LOGIN“ภาคิน” ซีอีโอหนุ่มเจ้าของบริษัทเทคโนโลยีชื่อดัง ผู้มีเสน่ห์และเจ้าเกมคนหนึ่งที่ไม่เคยปล่อยให้ใครอ่านใจได้ง่าย เขาเคร่งขรึมกับงานแต่ชอบหยอกเย้าลูกน้องสาวคนใหม่อย่าง “ลิน” เลขาส่วนตัวที่เพิ่งเข้ามาในบริษัทด้วยเหตุผลบางอย่างที่เขารู้ดีว่า…เธอไม่ได้มาเพียงเพื่อทำงาน แต่มีความลับซ่อนอยู่ ความสัมพันธ์ที่เริ่มจากคำสั่ง กลายเป็นการท้าทาย เธอพยายามปิดบังความตั้งใจที่แท้จริง ส่วนเขากลับเล่นเกมอันตรายที่ทำให้หัวใจเธอสั่นไหวจนไม่แน่ใจว่าใครกันแน่ที่กำลังถูกควบคุม
View Moreเสียงลิฟต์ความเร็วสูงดังขึ้นเบาๆ พร้อมกับบานประตูสเตนเลสที่สะท้อนเงาของ ลลิน หรือ ลิน อย่างเลือนราง หญิงสาวในชุดเดรสสูทสีเทาเข้มที่ตัดเย็บอย่างดี สูดลมหายใจเข้าลึก กลิ่นหอมสะอาดของน้ำยาปรับอากาศในอาคาร ‘พีรพัฒน์ เอ็นเตอร์ไพรส์’ เย็นเฉียบจนรู้สึกได้
‘ชั้น 32’
ตัวเลขดิจิทัลสีแดงเหนือประตูลิฟต์คือจุดหมายปลายทางของเธอ...และอาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของทุกสิ่ง
ลินก้าวเท้าออกจากลิฟต์สู่พื้นที่โอ่โถงที่ปูด้วยหินอ่อนมันวาว ผนังกระจกสูงจากพื้นจรดเพดานเผยให้เห็นทิวทัศน์ของกรุงเทพฯ ที่ทอดยาวสุดลูกหูลูกตา ทุกอย่างที่นี่ตะโกนบอกถึงคำว่า ‘อำนาจ’ และ ‘ความสำเร็จ’ ซึ่งเป็นสิ่งที่พรากทุกอย่างไปจากครอบครัวของเธอเมื่อสิบปีก่อน
หัวใจของเธอเต้นแรง ไม่ใช่เพราะความประหม่า แต่เป็นความมุ่งมั่นที่ซ่อนอยู่ใต้ใบหน้าที่เรียบเฉย
“คุณลลินใช่ไหมคะ ดิฉันวิภา เป็นหัวหน้าแผนกเลขาฯ ค่ะ ท่านประธานรออยู่ข้างในแล้ว” หญิงวัยกลางคนที่ดูภูมิฐานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่แฝงไปด้วยการประเมิน
“ค่ะ ขอบคุณค่ะคุณวิภา” ลินตอบกลับพร้อมรอยยิ้มพิมพ์ใจที่ฝึกฝนมาอย่างดี
บานประตูไม้สักขนาดใหญ่ถูกเปิดออกอย่างเงียบเชียบ เผยให้เห็นห้องทำงานที่กว้างขวางจนน่าทึ่ง การตกแต่งเป็นแบบมินิมัลลิสต์ เน้นโทนสีเข้มอย่างดำ เทา และน้ำเงินเข้ม แต่สิ่งที่ดึงสายตาของลินไปจนหมดคือร่างสูงสง่าที่ยืนหันหลังให้เธออยู่ตรงผนังกระจกบานนั้น
แผ่นหลังกว้างภายใต้เสื้อเชิ้ตสีขาวสั่งตัดรับกับช่วงไหล่ที่แข็งแรง เขายืนนิ่งเหมือนรูปสลัก จ้องมองเมืองหลวงที่อยู่ภายใต้อำนาจของเขาราวกับเป็นเจ้าชีวิต
แล้วร่างนั้นก็หันกลับมา
ภาคิน พีรพัฒน์
ซีอีโอหนุ่มผู้กุมบังเหียนบริษัทยักษ์ใหญ่แห่งนี้ ดวงตาของเขาคมกริบราวกับใบมีด ริมฝีปากหยักได้รูปเหยียดออกเล็กน้อยคล้ายรอยยิ้ม แต่ก็ไม่เชิง เขากวาดตามองเธอตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ช้าๆ...และจงใจ
