FAZER LOGINเศษเสี้ยวของความปลอดภัยที่ลลินรู้สึกได้ในอ้อมแขนของการปกป้องจากภาคินนั้นเปราะบางราวกับแก้ว มันทั้งสวยงามและอันตรายในเวลาเดียวกัน ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา บรรยากาศระหว่างพวกเขาทั้งสองคนเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง กำแพงที่เคยขวางกั้นได้ทลายลงแล้ว เหลือเพียงความตระหนก ความประหม่า และความปรารถนาที่ซ่อนเร้นซึ่งลอยวนอยู่ในอากาศรอบตัวพวกเขาราวกับกระแสไฟฟ้าสถิต
ลลินพยายามอย่างยิ่งที่จะกลับไปทำตัวเป็นเลขาผู้เย็นชา แต่ทุกครั้งที่ภาคินเดินผ่านโต๊ะของเธอ หรือยื่นเอกสารให้จนปลายนิ้วเฉียดกันเบาๆ หัวใจของเธอก็จะกระตุกอย่างรุนแรงจนต้องแอบสูดลมหายใจเพื่อตั้งสติ เธอกำลังสูญเสียการควบคุม...ไม่ใช่แค่กับสถานการณ์ แต่กับหัวใจของตัวเอง
แล้วเทียบเชิญที่ไม่อาจปฏิเสธก็มาถึง... ‘งานเลี้ยงขอบคุณพนักงานประจำปี’ ของพีรพัฒน์ เอ็นเตอร์ไพรส์
มันเป็นงานเลี้ยงใหญ่ที่จัดขึ้นในห้องแกรนด์บอลรูมของโรงแรมหรูระดับห้าดาว เป็นงานที่ทุกคนในบริษัทต่างรอคอย แต่สำหรับลลินแล้ว มันคือนรกดีๆ นี่เอง เธอต้องเผชิญหน้ากับสายตาซุบซิบนินทาของเพื่อนร่วมงาน ต้องเห็นภาพของมินาและพรรคพวกที่จ้องมองมาด้วยความเกลียดชัง และที่เลวร้ายที่สุด...เธอต้องเห็นภาคินในบทบาทท่านประธานผู้ทรงเกียรติ อยู่ท่ามกลางแสงไฟที่สาดส่อง ในขณะที่เธอเป็นได้เพียงเงาที่ยืนอยู่ในมุมมืด
เธอไม่อยากไป แต่ในฐานะเลขานุการส่วนตัวของประธานกรรมการบริหาร การไม่ไปร่วมงานถือเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
คืนวันงาน ลลินยืนอยู่หน้าตู้เสื้อผ้าเป็นเวลานาน ใจหนึ่งก็อยากจะเลือกชุดที่เรียบง่ายและกลมกลืนไปกับฝูงชนที่สุด แต่อีกใจหนึ่ง...ใจทรยศดวงนั้น...กลับกระซิบให้เธอเลือกชุดที่คู่ควรกับการไปยืนอยู่ข้างๆ ผู้ชายคนนั้น
สุดท้าย เธอก็พ่ายแพ้ต่อหัวใจตัวเอง
เธอเลือกชุดเดรสยาวเกาะอกสีน้ำเงินเข้ม สีเดียวกับแฟ้มเอกสารที่เป็นจุดเริ่มต้นของทุกสิ่ง เนื้อผ้าไหมซาตินที่ทิ้งตัวสวยขับเน้นเรือนร่างของเธออย่างพอเหมาะพอดี ไม่เปิดเผยจนเกินงาม แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันงดงามจนหยุดหายใจ เธอรวบผมขึ้นเป็นมวยง่ายๆ ปล่อยปอยผมลงมาข้างแก้มเล็กน้อย แต่งหน้าในโทนสีที่ขับให้ดวงตาของเธอดูลึกลับและน่าค้นหา
เมื่อมองตัวเองในกระจก ลลินก็แทบจำตัวเองไม่ได้ เธอไม่ใช่เลขาฯ ลลินคนเดิมอีกต่อไปแล้ว
แสงไฟระยิบระยับจากโคมระย้าคริสตัลสาดส่องลงมากระทบกับแก้วแชมเปญในมือของผู้คน เสียงดนตรีแจ๊สบรรเลงคลอเบาๆ สร้างบรรยากาศที่หรูหราและผ่อนคลาย ลลินก้าวเข้ามาในงานเลี้ยงอย่างเงียบเชียบที่สุด เธอรู้สึกเหมือนเป็นคนนอกทันทีที่ก้าวเข้ามา ทุกคนดูมีความสุข หัวเราะและพูดคุยกันอย่างออกรส
แล้วเธอก็เห็นเขา...
