ไม่มีร่ม ไม่มีเสื้อกันฝน เขาทำได้แค่ยืนหลบอยู่ใต้ชายคาตึกคณะฯ มองดูเม็ดฝนที่ตกลงมาอย่างหนัก ผู้คนรอบข้างต่างรีบวิ่งหาที่หลบฝน บ้างก็กางร่ม บ้างก็วิ่งตากฝนไปอย่างไม่คิดชีวิต ปุณณ์ยืนกอดอกแน่น รู้สึกหนาวสั่นเล็กน้อย เขากำลังคิดว่าจะทำอย่างไรดี จะวิ่งตากฝนกลับหอพัก หรือจะยืนรอจนกว่าฝนจะหยุด? แต่ดูท่าแล้วฝนคงจะไม่หยุดง่ายๆ ขณะที่ปุณณ์กำลังยืนลังเล จู่ๆ ก็มีร่มคันหนึ่งยื่นเข้ามาบังศีรษะของเขา ปุณณ์เงยหน้าขึ้นมอง และก็พบกับใบหน้าคมคายของเมฆาอีกครั้ง "ทำไมยังยืนอยู่ตรงนี้ ไม่กลับหอพักเหรอ" เมฆาถามด้วยน้ำเสียงเรียบๆ เขากำลังยืนกางร่มให้กับปุณณ์ ตัวเขาเองก็เปียกปอนไปครึ่งหนึ่งแล้ว เพราะร่มคันเล็กนั้นแทบจะบังได้แค่ตัวปุณณ์เท่านั้น ปุณณ์รู้สึกประหลาดใจอีกครั้งที่เมฆามาปรากฏตัวในเวลาที่เขาต้องการความช่วยเหลือที่สุด "ผม... ไม่มีร่มน่ะครับ" ปุณณ์ตอบเสียงอ้อมแอ้ม เมฆาส่ายหน้าเล็กน้อย พร้อมกับถอนหายใจออกมาเบาๆ ราวกับกำลังเอ็นดูในความโก๊ะของเขา "เอาเถอะ ไปด้วยกันไหม?" เมฆาเอ่ยชวน ปุณณ์หันไปมองหน้าเมฆาอย่างลังเล เขาไม่รู้ว่าควรจะตกลงดีไหม แต่การจะยืนตากฝนอยู่แบบนี้ก็ไม่ใช่ทางเลือกที่ดี "แต่... ผมกลัวจะทำให้คุณเปียกนะครับ" ปุณณ์พูดด้วยความเกรงใจ เขาสังเกตเห็นเสื้อเชิ้ตสีขาวของเมฆาที่เปียกชุ่มจนแนบลำตัวแล้ว "เปียกไปกว่านี้ก็ไม่เป็นไรแล้วมั้ง" เมฆายิ้มบางๆ ที่มุมปาก แล้วก็ก้าวเดินนำไปช้าๆ โดยยังคงกางร่มบังให้ปุณณ์อยู่ ปุณณ์เดินตามเมฆาไปอย่างเงียบๆ เขาเดินเบียดเข้าไปใกล้เมฆามากขึ้น เพื่อที่จะได้อยู่ภายใต้ร่มคันเดียวกัน หัวไหล่ของทั้งคู่เบียดกันเล็กน้อย ทำให้ปุณณ์รู้สึกถึงความอบอุ่นที่แผ่ซ่านมาจากร่างกายของเมฆา กลิ่นหอมจางๆ ของน้ำหอมผสมกับกลิ่นไอฝนทำให้ปุณณ์รู้สึกเหมือนกำลังฝันไป ทั้งคู่เดินไปตามทางเดินของมหาวิทยาลัย ท่ามกลางสายฝนที่ยังคงโปรยปรายลงมาอย่างไม่ขาดสาย ไม่มีบทสนทนาใดๆ เกิดขึ้นระหว่างทาง มีเพียงเสียงเม็ดฝนกระทบกับร่มและพื้นถนน และเสียงหัวใจของปุณณ์ที่เต้นรัวแรง ปุณณ์เหลือบมองใบหน้าด้านข้างของเมฆา เมฆาดูสงบภายใต้สายฝน ดวงตาคมคายจดจ่ออยู่กับทางเดินเบื้องหน้า เขารู้สึกว่าเมฆาเป็นคนใจดีมากจริงๆ คนอย่างเมฆาไม่จำเป็นต้องมาดูแลคนโก๊ะๆ อย่างเขาเลย แต่เขาก็ยังทำ เมื่อมาถึงป้ายรถเมล์ เมฆายังคงยืนอยู่กับปุณณ์ใต้ป้ายรถเมล์ที่ค่อนข้างเล็ก ซึ่งก็แทบจะบังฝนได้ไม่หมด "รถเมล์คงอีกนานกว่าจะมา" เมฆาพูดพลางมองนาฬิกาข้อมือ "ถ้าไม่อยากเปียกไปมากกว่านี้ เดี๋ยวฉันไปส่งที่หอไหม" ปุณณ์เบิกตากว้าง เขาตกใจกับข้อเสนอของเมฆา "ไม่ต้องหรอกครับ ผมรอรถเมล์ได้" ปุณณ์ปฏิเสธอย่างเกรงใจ เขารู้สึกว่าตัวเองกำลังรบกวนเมฆามากเกินไปแล้ว "ดื้อจริง" เมฆาพูดพลางส่ายหน้า "รอนานๆ จะเป็นหวัดเอาได้นะ" ก่อนที่ปุณณ์จะทันได้ปฏิเสธอีกครั้ง เมฆาก็เดินนำไปที่รถยนต์ของเขาที่จอดอยู่ไม่ไกล ปุณณ์ยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจเดินตามเมฆาไปอย่างไม่มั่นใจนัก เมื่อมาถึงรถยนต์ เมฆาเปิดประตูฝั่งผู้โดยสารให้ปุณณ์ ปุณณ์รีบก้มตัวเข้าไปนั่งอย่างรวดเร็ว เขารู้สึกหนาวเล็กน้อยจากความเปียกชื้นของเสื้อผ้า เมฆาปิดประตู แล้วเดินอ้อมไปขึ้นรถฝั่งคนขับ เขาสตาร์ทรถ แล้วเปิดแอร์ในรถให้เป็นลมธรรมดา ไม่เย็นนัก เพื่อให้ปุณณ์ไม่รู้สึกหนาวจนเกินไป "หอพักอยู่ไหน" เมฆาถามพลางหันมามอง ปุณณ์บอกทางไปหอพักของเขาอย่างละเอียด เมฆาพยักหน้าเล็กน้อย แล้วขับรถออกไปอย่างช้าๆ บรรยากาศในรถเงียบสงบ มีเพียงเสียงเพลงคลอเบาๆ จากวิทยุ ปุณณ์นั่งนิ่งๆ มองออกไปนอกหน้าต่าง มองดูสายฝนที่ยังคงเทลงมาอย่างต่อเนื่อง หัวใจของเขายังคงเต้นไม่เป็นจังหวะ และความรู้สึกบางอย่างก็เริ่มก่อตัวขึ้นอย่างชัดเจนในใจของเขา เขาชอบเมฆา ชอบรอยยิ้มของเขา ชอบที่เขาเป็นคนเงียบๆ แต่ก็ใจดีและขี้แกล้ง ชอบที่เมฆาเข้ามาในโลกเงียบๆ ของเขา และทำให้มันไม่เงียบเหงาอีกต่อไป เมื่อรถมาถึงหน้าหอพักของปุณณ์ เมฆาจอดรถสนิท ปุณณ์หันไปขอบคุณเมฆาด้วยความรู้สึกที่ท่วมท้น "ขอบคุณมากนะครับเมฆา" ปุณณ์พูดด้วยน้ำเสียงจริงใจ "ถ้าไม่ได้คุณ ผมคงเปียกปอนไปหมดแล้ว" เมฆายิ้มบางๆ "ไม่เป็นไรหรอก กลับไปอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้าซะ เดี๋ยวจะไม่สบาย" ปุณณ์พยักหน้า ก่อนจะเปิดประตูรถลงไป เขาวิ่งฝ่าละอองฝนเล็กน้อยเข้าไปในอาคารหอพัก ก่อนจะหันกลับมาโบกมือให้เมฆา เมฆาโบกมือตอบเล็กน้อย ก่อนจะขับรถออกไป ปุณณ์เดินขึ้นบันไดไปที่ห้องพักของเขา ในใจยังคงเต็มไปด้วยความรู้สึกที่อบอุ่นและตื้นตัน เขาไม่คิดว่าจะมีใครมาดูแลเขาได้มากขนาดนี้ และนั่นทำให้เขามั่นใจในความรู้สึกของตัวเองที่มีต่อเมฆามากยิ่งขึ้นไปอีกหลังจากวันนั้นที่เมฆาไปส่งที่หอพัก ปุณณ์ใช้เวลาทั้งคืนคิดทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้น ความรู้สึกที่มีต่อเมฆามันชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ จนเขาไม่สามารถปฏิเสธตัวเองได้อีกต่อไป ทุกครั้งที่นึกถึงรอยยิ้มของเมฆา ความใจดีที่อีกฝ่ายมีให้ หรือแม้แต่การแกล้งกันเล็กๆ น้อยๆ หัวใจของปุณณ์ก็อบอุ่นขึ้นมาอย่างประหลาด แต่ความรู้สึกนี้ก็มาพร้อมกับความสับสนและความกังวลมากมาย เขาไม่แน่ใจว่าเมฆาคิดอย่างไรกับเขา หรือว่าที่ผ่านมาเป็นแค่ความใจดีในฐานะเพื่อนร่วมคณะเท่านั้น วันรุ่งขึ้น ปุณณ์ตัดสินใจที่จะทำบางอย่างที่ปกติเขาไม่เคยทำมาก่อน เขาจะพยายามเป็นฝ่ายเข้าหาเมฆาบ้าง เขาจะไปรอที่หน้าตึกเรียนของเมฆาในช่วงเวลาที่อีกฝ่ายเลิกเรียน ปุณณ์ยืนรออยู่หน้าตึกอย่างกระสับกระส่าย เขามองนาฬิกาเป็นระยะๆ ก่อนจะเห็นกลุ่มนักศึกษากลุ่มใหญ่เดินออกมาจากตึก และในที่สุด เขาก็เห็นเมฆาเดินออกมากับเพื่อนๆ กลุ่มเดิม เมฆากำลังคุยกับเพื่อนด้วยท่าทางสบายๆ ไม่ได้สังเกตเห็นปุณณ์ที่ยืนอยู่อีกฝั่งหนึ่งของทางเดิน ปุณณ์รวบรวมความกล้าทั้งหมดที่มี แล้วเดินเข้าไปหาเมฆาอย่างช้าๆ "เมฆา!" ปุณณ์เรียกชื่ออีกฝ่ายเสียงแผ่ว แต่ก็มากพอที่จะทำให้เมฆาหันมา
เด็กหนุ่มเงียบๆ กับสายตาที่จับจ้อง ห้องสมุดคณะวิศวกรรมศาสตร์ในวันธรรมดานั้นเงียบสงบกว่าที่คิด มีเพียงเสียงพลิกหน้ากระดาษเบาๆ กับเสียงพิมพ์คีย์บอร์ดที่ดังเป็นจังหวะ และกลิ่นอายของกระดาษเก่าผสมกับกาแฟอ่อนๆ ที่ลอยกรุ่นอยู่ในอากาศ มุมหนึ่งของห้องสมุดที่ติดหน้าต่างบานใหญ่ ปุณณ์ กำลังนั่งอยู่กับกองตำราเรียนที่สูงท่วมหัว แว่นตากลมโตที่สวมอยู่เลื่อนลงมาเล็กน้อย ทำให้เขาต้องดันขึ้นไปให้เข้าที่อยู่บ่อยครั้ง ปุณณ์เป็นคนเงียบๆ มาตั้งแต่เด็ก เขาไม่ใช่คนขี้อายถึงขั้นพูดไม่ออก แต่ก็ไม่ใช่คนที่จะเริ่มต้นบทสนทนากับใครก่อน สิ่งที่เขาถนัดที่สุดคือการจมดิ่งอยู่กับโลกของตัวเลข สูตรคำนวณ และทฤษฎีทางวิศวกรรม วันนี้ก็เช่นกัน ปุณณ์กำลังง่วนอยู่กับการทำรายงานวิชาฟิสิกส์สำหรับวิศวกรที่แสนจะซับซ้อน สูตรต่างๆ ตีกันยุ่งเหยิงในหัว จนบางครั้งเขาก็เผลอทำหน้ายู่โดยไม่รู้ตัว ปากกาในมือหยุดชะงัก สายตาเหม่อลอยออกไปนอกหน้าต่าง มองวิวต้นไม้เขียวขจีที่พลิ้วไหวตามลม การพักสายตาแบบนี้ช่วยให้สมองของเขาได้เรียบเรียงข้อมูลอีกครั้ง ก่อนจะกลับมาจดจ่อกับงานตรงหน้า เสียงเก้าอี้ที่ถูกเลื่อนออกไปทางด้านหลังของเขาดังขึ้นเบาๆ แต่ก
Mga Comments