FAZER LOGINหลังจากเหตุการณ์ในลิฟต์คืนนั้น ลลินก็ค้นพบว่ากำแพงที่เธอพยายามสร้างขึ้นมาได้พังทลายลงอย่างสิ้นเชิงแล้ว เธอไม่สามารถกลับไปมองภาคินด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังเพียงอย่างเดียวได้อีกต่อไป ทุกครั้งที่สบตาเขา ภาพใบหน้าที่โน้มลงมาใกล้ในแสงไฟสีส้มสลัวก็จะฉายซ้อนขึ้นมา ทำให้เธอต้องรีบหลบสายตาอย่างทำอะไรไม่ถูก
ความสัมพันธ์แบบกึ่งสงครามประสาทได้แปรเปลี่ยนเป็นความตึงเครียดที่เกิดจากแรงดึงดูดซึ่งกันและกัน พวกเขาต่างรู้ว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นในลิฟต์คืนนั้น แต่ก็ไม่มีใครกล้าพอที่จะพูดถึงมัน
ในขณะที่ความสัมพันธ์ของเธอกับภาคินซับซ้อนขึ้น ความโดดเด่นและความสามารถของเธอก็เริ่มสร้างศัตรูในที่ทำงานโดยไม่รู้ตัว โดยเฉพาะกับ มินา หัวหน้าฝ่ายประสานงานลูกค้าสัมพันธ์ ซึ่งเป็นพนักงานเก่าแก่และเคยเป็นตัวเต็งที่จะได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นมาดูแลงานบางส่วนของชั้นผู้บริหาร มินามองว่าการปรากฏตัวของลลินคือการตัดหน้า และความใกล้ชิดที่ลลินมีต่อภาคินก็คือหนามแหลมที่ทิ่มแทงความทะเยอทะยานของเธอ
การกลั่นแกล้งจึงเริ่มต้นขึ้นอย่างเงียบๆ และเลือดเย็น
มันเริ่มจากเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่น เอกสารสำคัญที่ควรจะส่งถึงมือลินกลับไปไม่ถึง, การนัดหมายที่เธอจดไว้ถูกลบออกจากระบบกลาง หรือไฟล์งานที่เธอต้องการใช้ด่วนเกิด ‘เสียหาย’ อย่างปริศนา ในตอนแรกลินคิดว่าเป็นเพียงอุบัติเหตุ แต่เมื่อมันเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า เธอก็รู้ได้ทันทีว่านี่คือความจงใจ
แต่เธอก็ทำอะไรไม่ได้...เพราะไม่มีหลักฐาน
จุดแตกหักเกิดขึ้นในช่วงบ่ายของวันพฤหัสบดี ในห้องเตรียมอาหารของชั้นผู้บริหาร ซึ่งเป็นพื้นที่ส่วนกลางที่พนักงานระดับสูงคนอื่นๆ สามารถเข้ามาใช้งานได้ ลลินกำลังยืนชงกาแฟอยู่เงียบๆ เพื่อแก้ง่วง มินาก็เดินเข้ามาพร้อมกับเพื่อนร่วมงานอีกสองคน
“แหม เดี๋ยวนี้กาแฟชั้นผู้บริหารหอมเป็นพิเศษเลยนะคะ สงสัยจะเติม ‘ส่วนผสมพิเศษ’ ลงไปด้วย” มินาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ดังพอให้ทุกคนในห้องได้ยิน สายตาของเธอจิกกัดมาที่ลินอย่างชัดเจน
ลลินเลือกที่จะนิ่งเฉย เธอทำเป็นไม่ได้ยินและจดจ่ออยู่กับแก้วกาแฟในมือ
“ฉันล่ะอิจฉาคนสมัยนี้จริงๆ เลยนะ ทำงานไม่กี่เดือนก็ได้ขึ้นมาอยู่ชั้นสูงสุดแล้ว ไม่เหมือนพวกเราที่ต้องทำงานงกๆ เป็นสิบปี” เพื่อนของมินาพูดเสริมขึ้นมา
