ภายในร้านอาหารสุดหรูใจกลางกรุงเทพฯ ที่ถูกจัดตกแต่งอย่างครึกครื้นด้วยบรรยากาศงานเลี้ยงรุ่น เพื่อนร่วมรุ่นในมหาวิทยาลัยของณัชชามารวมตัวกันราวแปดคน พวกเขาต่างหัวเราะและพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน โต๊ะอาหารเต็มไปด้วยเครื่องดื่มและอาหารหลากหลายชนิด เสียงเพลงคลอเบาๆ กับแสงไฟสลัวๆ สร้างบรรยากาศชวนผ่อนคลายให้กับทุกคน
ยกเว้นเพียงคนเดียวที่ไม่ได้รู้สึกเอ็นจอยกับบรรยากาศและการพบปะเพื่อนฝูงในครั้งนี้
หญิงสาวในชุดเดรสสีน้ำเงินเข้ม นั่งเงียบๆ อยู่มุมหนึ่งของโต๊ะ มือเรียวยกแก้วไวน์ขึ้นจิบช้าๆ ดวงตาคมที่เคยเปล่งประกายความมั่นใจ กลับเหม่อลอยราวกับล่องลอยไปในที่ไกลแสนไกล
เธอไม่ได้หัวเราะตามบทสนทนาของเพื่อนๆ ไม่ได้สนใจมุกตลก หรือการพูดคุยของเพื่อนร่วมรุ่น ในหัวของเธอมีแต่ภาพของภีมวัช ชายหนุ่มที่เธอหมายมั่นปั้นมือจะเชื่อมความสัมพันธ์ให้ได้ในวันนี้ แต่กลับไม่ได้มา
ณัชชาวางแก้วลงกับโต๊ะเบาๆ แต่แรงกำมือกลับแน่นขึ้นเรื่อยๆ จนข้อนิ้วขึ้นสีขาว
เสียงหัวเราะของเพื่อนๆ ดังแว่วอยู่ข้างๆ แต่สำหรับเธอ มันกลับเงียบงันราวกับอยู่คนเดียวในห้องที่ไม่มีใคร
“เป็นอะไรน่ะหมอนัท ไม่สบายหรือเปล่า”
“เปล่าหรอก แค่เหนื่อยนิดหน่อย...” เธอยิ้มบางๆ กลบเกลื่อน แต่ในใจกลับร้องออกมาอย่างเหนื่อยล้า
“ว่าแต่หมอภีมล่ะ ปกติตัวติดกันกับเธอตลอดนี่”
ณัชชายกแก้วขึ้นจิบอีกครั้ง คราวนี้แรงกว่าครั้งก่อน จนเพื่อนบางคนแอบมองด้วยความเป็นห่วง แต่เธอก็ยังฝืนยิ้ม ทั้งที่หัวใจร้าวรานจนแทบลืมหายใจ
“วันนี้หมอภีมมาไม่ได้ วันนี้เขาหมั้นน่ะ”
“อะไรนะ หมอภีมหมั้นเหรอ” เพื่อนๆ หันมาถามอย่างสนใจ
“ไม่ใช่ว่าหมอนัทกับหมอภีมซุ่มคบกันอยู่เหรอ” เสียงหนึ่งถามขึ้นมา
“เราเป็นแค่เพื่อนกันน่ะ” ณัชชาได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ จากนั้นทุกคนก็เริ่มพูดถึงหัวข้อการหมั้นของภีมวัช แล้วต่างก็อยากเห็นว่าใครคือผู้หญิงที่โชคดีที่ทำให้หมอแสนเย็นชายอมหมั้นด้วยได้
ณัชชาเติมเครื่องดื่มอีกแก้ว คืนนี้เธอเป็นแค่คนหนึ่งที่นั่งอยู่ท่ามกลางเสียงหัวเราะของคนอื่น แต่ไม่มีใครได้ยินเสียงหัวใจของเธอเลย
