FAZER LOGINเสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นตอนตีสี่ครึ่ง ลลินลืมตาขึ้นในความมืด ห้องนอนของเธอเงียบสงัด แต่ในหัวกลับมีพายุแห่งความคิดพัดกระหน่ำ เธอไม่ได้นอนเลยทั้งคืน ภาพลายเซ็นของภาคินและคำพูดทิ้งท้ายอันเป็นปริศนาของเขาวนเวียนซ้ำไปซ้ำมาไม่หยุดหย่อน
ความเกลียดชังและความสับสนกัดกินใจเธอจนแทบคลั่ง
แต่เช้านี้...เธอต้องกลับไปเผชิญหน้ากับเขาอีกครั้ง
ลลินใช้เวลาเตรียมตัวนานกว่าปกติ เธอเลือกชุดสูทกางเกงสีดำที่ดูเคร่งขรึมและเป็นทางการที่สุด แต่งหน้าอย่างประณีตเพื่อปกปิดร่องรอยความอ่อนล้าใต้ดวงตา เมื่อส่องกระจกเป็นครั้งสุดท้าย เธอก็เห็นเพียงเลขาผู้บริหารที่เยือกเย็นและไร้ความรู้สึก...หน้ากากที่เธอต้องสวมใส่มันให้แนบสนิทที่สุดในวันนี้
เมื่อเธอมาถึงชั้น 32 ตอนหกโมงเช้า บรรยากาศรอบตัวเงียบเชียบและวังเวง แสงไฟถูกเปิดไว้เพียงบางส่วน แต่ที่น่าแปลกใจคือ ประตูห้องทำงานของภาคินเปิดแง้มไว้อยู่แล้ว และมีแสงไฟลอดออกมา
เขาก็มาเช้าเหมือนกัน
ลลินวางกระเป๋าลงบนโต๊ะ จัดการเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์และเตรียมเอกสารเบื้องต้นสำหรับเขาเงียบๆ เธอตัดสินใจว่าจะยังไม่เข้าไปรบกวน จนกว่าเขาจะเรียก
แต่เพียงไม่ถึงห้านาที ร่างสูงในชุดเสื้อเชิ้ตสีเทาเข้มที่พับแขนขึ้นถึงข้อศอกก็เดินออกมาจากห้อง มือข้างหนึ่งถือแก้วกาแฟ ใบหน้าของเขาดูเคร่งเครียดกว่าปกติ และมีเงาจางๆ ใต้ดวงตาคมกริบคู่นั้น
ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ใช่คนเดียวที่ไม่ได้นอนเมื่อคืนนี้
“อรุณสวัสดิ์คุณลลิน ขอบคุณที่มาเช้า” เขาพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำที่แหบกว่าปกติเล็กน้อย
“อรุณสวัสดิ์ค่ะท่านประธาน นี่คือสรุปวาระการประชุมและข้อมูลเบื้องต้นที่ท่านต้องการค่ะ” เธอตอบกลับอย่างเป็นทางการ พร้อมกับยื่นแฟ้มเอกสารให้เขา
ภาคินรับแฟ้มไปเปิดดูผ่านๆ ขณะที่จิบกาแฟไปด้วย “ดีมาก... ผมต้องการรายงานผลประกอบการไตรมาสล่าสุดของฝ่ายผลิตด้วย เอาฉบับเต็มนะ”
“ได้ค่ะ”
พวกเขาทั้งสองคนทำงานแข่งกับเวลาในความเงียบ มีเพียงเสียงพิมพ์แป้นพิมพ์ เสียงพลิกกระดาษ และเสียงลมจากเครื่องปรับอากาศเท่านั้นที่ดังอยู่รอบตัว บรรยากาศตึงเครียดอย่างเห็นได้ชัด ลลินสัมผัสได้ถึงแรงกดดันมหาศาลที่แผ่ออกมาจากตัวของภาคิน มันไม่ใช่แรงกดดันที่เขาส่งมาที่เธอเหมือนทุกที แต่เป็นแรงกดดันจากภาระงานที่อยู่ตรงหน้า
มีอยู่ช่วงหนึ่งที่เครื่องพิมพ์เอกสารขัดข้อง ลลินพยายามแก้ไขมันอยู่ครู่ใหญ่แต่ก็ไม่สำเร็จ ภาคินที่เห็นดังนั้นจึงเดินเข้ามาดู
