LOGINกาลเวลาบนชั้น 32 ดูเหมือนจะเดินเร็วและช้าในเวลาเดียวกัน ทุกวันคือการต่อสู้ที่ลลินต้องสวมหน้ากากเลขาผู้สมบูรณ์แบบเพื่อซ่อนตัวตนที่แท้จริงเอาไว้ เธอทำงานได้อย่างไร้ที่ติ จัดการทุกอย่างได้อยู่หมัดจนคุณวิภาเองยังต้องเอ่ยชม แต่ภายใต้ความสงบนิ่งนั้นคือจิตใจที่ปั่นป่วนวุ่นวาย กล่องโลหะสีดำในตู้เก็บเอกสารนิรภัยใต้โต๊ะทำงานของเธอกลายเป็นสิ่งย้ำเตือนถึงภารกิจที่ยังไม่ลุล่วง มันคือกล่องแห่งความลับที่เธออยากจะเปิดใจจะขาด แต่ก็ไม่กล้าพอ
ภาคินยังคงรักษาระยะห่างที่น่าอึดอัดใจ เขาไม่แตะต้องตัวเธออีก แต่สายตาของเขายังคงทำงานอยู่เสมอ มันไล่ตามเธอ ประเมินเธอ และท้าทายเธอในทุกการกระทำ บางครั้งเธอก็รู้สึกเหมือนเป็นหนูในกรงทดลองที่เขาสร้างขึ้น รอเพียงว่าเมื่อไหร่ที่เธอจะหมดความอดทนและทำในสิ่งที่เขา ‘คาดเดา’ ว่าเธอจะทำ
และจุดแตกหักนั้นก็มาถึงเร็วกว่าที่คิด
เช้าวันศุกร์ ทุกอย่างดูเหมือนจะปกติ จนกระทั่งภาคินเรียกประชุมด่วนกับหัวหน้าฝ่ายการตลาดและการเงินในห้องทำงานของเขา ลลินมีหน้าที่เตรียมเอกสารและสรุปประเด็นสำคัญ เธอเดินเข้าออกห้องทำงานของเขาอยู่สองสามรอบเพื่อจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย
ในช่วงท้ายของการประชุม ขณะที่เธอนำกาแฟเข้าไปเสิร์ฟ ภาคินก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ดังพอให้ทุกคนในห้องได้ยิน
“ผมต้องขอบคุณคุณลลินจริงๆ ตั้งแต่เธอเข้ามาช่วย ทุกอย่างก็เป็นระบบมากขึ้นเยอะ” เขาพูดพลางมองเธอด้วยรอยยิ้มที่อ่านไม่ออก “เธอเป็นคนที่มีความสามารถ มีความละเอียดรอบคอบ และที่สำคัญที่สุด...คือมีความภักดีและเก็บความลับได้ดีเยี่ยม”
คำพูดนั้นทำให้ทุกคนหันมามองเธอเป็นตาเดียว ลลินได้แต่ฝืนยิ้มและโค้งขอบคุณอย่างสุภาพ “เป็นหน้าที่ของลินค่ะท่านประธาน”
แต่ในใจของเธอนั้นเย็นเยียบ นี่ไม่ใช่คำชม มันคือการประกาศิต เขากำลังพูดถึง ‘ความลับ’ ต่อหน้าคนอื่น เขากำลังตอกย้ำถึง ‘คำสั่ง’ ของเขา และกำลังบอกเธอเป็นนัยว่าเขากำลังจับตามองเธออยู่ การกระทำของเขาเหมือนการค่อยๆ ดึงเชือกที่รัดคอเธอให้แน่นขึ้นทีละน้อย บีบให้เธอรู้สึกอึดอัดจนแทบหายใจไม่ออก
ความรู้สึกอัปยศและความโกรธที่ถูกเขาปั่นหัวตีรื้นขึ้นมาในอก เธอไม่ใช่ของเล่นของเขา เธอมาที่นี่เพื่อความยุติธรรมของพ่อ ไม่ใช่มาเพื่อเป็นเบี้ยในเกมกระดานของใคร
