เขาคือศัลยแพทย์มือหนึ่งที่เป็นที่หมายปองของพยาบาลและแม้กระทั่งหมอด้วยกัน ภีมวัชเย็นชาต่อทุกคนที่เข้าใกล้ แม้แต่ณัชชาหมอสูตินารีที่เรียนมาด้วยกันตั้งแต่มหาวิทยาลัย เขาไม่สามารถรักใครได้เพราะมีรักแรกในใจที่ไม่รู้จักแม้กระทั่งชื่อ จนกระทั่งเธอปรากฏตัวในฐานะคู่หมั้น อิงลดาเป็นผู้หญิงคนเดียวที่ทำให้เขาควบคุมตัวเองไม่อยู่เมื่ออยู่ต่อหน้าเธอ
View Moreเสียงเครื่องวัดสัญญาณชีพดังแผ่วเบา ท่ามกลางความตึงเครียดในห้องผ่าตัดที่เงียบกริบจนได้ยินเสียงลมหายใจของทุกคนในทีมแพทย์
“กรรไกร” เสียงนิ่งเรียบ ไม่มีแววลังเลของศัลยแพทย์หนุ่มดังขึ้นหลังหน้ากากผ่าตัด
มือพยาบาลส่งกรรไกรปลายโค้งเข้ามาอย่างรวดเร็ว ดวงตาหลายคู่จับจ้องเขาเหมือนโลกทั้งใบหมุนรอบนายแพทย์หนุ่มที่ยืนอยู่ข้างเตียงคนไข้
นายแพทย์ภีมวัช กุลธาราวงศ์ ศัลยแพทย์เฉพาะทางด้านสมอง วัย 32 ปี ผู้ได้รับฉายาในหมู่บุคลากรทางการแพทย์ว่า ‘หัตถ์น้ำแข็ง’ กำลังทำการผ่าตัดเนื้องอกในสมองด้วยสมาธิที่แน่วแน่ ในการผ่าตัดที่ยาวนานกว่าหกชั่วโมง
เขาไม่พูดคำฟุ่มเฟือย ทุกการขยับมือแม่นยำราวกับเครื่องจักรกลที่ถูกตั้งโปรแกรมไว้ด้วยสมองที่อัจฉริยะ แววตานิ่งสนิทจ้องมองอย่างมีสมาธิ
“ปิดแผล” เขากล่าวขั้นตอนสุดท้ายแล้วลงมืออย่างชำนาญ
จนกระทั่งสำเร็จแล้ว เขาจึงวางเครื่องมือผ่าตัดในถาดสแตนเลส ก่อนจะถอยหลังออกจากเตียงคนไข้ สายตาคมใต้หน้ากากยังจับจ้องไปยังชีพจรที่กลับเข้าสู่สภาวะปกติ แล้วจึงผละจากห้องผ่าตัดไป โดยที่คนในทีมแพทย์สานต่อหน้าที่ที่เหลือ
เขาเดินไปยังโซนทำความสะอาด ถอดถุงมือยางและโยนมันลงถังขยะอย่างเฉยเมย ก่อนจะเดินออกไปยังห้องพักแพทย์
ที่ห้องพักแพทย์ชาย เสียงเปิดประตูเบาๆ ดังขึ้น พร้อมกับเสียงหวานที่จงใจดัดขึ้นมาจากด้านหลัง
“อาจารย์คะ”
ภีมวัชไม่หันไปมอง แต่รับรู้ได้จากกลิ่นน้ำหอมฉุนจมูกและเสียงส้นสูงกระทบพื้น เลขานุการส่วนตัวของเขาที่ทำหน้าที่จัดการเอกสารและดูแลตารางงานของเขาเดินเข้ามา
“ผ่าตัดเหนื่อยไหมคะ เห็นอาจารย์ผ่าตั้งแต่เช้ายังไม่พักเลย จะรับกาแฟสักถ้วยหรือเปล่าคะ” เธอถามเขาขณะที่แพทย์หนุ่มกำลังจะหยิบแฟ้มคนไข้มาเปิดอ่านเพื่อวิเคราะห์อาการล่วงหน้า
“ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณ” เขากล่าวเสียงเรียบ แล้วนั่งลงที่เก้าอี้ พลางเปิดแฟ้มคนไข้ที่มีนัดในวันพรุ่งนี้ไปด้วย
“งั้นให้หวานช่วยนวดให้ไหมคะ เพิ่งออกจตากห้องผ่าตัด อาจารย์จะได้ผ่อนคลาย หรือว่าเย็นนี้เลิกงานแล้วเรากลับพร้อมกัน แวะหาที่นวดผ่อนคลายแบบเตียงนุ่มๆ แอร์เย็นๆ ที่มีแค่เราสองคน” เธอเดินเข้ามาใกล้ แขนเรียวเลื้อยเข้ามาแตะไหล่เขาเบาๆ
นายแพทย์หนุ่มเงยหน้าขึ้นช้าๆ ใบหน้าเรียบเฉยไร้รอยยิ้ม ก่อนจะปัดมือเธอออกจากไหล่ด้วยท่าทีเฉียบขาด
“ออกไป” น้ำเสียงเรียบ ทุ้มต่ำ แต่เฉียบขาดจนหญิงสาวผงะถอย
“อาจารย์ หวานแค่อยาก...”
