บ่ายคล้อยของวันต่อมา.. พวกเธอเป็นคนทำงานกลางคืน และเวลากลางวันคือเวลานอน กว่าจะตื่นมาอีกทีก็ตอนที่ตั้งนาฬิกาปลุกไว้
โอ๊ยตายแล้วกว่าจะกลับไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าอีก ลืมตั้งนาฬิกาใหม่เลย ข้าวปุ้นรีบเก็บของส่วนตัวที่นำมาเมื่อคืนนี้ใส่กระเป๋า แล้วก็ลงมาแจ้งกับทางพนักงานว่าเธอจะออกแล้ว ห้องทุกห้องของแขกเมื่อคืนนี้ทางเจ้าบ่าวเป็นคนรับผิดชอบ แต่ก่อนออกก็ต้องไปเช็คเอาท์ออกก่อน "ขอโทษนะคะคุณชื่ออะไรคะ" "ชื่อข้าวปุ้นค่ะ ต้องยื่นบัตรด้วยไหมคะ" "ไม่ต้องหรอกค่ะ ถ้าคุณชื่อข้าวปุ้นเชิญทางนี้ก่อนนะคะ" "ค่ะ..?" ถึงแม้จะสงสัยแต่ข้าวปุ้นก็ยอมเดินตามพนักงานไป พนักงานพาเธอเข้ามานั่งอยู่ในห้องรับรองแขก และบอกว่าให้นั่งรอก่อนเดี๋ยวจะมีคนมาหา หน้าห้องรับรองแขกในเวลาต่อมา.. "คนที่มาขอพบผมอยู่ที่ไหน" "รออยู่ในห้องรับรองแขกค่ะ" "ใครเหรอ" "คุณอัคคีเข้าไปดูเถอะค่ะ" ว่าแล้วพนักงานก็เดินกลับไปประจำจุดทำงานของตัวเอง คล้อยหลังพนักงานอัคคีก็เปิดประตูเข้าไปในห้องรับรองแขกชั้นหนึ่งของโรงแรม "??" "......." ข้าวปุ้นหันไปมองก็เห็นว่าเป็นผู้ชายคนนั้น เขามีอะไรจะคุยกับเรา หรือเรื่องงานที่จะให้มาช่วย แต่มันใช่เวลาไหมเพราะถ้าช้ากว่านี้เธอต้องไปทำงานสายแน่ "พนักงานบอกว่าคุณมีอะไรจะคุยกับผมเหรอ" ข้าวปุ้นยังไม่ทันได้ถามอีกฝ่ายก็ถามมาก่อน เราอยากคุยกับเขาตอนไหนเนี่ย เขาเองไม่ใช่หรือที่บอกให้พนักงานพาเรามารออยู่ห้องนี้? "มีอะไรที่พูดไม่ได้หรือเปล่า" อัคคีเห็นอีกฝ่ายเอาแต่เงียบแถมยังมองหน้าเขา ที่ข้าวปุ้นมองเพราะสงสัยเขาความจำสั้นเหรอ ถ้าไม่ใช่แบบนั้นแล้วมันเรื่องอะไร ..ฉับพลันนั้นข้าวปุ้นก็นึกอะไรขึ้นมาได้ อย่าบอกนะว่าเป็นฝีมือแม่ระย้าอีกแล้ว โอ๊ยฉันจะบ้าตาย ถ้าครั้งนั้นไม่เพราะแกล้งบอกว่าสนใจผู้ชายคนอื่น ระย้าก็คงจะสงสัยว่าเธอกับตุนท์มีความสัมพันธ์กัน ข้าวปุ้นเลยตัดปัญหาบอกว่าสนใจอัคคี และมันก็เป็นต้นเหตุของเรื่องวุ่นวายทั้งหมด รวมถึงตอนที่เธอเสียจูบให้กับอัคคีในห้องพิเศษนั้นด้วย "คือฉัน..