“ผมดูให้” เขาพูดพลางขยับให้เธอถอยออกไปเล็กน้อย เขาโน้มตัวลงไปเปิดฝาเครื่องพิมพ์ แขนของเขาเฉียดผ่านแขนของเธอไปเพียงนิดเดียว กลิ่นโคโลญจน์ผสมกับกลิ่นกาแฟจางๆ ลอยเข้ามาในระยะที่ใกล้จนน่าใจหาย
ลินเผลอกลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัว เธอเห็นเพียงเสี้ยวหน้าด้านข้างของเขาที่กำลังขมวดคิ้วมุ่นอย่างตั้งใจ แสงไฟยามเช้าตกกระทบสันกรามคมคายของเขาพอดี เขากำลังจดจ่ออยู่กับปัญหาตรงหน้าจนดูเหมือนลืมไปชั่วขณะว่าเธอยืนอยู่ตรงนั้น
วินาทีนั้น...เธอก็เห็นภาพซ้อนของพ่อตัวเอง พ่อของเธอก็เป็นแบบนี้เสมอ เวลาที่ท่านจดจ่ออยู่กับแบบแปลนหรือการคำนวณที่ซับซ้อน...เป็นแววตาของคนที่ทุ่มเทให้กับงานอย่างสุดหัวใจ
ภาพนั้นทำให้กำแพงความเกลียดชังในใจของเธอสั่นไหวไปชั่ววูบ ก่อนที่เธอจะรีบสลัดมันทิ้งไป
‘อย่าอ่อนแอ...เขาคือศัตรู’ เธอเตือนตัวเองในใจ
“เรียบร้อย” ภาคินพูดขึ้นหลังจากง่วนอยู่กับมันพักหนึ่ง เขายืดตัวขึ้นเต็มความสูงแล้วหันมาสบตาเธอ “แค่กระดาษติดน่ะ”
“ขอบคุณค่ะ” เธอตอบเสียงเบา
การประชุมบอร์ดเริ่มขึ้นตอนเจ็ดโมงตรงและลากยาวไปจนเกือบเที่ยง ลลินทำหน้าที่อยู่ด้านนอก คอยจัดการเอกสารเพิ่มเติมและรับโทรศัพท์ที่จำเป็น เธอได้ยินเสียงของภาคินลอดออกมาเป็นระยะๆ มันเป็นน้ำเสียงที่เด็ดขาด ทรงพลัง และเต็มไปด้วยความมั่นใจในข้อมูลที่เขานำเสนอ เขาต่อสู้กับคณะกรรมการอย่างไม่มีใครยอมใคร
จนกระทั่งบานประตูห้องประชุมเปิดออก...
ภาคินเดินนำออกมาเป็นคนแรก สีหน้าของเขาเรียบเฉยจนอ่านไม่ออก แต่คณะกรรมการคนอื่นๆ ที่เดินตามออกมานั้นมีสีหน้าที่บ่งบอกว่าการประชุมครั้งนี้จบลงด้วยชัยชนะของเขา
หลังจากที่ทุกคนแยกย้ายกันไปแล้ว ภาคินก็กลับมาทิ้งตัวลงบนโซฟารับแขกหน้าห้องทำงานของเขาอย่างหมดแรง เขาเอนศีรษะพิงกับพนักพิงแล้วหลับตาลง ถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน
ลลินยืนมองภาพนั้นอยู่เงียบๆ นี่เป็นครั้งแรกที่เธอเห็นเขาในมุมที่ดู ‘เปราะบาง’ แม้จะเพียงเล็กน้อยก็ตาม
เธอเดินไปรินน้ำเปล่าใส่แก้วแล้วนำไปวางไว้บนโต๊ะตรงหน้าเขา
“ขอบคุณ” เขาพูดโดยที่ยังไม่ลืมตา
ความเงียบเข้าปกคลุมอีกครั้ง ลินกำลังจะหมุนตัวกลับไปที่โต๊ะเพื่อปล่อยให้เขาได้พักผ่อน แต่แล้วเขาก็ลืมตาขึ้นมา
ดวงตาของเขามองตรงมาที่เธอ...ความเหนื่อยล้าฉายชัดอยู่ในนั้น แต่ก็ยังมีความคมกล้าเช่นเดิม
“วันนี้...คุณทำได้ดีมาก” เขาพูดขึ้น “ถ้าไม่ได้คุณ ผมคงรับมือกับสถานการณ์เมื่อเช้าได้ลำบากกว่านี้”
เป็นคำชมที่จริงใจ...จนน่าประหลาดใจ