“คุณลลิน วชิรเมธี” เขาเอ่ยชื่อเต็มของเธอ น้ำเสียงทุ้มต่ำก้องกังวานในความเงียบ “ผมอ่านประวัติของคุณแล้ว น่าสนใจมาก”
“ขอบคุณค่ะท่านประธาน” ลินตอบ พยายามควบคุมเสียงไม่ให้สั่น
“ความสามารถของคุณโดดเด่น... แต่ที่น่าสนใจกว่าคือเหตุผลที่คุณเลือกมาสมัครที่นี่ ทั้งที่คุณมีข้อเสนอจากที่อื่นที่ดีไม่แพ้กัน” ภาคินพูดพลางเดินเข้ามาใกล้ โต๊ะทำงานราคาแพงระยับคั่นกลางระหว่างพวกเขา แต่ลินกลับรู้สึกเหมือนไม่มีอะไรกั้นขวางสายตาคู่นั้นได้เลย
สายตาที่เหมือนจะมองทะลุเข้ามาในความคิดของเธอ
“ดิฉันมองว่าพีรพัฒน์ เอ็นเตอร์ไพรส์ คือโอกาสที่ดีที่สุดในการเรียนรู้และเติบโตค่ะ” เธอตอบตามบทที่เตรียมมาอย่างดี
ภาคินหัวเราะในลำคอเบาๆ “การเติบโต...งั้นเหรอ”
เขาเท้าแขนลงบนโต๊ะ โน้มตัวมาข้างหน้าเล็กน้อย ดวงตาของเขาจับจ้องเธอไม่วาง “ตำแหน่งเลขาส่วนตัวของผมต้องใช้มากกว่าความสามารถ คุณต้องมีความภักดีสูง และต้องเก็บความลับได้ดีเยี่ยม... โดยเฉพาะความลับที่เจ้าของไม่อนุญาตให้เปิดเผย”
คำพูดนั้นเสียดแทงเข้ามาในใจของลินราวกับลูกศร มันตรงเกินไป...เหมือนเขากำลังพูดถึงเรื่องอื่น เรื่องที่เธอซ่อนไว้ลึกที่สุด
“ดิฉันเข้าใจดีค่ะ”
“ดี” ภาคินยืดตัวขึ้นเต็มความสูง ก่อนจะเดินอ้อมโต๊ะมาหยุดอยู่ตรงหน้าเธอ กลิ่นโคโลญจน์จางๆ ที่หอมเย้ายวนปนอันตรายลอยมาแตะจมูก “ผมรับคุณเข้าทำงาน เริ่มพรุ่งนี้”
เร็วกว่าที่คิด...เร็วจนน่าสงสัย
“ขอบพระคุณค่ะท่านประธาน ดิฉันจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด”
“ผมหวังว่าอย่างนั้น” เขามองลึกลงไปในดวงตาของเธอ แววตาของเขามีประกายบางอย่างที่เธออ่านไม่ออก มันไม่ใช่แค่ความพอใจที่ได้เลขาฯ คนใหม่ แต่มันซับซ้อนกว่านั้น...เหมือนผู้ชนะในเกมที่เธอเพิ่งรู้ตัวว่าได้เดินเข้ามาในสนามแล้ว
“ยินดีต้อนรับสู่ชั้น 32 คุณลลิน” เขายื่นมือมาตรงหน้า
ลินยื่นมือที่เย็นเฉียบของตัวเองออกไปสัมผัส วินาทีที่ปลายนิ้วของพวกเขาสัมผัสกัน ความรู้สึกแปลบประหลาดก็แล่นผ่านร่างของเธอ ภาคินบีบมือเธอเบาๆ แต่มั่นคง สายตาของเขายังคงตรึงเธอไว้
“หวังว่าคุณจะสนุกกับ ‘เกม’ ของที่นี่”
คำพูดสุดท้ายของเขาทิ้งให้ลินยืนนิ่งงัน แม้หลังจากที่เขาปล่อยมือและหันหลังกลับไปแล้ว เธอก้าวออกจากห้องทำงานนั้นด้วยหัวใจที่เต้นระรัว
เธอคิดว่าเธอเป็นฝ่ายคุมเกมมาตลอด...แต่การสบตากับภาคินเมื่อครู่ทำให้เธอไม่แน่ใจเสียแล้ว
บางที...เขาอาจจะรู้อะไรบางอย่างเกี่ยวกับเธอมาตั้งแต่แรก
และนี่ไม่ใช่แค่การเริ่มต้นทำงาน...แต่มันคือการเริ่มต้นสงครามประสาทระหว่างเธอกับเขา... บอสคนใหม่ที่อยู่ภายใต้คำสั่งของเขา