ฉัน.." "ผมมีเวลาไม่มาก ถ้ายังนึกไม่ออกค่อยเอาไว้คุยวันหลัง" ชายหนุ่มพูดพลางดันตัวลุกขึ้นพร้อมกับติดกระดุมเสื้อสูทเตรียมที่จะออกไป "ฉันอยากจะคุยเรื่องงานค่ะ" ถ้าไม่พูดอะไรออกมาสักหน่อยเดี๋ยวก็หาว่าอยากเจอหน้าเขามากจนใช้แผนให้เขาเข้ามาหาในห้องนี้ "เรื่องงาน?" "ใช่ค่ะเรื่องงานที่คุณจะให้ฉันมาช่วย" "เรื่องนั้นถ้าคุณพร้อมตอนไหนก็เข้ามาได้เลย สถานที่อยู่ด้านหลังของโรงแรม" "...ค่ะ" "ยังมีอะไรอีกไหม" "ไม่มีแล้วค่ะ" พูดจบร่างเล็กก็ยันตัวลุกขึ้นแล้วสาวเท้าก้าวเดินนำหน้าออกจากห้องรับรองแขก จะให้เขาออกก่อนไม่ได้ เพราะถ้าไม่งั้นเธอต้องเสียหน้ามากกว่านี้แน่ ตุ๊บ.. "โอ๊ย" แต่เพราะรีบเกินเท้าของเธอเลยชนเข้ากับขอบประตู "ซี๊ดดด" "เป็นอะไรไหม" อัคคีเดินเข้ามาใกล้กำลังจะก้มลงไปดูเท้าข้างที่ชนขอบประตูเมื่อครู่ "ไม่เป็นไรค่ะ" เจ็บไม่เท่าไรหรอกแต่อายนี่สิโอ๊ยจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนเนี่ย เดินมาอย่างมั่นใจแต่เตะขอบประตูสะงั้น อัคคีมองตามแผ่นหลังของหญิงสาวที่พยายามเดินให้ปกติที่สุด เตะจนได้ยินเสียงมีหรือที่จะไม่เจ็บ มาถึงรถข้าวปุ้นก็รีบขับออกไป ใช้เวลานานมากกว่าจะมาถึงบ้าน คิดว่ายังไงวันนี้ก็คงเข้างานไม่ทันหรอก เธอเลยไลน์ไปแจ้งภาณุก่อนกลัวว่าจะมีคนถามหา ภาณุก็คือผู้ช่วยของนเรศวร "มาก็ดีแล้ว ฉันจะให้เอาผ้าไปร้านซักแห้งหน่อย ชุดนี้เพิ่งได้มา" ว่าแล้วเกตุแก้วก็ส่งชุดนั้นให้กับข้าวปุ้น เกตุแก้วก็คือแม่เลี้ยงของทรงอัปสรเอง และเป็นแม่แท้ๆ ของออมสิน ตอนนี้ออมสินย้ายออกไปอยู่กับสามีแล้ว สามีของเธอก็คือเจ้าเวหาเพื่อนในกลุ่มเดียวกับนเรศวร "ทำไมไม่ให้คนรถเอาออกไปล่ะคะ" "ไหนๆ เธอก็จะออกจากบ้านอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ แล้วนี่ไปไหนมาทำไมถึงเพิ่งกลับ" "ไปร่วมงานแต่งเพื่อนมาค่ะ" "ช่างเถอะฉันไม่อยากจะรู้หรอก และพรุ่งนี้ต้องนำชุดกลับมาด้วยนะ ตอนเย็นฉันมีงานเลี้ยงที่โรงแรม" "...