“เป็นหน้าที่ของลินค่ะ” เธอตอบด้วยประโยคเดิม
“ไม่ใช่” เขาแย้งขึ้นมาทันที “มันเกินหน้าที่ไปแล้ว”
เขาลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เดินเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าเธอ “ตอนเย็นคุณมีนัดที่ไหนหรือเปล่า”
คำถามที่ไม่มีปี่มีขลุ่ยทำให้ลินชะงักไป “...ไม่มีค่ะ”
“ดี” เขามองเธอด้วยสายตาที่ยากจะคาดเดา “งั้นไปทานข้าวเย็นกับผม”
มันไม่ใช่คำชวน...แต่เป็นคำสั่งที่ถูกห่อหุ้มด้วยประโยคที่สุภาพ
สมองของลินว่างเปล่าไปชั่วขณะ ไปทานข้าวเย็นกับเขา? สองต่อสอง? หลังจากที่เธอเพิ่งค้นพบความจริงอันน่ารังเกียจเกี่ยวกับเขาเนี่ยนะ? ความคิดแรกคือการปฏิเสธ เธออยากจะตะโกนใส่หน้าเขาว่าเธอไม่มีวันไปนั่งร่วมโต๊ะกับคนที่ทำลายครอบครัวของเธอเด็ดขาด
แต่เธอทำไม่ได้...
การปฏิเสธเท่ากับเป็นการเปิดเผยตัวเอง เท่ากับเป็นการยอมรับว่าเธอไม่ได้ ‘ภักดี’ อย่างที่เขาต้องการ มันจะทำลายแผนการทั้งหมดของเธอ
“ทำไมเหรอคะ มีเรื่องงานด่วนอะไรหรือเปล่า” เธอถามกลับไป พยายามหาเหตุผลทางธุรกิจมาค้ำยัน
ภาคินยิ้มมุมปาก เป็นรอยยิ้มที่เธอเกลียดชัง “ไม่มีเรื่องงาน” เขาตอบชัดเจน “ผมแค่อยากจะ...คุยกับคุณเป็นการส่วนตัว”
คำว่า ‘ส่วนตัว’ ของเขาเหมือนการโยนระเบิดลงมากลางใจของเธอ
นี่คือเกมใหม่ของเขา คือบททดสอบบทต่อไปที่เธอไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ
ลลินสูดลมหายใจเข้าลึก ซ่อนความขมขื่นและความเกลียดชังทั้งหมดไว้ภายใต้ใบหน้าที่เรียบเฉย
“ได้ค่ะ...ท่านประธาน”
เมื่อเธอกลับมาถึงคอนโดในตอนเย็น ลลินก็ตรงไปที่ตู้เสื้อผ้า เธอเลือกหยิบชุดเดรสสีน้ำเงินเข้มที่ดูเรียบหรูแต่ก็ไม่เปิดเผยจนเกินไป ขณะที่แต่งตัว เธอมองตัวเองในกระจกเงา
นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน? เธอกำลังจะต้องไปนั่งทานอาหารค่ำกับผู้ชายที่เธอสาบส่งในใจทุกวินาที มันคือความเจ็บปวดที่น่าขันที่สุด
แต่แล้ว...ความคิดหนึ่งก็แวบเข้ามา
นี่อาจจะไม่ใช่แค่เกมของเขาฝ่ายเดียว แต่มันอาจจะเป็น ‘โอกาส’ ของเธอเช่นกัน การได้อยู่นอกบริษัท ได้พูดคุยกันเป็นการส่วนตัว อาจทำให้เขาเผยจุดอ่อนหรือข้อมูลบางอย่างออกมาก็ได้
เธอจะไม่ไปในฐานะเลขาฯ ที่ยอมทำตามคำสั่ง และจะไม่ไปในฐานะเหยื่อที่ถูกปั่นหัว
คืนนี้...เธอจะไปในฐานะ ‘นักสืบ’
ลลินมองตัวเองในกระจกเป็นครั้งสุดท้าย เธอเติมลิปสติกสีเข้มขึ้นอีกนิด แววตาของเธอเปลี่ยนจากความสับสนเป็นความมุ่งมั่นที่แข็งกร้าว
เธอคือลูกสาวของอานนท์ วชิรเมธี...และคืนนี้ เธอกำลังจะเดินเข้าไปในถ้ำเสือด้วยตัวเอง