“ก็ไม่แปลกหรอกแก” มินาหัวเราะในลำคอ “ความสามารถบางอย่าง...มันไม่ได้วัดกันที่ผลงานนี่นา จริงไหมจ๊ะ...น้องลิน”
ครั้งนี้มินาหันมาพูดกับเธอโดยตรง คำว่า ‘ความสามารถบางอย่าง’ ถูกเน้นเสียงอย่างจงใจจนน่ารังเกียจ
ลลินกำแก้วกาแฟในมือแน่นจนข้อนิ้วขาวซีด เธอเงยหน้าขึ้นสบตามินาด้วยแววตาที่เยือกเย็น “ถ้าคุณมินามีข้อสงสัยในความสามารถของลิน สามารถทำเรื่องเสนอท่านประธานได้โดยตรงนะคะ ไม่จำเป็นต้องมาพูดลับหลังแบบนี้”
“อุ๊ย! ปากเก่งเหมือนกันนะเรา” มินาเดินเข้ามาประชิดตัว “ก็คงจะจริงอย่างที่เขาว่ากันนั่นแหละ ว่าสนิทกับท่านประธานเป็นพิเศษ ถึงได้กล้าต่อปากต่อคำแบบนี้ ที่ทำงานดึกๆ ดื่นๆ ด้วยกันทุกคืน คงไม่ได้คุยกันแค่เรื่องงานอย่างเดียวล่ะสิ”
คำพูดนั้นเหมือนน้ำกรดที่สาดเข้ามากลางใจของลิน มันหยาบคายและดูถูกเธออย่างที่สุด ใบหน้าของเธอชาวาบด้วยความโกรธและความอัปยศ
“พูดจาให้เกียรติกันด้วยค่ะคุณมินา”
“เกียรติเหรอ? คนอย่างเธอยังมีเหลืออยู่อีกเหรอ!”
เพล้ง!
เสียงแก้วกาแฟหลุดจากมือของลินที่สั่นเทา กระทบกับพื้นหินอ่อนจนแตกละเอียด น้ำกาแฟร้อนๆ สาดกระเซ็นเปรอะเปื้อนรองเท้าของเธอ แต่เธอก็ไม่รู้สึกถึงความร้อนเลยสักนิด
“ผมไม่คิดว่าบริษัทจ้างคุณมาเพื่อสาดโคลนใส่เพื่อนร่วมงานนะ คุณมินา”
เสียงทุ้มต่ำและเย็นเยียบจนน่าขนลุกดังขึ้นจากทางเข้าห้อง ทุกคนหันไปมองเป็นตาเดียว...ภาคินยืนกอดอกพิงกรอบประตูอยู่ตรงนั้น ไม่มีใครรู้ว่าเขามาตั้งแต่เมื่อไหร่ สายตาของเขาคมกริบและเย็นชาราวกับน้ำแข็ง จ้องตรงไปยังมินาอย่างไม่วางตา
บรรยากาศในห้องเงียบกริบลงทันที มินาหน้าซีดเผือดอย่างเห็นได้ชัด
“ทะ...ท่านประธาน คือ...เราแค่คุยกันเล่นๆ ค่ะ”
“ดูไม่เหมือนการคุยเล่น” ภาคินพูดสวนขึ้นมาทันที เขากวาดตามองเศษแก้วที่พื้น แล้วมองเลยไปยังลลินที่ยืนตัวแข็งทื่ออยู่ “ผมจ่ายเงินเดือนให้พวกคุณเพื่อมาสร้างสรรค์ผลงาน ไม่ใช่มาสร้างเรื่องไร้สาระ ถ้าพวกคุณมีเวลาว่างมากขนาดนั้น ผมจะได้พิจารณาจัดสรรโครงการใหม่ให้ทำ จะได้ไม่ว่างมาพูดจาทำร้ายความรู้สึกกันแบบนี้”
เขาหยุดไปชั่วครู่ ก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่น่ากลัวยิ่งกว่าเดิม “และผมหวังว่า...นี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมเห็นเหตุการณ์แบบนี้”
ประโยคสุดท้ายคือคำขาดที่ชัดเจนที่สุด