เรื่องราวความรัก การแก้แค้น และการให้อภัยของลลินกับภาคินได้เดินทางมาถึงบทสรุปที่สมบูรณ์และงดงามแล้วในตอนที่ 26 ที่ผ่านมา จากจุดเริ่มต้นที่เต็มไปด้วยความแค้นและความไม่ไว้วางใจ...พวกเขาได้ร่วมกันฝ่าฟันอุปสรรคและอันตรายมากมาย จนกระทั่งสามารถเปิดโปงความจริงในอดีตและนำความยุติธรรมกลับคืนมาได้สำเร็จ ในท้ายที่สุด ทั้งสองก็ได้ค้นพบความสุขที่แท้จริงในอ้อมแขนของกันและกัน ปิดฉากสงครามที่ยาวนานและเริ่มต้น ‘ชีวิตคู่’ ที่เต็มไปด้วยความรักและความเข้าใจในฐานะคนที่เท่าเทียมกัน เรื่องราวของ “Under His Command — ใต้คำสั่งของบอส” ได้จบลงอย่างสมบูรณ์แล้วครับ แต่เพื่อเป็นการส่งท้ายการเดินทางที่ยาวนานของพวกเขา ผมขอมอบภาพสุดท้าย...ซึ่งเป็นบทส่งท้ายของเรื่องราวทั้งหมดนี้ครับ บทส่งท้าย (Epilogue) ห้าปีต่อมา... สายลมทะเลอุ่นๆ พัดโชยมาปะทะใบหน้าของลลินอย่างแผ่วเบา เธอยืนอยู่ที่ระเบียงของ ‘ศูนย์พลังงานยั่งยืนอานนท์-วิทยา’ ในจังหวัดระยอง...สถานที่ที่เป็นจุดเริ่มต้นของการเปิดเผยความจริงทั้งหมด บัดนี้...ศูนย์วิจัยเล็กๆ ได้เติบโตและขยายใหญ่ขึ้นจนกลายเป็นสถาบันวิจัยด้านพลังงานสะอาดชั้นแนวหน้าของประเทศ วันนี้เป็
กาลเวลา...คือแม่น้ำที่ไม่เคยไหลย้อนกลับ มันพัดพาเอาความเจ็บปวดและความขัดแย้งให้จางหายไป เหลือทิ้งไว้เพียงตะกอนแห่งความทรงจำและบทเรียนอันล้ำค่า หนึ่งปีต่อมา... สายลมเย็นๆ ของต้นฤดูหนาวในกรุงเทพฯ พัดโชยมาเบาๆ แต่ภายในห้องประชุมใหญ่ของ ‘มูลนิธิอานนท์ วชิรเมธี เพื่อวิศกรรุ่นใหม่’ กลับอบอวลไปด้วยบรรยากาศของความอบอุ่นและความสำเร็จ ลลินในชุดสูทสีขาวสะอาดตากำลังยืนอยู่บนเวทีเบื้องหน้ากลุ่มนักศึกษาและนักลงทุนหลายสิบคน เธอไม่ได้ยืนอยู่ในเงาของใครอีกต่อไปแล้ว...แต่กำลังส่องสว่างด้วยแสงสว่างในตัวเอง ในฐานะผู้อำนวยการบริหาร...ผู้หญิงที่ได้สานต่อความฝันของพ่อให้กลายเป็นความจริงที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม “...และนี่คือตัวอย่างเพียงส่วนหนึ่งของนวัตกรรมที่เกิดขึ้นจากฝีมือของนักเรียนทุนรุ่นแรกของเราค่ะ” เธอพูดพลางผายมือไปยังผลงานที่จัดแสดงอยู่รอบๆ ห้อง “จากโครงการแผงโซลาร์เซลล์ขนาดเล็กสำหรับชุมชนห่างไกล...ไปจนถึงแอปพลิเคชันที่ช่วยให้เกษตรกรสามารถบริหารจัดการน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ...ทั้งหมดนี้คือบทพิสูจน์ว่า...เมล็ดพันธุ์แห่งความอัจฉริยะที่พ่อของดิฉันได้หว่านไว้เมื่อสิบสองปีก่อน...บัดนี้ได้เติบโตและผลิดอก