เรื่องราวความรัก การแก้แค้น และการให้อภัยของลลินกับภาคินได้เดินทางมาถึงบทสรุปที่สมบูรณ์และงดงามแล้วในตอนที่ 26 ที่ผ่านมา จากจุดเริ่มต้นที่เต็มไปด้วยความแค้นและความไม่ไว้วางใจ...พวกเขาได้ร่วมกันฝ่าฟันอุปสรรคและอันตรายมากมาย จนกระทั่งสามารถเปิดโปงความจริงในอดีตและนำความยุติธรรมกลับคืนมาได้สำเร็จ ในท้ายที่สุด ทั้งสองก็ได้ค้นพบความสุขที่แท้จริงในอ้อมแขนของกันและกัน ปิดฉากสงครามที่ยาวนานและเริ่มต้น ‘ชีวิตคู่’ ที่เต็มไปด้วยความรักและความเข้าใจในฐานะคนที่เท่าเทียมกัน เรื่องราวของ “Under His Command — ใต้คำสั่งของบอส” ได้จบลงอย่างสมบูรณ์แล้วครับ แต่เพื่อเป็นการส่งท้ายการเดินทางที่ยาวนานของพวกเขา ผมขอมอบภาพสุดท้าย...ซึ่งเป็นบทส่งท้ายของเรื่องราวทั้งหมดนี้ครับ บทส่งท้าย (Epilogue) ห้าปีต่อมา... สายลมทะเลอุ่นๆ พัดโชยมาปะทะใบหน้าของลลินอย่างแผ่วเบา เธอยืนอยู่ที่ระเบียงของ ‘ศูนย์พลังงานยั่งยืนอานนท์-วิทยา’ ในจังหวัดระยอง...สถานที่ที่เป็นจุดเริ่มต้นของการเปิดเผยความจริงทั้งหมด บัดนี้...ศูนย์วิจัยเล็กๆ ได้เติบโตและขยายใหญ่ขึ้นจนกลายเป็นสถาบันวิจัยด้านพลังงานสะอาดชั้นแนวหน้าของประเทศ วันนี้เป็
กาลเวลา...คือแม่น้ำที่ไม่เคยไหลย้อนกลับ มันพัดพาเอาความเจ็บปวดและความขัดแย้งให้จางหายไป เหลือทิ้งไว้เพียงตะกอนแห่งความทรงจำและบทเรียนอันล้ำค่า หนึ่งปีต่อมา... สายลมเย็นๆ ของต้นฤดูหนาวในกรุงเทพฯ พัดโชยมาเบาๆ แต่ภายในห้องประชุมใหญ่ของ ‘มูลนิธิอานนท์ วชิรเมธี เพื่อวิศกรรุ่นใหม่’ กลับอบอวลไปด้วยบรรยากาศของความอบอุ่นและความสำเร็จ ลลินในชุดสูทสีขาวสะอาดตากำลังยืนอยู่บนเวทีเบื้องหน้ากลุ่มนักศึกษาและนักลงทุนหลายสิบคน เธอไม่ได้ยืนอยู่ในเงาของใครอีกต่อไปแล้ว...แต่กำลังส่องสว่างด้วยแสงสว่างในตัวเอง ในฐานะผู้อำนวยการบริหาร...ผู้หญิงที่ได้สานต่อความฝันของพ่อให้กลายเป็นความจริงที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม “...และนี่คือตัวอย่างเพียงส่วนหนึ่งของนวัตกรรมที่เกิดขึ้นจากฝีมือของนักเรียนทุนรุ่นแรกของเราค่ะ” เธอพูดพลางผายมือไปยังผลงานที่จัดแสดงอยู่รอบๆ ห้อง “จากโครงการแผงโซลาร์เซลล์ขนาดเล็กสำหรับชุมชนห่างไกล...ไปจนถึงแอปพลิเคชันที่ช่วยให้เกษตรกรสามารถบริหารจัดการน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ...ทั้งหมดนี้คือบทพิสูจน์ว่า...เมล็ดพันธุ์แห่งความอัจฉริยะที่พ่อของดิฉันได้หว่านไว้เมื่อสิบสองปีก่อน...บัดนี้ได้เติบโตและผลิดอก