ภาคินยืนอยู่กลางห้อง รายล้อมไปด้วยคณะผู้บริหารระดับสูง เขาสวมชุดทักซิโด้สีดำสนิทที่ตัดเย็บอย่างสมบูรณ์แบบ รอยยิ้มทรงเสน่ห์ประดับอยู่บนใบหน้าขณะที่พูดคุยกับแขกในงาน แสงไฟในห้องดูเหมือนจะสาดส่องไปที่เขาเพียงคนเดียว เขาคือพระราชาในอาณาจักรของเขาอย่างแท้จริง
หัวใจของลินเต้นผิดจังหวะไปชั่วขณะ...เขาสง่างามเกินไป...ไกลเกินกว่าที่เธอจะเอื้อมถึง
เธอเลือกที่จะหลบไปยืนอยู่เงียบๆ ที่มุมหนึ่งของห้อง จิบเครื่องดื่มในมือและเฝ้ามองทุกอย่างราวกับเป็นผู้ชมละครเวที เธอเห็นมินามองมาที่เธอด้วยสายตาแข็งกร้าว แต่ก็ไม่กล้าเดินเข้ามาหาเรื่อง เธอเห็นเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ ชำเลืองมองเธอสลับกับมองไปทางภาคินแล้วก็หันไปซุบซิบกัน
เธอควรจะชินกับมันได้แล้ว...แต่คืนนี้มันกลับรู้สึกเจ็บปวดกว่าทุกครั้ง
ราวกับรับรู้ได้ถึงสายตาของเธอ ภาคินที่กำลังยืนคุยอยู่อีกฟากของห้องก็เงยหน้าขึ้นมาสบตากับเธอพอดิบพอดี...เหมือนมีแม่เหล็กดึงดูดสายตาของพวกเขาทั้งสองคนไว้ด้วยกัน ท่ามกลางผู้คนมากมายในห้องนี้ โลกทั้งใบเหมือนจะหยุดหมุนไปชั่วขณะ เขายกแก้วขึ้นเล็กน้อยเป็นเชิงทักทาย พร้อมกับรอยยิ้มบางเบาที่ส่งมาให้เธอ...และเธอเพียงคนเดียว
แก้มของลินร้อนผ่าวขึ้นมาทันที เธอรีบหลบสายตาและหันไปมองทางอื่น แต่เธอก็ยังรู้สึกได้ว่าเขากำลังมองเธออยู่
“หลบมาอยู่ตรงนี้คนเดียวนี่เอง”
เสียงทุ้มที่คุ้นเคยดังขึ้นข้างๆ ตัว ลลินหันขวับไปมองอย่างตกใจ ภาคินเดินมาหยุดยืนอยู่ข้างๆ เธอตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
“ท่านประธาน...”