เมื่อกลับมานั่งที่โต๊ะทำงาน ความอดทนของเธอก็ขาดผึง
เธอตัดสินใจแล้ว...วันนี้ เธอจะเปิดมัน
โอกาสทองมาถึงในช่วงพักกลางวัน ภาคินมีนัดทานอาหารกับลูกค้ารายสำคัญข้างนอก ส่วนคุณวิภาก็ลงไปทานข้าวกับเพื่อนร่วมงานแผนกอื่น บรรยากาศบนชั้น 32 เงียบสงัดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เหลือเพียงเสียงเครื่องปรับอากาศที่ดังหึ่งๆ และเสียงหัวใจของลลินที่เต้นรัวเหมือนกลองสงคราม
นี่คือโอกาสเดียวของเธอ
เธอรออีกสิบนาทีเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครอยู่แถวนั้นจริงๆ ก่อนจะเดินไปล็อกประตูทางเข้าชั้นผู้บริหารอย่างแนบเนียนที่สุด มันเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ แต่เธอไม่มีทางเลือกอื่น เธอต้องการเวลาและความเป็นส่วนตัว
เธอกลับมาที่โต๊ะ นั่งลงและหลับตา สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ภาพของพ่อในวันวานผุดขึ้นมาในความทรงจำ...อานนท์ วชิรเมธี พ่อคือวิศวกรและผู้บริหารฝ่ายพัฒนาที่เก่งกาจและเปี่ยมไปด้วยอุดมการณ์ เขารักพีรพัฒน์ เอ็นเตอร์ไพรส์ เหมือนบ้านหลังที่สอง เขาทุ่มเททุกอย่างให้กับงาน พ่อเคยเล่าให้เธอฟังด้วยแววตาเป็นประกายเกี่ยวกับ ‘Project Phoenix’ โครงการที่จะปฏิวัติวงการพลังงานสะอาด มันคือความฝันของพ่อ คือผลงานชิ้นเอกที่เขาภาคภูมิใจ
แต่แล้ววันหนึ่ง พ่อก็กลับมาบ้านด้วยสภาพที่เหมือนคนแตกสลาย เขาถูกไล่ออกด้วยข้อหาที่น่าอับอาย... ‘ยักยอกข้อมูลและเทคโนโลยีของบริษัทไปขายให้คู่แข่ง’ พ่อปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา แต่ไม่มีใครเชื่อเขา หลักฐานมัดตัวแน่นหนาจนดิ้นไม่หลุด จากผู้บริหารที่มีอนาคตไกล เขากลายเป็นคนทรยศในชั่วข้ามคืน
ชื่อเสียงที่สั่งสมมาทั้งชีวิตพังทลายลง ครอบครัวของพวกเขาถูกสังคมตราหน้า สุขภาพของพ่อทรุดโทรมลงอย่างรวดเร็วจนกระทั่งเสียชีวิตในอีกสองปีต่อมา ทิ้งไว้เพียงคำพูดสุดท้ายที่ยังคงก้องอยู่ในหูของลินเสมอ... “พ่อไม่ได้ทำ...หาความจริงให้พ่อด้วยนะลูก”
น้ำตาหยดหนึ่งไหลลงมาอาบแก้ม ลลินรีบปาดมันทิ้ง ความเศร้าแปรเปลี่ยนเป็นความแข็งกร้าว เธอจะไม่ยอมให้พ่อตายไปพร้อมกับมลทินแบบนี้
มือที่สั่นเทาของเธอกดรหัสเปิดตู้เก็บเอกสารนิรภัยใต้โต๊ะ เสียงกลไกดัง ‘คลิก’ เบาๆ แต่กลับดังก้องอยู่ในความเงียบ เธอหยิบกล่องโลหะสีดำออกมาวางบนโต๊ะ ผิวเย็นเฉียบของมันราวกับจะแช่แข็งความกลัวของเธอเอาไว้