ค่ะ" ต้องกัดฟันตอบรับไป เธอกลับเช้ามืดร้านซักแห้งก็ยังไม่เปิด ถ้ารอรับชุดมีหวังไม่ได้หลับไม่ได้นอนกันพอดี หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จข้าวปุ้นก็ขับรถออกมา เธอมีรถอยู่คันหนึ่ง ทีแรกทรงอัปสรจะซื้อให้แต่ข้าวปุ้นบอกว่าแค่ดาวน์ให้ก็พอเดี๋ยวเธอหาเงินส่งค่างวดเอง เพราะเงินครอบครัวนี้ที่เลี้ยงดูเธอมาก็หมดไปไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไรแล้ว ร้านประจำที่นายหญิงคนใหม่ใช้บริการอยู่คนละทางกับที่ทำงาน ถ้าไปแวะร้านนั้นเธอต้องใช้ถนนอีกเส้นเพื่อไปทำงาน ว่าเส้นหลักติดแล้วเส้นนี้ติดยิ่งกว่าอีก มาถึงข้าวปุ้นก็เริ่มทำงานเลย วันนี้คู่บ่าวสาวป้ายแดงไม่มาทำงานเธอต้องรับงานทั้งหมดคนเดียว แต่ก็ยังดีที่ภาณุช่วยอีกแรง "คุณข้าวคะลูกค้ามีปัญหาค่ะ" ปัญหาจากลูกค้ามีทุกวันอยู่แล้ว แต่ส่วนมากหัวหน้าจะเป็นคนจัดการ วันนี้หัวหน้าไม่อยู่สักคนข้าวปุ้นเลยต้องไปเคลียร์ให้ "ทำไมที่นี่บริการชุ่ยจังเลย" มาถึงลูกค้าก็โวยวาย "ทางเราต้องขออภัยด้วยนะคะ เดี๋ยวจะเปลี่ยนอาหารใหม่ให้ค่ะ" "แล้วอย่าคิดเงินล่ะ" "อาหารที่ทำให้มาผิดไม่คิดค่ะ" เธอหมายถึงว่าทางร้านจะรับผิดชอบแค่อาหารที่เสิร์ฟผิด "เสิร์ฟอาหารผิดต้องเลี้ยงไม่ใช่เหรอ" "ใครบอกคะ" "คราวก่อนยัง.." ลูกค้ากำลังจะพลั้งปากพูดออกไป เพราะคราวก่อนโกหกไปว่าตัวเองแพ้อาหารทะเลแล้วได้กินฟรีไม่มีแม้น้ำตาสักหยดที่จะไหลออกมาจากดวงตางามคู่นั้น หลังจากทุกอย่างผ่านไปข้าวปุ้นก็หอบร่างกายที่บอบช้ำลุกขึ้นมาเปลี่ยนเสื้อผ้าที่จริงเขาเห็นตั้งแต่ตอนที่เธอลุกไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว แต่พอเธอเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จก็หยิบเอากระเป๋าสะพาย"จะไปไหน" ชายร่างกำยำที่นอนอยู่บนเตียงรีบลุกมาขวางแต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้ตอบเขายืนขวางตรงนี้เธอเลยเดินอ้อม"ถอยไป" ถึงแม้เธอจะเดินอ้อมเขาก็เดินมาปิดประตูไม่ให้เธอออกจากห้องได้"เราต้องคุยกันก่อน""คุณคิดว่าฉันยังจะคุยกับคุณได้อีกเหรอ""เธอไม่ต้องไปไหนอยู่ที่นี่""คุณไม่ใช่เจ้าชีวิตของฉัน""แต่ฉันเป็นผัวเธอ""หึ!! หน้าไม่อาย""ก็ในเมื่อมันเป็นสิ่งที่เธอต้องการอยู่แล้ว""ตอนนี้ฉันไม่ต้องการแล้ว" ในเมื่อเขาคิดว่าเธอทำทุกอย่างเพื่ออยากได้ตัวเขาก็ปล่อยให้คิดไป"ได้ฉันแล้วคิดจะหนีงั้นเหรอ""คุณพูดอะไร" ประโยคนี้เธอต้องเป็นคนพูดมากกว่าไหม"ก็เมื่อกี้ไง