บทที่ 1 หลักฐานชิ้นสำคัญ
หลายปีต่อมา รูปถ่ายสถานที่เกิดเหตุกระจัดกระจายอยู่บนโต๊ะทำงาน ข้างๆ คือแก้วเหล้าครึ่งแก้วและที่เขี่ยบุหรี่ที่เต็มไปด้วยก้นบุหรี่จนแทบล้น อย่างน้อยก็น่าจะยี่สิบมวน “ที่เกิดเหตุไม่มีอะไรต้องสงสัยเลยครับนาย ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เราค้นทุกตารางนิ้วแล้วแต่ก็ไม่พบสิ่งแปลกปลอมเลย” ลูกน้องหนุ่มวางรูปถ่ายที่หยิบขึ้นมาพิจารณาลงที่เดิม ก่อนเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มที่นั่งเอนตัวอยู่บนเก้าอี้ทำงานสีน้ำตาลตัวใหญ่ ควันบุหรี่สีขุ่นถูกพ่นออกมาคละคลุ้งจนพรางใบหน้าคมเข้มไว้ชั่วขณะ เมื่อควันค่อยๆ จางลง ก็เผยให้เห็นแววตาเด็ดเดี่ยวของชายหนุ่ม แววตาอ่อนโยนของเด็กชายในวันวานที่เติบโตมาพร้อมแรงแค้นที่ขับเคลื่อนชีวิต ถูกแทนที่ด้วยความว่างเปล่า แม้เวลาจะผ่านไปนานหลายปี แต่ โจฮัน ไม่เคยลดละความพยายามในการตามหาคนร้ายที่ฆ่าพ่อของเขา… บุหรี่ที่ยังสูบไม่หมดถูกบี้ลงบนที่เขี่ยบุหรี่ เสียงกดดับดัง กรอบ… ก่อนจะถูกทิ้งลงไปกองรวมกับก้นบุหรี่อีกหลายมวนที่ถูกขยี้ทับกันจนแน่น “กูจะไปที่นั่นคืนนี้” เสียงทุ้มต่ำประกาศชัด ลูกน้องที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนเอ่ยเสียงหนักใจ “แต่นายครับ… นายไปที่นั่นทุกวันแบบนี้ไม่ได้นะครับ คุณท่านสั่งไว้ว่าให้เข้าบริษัท ไปประชุมแทนท่านพรุ่งนี้” ควันสีขาวขุ่นถูกพ่นออกทางจมูกอย่างไม่รีบร้อน ร่างสูงยืดตัวลุกขึ้นเต็มความสูง บรรยากาศรอบตัวเย็นเยียบและหนักอึ้ง เมื่อมาถึงโกดังร้างที่เคยถูกทิ้งไว้ให้เสื่อมโทรมมาหลายปี บัดนี้มันได้กลายเป็นสมบัติของโจฮันโดยสมบูรณ์ หลังจากที่เขากว้านซื้อตึกและโกดังทั้งหมดในละแวกนี้ ร่างสูงก้าวเข้าไปในโกดังอีกครั้ง สายตากวาดมองไปรอบๆ ก่อนจะยกมือขึ้นเพียงครั้งเดียว ไฟก็สว่างวาบขึ้นมาทันที เผยให้เห็นโครงสร้างเก่าคร่ำคร่าและฝุ่นหนาที่ยังคงเกาะตามมุมต่างๆ “ไม่ต้องเดินตามมา” เสียงทุ้มสั่งเรียบๆ โดยไม่หันกลับไปมอง ก่อนที่เขาจะก้าวลึกเข้าไปยังด้านหลังของโกดัง จุดหมายของเขาชัดเจน หลักฐานบางอย่างที่ควรถูกทิ้งร่องรอยเอาไว้ หลายปีที่ผ่านมา ทุกซอกทุกมุมของโกดังแห่งนี้ถูกพลิกค้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ไม่มีสิ่งใดที่พอจะนำไปสืบสาวหาตัวคนร้ายได้เลย