เธองับริมฝีปากแน่น เปิดฝากล่องออก แฟ้มเอกสารเก่าๆ นอนสงบนิ่งอยู่ภายใน สายตาของเธอตรงไปยังแฟ้มปกแข็งสีน้ำเงินในทันที สันปกของมันมีตัวอักษรสีทองที่ซีดจางเขียนไว้ว่า ‘โครงการ Project Phoenix - เอกสารลับสูงสุด’
หัวใจของเธอแทบจะหยุดเต้น นี่คือโครงการที่พ่อเคยพูดถึง
เธอหยิบมันขึ้นมาด้วยความระมัดระวังราวกับเป็นของศักดิ์สิทธิ์ นิ้วของเธอค่อยๆ เปิดหน้าแรกออก กลิ่นกระดาษเก่าลอยมาแตะจมูก มันคือกลิ่นของอดีต ของความลับที่ถูกฝังกลบ
หน้าแรกๆ เป็นรายงานความคืบหน้าโครงการและแผนการดำเนินงาน มีลายเซ็นของผู้บริหารหลายคนปรากฏอยู่ เธอพลิกผ่านไปอย่างรวดเร็ว สมองพยายามประมวลผลข้อมูลมหาศาล แล้วสายตาของเธอก็สะดุดเข้ากับเอกสารแผ่นหนึ่ง
มันคือบันทึกข้อความภายใน ลงวันที่เมื่อสิบสองปีก่อน
เรื่อง: การอนุมัติบุคลากรหลักในโครงการ Project Phoenix
เรียน: คณะกรรมการบริหาร
จาก: ประธานกรรมการบริหาร (คนก่อนหน้าพ่อของภาคิน)
เนื้อหาในบันทึกเป็นการเสนอชื่อทีมงานหลักสำหรับโครงการที่เป็นความลับสุดยอดของบริษัท และชื่อแรกที่ปรากฏในตำแหน่ง ‘หัวหน้าทีมวิศวกรและผู้จัดการโครงการ’ คือ...
‘นายอานนท์ วชิรเมธี’
ลินยกมือขึ้นปิดปาก น้ำตาเอ่อคลอขึ้นมาอีกครั้ง นี่คือหลักฐานชิ้นแรก พ่อของเธอไม่ใช่แค่ทีมงาน แต่เขาคือหัวใจของโครงการนี้ เขาคือคนที่ถูกเลือก คือคนที่ได้รับความไว้วางใจสูงสุด
เธอพลิกหน้าต่อไปอย่างร้อนรน เอกสารส่วนใหญ่เป็นรายงานทางเทคนิคที่เธอไม่เข้าใจ แต่เธอก็พยายามกวาดตามองหาชื่อของพ่อ และเธอก็เจอมันอีกหลายครั้งในบันทึกการประชุมต่างๆ ทุกครั้งที่ชื่อของเขาปรากฏ มันจะมาพร้อมกับคำชื่นชมในความสามารถและความทุ่มเท
มันไม่สมเหตุสมผลเลย คนที่ได้รับความไว้วางใจขนาดนี้จะทรยศบริษัทได้อย่างไร?
เธอยิ่งค้นลึกลงไปในแฟ้มที่หนาเตอะนั้น จนกระทั่งไปถึงเอกสารชุดสุดท้ายที่ถูกเย็บติดกันอย่างแน่นหนา หัวกระดาษทำให้เลือดในกายเธอเย็นเฉียบ
‘บันทึกการประชุมคณะกรรมการสอบสวนวินัยฉุกเฉิน’
นี่แล้ว...สิ่งที่เธอตามหา