“คืนนี้เราอยู่นอกเวลางานนะ” เขาพูดพลางจิบเครื่องดื่มในมือ “คุณเรียกผมว่าคุณภาคินก็ได้”
“ลินไม่ชินค่ะ” เธอตอบตามตรง
“งั้นก็หัดซะ” เขายิ้ม ดวงตาของเขามีประกายระยิบระยับยิ่งกว่าแสงไฟในห้องเสียอีก เขากวาดตามองเธอตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าอย่างไม่ปิดบัง “คืนนี้...คุณสวยมากนะลลิน”
คำชมที่ตรงไปตรงมาทำให้เธอทำตัวไม่ถูก ได้แต่ก้มหน้างุด “ขอบคุณค่ะ”
“ผมพูดจริง” เขายืนยัน “สวยจนผม...ละสายตาไม่ได้เลย”
ก่อนที่ลินจะได้พูดอะไรต่อ ชายสูงวัยในชุดสูทราคาแพงก็เดินเข้ามาทักทายภาคินด้วยรอยยิ้มอบอุ่น
“อ้าวคุณภาคิน กำลังจะไปทักทายอยู่พอดี”
“สวัสดีครับคุณอา” ภาคินหันไปยกมือไหว้ชายคนนั้นอย่างนอบน้อม “ผมขอแนะนำ นี่คุณลลิน เลขาฯ ของผมครับ...ลลิน นี่คุณกิตติ หนึ่งในคณะกรรมการบริหารอาวุโสของเรา ท่านเป็นเหมือนญาติผู้ใหญ่ของผมน่ะ”
ลลินยกมือไหว้ชายที่ชื่อกิตติอย่างสุภาพ คุณกิตติดูเป็นชายสูงวัยที่ใจดีและน่าเคารพ เขามีรอยยิ้มอบอุ่นอยู่บนใบหน้าตลอดเวลา
“ยินดีที่ได้รู้จักนะหนูลิน” เขารับไหว้ “ทำงานกับเจ้าภาคินมันเหนื่อยหน่อยนะ มันบ้างานเหมือนพ่อมันไม่มีผิด”
“ไม่หรอกค่ะ ท่านประธาน...เอ่อ...คุณภาคินเป็นเจ้านายที่ดีค่ะ” ลินตอบ
“ดีแล้วๆ” คุณกิตติตบบ่าภาคินเบาๆ “อาดีใจที่เห็นเรามีคนที่ไว้ใจได้อยู่ข้างๆ นะ...เอาล่ะ อาไม่กวนหนุ่มสาวคุยกันแล้ว ขอตัวก่อน”
คุณกิตติเดินจากไปพร้อมกับรอยยิ้ม แต่ลลินกลับรู้สึกได้ถึงสายตาที่เขามองมาที่เธอเมื่อครู่...มันเป็นสายตาที่สำรวจและประเมินอย่างละเอียด ไม่ใช่สายตาของญาติผู้ใหญ่ที่เอ็นดูเด็กสาวธรรมดาคนหนึ่ง มันทำให้เธอรู้สึกไม่สบายใจอย่างประหลาด
เมื่อถึงช่วงเวลาสำคัญของงาน ภาคินก็ต้องขึ้นไปบนเวทีเพื่อกล่าวขอบคุณพนักงานทุกคน เขายืนอยู่ท่ามกลางแสงสปอตไลท์ พูดจาอย่างฉะฉานและทรงพลัง เขากล่าวถึงความสำเร็จของบริษัท ขอบคุณความทุ่มเทของทุกคน และพูดถึงวิสัยทัศน์ในอนาคต
แต่ในช่วงท้ายของสุนทรพจน์...เขากลับหยุดพูดไปชั่วครู่ แล้วสายตาของเขาก็กวาดมองไปทั่วทั้งห้อง...จนกระทั่งมาหยุดอยู่ที่เธอ
“...และสุดท้ายนี้ ผมอยากจะบอกว่า ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ไม่ได้วัดกันที่ตัวเลขผลกำไร” เขามองตรงมาที่เธอ ราวกับว่าในห้องนี้มีเพียงแค่เธอกับเขา “แต่มันวัดกันที่...การที่เรามีใครสักคนที่พร้อมจะยืนหยัดต่อสู้เคียงข้างเราในวันที่เราเหนื่อยล้าที่สุด...ขอบคุณทุกคนมากครับ”
