LOGIN@บ้านอนันต์เดโช
รถสปอร์ตคันงามจอดนิ่งหน้ารั้วบ้านหลังใหญ่อลังการราวกับคฤหาสน์ก็ไม่ปาน ดาริณนั่งอยู่ด้านข้างโดยมีเจ้าขุนทำหน้าที่เป็นสารถีขับรถมาส่งเธอถึงหน้าบ้าน
หญิงสาวมองเข้าไปภายในรั้วสูงแล้วพ่นลมหายใจออกมาเบา ๆ ทำหน้าเศร้าสร้อยราวกับลำบากใจที่ต้องเข้าบ้านตัวเอง
ไม่อยากคิดเลยว่าจะโดนอะไรบ้าง
“ให้ฉันเข้าไปส่งในบ้านไหม”
ชายหนุ่มเอ่ยถามน้ำเสียงราบเรียบขณะจับจ้องใบหน้าคนที่นั่งเงียบตั้งแต่ออกจากงานแถลงข่าว
“ไม่เป็นไรส่งฉันแค่นี้ก็พอ”
ว่าจบร่างอรชรก็เปิดประตูลงจากรถ
เจ้าขุนมองตามร่างบางที่เดินเข้าไปภายในรั้วสูงจนลับตา จากนั้นรถคันหรูก็เคลื่อนตัวออกไป
ดาริณเดินทอดน่องเข้าไปในบ้านของตัวเอง ก่อนจะหยุดชะงักทันทีเมื่อประสานดวงตากับสายตาดุดันของผู้ที่นั่งรออยู่ตรงโซฟา
“คุณพ่อ”
“ไอ้นั่นมันเป็นใคร”
เพียงเจอหน้าลูกสาวสุดที่รักท่านรัฐมนตรีนพดลก็เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด เขาไม่ชอบว่าที่ลูกเขยเอามาก ๆ รีบสั่งให้คนไปสืบข้อมูลของเจ้าขุนแต่ไม่ปรากฏว่าชายหนุ่มอยู่ในสารบบของคนมีชื่อเสียง
“เจ้าขุนก็เป็นแฟนหนูไงคะ”
“เป็นแฟนอย่างนั้นเหรอ เหอะ! ไอ้คนที่อยากให้คบดันไม่คบ เสือกไปคบกับไอ้คนไม่มีหัวนอนปลายเท้า เป็นลูกเต้าเหล่าใครก็ไม่รู้ เป็นถึงลูกสาวรัฐมนตรีแกไม่อายบ้างรึไง”
“ลูกสาวรัฐมนตรีแล้วไงคะ หนูรักใครไม่ได้งั้นเหรอ”
ความน้อยเนื้อต่ำใจทำให้ความอดทนอดกลั้นสิ้นสุดลง ที่ผ่านมาเธอยอมให้ผู้เป็นพ่อบงการชีวิตมาโดยตลอด ไม่ว่าท่านอยากให้ทำอะไรก็ยอมทำตามไม่เคยขัดข้องแต่เธอกลับไม่เคยได้รับความรักจากคนเป็นพ่อเท่าที่ควร คุณพ่อแสนดีที่คนภายนอกเห็นล้วนเป็นเพียงการสร้างภาพขึ้นมาเท่านั้น
ต่างจากดาวิทย์พี่ชายของเธอที่ท่านทั้งรักทั้งเอาอกเอาใจดาวิทย์อยากได้อะไรก็ไม่เคยขัด จนบางครั้งทำให้ดาริณน้อยเนื้อต่ำใจและคิดว่าพ่อรักพี่ชายมากกว่าตนเอง
ความลำเอียงยิ่งแสดงออกอย่างชัดเจนหลังจากที่แม่ของเธอเสียชีวิตเมื่อตอนที่เธอเรียนอยู่ชั้นมัธยมต้น
“รักแล้วมันกินเข้าไปได้ไหม ลืมไปแล้วเหรอว่าที่แกมีกินมีใช้อยู่ทุกวันนี้เพราะใครถ้าไม่ใช่เพราะบริษัทของฉัน ถ้าบริษัทเจ๊งบ้านหลังนี้ก็ถูกยึดทีนี้ความรักของแกมันช่วยแกได้ไหม”