ค่ำคืนวันเดียวกันภายในบ้านกุลธาราวงศ์ โต๊ะอาหารขนาดกลางที่อบอวลด้วยบรรยากาศอบอุ่น มีเพียงคนของสองครอบครัวนั่งล้อมวงกันอย่างเรียบง่าย อาหารไทยรสชาติดีถูกจัดวางอย่างเรียบร้อย กลิ่นหอมอ่อนๆ ลอยคลุ้งไปทั่วห้องอาหาร
ภีมวัชนั่งข้างกับอิงลดา สายตาคมสงบนิ่งแต่แฝงไปด้วยความหนักแน่นและจริงจัง เขาวางช้อนลงก่อนจะหันไปบอกกับแม่ของเขา และพ่อแม่ของคู่หมั้นสาวด้วยน้ำเสียงเรียบง่ายแต่ชัดเจน
“คุณป้าครับ หาฤกษ์แต่งงานได้เลยครับ ผมไม่อยากรอแล้ว” คำพูดของเขาเรียบง่ายแต่หนักแน่น ราวกับไม่เปิดโอกาสให้ใครค้าน
อิงลดาที่กำลังจะตักข้าวถึงกับชะงักมือ สายตาเงยขึ้นมองเขาอย่างไม่อยากเชื่อหูตัวเอง หัวใจเต้นแรงจนแทบควบคุมไม่อยู่ เมื่อวานนี้เธอนึกว่าเขาพูดเล่น ไม่คิดว่าเขาจะพูดจริง
อารีย์กับพิทักษ์สบตากันแล้วยิ้มอย่างดีใจ ดาริกาก็ยิ้มกว้างอย่างปลื้มใจ
“เรียกป้าอะไรกัน เรียกแม่เถอะจ๊ะ งั้นแม่จะให้คนดูฤกษ์ให้เร็วที่สุดเลย” อารีย์พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ไหนพี่ภีมบอกว่าให้เราเรียนรู้กันก่อนสามเดือนไม่ใช่เหรอคะ” เธอรีบแย้งขึ้นมาทันที
“ช่วงเวลาสั้นๆ พี่ก็เรียนรู้แล้วว่าอิงกับพี่เข้ากันได้ดี ไม่ต้องรอให้ถึงสามเดือนหรอก” เขาพูดแล้วยิ้มกริ่ม เป็นรอยยิ้มที่แม้แต่ดาริกาเองก็ยังไม่เคยเห็นลูกชายในมุมนี้
ในตอนแรกเขาคิดจะให้เธอเกิดความรักก่อนค่อยแต่งงานกัน แต่ยิ่งนานวันกลับรู้สึกว่าห่างเธอไม่ได้ เขาอยากครอบครองเธอทั้งกายและใจ และจะอาศัยความใกล้ชิดหลังแต่งงานในการเอาชนะใจอิงลดาในภายหลัง พลางด่าตัวเองในใจ
‘ไม่น่าประวิงเวลาออกไปเลย พับผ่าเถอะ’
อิงลดาฝืนยิ้มตอบคนในโต๊ะ ทั้งที่ในใจเหมือนตกลงไปในหลุมพรางที่ภีมวัชเป็นคนวางไว้เองกับมือ
‘ตัวเองตั้งเวลาสามเดือนแท้ๆ แต่สุดท้ายกลับเป็นฝ่ายเร่งงานแต่งงาน... แต่มันก็ดีกับเราไม่ใช่เหรอ สถานะสมรสจะทำให้เรารอดพ้นจากสองคนนั้นเสียที’ เธอบอกตัวเองเงียบๆ
แต่ลึกๆ ในหัวใจ กลับไม่อาจปฏิเสธความรู้สึกบางอย่างที่กำลังซ่อนอยู่ในอก ความรู้สึกอบอุ่นปนสั่นไหวที่ไม่อยากยอมรับว่าเป็นความยินดีที่เจ้าบ่าวของเธอเป็นเขา
ภีมวัชปรายตามองเธอแวบหนึ่ง รอยยิ้มมุมปากของเขาแสดงความพอใจอย่างเงียบงัน ถ้าไม่กลัวเธอจะตกใจ เขาจะชวนไปจดทะเบียนสมรสในวันจันทร์ที่จะถึงนี้ด้วยซ้ำ