ลินอ่านทุกตัวอักษรอย่างละเอียด เนื้อหาเป็นการสรุปผลการสอบสวนที่กินเวลาเพียงสามวัน สั้นและรวบรัดอย่างน่าใจหาย มีการกล่าวอ้างถึง ‘หลักฐาน’ การติดต่อกับบริษัทคู่แข่งผ่านจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ส่วนตัว และ ‘พยาน’ ที่เห็นพ่อของเธอคัดลอกข้อมูลจากเครื่องแม่ข่ายในเวลากลางคืน แต่เอกสารทั้งหมดเป็นเพียงบทสรุป ไม่มีสำเนาจดหมายอิเล็กทรอนิกส์หรือคำให้การของพยานแนบมาด้วยแม้แต่แผ่นเดียว
มันเหมือนการตัดสินที่เขียนบทสรุปเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว
และในหน้าสุดท้าย...เอกสารที่ทำให้โลกทั้งใบของเธอพังทลายลงมาอีกครั้ง
มันคือใบแจ้งมติของคณะกรรมการ... ‘คำสั่งปลด นายอานนท์ วชิรเมธี ออกจากการเป็นพนักงาน’
เธอไล้ปลายนิ้วไปตามตัวอักษรที่พิมพ์อย่างเย็นชา ก่อนจะมาหยุดอยู่ที่รายชื่อคณะกรรมการที่ลงนามรับรองมตินั้น
ชื่อส่วนใหญ่เป็นคนที่เธอไม่รู้จัก...ยกเว้นชื่อสุดท้ายที่อยู่ถัดจากตำแหน่ง ‘กรรมการผู้จัดการ’ ซึ่งเป็นตำแหน่งสูงสุดในขณะนั้น
‘ภาคิน พีรพัฒน์’
แม้ว่าในเอกสารจะระบุว่าเขาเพิ่งเข้ารับตำแหน่งได้ไม่นานและเข้าร่วมประชุมในฐานะผู้สังเกตการณ์ แต่มันก็มีลายเซ็นของเขาอยู่ตรงนั้น...ลายเซ็นที่คมกริบและทรงพลังแบบเดียวกับที่เธอเห็นในปัจจุบัน
เขาอยู่ที่นั่น... เขารู้เห็นการตัดสินที่ไม่เป็นธรรมนี้มาตั้งแต่ต้น
ความรู้สึกเหมือนถูกหักหลังแล่นพล่านไปทั่วร่าง ความสับสน ความโกรธแค้น ความเสียใจถาโถมเข้ามาจนเธอแทบสำลัก เธอเชื่อมาตลอดว่าคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้คือผู้บริหารรุ่นเก่า แต่ไม่เคยคิดเลยว่าภาคิน...ผู้ชายที่ปั่นหัวเธอด้วยเกมอันตรายนี้...จะมีส่วนร่วมในโศกนาฏกรรมของครอบครัวเธอด้วย
ครืดดด...
เสียงโทรศัพท์มือถือบนโต๊ะสั่นขึ้น ทำให้ลินสะดุ้งสุดตัว เธอเหลือบมองหน้าจอ...เป็นการแจ้งเตือนจากโปรแกรมตารางงาน
‘การนัดหมาย: มื้อกลางวันกับ K-Group สิ้นสุดแล้ว’
ภาคินกำลังจะกลับมา!
หัวใจของเธอกระหน่ำเต้นอย่างบ้าคลั่ง เหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดขึ้นตามไรผม เธอรีบยัดเอกสารทุกอย่างกลับเข้าแฟ้มสีน้ำเงินอย่างลวกๆ มือไม้สั่นจนทำอะไรแทบไม่ถูก เธอพยายามนึกว่าเอกสารแต่ละชุดเรียงกันอย่างไร แต่สมองกลับขาวโพลนไปหมด
เธอทำได้แค่ยัดทุกอย่างกลับเข้าไป ปิดแฟ้มเอกสารลงในกล่องโลหะ ปิดฝา แล้วรีบนำมันกลับไปเก็บในตู้เก็บเอกสารนิรภัย ล็อกมันอย่างรวดเร็ว
ติ๊ง!
เสียงลิฟต์ส่วนตัวของผู้บริหารดังขึ้นจากโถงทางเดินด้านนอก เขามาถึงแล้ว!