ภาคินละสายตาจากมินาและเพื่อนๆ ของเธอราวกับพวกเธอไม่มีตัวตน แล้วหันมามองลิน แววตาที่แข็งกร้าวนั้นอ่อนแสงลงเล็กน้อย “คุณลลิน เอาเอกสารสรุปโครงการจากสิงคโปร์เข้ามาให้ผมที่ห้องด้วย”
มันคือคำสั่งที่ช่วยชีวิตเธอ...คือทางหนีที่เขาจงใจสร้างขึ้น
ลินรีบพยักหน้ารับแล้วเดินเลี่ยงออกมาจากห้องนั้นทันที เธอไม่ได้หันกลับไปมองมินาอีกเลย
เมื่อเข้ามาในห้องทำงานของภาคินและปิดประตูลง ความเข้มแข็งที่เสแสร้งมาทั้งหมดก็พังทลายลง เข่าของเธออ่อนแรงจนแทบจะทรุดลงไปกับพื้น น้ำตาที่พยายามกลั้นไว้ไหลทะลักออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
เธอไม่ได้ร้องไห้เพราะคำพูดดูถูกของมินา...แต่เธอร้องไห้เพราะความรู้สึกที่ตีกันอยู่ในอก
ในวินาทีที่เธอรู้สึกโดดเดี่ยวและถูกทำร้ายที่สุด...ผู้ชายที่เธอควรจะเกลียดที่สุดกลับเป็นคนที่ก้าวเข้ามาปกป้องเธอ
ภาคินเดินตามเข้ามาในห้องอย่างเงียบเชียบ เขาไม่ได้พูดอะไร แต่เขายื่นแก้วน้ำเย็นๆ มาให้เธอ ลินรับมาดื่มด้วยมือที่ยังสั่นเทา
“นั่งลงก่อน” เขาพูดเบาๆ
ลินทำตามอย่างว่าง่าย เธอรู้สึกเหมือนเด็กหลงทางที่เพิ่งเจอที่พักพิงที่ปลอดภัย
“เรื่องวันนี้...” เขาเริ่มต้นพูด “อย่าเก็บไปใส่ใจ คนพวกนั้นแค่กำลังอิจฉาคุณ”
“ลินไม่ได้...”
“ผมรู้” เขาพูดขัดขึ้น “ผมรู้ว่าคุณไม่ได้เป็นแบบที่พวกเขาพูด ผมเห็นการทำงานของคุณ ผมเห็นความทุ่มเทของคุณ...และนั่นคือสิ่งเดียวที่สำคัญ”
คำพูดของเขาเหมือนสายลมอันอบอุ่นที่พัดเข้ามาในใจที่เหน็บหนาวของเธอ เขาเชื่อใจเธอ...โดยที่เธอไม่ต้องอธิบายอะไรเลยสักคำ
ลินเงยหน้าขึ้นสบตาเขาผ่านม่านน้ำตา เธอเห็นความจริงใจและความห่วงใยอยู่ในนั้น...เป็นสิ่งที่เธอไม่เคยเห็นจากเขามาก่อน
ความรู้สึกปลอดภัยอย่างประหลาดแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจ
มันเป็นความรู้สึกที่อันตราย...อันตรายกว่าแรงดึงดูดทางกายใดๆ เพราะมันคือความรู้สึกที่ทำให้เธออยากจะทิ้งทุกอย่างแล้วเชื่อใจผู้ชายคนนี้
หัวใจที่เคยสับสนของเธอ...บัดนี้มันไม่ได้แค่สั่นไหวอีกต่อไปแล้ว
แต่มันกำลังจะยอมจำนน...ให้กับผู้ชายที่เป็นศัตรูหมายเลขหนึ่งของเธอ