หนึ่งเดือนหลังจากการประชุมคณะกรรมการบริหารครั้งประวัติศาสตร์...พายุลูกใหญ่ที่เคยพัดถล่มพีรพัฒน์ เอ็นเตอร์ไพรส์ ได้สงบลงแล้ว ทิ้งไว้เพียงร่องรอยของการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ และท้องฟ้าที่สดใสและปลอดโปร่งกว่าเดิม คุณกิตติและพรรคพวกที่เกี่ยวข้องทั้งหมดถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย สมุดบัญชีลับเล่มนั้นได้กลายเป็นหลักฐานชิ้นเอกที่มัดตัวพวกเขาจนดิ้นไม่หลุด และเรื่องราวทั้งหมดก็ได้กลายเป็นตำนานบทใหม่ของวงการธุรกิจไทย...เรื่องราวของ CEO หนุ่มผู้กล้าหาญที่ลุกขึ้นมาต่อสู้กับความอยุติธรรม...และผู้หญิงคนหนึ่งที่ยืนหยัดเคียงข้างเขาอย่างไม่เกรงกลัว สำหรับโลกภายนอก...มันคือบทสรุปที่สวยงาม แต่สำหรับลลินและภาคิน...มันคือการเริ่มต้นของบทใหม่ในชีวิตจริง ลลินก้าวเข้ามาในที่ทำงานแห่งใหม่ของเธอ...สำนักงานของ ‘มูลนิธิอานนท์ วชิรเมธี เพื่อวิศกรรุ่นใหม่’ มันไม่ได้ตั้งอยู่ในตึกพีรพัฒน์ฯ แต่เป็นอาคารพาณิชย์สามชั้นที่ถูกรีโนเวทใหม่ทั้งหมดในย่านเมืองเก่าที่เงียบสงบ ภาคินทุ่มเทงบประมาณมหาศาลเพื่อเนรมิตที่นี่ให้กลายเป็นพื้นที่แห่งความคิดสร้างสรรค์และความหวังอย่างแท้จริง ที่นี่...คืออาณาจักรของเธอ เธอไม่ได้เดินเข้ามา
รุ่งอรุณของวันใหม่หลังจากพายุที่โหมกระหน่ำได้พัดผ่านไปนั้น...สงบสุขและงดงามอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ลลินตื่นขึ้นมาในห้องนอนที่บ้านของภาคิน ไม่ใช่ในฐานะผู้ลี้ภัยหรือพันธมิตรในสงครามอีกต่อไป แต่ในฐานะคนรัก...ผู้หญิงคนหนึ่งที่ได้ค้นพบความสงบสุขเป็นครั้งแรกในรอบสิบสองปี แสงแดดยามเช้าที่สาดส่องเข้ามาในห้องดูเหมือนจะอบอุ่นกว่าทุกวัน และอากาศที่เธอสูดเข้าไปก็ปราศจากความหนักอึ้งของความแค้นและความกังวล สงครามได้จบลงแล้ว...และพวกเขาคือผู้ชนะ เธอกับภาคินใช้เวลาในช่วงเช้าอันเงียบสงบนั้นเหมือนกับคู่รักธรรมดาทั่วไป พวกเขาทำอาหารเช้าง่ายๆ ด้วยกันในครัวที่โปร่งโล่ง บทสนทนาไม่ได้เกี่ยวกับแผนการลับหรือการวิเคราะห์ศัตรูอีกต่อไป แต่เป็นเรื่องสัพเพเหระ...เรื่องที่ว่าใครจะล้างจาน...เรื่องแผนการที่จะหาเวลาว่างไปดูหนังด้วยกัน...มันคือความธรรมดาสามัญที่แสนจะมีค่า “ไม่อยากจะเชื่อเลยนะคะ...ว่ามันจบลงแล้วจริงๆ” ลินพูดขึ้นเบาๆ ขณะที่นั่งจิบกาแฟอยู่ที่เคาน์เตอร์ในครัว มองแผ่นหลังกว้างของภาคินที่กำลังยืนล้างจานอยู่ ภาคินหันมายิ้มให้เธอ...เป็นรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความโล่งอกอย่างแท้จริง “ผมก็เหมือนกัน” เขาวางจาน