ลินรีบวิ่งกลับไปปลดล็อกประตูทางเข้าชั้นผู้บริหาร แล้ววิ่งกลับมานั่งที่โต๊ะของตัวเองทันเวลาพอดี เธอแสร้งทำเป็นกำลังพิมพ์งานอยู่บนแป้นพิมพ์ แต่ปลายนิ้วของเธอกลับแข็งทื่อและเย็นเฉียบ
ไม่กี่วินาทีต่อมา ร่างสูงของภาคินก็เดินผ่านประตูเข้ามา เขาสบายๆ คลายเนคไทออกเล็กน้อย ดูไม่เหมือนคนที่เพิ่งกลับมาจากการประชุมเครียด
เขาหยุดเดินเมื่อมาถึงโต๊ะของเธอ
“เรียบร้อยดีไหม” เขาถามด้วยน้ำเสียงปกติ
ลินเงยหน้าขึ้นสบตาเขา พยายามอย่างสุดความสามารถที่จะระงับพายุอารมณ์ที่อยู่ข้างใน “เรียบร้อยดีค่ะท่านประธาน มีเอกสารด่วนจากฝ่ายกฎหมายรอเซ็นอยู่บนโต๊ะค่ะ”
เขาพยักหน้ารับรู้ แต่ยังไม่เดินไปไหน สายตาคมกริบคู่นั้นจับจ้องใบหน้าของเธออย่างสำรวจ “คุณดู...ซีดๆ ไปนะ ไม่สบายหรือเปล่า”
“คงเป็นเพราะยังไม่ได้ทานอะไรน่ะค่ะ” เธอบีบเสียงออกมา “เดี๋ยวจัดการเอกสารชุดนี้เสร็จแล้วจะลงไปหาอะไรทานค่ะ”
คำโกหกไหลออกมาอย่างลื่นไหลจนน่าตกใจ
ภาคินจ้องเธออีกสองสามวินาที เหมือนกำลังชั่งใจอะไรบางอย่าง ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ แล้วเดินเข้าห้องทำงานของตัวเองไป
ลินปล่อยลมหายใจที่กลั้นไว้ออกมาจนสุดปอด ร่างกายของเธออ่อนแรงจนแทบจะฟุบลงไปกับโต๊ะ เธอกลัวจนแทบสิ้นสติ...แต่ในขณะเดียวกัน ความเกลียดชังที่เธอมีต่อเขาก็พุ่งสูงขึ้นจนถึงขีดสุด
เขาไม่ใช่แค่เจ้านายเจ้าเล่ห์ที่ชอบเล่นเกม แต่เขาคือหนึ่งในคนที่ทำลายชีวิตพ่อของเธอ
ตกเย็น ขณะที่ลินกำลังเก็บของเตรียมตัวกลับบ้าน ประตูห้องทำงานของภาคินก็เปิดออกอีกครั้ง
“คุณลลิน” เขาเรียก
เธอหันกลับไปเผชิญหน้ากับเขา เก็บซ่อนความรู้สึกทุกอย่างไว้ภายใต้หน้ากากที่ไร้ความรู้สึก “คะ ท่านประธาน”
“พรุ่งนี้ผมต้องเข้าบริษัทแต่เช้า มีประชุมบอร์ดวาระพิเศษตอนเจ็ดโมง” เขามองตรงมาที่เธอ “ช่วยมาก่อนเวลาเพื่อเตรียมข้อมูลให้ผมด้วย”
“ได้ค่ะ”
“ดี” เขาพูด ก่อนจะเดินเข้ามาใกล้เธออีกก้าวหนึ่ง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่เบาลง “อ้อ...แล้วก็ เรื่องความภักดีน่ะ”
ลินใจหายวาบ
“บางครั้ง...มันก็ไม่ใช่แค่การทำตามคำสั่งอย่างตาบอด” เขามองลึกลงไปในดวงตาของเธอ ราวกับจะส่งสารบางอย่างที่เธอไม่อาจเข้าใจ “แต่มันคือการทำความเข้าใจว่า...ทำไมคำสั่งนั้นถึงถูกสร้างขึ้นมาตั้งแต่แรก”
เขาทิ้งท้ายไว้แค่นั้น ก่อนจะเดินผ่านเธอไปยังลิฟต์ส่วนตัว ทิ้งให้ลินยืนนิ่งงันอยู่ลำพังกับคำพูดที่กำกวมและน่าขนลุกของเขา
คำพูดของเขาหมายความว่าอะไรกันแน่?
เขารู้หรือเปล่าว่าเธอเปิดแฟ้มนั่นแล้ว? เขากำลังเตือนเธอ? หรือเขากำลัง...บอกใบ้อะไรบางอย่างกับเธอ?