แม้แต่ร่องรอยเพียงเล็กน้อยก็ไม่เคยถูกพบ อย่างไรก็ตาม วันนี้เขาจะลองอีกครั้ง… โจฮันเดินมาหยุดอยู่หลังโกดัง สายตากวาดมองโดยรอบก่อนจะสะดุดเข้ากับกองเศษซากกระดาษลังเก่าที่กองสุมอยู่มุมหนึ่ง มีทั้งหญ้าและวัชพืชขึ้นปกคลุม เขาหยิบโทรศัพท์ออกมากดโทรหาลูกน้องคนสนิทที่รออยู่ด้านหน้าโกดัง (ครับ นาย) “กองเศษลังเก่าๆ นี่พวกมึงหากันหรือยัง?” (อ๋อ ตรงนั้นพวกผมหาแล้วครับ นาย) “แน่ใจนะ?” (ครับ) “มาหากูหน่อย” พอสั่งเสร็จ โจฮันก็เดินไปใกล้กองเศษลัง ก่อนจะใช้เท้าเขี่ยดูเผื่อจะเจอหลักฐานอะไร จนสายตาสะดุดเข้ากับรองเท้าเด็กที่ถูกลังทับไว้ และลูกน้องก็มาถึงพอดี “นายให้ผมหาทำอะไรครับ?” “รื้อออก” “ครับ” ลูกน้องลงมือรื้อเศษซากออกจนสามารถดึงรองเท้าข้างนั้นขึ้นมาได้ มันเป็นรองเท้าสีชมพูลายการ์ตูนซีดเก่า แต่ลายบนรองเท้าดูคุ้นตา โจฮันจำได้ว่ามันเคยเป็นลายยอดฮิตสมัยเขายังเป็นเด็ก เขาหรี่ตามองรองเท้า ก่อนพูดขึ้นเสียงเรียบ “ไหนบอกว่าไม่มีคนอยู่ ทำไมถึงมีรองเท้าเด็ก?” “พะ พวกผมหาดีแล้วนะครับนาย หรืออาจเป็นของคนเร่ร่อนก็ได้ครับนาย” ลูกน้องพูดเสียงติดขัด พลางก้มหน้ารับความผิดที่สะเพร่าเอง “เอาไป” เขาส่งรองเท้าให้ลูกน้อง ก่อนจะเดินออกจากโกดัง ขึ้นรถและขับออกไปโดยไม่เอ่ยอะไรอีก รถหรูแล่นเข้ามาจอดลงหน้าบ้านหลังใหญ่ โจฮันเปิดประตูลงจากรถ ก่อนจะกระชับเสื้อสูทและจัดทรงผมให้เรียบร้อย เขาสูดลมหายใจลึกหนึ่งครั้งแล้วจึงก้าวเข้าไปด้านใน “ปู่” “โจ มาพอดีเลยลูก มานี่มา” เสียงอบอุ่นดังขึ้นจากโถงด้านใน พร้อมกับสายตาใจดีที่มองมาราวกับเขายังเป็นเด็กชายตัวเล็กๆ ไม่เปลี่ยนแปลง โจฮันยิ้มบาง ก่อนเดินเข้าไปหาปู่ด้วยความคิดถึง “วันนี้ทำอะไรครับ หอมกรุ่นตั้งแต่เดินเข้ามาเลย” “เค้กกล้วยหอมสิ ปู่ว่าจะให้คนไปตามเราอยู่พอดี” “อ๋อครับ” โจฮันพยักหน้ารับ พลางมองสำรวจเค้กกล้วยหอมบนโต๊ะอย่างรู้ทัน “แล้วนี่ดื้อหรือเปล่า ผมบอกว่ายังไงครับ?” “คนแก่อยู่เฉยๆ มันน่าเบื่อ ลุกขึ้นมาทำอะไรเล่นแก้เบื่อบ้างก็ดี” ปู่ตอบยิ้มๆ มือยังคงหยิบจับอะไรบางอย่างไม่หยุด โจฮันถอนหายใจนิดๆ แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร “ครับ” ยังไม่ทันที่บทสนทนาจะดำเนินต่อ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากด้านหลัง “อ้าว