คำพูดของเขา...สายตาของเขา...ทำให้ลินรู้สึกเหมือนหัวใจจะหยุดเต้น เธอรู้...เธอรู้ได้ในทันทีว่าประโยคนั้นเขาหมายถึงใคร
หลังจากสิ้นสุดงานเลี้ยง ภาคินถูกรุมล้อมด้วยพนักงานที่ต้องการจะพูดคุยและแสดงความยินดี ลลินจึงถือโอกาสปลีกตัวออกมาเพื่อเดินทางกลับอย่างเงียบๆ เธอรู้สึกว่าหัวใจของเธอถูกปั่นป่วนมากพอแล้วสำหรับคืนนี้
แต่ขณะที่เธอกำลังจะก้าวออกจากประตูห้องบอลรูม มืออุ่นๆ ข้างหนึ่งก็คว้าข้อมือของเธอไว้
“จะกลับแล้วเหรอ” เสียงของภาคินดังขึ้นข้างหลัง
“ค่ะ งานเลิกแล้ว”
“ผมไปส่ง”
“ไม่เป็นไรค่ะ ลินกลับเองได้จริงๆ”
“ผมบอกว่าจะไปส่ง” เขาย้ำด้วยน้ำเสียงที่ไม่เปิดโอกาสให้ปฏิเสธ ก่อนจะพาเธอเดินเลี่ยงออกจากงานไปทางประตูด้านข้างอย่างรวดเร็ว
บรรยากาศในรถคืนนี้เงียบและตึงเครียดยิ่งกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา มันไม่ใช่ความเงียบที่น่าอึดอัด แต่เป็นความเงียบที่อิ่มตัวไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกที่ต่างฝ่ายต่างก็ไม่ได้พูดออกมา
ภาคินไม่ได้ขับรถไปทางคอนโดของเธอ แต่เขากลับเลี้ยวไปยังสวนสาธารณะริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่เงียบสงบและปิดทำการไปแล้ว เขาจอดรถในมุมที่มืดที่สุดใต้ต้นไม้ใหญ่ ก่อนจะดับเครื่องยนต์
ความเงียบเข้าปกคลุมอีกครั้ง มีเพียงเสียงลมหายใจและเสียงหัวใจของลินที่เต้นรัวอยู่ในอก
“ทำไมถึงรีบกลับ” เขาถามขึ้น ทำลายความเงียบ
“...ลินไม่ชอบอยู่ในที่ที่คนเยอะๆ ค่ะ”
“หรือว่า...คุณกำลังหนีอะไรอยู่” เขาหันหน้ามาเผชิญกับเธอเต็มๆ แสงจันทร์ที่สาดส่องเข้ามาทางกระจกหน้ารถทำให้เธอมองเห็นแววตาที่จริงจังของเขา “หนีผม...ใช่ไหม”
ลินไม่ตอบ เธอทำได้แค่เบือนหน้าหนี
“มองผมสิลิน” เขาสั่งด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงแต่ก็ยังเด็ดขาด “ผมถาม...ว่าคุณกำลังหนีผมอยู่ใช่ไหม”
เธอหันกลับไปสบตาเขาอย่างเลี่ยงไม่ได้ “แล้วถ้าใช่ล่ะคะ”
“ทำไม”
“เพราะคุณ...เพราะคุณทำให้ฉันสับสนไปหมด!” ในที่สุดเธอก็ระเบิดความรู้สึกที่อัดอั้นอยู่ออกมา “คุณทำให้ฉันไม่เข้าใจว่าอะไรคืออะไรกันแน่! คุณคือเจ้านาย คือศัตรู หรือคืออะไรกันแน่!”
“แล้วคุณอยากให้ผมเป็นอะไรล่ะ” เขาย้อนถาม ดวงตาของเขาวูบไหว “ในคืนนั้น...ในลิฟต์...คุณรู้สึกยังไง”
คำถามของเขาทำให้เธอพูดไม่ออก ภาพเหตุการณ์นั้นย้อนกลับมาอีกครั้ง...สัมผัสของเขา...ลมหายใจของเขา...