คืนนั้นลินนอนไม่หลับเลยสักนาที ในหัวของเธอมีแต่ภาพลายเซ็นของภาคินบนเอกสารแผ่นนั้น กับคำพูดสุดท้ายที่ทิ้งไว้เป็นปริศนา
เธอรู้แล้วว่าเกมนี้ซับซ้อนและอันตรายกว่าที่เธอประเมินไว้มากนัก และศัตรูของเธอ...ภาคิน พีรพัฒน์...ก็ฉลาดและลึกลับเกินกว่าที่เธอจะหยั่งถึงได้
สงครามที่แท้จริง...เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น
เรื่องราวความรัก การแก้แค้น และการให้อภัยของลลินกับภาคินได้เดินทางมาถึงบทสรุปที่สมบูรณ์และงดงามแล้วในตอนที่ 26 ที่ผ่านมา จากจุดเริ่มต้นที่เต็มไปด้วยความแค้นและความไม่ไว้วางใจ...พวกเขาได้ร่วมกันฝ่าฟันอุปสรรคและอันตรายมากมาย จนกระทั่งสามารถเปิดโปงความจริงในอดีตและนำความยุติธรรมกลับคืนมาได้สำเร็จ ในท้ายที่สุด ทั้งสองก็ได้ค้นพบความสุขที่แท้จริงในอ้อมแขนของกันและกัน ปิดฉากสงครามที่ยาวนานและเริ่มต้น ‘ชีวิตคู่’ ที่เต็มไปด้วยความรักและความเข้าใจในฐานะคนที่เท่าเทียมกัน เรื่องราวของ “Under His Command — ใต้คำสั่งของบอส” ได้จบลงอย่างสมบูรณ์แล้วครับ แต่เพื่อเป็นการส่งท้ายการเดินทางที่ยาวนานของพวกเขา ผมขอมอบภาพสุดท้าย...ซึ่งเป็นบทส่งท้ายของเรื่องราวทั้งหมดนี้ครับ บทส่งท้าย (Epilogue) ห้าปีต่อมา... สายลมทะเลอุ่นๆ พัดโชยมาปะทะใบหน้าของลลินอย่างแผ่วเบา เธอยืนอยู่ที่ระเบียงของ ‘ศูนย์พลังงานยั่งยืนอานนท์-วิทยา’ ในจังหวัดระยอง...สถานที่ที่เป็นจุดเริ่มต้นของการเปิดเผยความจริงทั้งหมด บัดนี้...ศูนย์วิจัยเล็กๆ ได้เติบโตและขยายใหญ่ขึ้นจนกลายเป็นสถาบันวิจัยด้านพลังงานสะอาดชั้นแนวหน้าของประเทศ วันนี้เป็
กาลเวลา...คือแม่น้ำที่ไม่เคยไหลย้อนกลับ มันพัดพาเอาความเจ็บปวดและความขัดแย้งให้จางหายไป เหลือทิ้งไว้เพียงตะกอนแห่งความทรงจำและบทเรียนอันล้ำค่า หนึ่งปีต่อมา... สายลมเย็นๆ ของต้นฤดูหนาวในกรุงเทพฯ พัดโชยมาเบาๆ แต่ภายในห้องประชุมใหญ่ของ ‘มูลนิธิอานนท์ วชิรเมธี เพื่อวิศกรรุ่นใหม่’ กลับอบอวลไปด้วยบรรยากาศของความอบอุ่นและความสำเร็จ ลลินในชุดสูทสีขาวสะอาดตากำลังยืนอยู่บนเวทีเบื้องหน้ากลุ่มนักศึกษาและนักลงทุนหลายสิบคน เธอไม่ได้ยืนอยู่ในเงาของใครอีกต่อไปแล้ว...แต่กำลังส่องสว่างด้วยแสงสว่างในตัวเอง ในฐานะผู้อำนวยการบริหาร...ผู้หญิงที่ได้สานต่อความฝันของพ่อให้กลายเป็นความจริงที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม “...และนี่คือตัวอย่างเพียงส่วนหนึ่งของนวัตกรรมที่เกิดขึ้นจากฝีมือของนักเรียนทุนรุ่นแรกของเราค่ะ” เธอพูดพลางผายมือไปยังผลงานที่จัดแสดงอยู่รอบๆ ห้อง “จากโครงการแผงโซลาร์เซลล์ขนาดเล็กสำหรับชุมชนห่างไกล...ไปจนถึงแอปพลิเคชันที่ช่วยให้เกษตรกรสามารถบริหารจัดการน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ...ทั้งหมดนี้คือบทพิสูจน์ว่า...เมล็ดพันธุ์แห่งความอัจฉริยะที่พ่อของดิฉันได้หว่านไว้เมื่อสิบสองปีก่อน...บัดนี้ได้เติบโตและผลิดอก