เรื่องราวความรัก การแก้แค้น และการให้อภัยของลลินกับภาคินได้เดินทางมาถึงบทสรุปที่สมบูรณ์และงดงามแล้วในตอนที่ 26 ที่ผ่านมา จากจุดเริ่มต้นที่เต็มไปด้วยความแค้นและความไม่ไว้วางใจ...พวกเขาได้ร่วมกันฝ่าฟันอุปสรรคและอันตรายมากมาย จนกระทั่งสามารถเปิดโปงความจริงในอดีตและนำความยุติธรรมกลับคืนมาได้สำเร็จ ในท้ายที่สุด ทั้งสองก็ได้ค้นพบความสุขที่แท้จริงในอ้อมแขนของกันและกัน ปิดฉากสงครามที่ยาวนานและเริ่มต้น ‘ชีวิตคู่’ ที่เต็มไปด้วยความรักและความเข้าใจในฐานะคนที่เท่าเทียมกัน เรื่องราวของ “Under His Command — ใต้คำสั่งของบอส” ได้จบลงอย่างสมบูรณ์แล้วครับ แต่เพื่อเป็นการส่งท้ายการเดินทางที่ยาวนานของพวกเขา ผมขอมอบภาพสุดท้าย...ซึ่งเป็นบทส่งท้ายของเรื่องราวทั้งหมดนี้ครับ บทส่งท้าย (Epilogue) ห้าปีต่อมา... สายลมทะเลอุ่นๆ พัดโชยมาปะทะใบหน้าของลลินอย่างแผ่วเบา เธอยืนอยู่ที่ระเบียงของ ‘ศูนย์พลังงานยั่งยืนอานนท์-วิทยา’ ในจังหวัดระยอง...สถานที่ที่เป็นจุดเริ่มต้นของการเปิดเผยความจริงทั้งหมด บัดนี้...ศูนย์วิจัยเล็กๆ ได้เติบโตและขยายใหญ่ขึ้นจนกลายเป็นสถาบันวิจัยด้านพลังงานสะอาดชั้นแนวหน้าของประเทศ วันนี้เป็
กาลเวลา...คือแม่น้ำที่ไม่เคยไหลย้อนกลับ มันพัดพาเอาความเจ็บปวดและความขัดแย้งให้จางหายไป เหลือทิ้งไว้เพียงตะกอนแห่งความทรงจำและบทเรียนอันล้ำค่า หนึ่งปีต่อมา... สายลมเย็นๆ ของต้นฤดูหนาวในกรุงเทพฯ พัดโชยมาเบาๆ แต่ภายในห้องประชุมใหญ่ของ ‘มูลนิธิอานนท์ วชิรเมธี เพื่อวิศกรรุ่นใหม่’ กลับอบอวลไปด้วยบรรยากาศของความอบอุ่นและความสำเร็จ ลลินในชุดสูทสีขาวสะอาดตากำลังยืนอยู่บนเวทีเบื้องหน้ากลุ่มนักศึกษาและนักลงทุนหลายสิบคน เธอไม่ได้ยืนอยู่ในเงาของใครอีกต่อไปแล้ว...แต่กำลังส่องสว่างด้วยแสงสว่างในตัวเอง ในฐานะผู้อำนวยการบริหาร...ผู้หญิงที่ได้สานต่อความฝันของพ่อให้กลายเป็นความจริงที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม “...และนี่คือตัวอย่างเพียงส่วนหนึ่งของนวัตกรรมที่เกิดขึ้นจากฝีมือของนักเรียนทุนรุ่นแรกของเราค่ะ” เธอพูดพลางผายมือไปยังผลงานที่จัดแสดงอยู่รอบๆ ห้อง “จากโครงการแผงโซลาร์เซลล์ขนาดเล็กสำหรับชุมชนห่างไกล...ไปจนถึงแอปพลิเคชันที่ช่วยให้เกษตรกรสามารถบริหารจัดการน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ...ทั้งหมดนี้คือบทพิสูจน์ว่า...เมล็ดพันธุ์แห่งความอัจฉริยะที่พ่อของดิฉันได้หว่านไว้เมื่อสิบสองปีก่อน...บัดนี้ได้เติบโตและผลิดอก