“ผมไม่ได้เปิดรับความหวังดีจากคนที่ใช้เรือนร่างมาเสนอให้ผู้ชายอย่างไร้ยางอาย” เขาพูดเสียงเย็นเหมือนใบมีดผ่าตัด
“ถ้าอยากคุยเรื่องงาน ก็ถือแฟ้มเข้ามานั่งคุยดีๆ ถ้าไม่ใช่ก็ออกไป อย่ามาทำตัวแบบบนี้กับผม”
“เอ่อ...”
“ผมเปลี่ยนเลขามาสามคนแล้วในปีนี้ ไม่อยากเปลี่ยนคนที่สี่ แต่คิดว่าจำเป็นต้องเปลี่ยนแล้วล่ะ”
สีหน้าหญิงสาวซีดเผือดทันที ก่อนจะหมุนตัวออกไปจากห้องด้วยความอับอาย ตามมาด้วยเสียงปิดประตูเสียงดัง
ภีมวัชวางแฟ้มลงอย่างอารมณ์เสีย จากที่กำลังจะอ่านแฟ้มคนไข้ เขาตัดสินใจเก็บข้าวของเตรียมจะกลับบ้าน เพราะอย่างไรนี่ก็ถึงเวลาเลิกงานแล้ว ทำงานที่โรงพยาบาลเอกชนเลิกงานเป็นเวลา หากไม่มีเคสด่วนหรือเคสที่ต้องเข้าเวรพิเศษ
“หมอภีมนี่แม่งโหดว่ะ” เสียงกระซิบจากกลุ่มอินเทิร์นหน้าห้องพักแพทย์ที่แอบได้ยินเหตุการณ์เมื่อครู่
“เห็นนิ่งๆ นึกว่าจะใจดี ที่ไหนได้ ใจเด็ดตัดสัมพันธ์ได้เฉียบยิ่งกว่ามีดผ่าตัดอีก”
“แต่แบบนี้แหละ ยิ่งทำตัวเย็นชา ยิ่งมีคนอยากลองเอาชนะใจ รู้จักไหมยิ่งสูงยิ่งหนาวยิ่งน่าท้าทานน่ะ” พวกเขากระซิบกระซาบกัน แต่พอถูกมองด้วยสายตาที่เฉียบแหลมและนิ่งกร้าวของอาจารย์ศัลยแพทย์ก็ต้องเงียบแล้วก้มหน้าลง
ในโรงพยาบาลแห่งนี้ แพทย์หนุ่มหลายคนถูกจับตามองเพราะฝีมือ หรือหน้าตา แต่นายแพทย์ภีมวัช กุลธาราวงศ์กลับเป็นเป้าหมายที่น่าหมายปองที่สุด ทั้งที่เขาไม่เคยเอ่ยคำหวาน ไม่เคยยิ้มให้เพศตรงข้ามอย่างอ่อนโยน ไม่เคยแม้แต่จะแสดงท่าทีสนใจผู้หญิงคนไหน
อาจเพราะแบบนั้น ความสันโดษและเย่อหยิ่งของเขายิ่งดึงดูดให้ผู้คนอยากเข้ามาพิชิตใจ ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ
แต่ไม่มีใครรู้ว่าเบื้องหลังดวงตาเย็นชานั้น ไม่ใช่ว่าเขารักใครไม่เป็น แต่จริงๆ แล้วนายแพทย์หนุ่มเพียงแค่ตกหลุมรักใครบางคนเมื่อสิบปีก่อน ตอนนี้เหมือนหัวใจของเขาได้หยุดที่หญิงสาวนิรนามผู้นั้น และหัวใจก็ด้านชาต่อผู้หญิงคนอื่นโดยอัตโนมัติมานานแล้ว