“ผมจะบอกให้ว่าผมรู้สึกยังไง” เขาพูดต่อเมื่อเห็นเธอเงียบไป “คืนนั้น...ผมอยากจะจูบคุณใจจะขาด”
หัวใจของลินแทบจะหยุดเต้น
“และคืนนี้...ผมก็รู้สึกไม่ต่างกันเลย”
เขาค่อยๆ เคลื่อนใบหน้าเข้ามาใกล้เธอช้าๆ ทุกอย่างเกิดขึ้นราวกับภาพช้าๆ ลินรู้ว่าเธอควรจะถอยหนี ควรจะผลักเขาออกไป ควรจะวิ่งลงจากรถ...แต่ร่างกายของเธอกลับแข็งทื่อราวกับถูกสาป
“อย่าทำแบบนี้เลยค่ะ...” เธอพูดออกมาเสียงแผ่ว เป็นการประท้วงที่อ่อนแรงที่สุด
“ผมหยุดตัวเองไม่ได้แล้วลิน” เขากระซิบตอบ ลมหายใจอุ่นๆ ของเขารดรินอยู่ที่ริมฝีปากของเธอ “ผมพยายามแล้ว...แต่ผมทำไม่ได้”
แล้วริมฝีปากของเขาก็บดเบียดลงมาบนริมฝีปากของเธอ
มันไม่ใช่จูบที่อ่อนหวาน...แต่เป็นจูบที่เต็มไปด้วยความปรารถนาอันรุนแรง ความสับสน และการปลดปล่อยทุกความรู้สึกที่อัดอั้นมานาน มันคือการยอมจำนนของคนสองคนที่พยายามต่อสู้กับแรงดึงดูดของกันและกันมาโดยตลอด ความแข็งกร้าวในตอนแรกค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นความอ่อนโยนที่เรียกร้องหาการตอบสนอง
และลิน...ก็ตอบสนอง
เธอจูบเขากลับไปอย่างลืมตัว ลืมความแค้น ลืมภารกิจ ลืมทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยยึดเหนี่ยวตัวเองไว้ ในวินาทีนั้นมีเพียงสัมผัสของเขาที่กำลังหลอมละลายหัวใจของเธอให้แหลกสลายไม่มีชิ้นดี
เมื่อเขาถอนริมฝีปากออก ทั้งสองคนต่างก็หอบหายใจอย่างหนักหน่วง ภาคินจ้องมองเธอด้วยสายตาที่ลุ่มลึกและเต็มไปด้วยอารมณ์ที่หลากหลายจนเธอไม่อาจอ่านได้
“ลิน...”
เสียงเรียกชื่อของเขาทำให้เธอได้สติกลับคืนมา
‘นี่ฉันทำบ้าอะไรลงไป!’
ความจริงอันโหดร้ายกระแทกเข้ามาที่กลางใจ เธอเพิ่งจะจูบกับผู้ชายที่มีส่วนในการทำลายชีวิตพ่อของเธอ...เธอทรยศต่อคำสาบานของตัวเอง
ลินผลักเขาออกอย่างแรงด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี “จอดรถค่ะ...ฉันจะลง”
“ลิน เดี๋ยว...”
“ฉันบอกให้จอดรถ!” เธอตะโกนออกมาทั้งน้ำตา
ภาคินมองเธอด้วยแววตาเจ็บปวด แต่เขาก็ยอมทำตามแต่โดยดี เขาขับรถไปส่งเธอที่คอนโดโดยไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีกเลยสักคำ บรรยากาศในรถหนักอึ้งจนแทบหายใจไม่ออก
เมื่อรถจอดสนิท ลินก็รีบเปิดประตูลงไปทันทีโดยไม่หันกลับไปมองเขาอีก
คืนนั้น...ลินยืนพิงประตูห้องนิ่งงันอยู่นานสองนาน เธอยกนิ้วขึ้นแตะริมฝีปากที่ยังคงร้อนผ่าวของตัวเอง สัมผัสของเขายังคงติดตรึงอยู่ที่นั่นไม่จางหาย
เส้นแบ่งสุดท้ายได้ถูกข้ามผ่านไปแล้ว...และมันก็ถูกข้ามผ่านด้วยความเต็มใจของเธอเอง