เล่นงานฉันจนน้ำแตกแล้วคิดจะหนีงั้นเหรอ""คนเลวพูดออกมาได้ไม่อายปาก""ไม่รู้ล่ะยังไงเธอต้องรับผิดชอบฉัน" พูดบ้าอะไรไปวะเรา"ฉันบอกให้ถอยไปไง" ข้าวปุ้นทนไม่ไหวแล้วผลักร่างของเขาอย่างแรงแต่แทนที่เขาจะล้มกลับเป็นเธอที่เกือบล
หลังจากที่ฟังคลิปเสียงนั้นจบ อัคคีถึงได้มองไปดูเจ้าของเสียงที่อยู่ในคลิป เขาจำได้ว่าเสียงทั้งสองเป็นเสียงของใคร ..ทุกอย่างเธอจัดฉากขึ้นมาจริงๆ ด้วย"ผู้หญิงเจ้าเล่ห์แบบนี้คุณคงไม่เอามาทำพันธุ์หรอกนะคะ" ไม่คิดว่าการมาครั้งนี้จะคุ้มค่าเพราะได้มารับรู้อะไรดีๆ เกี่ยวกับผู้หญิงคนใหม่ของเขา ถึงแม้ว่าจะถูกดูถูกเหยียดหยามบ้างแต่ก็ไม่เป็นไร"มันก็ไม่ได้เกี่ยวกับคุณนี่""คุณไม่ชอบแบบนี้ไม่ใช่หรือคะ"อัคคีไม่ได้ตอบหรอก เขากำลังจะเดินหนีด้วยซ้ำแต่สรวงสุดาไม่ยอมปล่อยไป"คุณไม่กลัวว่าฉันจะเอาคลิปเสียงนี้ไปให้คุณแม่ฟังหรือคะ ฉันเห็นว่าท่านภูมิใจในตัวลูกสะใภ้คนนี้เหลือเกิน""แล้วแต่คุณสิ" เขาก็ไม่ได้คิดจริงจังอะไรกับเธออยู่แล้ว ถึงยังไงถ้าเรื่องนี้จบเขาก็คงต้องจบกับเธอเหมือนกัน"ทำไมเป็นแบบนี้ไปได้""ฮ่าๆๆ"ได้ยินเสียงผู้หญิงขำสรวงสุดาที่ยืนมองตามอัคคีไปถึงได้หันกลับไปมอง "เป็นบ้าอะไร""ใครเขาจะอยากกลับไปกินของเก่าล่ะ" คนที่ขำเมื่อครู่ก็คือซัมเมอร์ และตอนนี้ซัมเมอร์ก็พอจะเดาออกแล้วว่าผู้หญิงคนนี้มีความสัมพันธ์อะไรกับอัคคี"แต่ฉันก็เห็นว่าเขาไม่อยากจะกินเธอเหมือนกันไม่ใช่เหรอ""ร้ายกาจมาก" ได้ยินคำพูด
"สวัสดีค่ะคุณแม่" ขณะที่ตะวันฉายกำลังพูดคุยกับแขกและเพื่อนอยู่ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาสวัสดี"สรวงสุดา?""สุดีใจนะคะที่คุณแม่จำสุได้""ใครเชิญมา""คุณแม่ทำไมพูดแบบนั้นล่ะคะ เห็นว่าคุณแม่เชิญทุกคนที่อยากมาร่วมแสดงความยินดีไม่ใช่เหรอคะ""ฉันขอตัวนะคะ" จากที่กำลังคุยกับกลุ่มเพื่อนอยู่ตะวันฉายก็ปลีกตัวออกมา พอเดินออกมาก็ถึงเวลาที่ท่านต้องกล่าวเปิดงานเอาฤกษ์เอาชัยให้กับลูกชาย"สวัสดีแขกผู้มีเกียรติทุกท่าน