************************
“ป้าใส่เครื่องแกงแบบนี้นะคะ แล้วก็ค่อยๆ ผัดกับหมูสับจนหอม” อิงลดาอธิบายไปพลาง ใช้ทัพพีคนหมูสับกับพริกแกงแดงที่คั่วจนส่งกลิ่นหอมฟุ้ง ก่อนจะเติมกะปิลงไปตามสูตรของคุณยายวิไลป้าสมรที่ยืนข้างๆ จ้องมองด้วยความตั้งใจ “อ๋อ…มันต้องให้เครื่องแกงสุกก่อนใช่ไหมหนูอิง ถึงจะค่อยใส่มะเขือเทศตาม”อิงลดาพยักหน้า ยิ้มบาง “ใช่ค่ะป้า ถ้าใส่มะเขือเทศก่อนมันจะไม่หอมจัด น้ำพริกก็ไม่เข้มข้นเท่าที่ควร”“อาหารเหนือคล้ายของบ้านหนูเลยค่ะ คล้ายของพม่านะคะคุณอิง แต่ของพม่าจะเผ็ดไปอีกแบบ หนูอยากกินน้ำพริกอ่องมานานแล้ว วันนี้ต้องขอให้คุณอิงทำเยอะๆ หน่อยนะคะ” ยุพาที่กำลังล้างแตงกวาอยู่ยิ้มด้วยความตื่นเต้น“ไม่ต้องห่วงเลยค่ะพี่ยุพา อิงทำไว้เยอะมาก รับรองว่าพอกินทั้งบ้านแน่นอน” อิงลดาหันไปยิ้มให้อย่างเอ็นดูป้าสมรมองหม้อแกงที่วางอยู่ใกล้ๆ แล้วชี้ “นอกจากน้ำพริกอ่องนี่ก็มีแกงฮังเลด้วยคะคุณอิง ป้าไม่เคยกิน ไม่รู้รสชาติเป็นแบบไหน”“ต้องลองชิมค่ะป้า” อิงลดาพยักหน้าเสริม แล้วเหลือบไปเห็นกับข้าวที่ป้าสมรเตรียมไว้“ของป้านี่ก็น่ากินค่ะ ทั้งผัดคะน้าปลาเค็ม ทั้งหมูสามชั้นทอดน้ำ
เสียงประตูบ้านเปิดพร้อมกันพอดี อิงลดาเดินเข้ามาในบ้านพร้อมถุงของสดที่เพิ่งแวะซื้อจากตลาด ส่วนดาริกาก็เพิ่งกลับเข้ามาเช่นกัน“คุณแม่กลับมาเร็วจังเลยค่ะ” อิงลดาเอ่ยทักด้วยรอยยิ้ม อดแปลกใจไม่ได้เพราะปกติแม่สามีมักออกนอกบ้านทั้งวัน ยิ่งนัดเจอเพื่อนบางทีก็กลับมาค่ำๆด้วยซ้ำดาริกาหันมามองสะใภ้คนสวย ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มอ่อนโยน “วันนี้แม่ไปแวะดูร้านสะดวกซื้อของครอบครัวมาน่ะลูก เลยกลับเร็วหน่อย”อิงลดาเลิกคิ้วด้วยความสนใจ “ร้านสะดวกซื้อของครอบครัวนี่เอง เพิ่งเคยได้ยินค่ะ ปกติไม่ค่อยถามเรื่องธุรกิจของบ้านเลย อยากรู้เหมือนกันค่ะว่าธุรกิจที่คุณลุงเคยทำก่อนหน้านี้เป็นยังไง”ดาริกายิ้มบาง ถอนหายใจเบาๆ แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบ“ตอนที่ลูกชายแม่ตัดสินใจเรียนหมอ คุณพ่อเขาก็ขายหุ้นธุรกิจใหญ่ส่วนหนึ่งให้กับหุ้นส่วนคนอื่นไป เพราะไม่อยากให้ลูกต้องมารับภาระหนักเกินไป แม่เลยถือหุ้นไว้แค่สิบเปอร์เซ็นต์เอง”อิงลดาพยักหน้า สีหน้าตั้งใจฟังอย่างเคารพ “สิบเปอร์เซ็นต์ก็ยังได้ปันผลอยู่นี่คะ”“ใช่ ปีหนึ่งก็มีปันผลอยู่บ้าง แค่ไม่กี่แสน ถือว่าพอเป็นค่าใช้จ่ายเล็ก