หนึ่งเดือนหลังจากการประชุมคณะกรรมการบริหารครั้งประวัติศาสตร์...พายุลูกใหญ่ที่เคยพัดถล่มพีรพัฒน์ เอ็นเตอร์ไพรส์ ได้สงบลงแล้ว ทิ้งไว้เพียงร่องรอยของการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ และท้องฟ้าที่สดใสและปลอดโปร่งกว่าเดิม คุณกิตติและพรรคพวกที่เกี่ยวข้องทั้งหมดถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย สมุดบัญชีลับเล่มนั้นได้กลายเป็นหลักฐานชิ้นเอกที่มัดตัวพวกเขาจนดิ้นไม่หลุด และเรื่องราวทั้งหมดก็ได้กลายเป็นตำนานบทใหม่ของวงการธุรกิจไทย...เรื่องราวของ CEO หนุ่มผู้กล้าหาญที่ลุกขึ้นมาต่อสู้กับความอยุติธรรม...และผู้หญิงคนหนึ่งที่ยืนหยัดเคียงข้างเขาอย่างไม่เกรงกลัว สำหรับโลกภายนอก...มันคือบทสรุปที่สวยงาม แต่สำหรับลลินและภาคิน...มันคือการเริ่มต้นของบทใหม่ในชีวิตจริง ลลินก้าวเข้ามาในที่ทำงานแห่งใหม่ของเธอ...สำนักงานของ ‘มูลนิธิอานนท์ วชิรเมธี เพื่อวิศกรรุ่นใหม่’ มันไม่ได้ตั้งอยู่ในตึกพีรพัฒน์ฯ แต่เป็นอาคารพาณิชย์สามชั้นที่ถูกรีโนเวทใหม่ทั้งหมดในย่านเมืองเก่าที่เงียบสงบ ภาคินทุ่มเทงบประมาณมหาศาลเพื่อเนรมิตที่นี่ให้กลายเป็นพื้นที่แห่งความคิดสร้างสรรค์และความหวังอย่างแท้จริง ที่นี่...คืออาณาจักรของเธอ เธอไม่ได้เดินเข้ามา
รุ่งอรุณของวันใหม่หลังจากพายุที่โหมกระหน่ำได้พัดผ่านไปนั้น...สงบสุขและงดงามอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ลลินตื่นขึ้นมาในห้องนอนที่บ้านของภาคิน ไม่ใช่ในฐานะผู้ลี้ภัยหรือพันธมิตรในสงครามอีกต่อไป แต่ในฐานะคนรัก...ผู้หญิงคนหนึ่งที่ได้ค้นพบความสงบสุขเป็นครั้งแรกในรอบสิบสองปี แสงแดดยามเช้าที่สาดส่องเข้ามาในห้องดูเหมือนจะอบอุ่นกว่าทุกวัน และอากาศที่เธอสูดเข้าไปก็ปราศจากความหนักอึ้งของความแค้นและความกังวล สงครามได้จบลงแล้ว...และพวกเขาคือผู้ชนะ เธอกับภาคินใช้เวลาในช่วงเช้าอันเงียบสงบนั้นเหมือนกับคู่รักธรรมดาทั่วไป พวกเขาทำอาหารเช้าง่ายๆ ด้วยกันในครัวที่โปร่งโล่ง บทสนทนาไม่ได้เกี่ยวกับแผนการลับหรือการวิเคราะห์ศัตรูอีกต่อไป แต่เป็นเรื่องสัพเพเหระ...เรื่องที่ว่าใครจะล้างจาน...เรื่องแผนการที่จะหาเวลาว่างไปดูหนังด้วยกัน...มันคือความธรรมดาสามัญที่แสนจะมีค่า “ไม่อยากจะเชื่อเลยนะคะ...ว่ามันจบลงแล้วจริงๆ” ลินพูดขึ้นเบาๆ ขณะที่นั่งจิบกาแฟอยู่ที่เคาน์เตอร์ในครัว มองแผ่นหลังกว้างของภาคินที่กำลังยืนล้างจานอยู่ ภาคินหันมายิ้มให้เธอ...เป็นรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความโล่งอกอย่างแท้จริง “ผมก็เหมือนกัน” เขาวางจาน