หนึ่งเดือนหลังจากการประชุมคณะกรรมการบริหารครั้งประวัติศาสตร์...พายุลูกใหญ่ที่เคยพัดถล่มพีรพัฒน์ เอ็นเตอร์ไพรส์ ได้สงบลงแล้ว ทิ้งไว้เพียงร่องรอยของการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ และท้องฟ้าที่สดใสและปลอดโปร่งกว่าเดิม คุณกิตติและพรรคพวกที่เกี่ยวข้องทั้งหมดถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย สมุดบัญชีลับเล่มนั้นได้กลายเป็นหลักฐานชิ้นเอกที่มัดตัวพวกเขาจนดิ้นไม่หลุด และเรื่องราวทั้งหมดก็ได้กลายเป็นตำนานบทใหม่ของวงการธุรกิจไทย...เรื่องราวของ CEO หนุ่มผู้กล้าหาญที่ลุกขึ้นมาต่อสู้กับความอยุติธรรม...และผู้หญิงคนหนึ่งที่ยืนหยัดเคียงข้างเขาอย่างไม่เกรงกลัว สำหรับโลกภายนอก...มันคือบทสรุปที่สวยงาม แต่สำหรับลลินและภาคิน...มันคือการเริ่มต้นของบทใหม่ในชีวิตจริง ลลินก้าวเข้ามาในที่ทำงานแห่งใหม่ของเธอ...สำนักงานของ ‘มูลนิธิอานนท์ วชิรเมธี เพื่อวิศกรรุ่นใหม่’ มันไม่ได้ตั้งอยู่ในตึกพีรพัฒน์ฯ แต่เป็นอาคารพาณิชย์สามชั้นที่ถูกรีโนเวทใหม่ทั้งหมดในย่านเมืองเก่าที่เงียบสงบ ภาคินทุ่มเทงบประมาณมหาศาลเพื่อเนรมิตที่นี่ให้กลายเป็นพื้นที่แห่งความคิดสร้างสรรค์และความหวังอย่างแท้จริง ที่นี่...คืออาณาจักรของเธอ เธอไม่ได้เดินเข้ามา
รุ่งอรุณของวันใหม่หลังจากพายุที่โหมกระหน่ำได้พัดผ่านไปนั้น...สงบสุขและงดงามอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ลลินตื่นขึ้นมาในห้องนอนที่บ้านของภาคิน ไม่ใช่ในฐานะผู้ลี้ภัยหรือพันธมิตรในสงครามอีกต่อไป แต่ในฐานะคนรัก...ผู้หญิงคนหนึ่งที่ได้ค้นพบความสงบสุขเป็นครั้งแรกในรอบสิบสองปี แสงแดดยามเช้าที่สาดส่องเข้ามาในห้องดูเหมือนจะอบอุ่นกว่าทุกวัน และอากาศที่เธอสูดเข้าไปก็ปราศจากความหนักอึ้งของความแค้นและความกังวล สงครามได้จบลงแล้ว...และพวกเขาคือผู้ชนะ เธอกับภาคินใช้เวลาในช่วงเช้าอันเงียบสงบนั้นเหมือนกับคู่รักธรรมดาทั่วไป พวกเขาทำอาหารเช้าง่ายๆ ด้วยกันในครัวที่โปร่งโล่ง บทสนทนาไม่ได้เกี่ยวกับแผนการลับหรือการวิเคราะห์ศัตรูอีกต่อไป แต่เป็นเรื่องสัพเพเหระ...เรื่องที่ว่าใครจะล้างจาน...เรื่องแผนการที่จะหาเวลาว่างไปดูหนังด้วยกัน...มันคือความธรรมดาสามัญที่แสนจะมีค่า “ไม่อยากจะเชื่อเลยนะคะ...ว่ามันจบลงแล้วจริงๆ” ลินพูดขึ้นเบาๆ ขณะที่นั่งจิบกาแฟอยู่ที่เคาน์เตอร์ในครัว มองแผ่นหลังกว้างของภาคินที่กำลังยืนล้างจานอยู่ ภาคินหันมายิ้มให้เธอ...เป็นรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความโล่งอกอย่างแท้จริง “ผมก็เหมือนกัน” เขาวางจาน