โจ!” โจฮันหันขวับไปตามเสียงทันที ก่อนจะเห็นใบหน้าคุ้นเคยของอีกคน “อา สวัสดีครับ” “หวัดดีลูก” “อามานานแล้วเหรอครับ?” เขาถามพลางเดินเข้าไปใกล้ ขณะที่ในใจเริ่มคิดว่าการพบกันครั้งนี้อาจไม่ได้เป็นแค่เรื่องบังเอิญ “มาไม่นาน ก็ปู่เราโทรเรียกอามากินขนม อากินไปหลายชิ้ยจนพุงกางแล้วเนี่ย โจมาก็ดี รับช่วงต่อจากอาหน่อย ไม่ไหว…อิ่ม” อาเขาพูดพลางส่ายหน้าอย่างยิ้มๆ “หึหึ ได้ครับ” ทั้งสามคนนั่งคุยกันอยู่ในห้องนั่งเล่น บทสนทนาไหลลื่นไปเรื่อยๆ จนเมื่อเห็นจังหวะเหมาะ โจฮันจึงเอ่ยถึงเรื่องที่ติดค้างในใจมาตลอดหลายปี “วันนี้ผมไปโกดังมาครับ” ปู่เงยหน้าขึ้นทันที “นี่ไปอีกแล้วเหรอ? ปู่บอกให้ไอ้มีนมันบอกแกแล้วไม่ใช่หรือไง ว่าพรุ่งนี้มีประชุมแต่เช้า” “ทราบครับ มีนบอกแล้ว แต่ผมอยากไปหาหลักฐาน…เผื่อจะเจออะไร” อาที่นั่งฟังอยู่ถอนหายใจเบาๆ “อาเข้าใจนะว่าโจแค้นมาก แต่อาว่าเราหาหลักฐานไม่เจอหรอก เราก็หาๆ กันมาตั้งหลายปีแล้ว” โจฮันสบตากับอานิ่ง ก่อนพูดช้าๆ “แต่วันนี้ผมเจอรองเท้าเด็กผู้หญิง” ปู่ที่กำลังยกแก้วชาขึ้นจิบชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะวางมันลงบนโต๊ะ “แล้วยังไง?” สีหน้าและน้ำเสียงของปู่แฝงแววสนใจ นานแล้วที่เขาไม่ได้ยินอะไรแบบนี้ เพราะทุกครั้งที่คุยกันเรื่องนี้ คำตอบที่ได้มักเป็นแค่ 'ไม่เจออะไรเลย' โจฮันนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ผมยังไม่แน่ใจว่ามันจะใช้เป็นหลักฐานสำคัญได้ไหม” แววตาของเขาวาวโรจน์ราวกับมีเปลวไฟสุมอยู่ข้างใน “แต่ต่อให้ต้องรออีกหลายปี หรือรอจนผมแก่ตัวลง…ผมก็ยังยืนยันคำเดิม ว่าจะไม่มีวันวางมือจากเรื่องนี้” —————————————— ฝากคอมเมนต์ด้วยนะคะ ❤️ตอนพิเศษ 2เวลาผ่านไปสองเดือน โจฮันนั่งเท้าคางบนเคาน์เตอร์ มองแฟนสาวที่กำลังง่วนอยู่กับการทำขนมในครัวเล็กๆ ในร้านที่เขาเพิ่งช่วยเธอเปิดเมื่อหลายนาทีก่อน ช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่เขาชอบที่สุด ได้มองเธอใกล้ๆ ในมุมที่ไม่มีใครเห็น“เสร็จแล้วค่ะ จะลองชิมเลยไหม?” ขนมผิงหันมายิ้มให้ ดวงตาเป็นประกายไม่แพ้แป้งขาวๆ ที่ติดปลายจมูกเธอยังไม่ทันที่เขาจะขยับปากตอบ เสียงของมีนก็ดังแทรกขึ้นมาเสียก่อน “แหม…เจ้านายครับ เดี๋ยวกินแต่ขนม ไม่ค่อยยอมออกกำลังกายเลยนะครับ”โจฮันเหลือบตามองลูกน้องคนสนิทอย่างระอา “ไม่น่าให้มึงมาด้วยเลยจริงๆ จุ้นจ้านฉิบ” เขาบ่นอุบในคอ จริงๆ แล้วเขาอยากมาหาขนมผิงคนเดียวด้วยซ้ำ แต่ปู่ดันเป็นห่วงหนักจนต้องสั่งให้มีนตามติดทุกย่างก้าว “เอาของไปเก็บเลยมึง!”