หนึ่งเดือนหลังจากการประชุมคณะกรรมการบริหารครั้งประวัติศาสตร์...พายุลูกใหญ่ที่เคยพัดถล่มพีรพัฒน์ เอ็นเตอร์ไพรส์ ได้สงบลงแล้ว ทิ้งไว้เพียงร่องรอยของการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ และท้องฟ้าที่สดใสและปลอดโปร่งกว่าเดิม คุณกิตติและพรรคพวกที่เกี่ยวข้องทั้งหมดถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย สมุดบัญชีลับเล่มนั้นได้กลายเป็นหลักฐานชิ้นเอกที่มัดตัวพวกเขาจนดิ้นไม่หลุด และเรื่องราวทั้งหมดก็ได้กลายเป็นตำนานบทใหม่ของวงการธุรกิจไทย...เรื่องราวของ CEO หนุ่มผู้กล้าหาญที่ลุกขึ้นมาต่อสู้กับความอยุติธรรม...และผู้หญิงคนหนึ่งที่ยืนหยัดเคียงข้างเขาอย่างไม่เกรงกลัว สำหรับโลกภายนอก...มันคือบทสรุปที่สวยงาม แต่สำหรับลลินและภาคิน...มันคือการเริ่มต้นของบทใหม่ในชีวิตจริง ลลินก้าวเข้ามาในที่ทำงานแห่งใหม่ของเธอ...สำนักงานของ ‘มูลนิธิอานนท์ วชิรเมธี เพื่อวิศกรรุ่นใหม่’ มันไม่ได้ตั้งอยู่ในตึกพีรพัฒน์ฯ แต่เป็นอาคารพาณิชย์สามชั้นที่ถูกรีโนเวทใหม่ทั้งหมดในย่านเมืองเก่าที่เงียบสงบ ภาคินทุ่มเทงบประมาณมหาศาลเพื่อเนรมิตที่นี่ให้กลายเป็นพื้นที่แห่งความคิดสร้างสรรค์และความหวังอย่างแท้จริง ที่นี่...คืออาณาจักรของเธอ เธอไม่ได้เดินเข้ามา
รุ่งอรุณของวันใหม่หลังจากพายุที่โหมกระหน่ำได้พัดผ่านไปนั้น...สงบสุขและงดงามอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ลลินตื่นขึ้นมาในห้องนอนที่บ้านของภาคิน ไม่ใช่ในฐานะผู้ลี้ภัยหรือพันธมิตรในสงครามอีกต่อไป แต่ในฐานะคนรัก...ผู้หญิงคนหนึ่งที่ได้ค้นพบความสงบสุขเป็นครั้งแรกในรอบสิบสองปี แสงแดดยามเช้าที่สาดส่องเข้ามาในห้องดูเหมือนจะอบอุ่นกว่าทุกวัน และอากาศที่เธอสูดเข้าไปก็ปราศจากความหนักอึ้งของความแค้นและความกังวล สงครามได้จบลงแล้ว...และพวกเขาคือผู้ชนะ เธอกับภาคินใช้เวลาในช่วงเช้าอันเงียบสงบนั้นเหมือนกับคู่รักธรรมดาทั่วไป พวกเขาทำอาหารเช้าง่ายๆ ด้วยกันในครัวที่โปร่งโล่ง บทสนทนาไม่ได้เกี่ยวกับแผนการลับหรือการวิเคราะห์ศัตรูอีกต่อไป แต่เป็นเรื่องสัพเพเหระ...เรื่องที่ว่าใครจะล้างจาน...เรื่องแผนการที่จะหาเวลาว่างไปดูหนังด้วยกัน...มันคือความธรรมดาสามัญที่แสนจะมีค่า “ไม่อยากจะเชื่อเลยนะคะ...ว่ามันจบลงแล้วจริงๆ” ลินพูดขึ้นเบาๆ ขณะที่นั่งจิบกาแฟอยู่ที่เคาน์เตอร์ในครัว มองแผ่นหลังกว้างของภาคินที่กำลังยืนล้างจานอยู่ ภาคินหันมายิ้มให้เธอ...เป็นรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความโล่งอกอย่างแท้จริง “ผมก็เหมือนกัน” เขาวางจาน