************************
เช้าวันอาทิตย์ ครอบครัวของอิงลดาที่กำลังเตรียมตัวเดินทางกลับภาคเหนือ หญิงสาวสวมชุดเรียบง่ายแต่ดูดี เธอสวมกอดบุพการีทั้งแน่นด้วยแววตาอาลัย“ดูแลตัวเองดีๆ นะลูก มีอะไรก็โทรหาพ่อกับแม่ได้เสมอ” อารีย์ลูบผมลูกสาวอย่างอ่อนโยน“ค่ะ แม่” อิงลดายิ้มบางๆ ทั้งที่ในใจแอบหวั่นไหวกับสิ่งที่ต้องเผชิญหลังจากนี้ภีมวัชยืนข้างๆ รอจนพ่อแม่ลูกกอดลากันเสร็จ เขาก้าวออกมายืนข้างอิงลดา มองไปที่อารีย์กับพิทักษ์ที่กำลังจะขึ้นรถตู้ซึ่งจอดรออยู่หน้าบ้านพิทักษ์หันมามองเขา สีหน้าแสดงความไว้ใจ “ฝากอิงด้วยนะภีม อย่าปล่อยให้เธอเหงา หรือมีเรื่องให้ไม่สบายใจ”“ผมจะดูแลอิงให้ดีที่สุดครับ แล้วขอฤกษ์แต่งงานที่เร็วที่สุดด้วย ผมไม่อยากรอนาน” ภีมวัชพยักหน้ารับด้วยแววตาจริงจัง คำพูดของเขาทำเอาอารีย์ถึงกับยิ้มกว้างอย่างปลื้มใจ เธอมองลูกสาวอย่างเอ็นดู“ย้ำสองรอบแบบนี้ คงอยากแต่งมากแล้วจริงๆ วัยรุ่นก็แบบนี้... ตกลงจ้ะ แม่จะให้คนดูฤกษ์ให้เร็วที่สุด ยังไงเดี๋ยวแจ้งกลับมา”“ขอบคุณครับ” เขายิ้มกว้างแล้วเดินไปเป
กลางดึก ความเงียบของบ้านกุลธาราวงศ์ปกคลุมไปทั่วทุกห้อง แสงไฟสลัวจากทางเดินทอดยาวมาถึงหน้าห้องของอิงลดา เสียงเคาะเบาๆ ดังขึ้นสองสามครั้งก่อนที่หญิงสาวจะเดินมาเปิดประตูแง้มไว้เพียงเล็กน้อย ใบหน้ายังคงมีร่องรอยของความสับสนและเหนื่อยล้าในวันนี้ภีมวัชยืนอยู่ตรงหน้า สวมชุดนอนสบายๆ แต่สีหน้ากลับจริงจังอย่างเห็นได้ชัด“มีอะไรคะ”เขามองเธอด้วยสายตาที่ตรงไปตรงมา ไม่หลบเลี่ยงเหมือนทุกครั้ง“พี่อยากแต่งงานกับเธอจริงๆ นะอิง” เสียงทุ้มต่ำกล่าวช้าๆ ชัดเจนทุกถ้อยคำอิงลดาชะงักไปชั่วครู่ หัวใจสั่นไหวเล็กน้อย แต่สีหน้ากลับยังนิ่งเฉย เธอสูดหายใจลึกแล้วตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย แม้ในใจจะว้าวุ่น“อิงดีใจไหม” เขาถามเธอแล้วลอบมองดูปฏิกิริยาของคู่หมั้นสาว“พี่ภีมอย่าลืมสิคะ ว่าเราแต่งงานกันเพราะอะไร อิงต้องดีใจอยู่แล้วที่จะหลุดพ้นจากเรื่องวุ่นวาย ไม่ใช่ดีใจเพราะจะได้แต่งกับพี่นะ” ประโยคนั้นเหมือนคมมีดที่กรีดลงกลางใจของภีมวัชอย่างไม่ทันตั้งตัวชายหนุ่มนิ่งเงียบไปทันที ดวงตาคมที่เคยแฝงรอยอ่อนโยนเมื่อครู่กลับกลายเป็นความเศร้าลึก เขากะพริบตาช้าๆ ก้มหน้