เก้าโมงเช้า...ใจกลางกรุงเทพมหานคร...บนชั้น 33 ของตึกพีรพัฒน์ เอ็นเตอร์ไพรส์...ห้องประชุมคณะกรรมการบริหารที่เคยเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจสูงสุด บัดนี้กลับอบอวลไปด้วยบรรยากาศของสงครามเย็นที่พร้อมจะปะทุขึ้นได้ทุกเมื่อ กรรมการบริหารแต่ละคนทยอยเดินทางมาถึงด้วยสีหน้าที่แตกต่างกันไป กลุ่มที่เป็นพันธมิตรของภาคินมีแววตาที่เต็มไปด้วยความกังวลและไม่แน่นอน ในขณะที่กลุ่มที่เป็นคนของคุณกิตติกลับมีรอยยิ้มที่พึงพอใจประดับอยู่บนใบหน้า พวกเขารู้ดีว่าวันนี้...คือวันที่พวกเขาจะทำการ ‘เปลี่ยนขั้ว’ อำนาจครั้งใหญ่ และที่หัวโต๊ะ...ในตำแหน่งของประธาน...คุณกิตตินั่งรออยู่ด้วยความสงบเยือกเย็น เขาสวมชุดสูทผ้าไหมอิตาลีราคาแพง ดูน่าเกรงขามและเปี่ยมไปด้วยบารมีของผู้อาวุโสที่กำลังจะทวงคืนความยิ่งใหญ่...เขาคือผู้ชนะที่รอเวลาประกาศชัยชนะอย่างเป็นทางการเท่านั้น ในขณะที่ทุกคนกำลังรอคอยการมาถึงของตัวละครหลัก...บานประตูไม้สักขนาดใหญ่ของห้องประชุมก็ถูกผลักเปิดออกอย่างแรง! ทุกสายตาหันไปมองเป็นจุดเดียวกัน... ภาคิน พีรพัฒน์ ก้าวเข้ามาในห้อง...สง่างามและน่าเกรงขามในชุดสูทสีน้ำเงินเข้มตัวเก่งของเขา แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนต้องตกตะ
ท้องฟ้าเบื้องล่างค่อยๆ เปลี่ยนจากสีดำสนิทเป็นสีน้ำเงินเข้ม แล้วเจือด้วยสีส้มของแสงอรุณที่ขอบฟ้า เครื่องบินส่วนตัวขนาดเล็กกำลังบินตัดผ่านหมู่เมฆ มุ่งหน้าจากทิศเหนือกลับสู่ใจกลางของพายุ...กรุงเทพมหานคร ภายในห้องโดยสารที่เล็กและเงียบสงบ มีเพียงเสียงเครื่องยนต์ที่ดังครางเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ลลินและภาคินไม่ได้พูดคุยกันมากนัก แต่ความเงียบนั้นไม่ได้เต็มไปด้วยความตึงเครียดเหมือนครั้งก่อนๆ...แต่เป็นความเงียบที่เต็มไปด้วยการทำงานร่วมกันอย่างเข้าขาราวกับเป็นคนๆ เดียวกัน ภาคินกำลังใช้โทรศัพท์ผ่านดาวเทียมซึ่งเป็นช่องทางการสื่อสารที่ปลอดภัยที่สุดในการติดต่อกับเครือข่ายพันธมิตรของเขาในกรุงเทพฯ น้ำเสียงของเขาเยือกเย็น เด็ดขาด และเต็มไปด้วยอำนาจ เขาไม่ได้อยู่ในสถานะของผู้ที่กำลังจะถูกถอดถอน แต่เป็นเหมือนแม่ทัพที่กำลังบัญชาการรบจากแดนไกล “คุณอาฉัตรชัยครับ” เขาพูดกับปลายสาย “พรุ่งนี้เช้า...ผมไม่ต้องการให้คุณอาโต้แย้งญัตติของคุณกิตติ แต่ผมต้องการให้คุณอา ‘ตั้งคำถาม’...ตั้งคำถามถึงความโปร่งใส ตั้งคำถามถึงหลักฐาน และที่สำคัญที่สุด...ตั้งคำถามถึง ‘แรงจูงใจ’ ที่แท้จริงของคุณกิตติในการทำเรื่องนี้...เราต้องทำ