เกมนี้ไม่ได้มีแค่การหลอกลวงอีกต่อไป...แต่มันได้กลายเป็นเกมอันตรายที่เอาหัวใจของเธอเองมาเป็นเดิมพัน
เรื่องราวความรัก การแก้แค้น และการให้อภัยของลลินกับภาคินได้เดินทางมาถึงบทสรุปที่สมบูรณ์และงดงามแล้วในตอนที่ 26 ที่ผ่านมา จากจุดเริ่มต้นที่เต็มไปด้วยความแค้นและความไม่ไว้วางใจ...พวกเขาได้ร่วมกันฝ่าฟันอุปสรรคและอันตรายมากมาย จนกระทั่งสามารถเปิดโปงความจริงในอดีตและนำความยุติธรรมกลับคืนมาได้สำเร็จ ในท้ายที่สุด ทั้งสองก็ได้ค้นพบความสุขที่แท้จริงในอ้อมแขนของกันและกัน ปิดฉากสงครามที่ยาวนานและเริ่มต้น ‘ชีวิตคู่’ ที่เต็มไปด้วยความรักและความเข้าใจในฐานะคนที่เท่าเทียมกัน เรื่องราวของ “Under His Command — ใต้คำสั่งของบอส” ได้จบลงอย่างสมบูรณ์แล้วครับ แต่เพื่อเป็นการส่งท้ายการเดินทางที่ยาวนานของพวกเขา ผมขอมอบภาพสุดท้าย...ซึ่งเป็นบทส่งท้ายของเรื่องราวทั้งหมดนี้ครับ บทส่งท้าย (Epilogue) ห้าปีต่อมา... สายลมทะเลอุ่นๆ พัดโชยมาปะทะใบหน้าของลลินอย่างแผ่วเบา เธอยืนอยู่ที่ระเบียงของ ‘ศูนย์พลังงานยั่งยืนอานนท์-วิทยา’ ในจังหวัดระยอง...สถานที่ที่เป็นจุดเริ่มต้นของการเปิดเผยความจริงทั้งหมด บัดนี้...ศูนย์วิจัยเล็กๆ ได้เติบโตและขยายใหญ่ขึ้นจนกลายเป็นสถาบันวิจัยด้านพลังงานสะอาดชั้นแนวหน้าของประเทศ วันนี้เป็
กาลเวลา...คือแม่น้ำที่ไม่เคยไหลย้อนกลับ มันพัดพาเอาความเจ็บปวดและความขัดแย้งให้จางหายไป เหลือทิ้งไว้เพียงตะกอนแห่งความทรงจำและบทเรียนอันล้ำค่า หนึ่งปีต่อมา... สายลมเย็นๆ ของต้นฤดูหนาวในกรุงเทพฯ พัดโชยมาเบาๆ แต่ภายในห้องประชุมใหญ่ของ ‘มูลนิธิอานนท์ วชิรเมธี เพื่อวิศกรรุ่นใหม่’ กลับอบอวลไปด้วยบรรยากาศของความอบอุ่นและความสำเร็จ ลลินในชุดสูทสีขาวสะอาดตากำลังยืนอยู่บนเวทีเบื้องหน้ากลุ่มนักศึกษาและนักลงทุนหลายสิบคน เธอไม่ได้ยืนอยู่ในเงาของใครอีกต่อไปแล้ว...แต่กำลังส่องสว่างด้วยแสงสว่างในตัวเอง ในฐานะผู้อำนวยการบริหาร...ผู้หญิงที่ได้สานต่อความฝันของพ่อให้กลายเป็นความจริงที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม “...และนี่คือตัวอย่างเพียงส่วนหนึ่งของนวัตกรรมที่เกิดขึ้นจากฝีมือของนักเรียนทุนรุ่นแรกของเราค่ะ” เธอพูดพลางผายมือไปยังผลงานที่จัดแสดงอยู่รอบๆ ห้อง “จากโครงการแผงโซลาร์เซลล์ขนาดเล็กสำหรับชุมชนห่างไกล...ไปจนถึงแอปพลิเคชันที่ช่วยให้เกษตรกรสามารถบริหารจัดการน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ...ทั้งหมดนี้คือบทพิสูจน์ว่า...เมล็ดพันธุ์แห่งความอัจฉริยะที่พ่อของดิฉันได้หว่านไว้เมื่อสิบสองปีก่อน...บัดนี้ได้เติบโตและผลิดอก