ภายในร้านอาหารสุดหรูใจกลางกรุงเทพฯ ที่ถูกจัดตกแต่งอย่างครึกครื้นด้วยบรรยากาศงานเลี้ยงรุ่น เพื่อนร่วมรุ่นในมหาวิทยาลัยของณัชชามารวมตัวกันราวแปดคน พวกเขาต่างหัวเราะและพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน โต๊ะอาหารเต็มไปด้วยเครื่องดื่มและอาหารหลากหลายชนิด เสียงเพลงคลอเบาๆ กับแสงไฟสลัวๆ สร้างบรรยากาศชวนผ่อนคลายให้กับทุกคนยกเว้นเพียงคนเดียวที่ไม่ได้รู้สึกเอ็นจอยกับบรรยากาศและการพบปะเพื่อนฝูงในครั้งนี้หญิงสาวในชุดเดรสสีน้ำเงินเข้ม นั่งเงียบๆ อยู่มุมหนึ่งของโต๊ะ มือเรียวยกแก้วไวน์ขึ้นจิบช้าๆ ดวงตาคมที่เคยเปล่งประกายความมั่นใจ กลับเหม่อลอยราวกับล่องลอยไปในที่ไกลแสนไกลเธอไม่ได้หัวเราะตามบทสนทนาของเพื่อนๆ ไม่ได้สนใจมุกตลก หรือการพูดคุยของเพื่อนร่วมรุ่น ในหัวของเธอมีแต่ภาพของภีมวัช ชายหนุ่มที่เธอหมายมั่นปั้นมือจะเชื่อมความสัมพันธ์ให้ได้ในวันนี้ แต่กลับไม่ได้มาณัชชาวางแก้วลงกับโต๊ะเบาๆ แต่แรงกำมือกลับแน่นขึ้นเรื่อยๆ จนข้อนิ้วขึ้นสีขาวเสียงหัวเราะของเพื่อนๆ ดังแว่วอยู่ข้างๆ แต่สำหรับเธอ มันกลับเงียบงันราวกับอยู่คนเดียวในห้องที่ไม่มีใคร“เป็นอะไรน่ะหมอนัท ไม
หลังจากเขากลับไป อิงลดานั่งพิงหัวเตียงในชุดนอนสีอ่อน ผมนุ่มสยายลงบนบ่า มือเรียวกอดเข่าของตัวเองเอาไว้แน่น สายตาเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างที่มีแสงจันทร์เลือนรางหัวใจของเธอไม่เคยเต้นแรงขนาดนี้มาก่อน ไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองควบคุมอารมณ์ไม่ได้แบบนี้เลยสักครั้ง“นี่มันอะไรกัน... ทำไมต้องรู้สึกใจเต้นเวลาเขาเข้ามาใกล้”เธอไม่เข้าใจตัวเองเลยสักนิด ทั้งที่ตอนแรกตั้งใจจะหนีมาแต่งงานเพื่อแค่หลบภัย แค่ต้องการฉากบังหน้า แต่ไม่ทันถึงสัปดาห์ หัวใจของเธอก็เหมือนจะทรยศตัวเองไปเสียแล้วคำพูดของเขายังวนเวียนอยู่ในหัว“สายไปแล้วอิง เธอเดินเข้ามาในชีวิตพี่แล้ว จะถอยกลับไปง่ายๆ แบบนั้นไม่ได้หรอก”อิงลดาถอนหายใจยาว พยายามสลัดความรู้สึกฟุ้งซ่านออกจากหัว“คนแบบเขา...พูดจริงหรือแค่หยอกเล่นกันแน่” เธอบ่นพึมพำกับตัวเอง พลางเอาหมอนมากอดแนบอกแต่ไม่ว่าจะคิดอย่างไร ภาพรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปนอบอุ่นของเขาก็ไม่ยอมหายไปจากหัวเสียทีใครบอกกันว่าเขาเย็นชาและไม่ชอบผู้หญิง ที่แสดงกับเธอมันตรงกันข้าม เขาดูเจ้าเล่ห์