เก้าโมงเช้า...ใจกลางกรุงเทพมหานคร...บนชั้น 33 ของตึกพีรพัฒน์ เอ็นเตอร์ไพรส์...ห้องประชุมคณะกรรมการบริหารที่เคยเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจสูงสุด บัดนี้กลับอบอวลไปด้วยบรรยากาศของสงครามเย็นที่พร้อมจะปะทุขึ้นได้ทุกเมื่อ กรรมการบริหารแต่ละคนทยอยเดินทางมาถึงด้วยสีหน้าที่แตกต่างกันไป กลุ่มที่เป็นพันธมิตรของภาคินมีแววตาที่เต็มไปด้วยความกังวลและไม่แน่นอน ในขณะที่กลุ่มที่เป็นคนของคุณกิตติกลับมีรอยยิ้มที่พึงพอใจประดับอยู่บนใบหน้า พวกเขารู้ดีว่าวันนี้...คือวันที่พวกเขาจะทำการ ‘เปลี่ยนขั้ว’ อำนาจครั้งใหญ่ และที่หัวโต๊ะ...ในตำแหน่งของประธาน...คุณกิตตินั่งรออยู่ด้วยความสงบเยือกเย็น เขาสวมชุดสูทผ้าไหมอิตาลีราคาแพง ดูน่าเกรงขามและเปี่ยมไปด้วยบารมีของผู้อาวุโสที่กำลังจะทวงคืนความยิ่งใหญ่...เขาคือผู้ชนะที่รอเวลาประกาศชัยชนะอย่างเป็นทางการเท่านั้น ในขณะที่ทุกคนกำลังรอคอยการมาถึงของตัวละครหลัก...บานประตูไม้สักขนาดใหญ่ของห้องประชุมก็ถูกผลักเปิดออกอย่างแรง! ทุกสายตาหันไปมองเป็นจุดเดียวกัน... ภาคิน พีรพัฒน์ ก้าวเข้ามาในห้อง...สง่างามและน่าเกรงขามในชุดสูทสีน้ำเงินเข้มตัวเก่งของเขา แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนต้องตกตะ
ท้องฟ้าเบื้องล่างค่อยๆ เปลี่ยนจากสีดำสนิทเป็นสีน้ำเงินเข้ม แล้วเจือด้วยสีส้มของแสงอรุณที่ขอบฟ้า เครื่องบินส่วนตัวขนาดเล็กกำลังบินตัดผ่านหมู่เมฆ มุ่งหน้าจากทิศเหนือกลับสู่ใจกลางของพายุ...กรุงเทพมหานคร ภายในห้องโดยสารที่เล็กและเงียบสงบ มีเพียงเสียงเครื่องยนต์ที่ดังครางเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ลลินและภาคินไม่ได้พูดคุยกันมากนัก แต่ความเงียบนั้นไม่ได้เต็มไปด้วยความตึงเครียดเหมือนครั้งก่อนๆ...แต่เป็นความเงียบที่เต็มไปด้วยการทำงานร่วมกันอย่างเข้าขาราวกับเป็นคนๆ เดียวกัน ภาคินกำลังใช้โทรศัพท์ผ่านดาวเทียมซึ่งเป็นช่องทางการสื่อสารที่ปลอดภัยที่สุดในการติดต่อกับเครือข่ายพันธมิตรของเขาในกรุงเทพฯ น้ำเสียงของเขาเยือกเย็น เด็ดขาด และเต็มไปด้วยอำนาจ เขาไม่ได้อยู่ในสถานะของผู้ที่กำลังจะถูกถอดถอน แต่เป็นเหมือนแม่ทัพที่กำลังบัญชาการรบจากแดนไกล “คุณอาฉัตรชัยครับ” เขาพูดกับปลายสาย “พรุ่งนี้เช้า...ผมไม่ต้องการให้คุณอาโต้แย้งญัตติของคุณกิตติ แต่ผมต้องการให้คุณอา ‘ตั้งคำถาม’...ตั้งคำถามถึงความโปร่งใส ตั้งคำถามถึงหลักฐาน และที่สำคัญที่สุด...ตั้งคำถามถึง ‘แรงจูงใจ’ ที่แท้จริงของคุณกิตติในการทำเรื่องนี้...เราต้องทำ