เก้าโมงเช้า...ใจกลางกรุงเทพมหานคร...บนชั้น 33 ของตึกพีรพัฒน์ เอ็นเตอร์ไพรส์...ห้องประชุมคณะกรรมการบริหารที่เคยเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจสูงสุด บัดนี้กลับอบอวลไปด้วยบรรยากาศของสงครามเย็นที่พร้อมจะปะทุขึ้นได้ทุกเมื่อ กรรมการบริหารแต่ละคนทยอยเดินทางมาถึงด้วยสีหน้าที่แตกต่างกันไป กลุ่มที่เป็นพันธมิตรของภาคินมีแววตาที่เต็มไปด้วยความกังวลและไม่แน่นอน ในขณะที่กลุ่มที่เป็นคนของคุณกิตติกลับมีรอยยิ้มที่พึงพอใจประดับอยู่บนใบหน้า พวกเขารู้ดีว่าวันนี้...คือวันที่พวกเขาจะทำการ ‘เปลี่ยนขั้ว’ อำนาจครั้งใหญ่ และที่หัวโต๊ะ...ในตำแหน่งของประธาน...คุณกิตตินั่งรออยู่ด้วยความสงบเยือกเย็น เขาสวมชุดสูทผ้าไหมอิตาลีราคาแพง ดูน่าเกรงขามและเปี่ยมไปด้วยบารมีของผู้อาวุโสที่กำลังจะทวงคืนความยิ่งใหญ่...เขาคือผู้ชนะที่รอเวลาประกาศชัยชนะอย่างเป็นทางการเท่านั้น ในขณะที่ทุกคนกำลังรอคอยการมาถึงของตัวละครหลัก...บานประตูไม้สักขนาดใหญ่ของห้องประชุมก็ถูกผลักเปิดออกอย่างแรง! ทุกสายตาหันไปมองเป็นจุดเดียวกัน... ภาคิน พีรพัฒน์ ก้าวเข้ามาในห้อง...สง่างามและน่าเกรงขามในชุดสูทสีน้ำเงินเข้มตัวเก่งของเขา แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนต้องตกตะ
ท้องฟ้าเบื้องล่างค่อยๆ เปลี่ยนจากสีดำสนิทเป็นสีน้ำเงินเข้ม แล้วเจือด้วยสีส้มของแสงอรุณที่ขอบฟ้า เครื่องบินส่วนตัวขนาดเล็กกำลังบินตัดผ่านหมู่เมฆ มุ่งหน้าจากทิศเหนือกลับสู่ใจกลางของพายุ...กรุงเทพมหานคร ภายในห้องโดยสารที่เล็กและเงียบสงบ มีเพียงเสียงเครื่องยนต์ที่ดังครางเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ลลินและภาคินไม่ได้พูดคุยกันมากนัก แต่ความเงียบนั้นไม่ได้เต็มไปด้วยความตึงเครียดเหมือนครั้งก่อนๆ...แต่เป็นความเงียบที่เต็มไปด้วยการทำงานร่วมกันอย่างเข้าขาราวกับเป็นคนๆ เดียวกัน ภาคินกำลังใช้โทรศัพท์ผ่านดาวเทียมซึ่งเป็นช่องทางการสื่อสารที่ปลอดภัยที่สุดในการติดต่อกับเครือข่ายพันธมิตรของเขาในกรุงเทพฯ น้ำเสียงของเขาเยือกเย็น เด็ดขาด และเต็มไปด้วยอำนาจ เขาไม่ได้อยู่ในสถานะของผู้ที่กำลังจะถูกถอดถอน แต่เป็นเหมือนแม่ทัพที่กำลังบัญชาการรบจากแดนไกล “คุณอาฉัตรชัยครับ” เขาพูดกับปลายสาย “พรุ่งนี้เช้า...ผมไม่ต้องการให้คุณอาโต้แย้งญัตติของคุณกิตติ แต่ผมต้องการให้คุณอา ‘ตั้งคำถาม’...ตั้งคำถามถึงความโปร่งใส ตั้งคำถามถึงหลักฐาน และที่สำคัญที่สุด...ตั้งคำถามถึง ‘แรงจูงใจ’ ที่แท้จริงของคุณกิตติในการทำเรื่องนี้...เราต้องทำ
Comments