ก่อนอื่นดิฉันต้องขอบพระคุณแขกทุกท่านที่มาร่วมแสดงความยินดีกับตาอัคคีลูกชายของดิฉันในวันนี้""คนนี้หรือคือแม่ของคุณอัคคี" ระย้าที่ยืนอยู่ข้างๆ ข้าวปุ้นเห็นท่านบอกว่าเป็นของลูกชาย"ใช่ค่ะ""ดูท่านไม่แก่เลยนะคะเนี่ย ถ้าไม่บอกว่าเป็นแม่ยังคิดว่าเป็นพี่สาวอยู่เลย""ทีแรกที่เจอท่านข้าวก็คิดแบบนั้นแหละ""ขอแสดงความยินดีด้วยนะคะอัคคี""........" อัคคีมัวสนใจแม่ที่กำลังกล่าวอยู่บนเวที จนไม่ได้ดูแขกว่ามีใครเข้ามาร่วมบ้าง แต่พอได้ยินเสียงเขาถึงได้หันไปมอง"ทำไมคุณดูตกใจจังเลยคะที่เห็นสุ" สรวงสุดาถือวิสาสะนั่งลงข้างๆ เพราะมีเก้าอี้ว่างอยู่ตัวหนึ่ง"อัคคีคะ ซัมก็มองหาอยู่ว่าคุณอยู่ตรงไหน" ซัมเมอร์
"คือว่า..ผมเป็นคนเสนอให้เธอพาลูกน้องทำโอทีเองครับ" โกสินทร์คิดว่าจะให้เธอรับผิดชอบคนเดียวไม่ได้หรอก พอพูดออกไปท่านผู้บริหารก็หันมามอง"ไปทำเรื่องลาออก" อัคคีตวัดสายตามองมาที่โกสินทร์เพื่อทำให้ทุกคนรู้ว่าเขาสั่งใคร"เรื่องแค่นี้ทำไมถึงกับไล่ออกเลยล่ะ" เพราะแบบนี้แหละข้าวปุ้นถึงคิดว่าตัวเองรับผิดชอบคนเดียวก็พอแล้ว ยังไงเขาก็ไม่ชอบหน้าเธอ ไล่ออกได้ยิ่งดี"เหมือนเธออยากจะรับผิดชอบเรื่องนี้นะ""ค่ะฉันจะรับผิดชอบเรื่องนี้เอง""บอกฝ่ายบัญชีคิดเงินค่าโอทีกับผู้หญิงคนนี้""มันจะมากไปแล้วนะอัคคี" ไม่รู้ว่าน้องชายเอานิสัยแบบนี้มาจากไหน"งั้นเราไปดูงานด้านในกันต่อ" อัคคีทำเป็นไม่สนใจคำพูดของเพลิง เดินนำหน้าผู้บริหารเข้าไปดูงานด้านใน"หัวหน้าคะ//หัวหน้าครับ" ค่าแรงของทุกคนไม่ใช่น้อยๆ ถ้าตีเป็นโอทีแล้วหลายหมื่นเลยแหละ พวกลูกน้องเลยเป็นห่วง"ไม่เป็นไรหรอกพวกเราไปทำงานกันเถอะ""เดี๋ยวผมจะหาทางช่วยคุณอีกทีนะครับ" ก่อนที่จะเดินตามเจ้านายไปโกสินทร์ได้หันมาพูดกับข้าวปุ้นก่อนเธอไม่ได้ตอบโกสินทร์หรอก ช่วยได้ก็ช่วยถ้าช่วยไม่ได้ก็ช่างมัน ยังไงเขาก็จงใจจะเล่นงานเธออยู่แล้ว ไม่รู้โกรธเกลียดอะไรเธอนักหนา"หัวห