ในห้องพักแพทย์ยามบ่าย หมอณัชชานั่งก้มหน้าอยู่บนโซฟา ใบหน้าซีดเผือด ดวงตาแดงช้ำ เธอแทบไม่พูดคุยกับใครหลังจากเรื่องที่เกิดขึ้นหน้าห้องทำงานของภีมวัชประตูเปิดออกเบาๆ ก่อนที่หมอนุ่นจะเดินเข้ามา เธอวางแฟ้มลงบนโต๊ะใกล้ๆ แล้วหันไปมองเพื่อนร่วมงานที่นั่งกอดอกแน่นเหมือนกำลังหาที่พึ่ง“หมอนัท…” นุสราเอ่ยเรียกเบาๆ น้ำเสียงแฝงความห่วงใย“เราขอนั่งด้วยได้ไหม”ณัชชาเงยหน้าขึ้น ดวงตาแดงก่ำ ก่อนจะพยักหน้าช้าๆเธอนั่งลงข้างๆ หันตัวเข้าหาเพื่อนเต็มที่ “ฉันรู้เรื่องเมื่อกี้แล้ว พยาบาลเล่าให้ฟัง”ณัชชากัดริมฝีปากแน่น เสมองไปทางอื่น ไม่อยากเผชิญกับความจริง“หมอนัท ช่วงนี้เธอเปลี่ยนไปมาก รู้ตัวไหม” หมอนุ่นพูดเสียงเรียบแต่หนักแน่น“เปลี่ยนเหรอ” ณัชชาเอ่ยแผ่วเบา“ใช่” หญิงสาวพยักหน้า“แต่ก่อนเธอเป็นหมอที่มั่นใจ เก่ง เป็นที่นับถือของทุกคน แต่ตอนนี้เธอเหมือนคนที่สติไม่อยู่กับตัว ทำอะไรที่ไม่ใช่ตัวเองเลย โดยเฉพาะสิ่งที่กำลังทำในตอนนี้”ณัชชานิ
ในห้องพักแพทย์เงียบสงบ เสียงเปิดปิดแฟ้มดังสลับกับเสียงเครื่องปรับอากาศ หมอณัชชาเดินวนหาภีมวัชอยู่สองสามรอบก็ไม่เจอ“หมอภีมหายไปไหน ทำไมวันนี้ไม่เข้ามาที่นี่เลย” เธอขมวดคิ้ว“เขาคงหลบหน้าใครบางคนมั้งครับ” หมอธนินทร์ที่นั่งเอนหลังอยู่บนเก้าอี้เงยหน้ามามองณัชชาหันขวับไปทันที “หมอธนินทร์ พูดอะไรของคุณ”ชายหนุ่มยักไหล่ ไม่ตอบ“เอาเถอะ ไปกินข้าวกันเถอะ ผมเองก็หิวแล้ว”ณัชชากัดริมฝีปาก แต่ก็จำต้องเดินตามไปกับเขา ระหว่างทางหมอนุ่นหรือนุสราก็โผล่มาสมทบ“ไปกินข้าวเหรอ รอด้วยสิ ฉันกำลังจะลงไปเหมือนกัน”ทั้งสามเดินมาที่โรงอาหาร พอเข้ามาก็เห็นร่างสูงในชุดกาวน์สีขาวนั่งอยู่ที่โต๊ะมุมหนึ่งเพียงลำพัง ภีมวัชกำลังรับประทานอาหรด้วยท่าทางสงบนิ่งเหมือนทุกครั้ง“นั่นไง...หมอภีม” นุสรารีบเดินนำไปทันที ก่อนจะนั่งลงข้างๆ อย่างคุ้นเคยภีมวัชเหลือบตามอง แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ “เชิญนั่งสิครับ”ทั้งสามคนเลยนั่งลงร่วมโต๊ะ บรรยากาศเหมือนจะเงียบไปชั่วขณะ