หนึ่งเดือนหลังจากการประชุมคณะกรรมการบริหารครั้งประวัติศาสตร์...พายุลูกใหญ่ที่เคยพัดถล่มพีรพัฒน์ เอ็นเตอร์ไพรส์ ได้สงบลงแล้ว ทิ้งไว้เพียงร่องรอยของการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ และท้องฟ้าที่สดใสและปลอดโปร่งกว่าเดิม คุณกิตติและพรรคพวกที่เกี่ยวข้องทั้งหมดถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย สมุดบัญชีลับเล่มนั้นได้กลายเป็นหลักฐานชิ้นเอกที่มัดตัวพวกเขาจนดิ้นไม่หลุด และเรื่องราวทั้งหมดก็ได้กลายเป็นตำนานบทใหม่ของวงการธุรกิจไทย...เรื่องราวของ CEO หนุ่มผู้กล้าหาญที่ลุกขึ้นมาต่อสู้กับความอยุติธรรม...และผู้หญิงคนหนึ่งที่ยืนหยัดเคียงข้างเขาอย่างไม่เกรงกลัว สำหรับโลกภายนอก...มันคือบทสรุปที่สวยงาม แต่สำหรับลลินและภาคิน...มันคือการเริ่มต้นของบทใหม่ในชีวิตจริง ลลินก้าวเข้ามาในที่ทำงานแห่งใหม่ของเธอ...สำนักงานของ ‘มูลนิธิอานนท์ วชิรเมธี เพื่อวิศกรรุ่นใหม่’ มันไม่ได้ตั้งอยู่ในตึกพีรพัฒน์ฯ แต่เป็นอาคารพาณิชย์สามชั้นที่ถูกรีโนเวทใหม่ทั้งหมดในย่านเมืองเก่าที่เงียบสงบ ภาคินทุ่มเทงบประมาณมหาศาลเพื่อเนรมิตที่นี่ให้กลายเป็นพื้นที่แห่งความคิดสร้างสรรค์และความหวังอย่างแท้จริง ที่นี่...คืออาณาจักรของเธอ เธอไม่ได้เดินเข้ามา
รุ่งอรุณของวันใหม่หลังจากพายุที่โหมกระหน่ำได้พัดผ่านไปนั้น...สงบสุขและงดงามอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ลลินตื่นขึ้นมาในห้องนอนที่บ้านของภาคิน ไม่ใช่ในฐานะผู้ลี้ภัยหรือพันธมิตรในสงครามอีกต่อไป แต่ในฐานะคนรัก...ผู้หญิงคนหนึ่งที่ได้ค้นพบความสงบสุขเป็นครั้งแรกในรอบสิบสองปี แสงแดดยามเช้าที่สาดส่องเข้ามาในห้องดูเหมือนจะอบอุ่นกว่าทุกวัน และอากาศที่เธอสูดเข้าไปก็ปราศจากความหนักอึ้งของความแค้นและความกังวล สงครามได้จบลงแล้ว...และพวกเขาคือผู้ชนะ เธอกับภาคินใช้เวลาในช่วงเช้าอันเงียบสงบนั้นเหมือนกับคู่รักธรรมดาทั่วไป พวกเขาทำอาหารเช้าง่ายๆ ด้วยกันในครัวที่โปร่งโล่ง บทสนทนาไม่ได้เกี่ยวกับแผนการลับหรือการวิเคราะห์ศัตรูอีกต่อไป แต่เป็นเรื่องสัพเพเหระ...เรื่องที่ว่าใครจะล้างจาน...เรื่องแผนการที่จะหาเวลาว่างไปดูหนังด้วยกัน...มันคือความธรรมดาสามัญที่แสนจะมีค่า “ไม่อยากจะเชื่อเลยนะคะ...ว่ามันจบลงแล้วจริงๆ” ลินพูดขึ้นเบาๆ ขณะที่นั่งจิบกาแฟอยู่ที่เคาน์เตอร์ในครัว มองแผ่นหลังกว้างของภาคินที่กำลังยืนล้างจานอยู่ ภาคินหันมายิ้มให้เธอ...เป็นรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความโล่งอกอย่างแท้จริง “ผมก็เหมือนกัน” เขาวางจาน