“ครับผม”หลังจากไล่มีนเอาของไปไว้หลังร้าน โจฮันก็เดินอ้อมเคาน์เตอร์เข้ามาหาขนมผิงที่ยืนจัดจานขนมอยู่ เธอทำท่าจะถอยหนีเมื่อเห็นว่าเขาเข้ามาใกล้เกินไป แต่ไม่ทันแล้ว เขาเอื้อมแขนรวบร่างเล็กมากอดจากด้านหลังแน่นๆ พร้อมซบแก้มลงบนไหล่เธอ“เหนื่อยไหมวันนี้” เสียงของเขาทุ้มนุ่ม ต่างจากตอนแกล้งมันเมื่อครู่โดยสิ้นเชิงขนมผิงหลุบตาลงเล็กน้อยก่อนส
ตอนพิเศษ 1วันปีใหม่ ขนมผิงยืนเกาะเคาน์เตอร์อยู่ในห้องครัว เธอทำตาปริบๆ ออดอ้อนคนตัวโตให้พาออกไปเดินเล่นดูพลุในคืนนี้ แต่ด้วยอากาศติดลบ โจฮันเป็นห่วงกลัวจะไม่สบายเขาเลยไม่อนุญาตให้เธอออกนอกบ้าน“นะคะ พาผิงไปเดินแป๊บเดียว นะคะ นะๆ นะคะคนดี”“คิดว่าอ้อนแล้วจะพาไปเหรอ”“แล้วต้องให้ทำยังไงดีคะ หรือให้ผิง…ทำของอร่อยให้กินดี”โจฮันก้มมองคนตัวเล็ก เขาส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนที่จะยกมือขึ้นมาลูบผมที่ปรกใบหน้าสวยออก“ขอฉันดูแผลหน่อย”“แผลเหรอ อ๋า…” เมื่อนึกออกเธอจึงเลิกเสื้อให้เขาดูรอยแผลเป็นที่ช่วงท้อง “เป็นแผลเป็นนิดเดียวค่ะ ไม่ได้แผลใหญ่มาก”โจฮันเงยหน้ามองเธอ ก่อนนะยกมือขึ้นไปแตะบนแผลเป็นเบาๆ“แล้วตอนนั้นปู่ไปรักษาที่ไหน”“ก็โรงพยาบาลในไทยแหละค่ะ พอรักษาหายท่านก็ให้เงินผิง ให้ผิงย้ายมาเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่นี่”“แล้วไม่คิดถึงกันบ้างเหรอ” คราวนี้โจฮันถามเสียงอ่อน “ปล่อยให้คิดถึงฝ่ายเดียวได้ยังไง” เขารั้งเอวบางเข้ามากอดไว้หลวมๆ ก่อนที่จะเกยคางกับไหล่เธอ“คิดถึงมากๆ เลยค่ะ แต่ผิงคิดว่า จากกันตอนนี้ ตอนที่ความรู้สึกเราสองคนยังไม่ก่อตัวก็ดีแล้ว จะได้ตัดใจง่ายหน่อย แต่ทำยากมากค่ะ ผิงนอนร้องไห้คิดถึงคุณ
บทที่ 45 บทส่งท้าย“ผิงไม่อยากกลับไทย ผิงอยากอยู่ที่นี่ อยากใช้ชีวิตที่นี่” ขนมผิงเม้มริมฝีปากแน่น เธอคิดหนักถึงเรื่องนี้ เพราะที่นี่ก็สำคัญกับเธอมาก ทั้งความฝันที่เธอสร้างขึ้น ทั้งความทรงจำที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นทุกวัน รวมถึงคนที่อยู่ที่นี่ซึ่งคอยอยู่เคียงข้างเธอโดยไม่เคยทิ้งไปไหนเสียงเธอสั่นนิดๆ แต่ชัดเจน “ผิงไม่อยากกลับไทยเลยค่ะ… ผิงอยากอยู่ที่นี่ อยากใช้ชีวิตตามความฝันที่นี่”โจฮันนิ่งงันไปชั่วครู่ ก่อนจะยกมือขึ้นจับไหล่เธอเบาๆ ดวงตาสีอ่อนของเขาสะท้อนแววความจริงใจไม่มีเสแสร้ง เขาอยากพูดอะไรสักอย่าง แต่ก็กลัวจะทำลายความรู้สึกที่เปราะบางตรงหน้าขนมผิงสูดลมหายใจเข้า ก่อนเงยหน้าขึ้นสบตาเขา ดวงตาคู่นั้นทั้งอ่อนโยน ทั้งเศร้า และทั้งกล้าในเวลาเดียวกัน“ที่ผ่านมา… ผิงโกรธและเสียใจมาก ที่รู้ว่าทุกอย่างพังทลายลงเพราะอาของคุณโจ” เธอเอ่ยเสียงแผ่ว ราวกับกำลังระบายความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ในอกมานานแสนนาน “แต่ผิงรู้ว่าผิงเอาทุกอย่างคืนมาไม่ได้ และตอนนี้… ผิงรู้แล้วว่าผิงควรปล่อยวางทุกอย่างและเริ่มต้นใหม่” เธอขยับเข้าไปหาเขาอีกนิด เงยหน้าขึ้นส่งรอยยิ้มบางๆ ที่เปื้อนน้ำตาให้เขา ก่อนจะเอื้อมมือไปจับมือ
บทที่ 44 เคียงข้างร่างเล็กนั่งร้องไห้อยู่บนม้านั่งด้านหลังร้านซึ่งเป็นสวนเล็กๆ ที่ถูกหิมะปกคลุมไปแล้ว น้ำตาอุ่นไหลลงอาบแก้มแดงซ่านจากการร้อนให้เป็นเวลานาน ทั้งเกิดจากความเหน็บหนาว“ทำไมต้องกลับมาหาผิง…ทำไมต้องกลับมา” เธอทุบต้นขาตัวเองเบาๆ ราวกับกำลังปลุกตัวเองให้ตื่นจากฝัน แต่เธอกำลังหลอกตัวเอง ว่าการได้เจอโจฮันที่นี่คือความฝัน ไม่ใช่เรื่องจริง และมันไม่น่าเป็นไปได้เลยด้วยซ้ำ โลกใบนี้กว้างใหญ่เกินกว่าที่คนสองคนจะมาพบเจอกันอีก “ตั้งใจจะลืมแล้วแท้ๆ แต่ทำไม…” เสียงสะอื้นเริ่มซาลงเล็กน้อยพอทีเวลา สมองก็ทบทวนคำพูดของโจฮัน แววตา ท่าทางเขาเปลี่ยนไปราวกับไม่ใช่คนคนเดิมที่เธอรู้จัก เพราะโจฮันคนนี้พูดทุกอย่างตามที่รู้สึก ไม่เงียบขรึมเหมือนแต่ก่อน และแววตาที่เคยเย็นชาก็เปลี่ยนเป็นอ่อนโยนและโหยหา มันเหมือนกับว่าเขาเพิ่งจะมีชีวิตเป็นของตัวเอง และเขา….กล้าพูดคำนั้นออกมาได้อย่างไร“รักเหรอ” ขนมผิงขยับปากพูดเสียงเบา แต่ต้องปาดน้ำตาเพราะรู้ว่าช่วงเวลานี้ลูกค้าเข้าร้านเยอะ เธอจำต้องออกไปช่วยพนักงานขายขนมและเสิร์ฟอาหาร จึงไม่มีเวลาให้เศร้ามากด้านโจฮันกลับมาตั้งหลักที่โรงแรม มีนที่กำลังวิ่งวุ่นเพราะหา