แสงแดดยามเช้าส่องลอดผ้าม่านเข้ามาในห้องนอน อิงลดาลืมตาตื่นก่อน หันไปเห็นภีมวัชยังนอนกอดเธอแน่น ใบหน้าหล่อเหลาซุกอยู่ตรงไหล่ของเธอ เสียงหายใจสม่ำเสมออย่างคนนอนหลับสนิท“พี่ภีม ตื่นได้แล้วค่ะ” เธอเอื้อมมือเขย่าแขนเขาเบาๆ“อืม...” เขาครางในลำคอ แต่กลับกอดเธอแน่นกว่าเดิม“ขอนอนกอดอีกนิดนะ”“ไม่ได้หรอกค่ะ วันนี้ต้องไปทำงานแล้วนะคะ” อิงลดาพูดเสียงจริงจัง พลางพยายามดันตัวเขาออกเล็กน้อยภีมวัชลืมตาขึ้นมาช้าๆ ดวงตาคมยังเปล่งประกายขี้เล่น “งานไม่หนีไปไหนหรอก แต่เมียนี่สิ...ถ้าลุกออกจากเตียงไปแล้ว พี่ก็อดกอด”อิงลดาถอนหายใจ ทำตาดุใส่เขา “พี่ภีม พี่ต้องเปลี่ยนโหมดแล้วนะ กลับมาเป็นหมอที่จริงจังกับงานได้แล้ว”“งั้น...ขอกำลังใจก่อนสิ” ชายหนุ่มเลิกคิ้ว ทำเสียงออดอ้อนเหมือนเด็ก เธอเม้มปากอย่างอาย แต่ก็ยอมโน้มตัวลงไปหอมแก้มเขาเบาๆ“พอใจหรือยังคะ” ภรรยาสาวถามเสียงขุ่นน้อยๆแต่ยังไม่ทันลุกออก ภีมวัชกลับพลิกตัวรวบเอวเธอเข้ามาแนบชิดแล้วพลิกเธอให้นอนหงาย“ไม่พอ...” เสียงทุ้มพร่ากระซิบใกล้ใบหูจนเธอขนลุกซู่“เมียให้แค่ห
หลังจากพุดคุยกันได้สักพัก อิงลดาก็ขอตัวจากแม่สามี“คุณแม่คะ อิงขอตัวขึ้นไปอาบน้ำก่อนนะคะ เดี๋ยวลงมาทานข้าวค่ะ”“จ้าลูก ไปเถอะ” ดาริกายกมือแตะหลังอิงลดาเบาๆ ส่งสายตาเอ็นดูสุดหัวใจพอร่างบอบบางเดินขึ้นบันไดไปจนลับสายตา ดาริกาก็หันมาทางลูกชายทันที สีหน้ายังเปื้อนยิ้ม แต่แววตาแฝงความจริงจัง“ภีมมานั่งคุยกับแม่หน่อยสิ”ภีมวัชยกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ก่อนเดินไปทรุดตัวนั่งข้างมารดาอย่างว่าง่าย“ครับแม่ มีอะไรหรือเปล่า”“แม่อยากถามให้ชัดๆ สรุปว่าการแต่งงานที่ตอนแรกเหมือนจะเป็นเพียงแค่เรื่องหลอกๆ เพื่อแก้ปัญหานั่น ตอนนี้มันจะกลายเป็นเรื่องถาวรแล้วใช่ไหม” ดาริกามองลูกชายตรงๆ น้ำเสียงตื่นเต้นกับสิ่งที่ตนเองคาดหวัง“ครับแม่ มันไม่ใช่การแต่งงานหลอกๆ อีกแล้ว อิงกับผมเรารักกันจริงๆแล้วครับ” ภีมวัชตอบด้วยสีหน้าเรียบแต่แฝงรอยยิ้มอ่อน ดวงตาคมทอดต่ำเล็กน้อย“แน่ใจแล้วนะลูก” ดาริกาถามย้ำ แววตาเปี่ยมความหวัง“แน่ใจที่สุดครับ แม่ก็รู้ผมไม่เคยเปิดใจให้ใคร ผมเย็นชากับผู้หญิงทุกคนมาตลอด เพราะหัวใจของผมมันมีเจ้าของอยู่แล้ว อิ
Comments