เก้าโมงเช้า...ใจกลางกรุงเทพมหานคร...บนชั้น 33 ของตึกพีรพัฒน์ เอ็นเตอร์ไพรส์...ห้องประชุมคณะกรรมการบริหารที่เคยเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจสูงสุด บัดนี้กลับอบอวลไปด้วยบรรยากาศของสงครามเย็นที่พร้อมจะปะทุขึ้นได้ทุกเมื่อ กรรมการบริหารแต่ละคนทยอยเดินทางมาถึงด้วยสีหน้าที่แตกต่างกันไป กลุ่มที่เป็นพันธมิตรของภาคินมีแววตาที่เต็มไปด้วยความกังวลและไม่แน่นอน ในขณะที่กลุ่มที่เป็นคนของคุณกิตติกลับมีรอยยิ้มที่พึงพอใจประดับอยู่บนใบหน้า พวกเขารู้ดีว่าวันนี้...คือวันที่พวกเขาจะทำการ ‘เปลี่ยนขั้ว’ อำนาจครั้งใหญ่ และที่หัวโต๊ะ...ในตำแหน่งของประธาน...คุณกิตตินั่งรออยู่ด้วยความสงบเยือกเย็น เขาสวมชุดสูทผ้าไหมอิตาลีราคาแพง ดูน่าเกรงขามและเปี่ยมไปด้วยบารมีของผู้อาวุโสที่กำลังจะทวงคืนความยิ่งใหญ่...เขาคือผู้ชนะที่รอเวลาประกาศชัยชนะอย่างเป็นทางการเท่านั้น ในขณะที่ทุกคนกำลังรอคอยการมาถึงของตัวละครหลัก...บานประตูไม้สักขนาดใหญ่ของห้องประชุมก็ถูกผลักเปิดออกอย่างแรง! ทุกสายตาหันไปมองเป็นจุดเดียวกัน... ภาคิน พีรพัฒน์ ก้าวเข้ามาในห้อง...สง่างามและน่าเกรงขามในชุดสูทสีน้ำเงินเข้มตัวเก่งของเขา แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนต้องตกตะ
ท้องฟ้าเบื้องล่างค่อยๆ เปลี่ยนจากสีดำสนิทเป็นสีน้ำเงินเข้ม แล้วเจือด้วยสีส้มของแสงอรุณที่ขอบฟ้า เครื่องบินส่วนตัวขนาดเล็กกำลังบินตัดผ่านหมู่เมฆ มุ่งหน้าจากทิศเหนือกลับสู่ใจกลางของพายุ...กรุงเทพมหานคร ภายในห้องโดยสารที่เล็กและเงียบสงบ มีเพียงเสียงเครื่องยนต์ที่ดังครางเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ลลินและภาคินไม่ได้พูดคุยกันมากนัก แต่ความเงียบนั้นไม่ได้เต็มไปด้วยความตึงเครียดเหมือนครั้งก่อนๆ...แต่เป็นความเงียบที่เต็มไปด้วยการทำงานร่วมกันอย่างเข้าขาราวกับเป็นคนๆ เดียวกัน ภาคินกำลังใช้โทรศัพท์ผ่านดาวเทียมซึ่งเป็นช่องทางการสื่อสารที่ปลอดภัยที่สุดในการติดต่อกับเครือข่ายพันธมิตรของเขาในกรุงเทพฯ น้ำเสียงของเขาเยือกเย็น เด็ดขาด และเต็มไปด้วยอำนาจ เขาไม่ได้อยู่ในสถานะของผู้ที่กำลังจะถูกถอดถอน แต่เป็นเหมือนแม่ทัพที่กำลังบัญชาการรบจากแดนไกล “คุณอาฉัตรชัยครับ” เขาพูดกับปลายสาย “พรุ่งนี้เช้า...ผมไม่ต้องการให้คุณอาโต้แย้งญัตติของคุณกิตติ แต่ผมต้องการให้คุณอา ‘ตั้งคำถาม’...ตั้งคำถามถึงความโปร่งใส ตั้งคำถามถึงหลักฐาน และที่สำคัญที่สุด...ตั้งคำถามถึง ‘แรงจูงใจ’ ที่แท้จริงของคุณกิตติในการทำเรื่องนี้...เราต้องทำ