ช่วงเย็นของวันศุกร์ บ้านกุลธาราวงศ์อบอวลด้วยกลิ่นอาหารต้อนรับแขกผู้มาเยือน ภีมวัชยืนรออยู่ที่หน้าประตู ตั้งแต่ยังไม่ทันได้ยินเสียงรถของครอบครัวอิงลดาเมื่อรถตู้สีดำคันใหญ่แล่นเข้ามาจอดอย่างนุ่มนวล เขาเป็นฝ่ายก้าวเข้าไปเปิดประตูรถให้ก่อนใคร น้ำเสียงสุภาพเรียบง่าย แต่แฝงด้วยความจริงใจ“สวัสดีครับคุณลุง คุณป้า เดินทางเหนื่อยไหมครับ”พิทักษ์และอารีย์ลงจากรถด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม พวกเขาประหลาดใจไม่น้อยที่หมอหนุ่มผู้เงียบขรึมอย่างภีมวัชแสดงความเอาใจใส่ตั้งแต่ก้าวแรกที่พบกันอีกครั้ง“เหนื่อยนิดหน่อยแต่พอเจอหน้าว่าที่ลูกเขยแล้วหายเหนื่อยเลย” พิทักษ์หัวเราะร่า“พูดแบบนี้เขินแทนลูกสาวเลยค่ะคุณ” อารีย์ต่อบทพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน ก่อนจะหันไปมองลูกสาวที่ยืนอึกอักอยู่ข้างหลังอิงลดายิ้มแห้งๆ พยายามปรับสีหน้าให้ดูเป็นปกติ ทั้งที่ในใจเต้นแรงไม่เป็นจังหวะเมื่อทุกคนเข้ามานั่งในห้องรับแขก พร้อมหน้าพร้อมตา ดาริกาก็ยิ้มกว้างอย่างปลื้มใจ“ดูเหมือนเด็กๆ จะเข้ากันได้ดีนะคะ ดิฉันสบายใจขึ้นเยอะเลย”อารีย์
ช่วงเช้าในบ้านกุลธาราวงศ์ บนโต๊ะอาหารเช้าวันนี้เป็นข้าวต้มปลาหมึกแห้งสูตรของยุพินและยุพาที่นำเสนอจนกลายเป็นอาหารเช้ามื้อหลักที่ต้องมีในทุกสัปดาห์“ข้าวต้นปลาหมึกแห้ง สูตรของสองสาวเขา อิงลองชิมนะลูก”“ค่ะ คุณแม่” เธอตอบรับอย่างว่าง่ายดาริกามองว่าที่สะใภ้ก็ยิ้มกริ่ม อิงลดาเป็นคนสมัยใหม่ แต่ว่านอนสอนง่าย พูดจาตรงไปตรงมาแต่นอบน้อม แม้จะแสดงเจตนาจะแต่งงานกับลูกชายเธอเพราะความจำเป็น แต่เธอเริ่มมองเห็นว่าทุกอย่างมันเริ่มลึกซึ้งและมีความผูกพันกันเกิดขึ้นทีละน้อย“จริงสิตาภีม แม่ลืมบอกไป” เธอหันไปทางลูกชายที่กำลังโรยหอมเจียวเพิ่มในข้าวต้ม“ครับแม่”“พ่อแม่ของอิงจะเดินทางมาถึงตอนเย็นวันนี้นะภีม พรุ่งนี้เป็นวันดี ฤกษ์งามยามเหมาะสำหรับพิธีหมั้น พวกเราเตรียมงานไว้หมดแล้ว เหลือแค่ลูกกับหนูอิงตกลงกันให้เรียบร้อยว่าจะเชิญแขกมาเพิ่มไหม เผื่อเปลี่ยนใจแม่จะได้สั่งห้องอาหารให้เตรียมอาหารเพิ่ม”ภีมวัชเงยหน้าจากถ้วยข้าวต้ม ดวงตาสงบนิ่งแต่แวววาวอย่างพอใจ“ครับแม่ ผมรับทราบ&rdquo