"โปรเจคใหม่ไปถึงไหนแล้ว""บอสหมายถึงโปรเจคที่คุณข้าวกำลังทำอยู่ใช่ไหมครับ"กึก! แฟ้มเอกสารในมือถูกโยนลงโต๊ะ ก่อนจะตวัดสายตาเหลือบมองดูโกสินทร์ผู้ช่วยคนสนิท"โปรเจคใหม่มีโปรเจคไหนบ้างล่ะ" พอได้ยินชื่อผู้หญิงคนนั้นแล้วรู้สึกไม่ลื่นหูยังไงไม่รู้"เอ่อ.. 80% แล้วครับ""ไปตามงาน..เปิดให้ได้ภายใน 3 วัน""อะไรนะครับ""ไม่ได้ยินเหรอ""แต่เธอเป็นผู้หญิง.." ยังไม่ทันได้ออกความคิดเห็นเจอสายตาพิฆาตโกสินทร์ก็ต้องรีบตกปากรับคำไปก่อนหน้าห้องทำงาน.."ทำไมวันนี้บอสถึงดูแปลกๆ" ออกมาโกสินทร์ก็อดพรึมพำกับตัวเองไม่ได้"มีอะไรเหรอ""คุณซัม.." มองไปก็เห็นว่าเป็นลูกสาวหุ้นส่วนอีกคน"ฉันถามว่ามีอะไร""บอสบอกให้ไปเร่งงานโปรเจคใหม่ครับ""ก็ไปจัดการสิ" ทีแรกกำลังจะไปที่ห้องทำงานของพี่ชาย.. แต่เปลี่ยนใจเข้าห้องทำงานนี้ก่อนดีกว่า ..ซัมเมอร์มีพี่ชายเป็นผู้บริหารอยู่ที่นี่คนหนึ่ง พ่อไม่ค่อยเข้ามาบริหารงานเลยปล่อยลูกชายนั่งตำแหน่งนั้นแทนก๊อกๆ"เข้ามา" ประตูเปิดเข้ามาอัคคีก็แปลกใจ ซัมเมอร์ไม่เคยรอให้เขาอนุญาตหรือบางทีไม่เคาะประตูด้วยซ้ำ ครั้งนี้รอจนกว่าเขาอนุญาตค่อยเปิดประตูเข้ามา"คุณดูจะอารมณ์ไม่ดีนะคะ มีใครทำอะไร
หลังจากที่ได้เครื่องดื่มแล้วอัคคีก็นั่งรอเพราะเขาสั่งไว้ว่าถ้าจอยมาให้เข้ามาหาในห้องนี้แก๊ก.. รออยู่พักหนึ่งประตูห้องก็เปิดเข้ามา"??" ทีแรกคิดว่าเป็นจอยแต่ไม่คิดว่าเป็นผู้หญิงคนที่กำลังสร้างเรื่องกลุ้มใจให้เขาอยู่"???" ไม่ใช่แค่อัคคีหรอกที่แปลกใจข้าวปุ้นก็แปลกใจเหมือนกันก็ว่าอยู่ทำไมภาณุถึงจะมาอยู่ในห้องนี้ เพราะตอนที่เธอไปถามหาภาณุพนักงานบอกว่าอยู่ในห้องพิเศษหนึ่งแกร็กๆ ตอนที่ข้าวปุ้นกำลังจะออกไปประตูห้องดันเปิดไม่ได้ ต้องเป็นฝีมือระย้าอีกแน่เลย โอ๊ยเอ็นดูเขาเอ็นเราขาดเป็นแบบนี้หรือ ที่เธอเปรียบเปรยแบบนี้เพราะไม่น่าไปบอกว่าสนใจอีตาบ้านี่เลย ทุกอย่างก็เลยเป็นแบบที่เห็นข้าวปุ้นกำลังจะหยิบโทรศัพท์มาโทรหาคนข้างนอกให้มาเปิดประตู แต่เพิ่งนึกได้ว่าโทรศัพท์อยู่ในกระเป๋าวางอยู่ในห้องของหัวหน้าเธอเลยต้องหันกลับไปมองคนที่อยู่ด้านหลัง"ขอยืมโทรศัพท์หน่อย""ไม่ได้เอามา""ทำไมคุณไม่รู้จักพกโทรศัพท์"ชายหนุ่มทำแค่ปรายตามองไปดูเป็นคำตอบ ขนาดเธอยังไม่ได้เอาโทรศัพท์มาด้วยยังมีหน้ามาว่าให้เขาอีกก๊อกๆ "มีใครอยู่แถวนี้ไหมเปิดประตูหน่อย" ตะโกนให้คอแตกก็คงไม่มีใครมาเปิดเพราะด้านนอกเสียงดังกว่าด้านใน