เก้าโมงเช้า...ใจกลางกรุงเทพมหานคร...บนชั้น 33 ของตึกพีรพัฒน์ เอ็นเตอร์ไพรส์...ห้องประชุมคณะกรรมการบริหารที่เคยเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจสูงสุด บัดนี้กลับอบอวลไปด้วยบรรยากาศของสงครามเย็นที่พร้อมจะปะทุขึ้นได้ทุกเมื่อ กรรมการบริหารแต่ละคนทยอยเดินทางมาถึงด้วยสีหน้าที่แตกต่างกันไป กลุ่มที่เป็นพันธมิตรของภาคินมีแววตาที่เต็มไปด้วยความกังวลและไม่แน่นอน ในขณะที่กลุ่มที่เป็นคนของคุณกิตติกลับมีรอยยิ้มที่พึงพอใจประดับอยู่บนใบหน้า พวกเขารู้ดีว่าวันนี้...คือวันที่พวกเขาจะทำการ ‘เปลี่ยนขั้ว’ อำนาจครั้งใหญ่ และที่หัวโต๊ะ...ในตำแหน่งของประธาน...คุณกิตตินั่งรออยู่ด้วยความสงบเยือกเย็น เขาสวมชุดสูทผ้าไหมอิตาลีราคาแพง ดูน่าเกรงขามและเปี่ยมไปด้วยบารมีของผู้อาวุโสที่กำลังจะทวงคืนความยิ่งใหญ่...เขาคือผู้ชนะที่รอเวลาประกาศชัยชนะอย่างเป็นทางการเท่านั้น ในขณะที่ทุกคนกำลังรอคอยการมาถึงของตัวละครหลัก...บานประตูไม้สักขนาดใหญ่ของห้องประชุมก็ถูกผลักเปิดออกอย่างแรง! ทุกสายตาหันไปมองเป็นจุดเดียวกัน... ภาคิน พีรพัฒน์ ก้าวเข้ามาในห้อง...สง่างามและน่าเกรงขามในชุดสูทสีน้ำเงินเข้มตัวเก่งของเขา แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนต้องตกตะ
ท้องฟ้าเบื้องล่างค่อยๆ เปลี่ยนจากสีดำสนิทเป็นสีน้ำเงินเข้ม แล้วเจือด้วยสีส้มของแสงอรุณที่ขอบฟ้า เครื่องบินส่วนตัวขนาดเล็กกำลังบินตัดผ่านหมู่เมฆ มุ่งหน้าจากทิศเหนือกลับสู่ใจกลางของพายุ...กรุงเทพมหานคร ภายในห้องโดยสารที่เล็กและเงียบสงบ มีเพียงเสียงเครื่องยนต์ที่ดังครางเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ลลินและภาคินไม่ได้พูดคุยกันมากนัก แต่ความเงียบนั้นไม่ได้เต็มไปด้วยความตึงเครียดเหมือนครั้งก่อนๆ...แต่เป็นความเงียบที่เต็มไปด้วยการทำงานร่วมกันอย่างเข้าขาราวกับเป็นคนๆ เดียวกัน ภาคินกำลังใช้โทรศัพท์ผ่านดาวเทียมซึ่งเป็นช่องทางการสื่อสารที่ปลอดภัยที่สุดในการติดต่อกับเครือข่ายพันธมิตรของเขาในกรุงเทพฯ น้ำเสียงของเขาเยือกเย็น เด็ดขาด และเต็มไปด้วยอำนาจ เขาไม่ได้อยู่ในสถานะของผู้ที่กำลังจะถูกถอดถอน แต่เป็นเหมือนแม่ทัพที่กำลังบัญชาการรบจากแดนไกล “คุณอาฉัตรชัยครับ” เขาพูดกับปลายสาย “พรุ่งนี้เช้า...ผมไม่ต้องการให้คุณอาโต้แย้งญัตติของคุณกิตติ แต่ผมต้องการให้คุณอา ‘ตั้งคำถาม’...ตั้งคำถามถึงความโปร่งใส ตั้งคำถามถึงหลักฐาน และที่สำคัญที่สุด...ตั้งคำถามถึง ‘แรงจูงใจ’ ที่แท้จริงของคุณกิตติในการทำเรื่องนี้...เราต้องทำ