บทที่ 43 สารภาพรัก“คุณจำคนผิดแล้วมั้งคะ” หญิงสาวแกะมือเขาออกจากข้อมือตัวเองได้สำเร็จก็เดินหายเข้าไปหลังร้าน ด้านโจฮันลุกขึ้นจะเดินตามไป แต่มันคว้าแขนไว้ได้ทันพอดี“นายครับ”โจฮันสะบัดมือลูกน้องออกแล้วรีบเดินตามหญิงสาวไป“ผิง ผิง!”“นานครับ นายใจเย็นๆ ก่อนนะครับ” มันพยายามฉุดรั้งให้โจฮันมีสติกว่านี้ “ใจเย็นก่อนนะครับนาย อย่าเพิ่งทำอะไรตอนนี้เลย คนเต็มร้านเดี๋ยวเขาจะหาว่าเราไปทำร้ายเขานะครับ”โจฮันยอมอ่อนลงแล้วรีบเดินออกไปจากร้านทันที มีนที่เห็นท่าไม่ดีจึงรีบหยิบเงินออกมาวางไว้บนโต๊ะแล้ววิ่งตามเจ้านายไปปึง!โจฮันตบโต๊ะเสียงดังลั่นห้องพักของปู่“ผมเจอเธอที่นี่ ใช่เธอจริงๆ ใช่ไหม ปู่เอาเธอมาซ่อนที่นี่ใช่ไหม”“อะไร มาถึงก็โวยวายไม่หยุด แกไปเจอใครมากันแน่”“ปู่อย่ามาทำไขสือ ผมรู้ว่าปู่จัดการทุกอย่าง ปู่ให้ขนมผิงมาอยู่ที่นี่ใช่ไหม”ปู่ยกแก้วชาขึ้นมาจิบอย่างสบายใจ แล้วเงยหน้ามองหลานชาย“แกจำคนผิดหรือเปล่า ผู้หญิงมากมายหน้าตาก็คล้ายกันหมด อาจไม่ใช่เธอคนนั้นก็ได้”“ไม่จริง! ผมจำเธอได้”“แกมีอะไรมายืนยันว่าแกจำเธอได้”คราวนี้โจฮันเป็นฝ่ายเงียบไปเอง เขาจะบอกยังไงว่าจำเธอได้ทุกอย่าง เพราะภาพใบหน
บทที่ 42 พบเจอโจฮันทวนชื่อขนมนั้นเสียงเบา และรับถุงมาถือไว้ในมือ เขาไม่ได้เอ่ยอะไรต่อ แต่กำลังจ้องมองถุงขนม“ขนมผิงอย่างนั้นเหรอ”โจฮันทวนชื่อขนมนั้นเสียงเบา และรับถุงมาถือไว้ในมือ เขาไม่ได้เอ่ยอะไรต่อ แต่กำลังจ้องมองถุงขนมกลิ่นหอมอ่อนๆ ลอยออกมาจากปากถุง ผสานกลิ่นหอมหวานบางเบาเฉพาะตัวที่เขาจำได้ดี มันพาเขาย้อนกลับไปยังช่วงเวลาหนึ่งในวัยเด็ก วันที่อากาศร้อนอบอ้าว และคุณย่าใช้เตาถ่านเล็กๆ ค่อยๆ อบขนมทีละถาด เสียงเปลวไฟแตกดังเบาๆ คล้ายเพลงกล่อม โจฮันยังจำได้ถึงความรู้สึกตื่นเต้นทุกครั้งที่ขนมผิงเริ่มแยกตัวแตกเป็นรอยเล็กๆ บนผิว และความอบอุ่นที่กระจายไปทั่วครัวเล็กๆ นั่นเขาหลับตาลงชั่วครู่ ลมหายใจพาเอากลิ่นหอมหวานซึมลึกเข้าไปในอก ความรู้สึกที่ถูกลืมเลือนกลับมาชัดเจน ราวกับว่าวันเวลาที่ผันผ่านไปนานแสนนานนั้น เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้เองโจฮันลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ สัมผัสได้ถึงรอยยิ้มบางๆ ที่เผลอผุดขึ้นมาบนใบหน้าโดยไม่รู้ตัว เขากระชับถุงขนมในมือแน่นขึ้น แล้วหันไปมองมีนที่ยังยืนอยู่ข้างๆ อย่างลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจเอ่ยปาก“พรุ่งนี้…ว่างไหม” โจฮันถาม น้ำเสียงแผ่วเบาแต่เต็มไปด้วยความจร