ตวาดเสียงดังพร้อมทั้งเอื้อมมือมาบีบที่ต้นแขนของลูกสาวอย่างแรง
เหล่าบอดี้การ์ดต่างพากันก้มหน้าคอชิดอกสองมือกุมต่ำ ยามที่ผู้มีอำนาจสูงสุดโมโหไม่มีใครกล้าเงยหน้าขึ้นมาเลยสักคน
แต่ครั้งนี้ลูกสาวคนสวยกลับยืนเผชิญหน้าอย่างไม่ยอมลดละ แววตาขุ่นข้องจ้องมองคนตรงหน้าราวกับหมดความอดทน
“แล้วที่บริษัทมันเจ๊งมันเป็นเพราะใครล่ะคะ คุณพ่อทำไมไม่ไปแก้ที่ตัวต้นเหตุอย่างพี่ดาวิทย์บ้าง”
“นี่แกเห็นไอ้กระจอกนั่นมันดีกว่าครอบครัวถึงขนาดโยนความผิดให้พี่ชายตัวเองอย่างงั้นรึ แกมันลูกไม่รักดี”
ปลายนิ้วชี้จิ้มลงบนศีรษะของลูกสาวแล้วผลักไสอย่างแรงด้วยความโมโหจนร่างเล็กเสียหลักเซถลาไปหลายก้าว
ดวงตาปริ่มน้ำจ้องหน้าบิดาด้วยความโกรธเคือง
ท่านรัฐมนตรีกัดกรามแน่นดวงตาแข็งกร้าวจ้องเขม็งลูกสาวแล้วออกคำสั่งอย่างเด็ดขาด
“ไปเลิกกับมันซะ ถ้าไม่ได้เกี่ยวดองกับธาดากรุปแกก็เตรียมตัวแต่งงานกับคนที่ฉันหามาให้ได้เลย”
“ไม่ ต่อไปนี้หนูจะไม่ยอมให้คุณพ่อมาบังคับหนูอีกแล้ว”
“ถ้าไม่ยอมแกก็ไสหัวออกจากบ้านฉันไป”
น้ำในตาไหลพรากออกมาเป็นสาย นอกจากไม่เคยสนใจความรู้สึกของเธอผู้เป็นพ่อยังไม่เคยแสดงความรักความเมตตาต่อเธอเลยสักครั้ง ไม่ได้ดั่งใจเมื่อไหร่ก็เอาแต่ผลักไสไล่เธอออกจากบ้าน
ดาริณเงยหน้าสบตากับบิดาขณะใช้ฝ่ามือปาดเช็ดน้ำตาจากนั้นก็เอ่ยออกมาเสียงแข็ง
“ได้ค่ะ หนูออกไปก็ได้”
พูดจบก็คว้าเอากระเป๋าแบรนด์เนมขึ้นมาสะพาย ตั้งท่าจะเดินออกจากบ้านทว่าต้องหยุดชะงักกลางคันเมื่อผู้มีอำนาจออกคำสั่งอีกรอบ
“ถ้าจะไปก็ไปแต่ตัว ข้าวของเครื่องใช้ไม่ว่าจะเป็นรถหรือบัตรเครดิตห้ามเอาไป ฉันจะดูซิว่าแกจะไปได้สักกี่น้ำ”
คนถูกไล่ตะเพิดหมุนตัวหันกลับมาสบตากับผู้เป็นพ่ออีกครั้ง ก่อนจะเดินกลับเข้ามาแล้ววางกระเป๋าสะพายที่มีทั้งกุญแจรถและบัตรเครดิตไว้บนโต๊ะ
เธอหยิบแค่โทรศัพท์มือถือและกระเป๋าสตางค์ที่มีเพียงบัตรประชาชนอยู่ในนั้นออกมาแล้วตั้งท่าจะออกจากบ้านอีกครั้งทว่าต้องหยุดชะงักอีกรอบ
“เงินในบัญชีของแกก็โอนคืนฉันมาให้หมดด้วย”
ดาริณยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้วกดโอนเงินทั้งหมดเข้าบัญชีท่านรัฐมนตรี จากนั้นก็โชว์ยอดเงินที่คงเหลืออยู่เพียงหลักสิบให้ผู้เป็นพ่อเห็น ก่อนจะตั้งหน้าตั้งตาเดินออกจากบ้านหลังใหญ่อย่างไม่ได้อาลัยอาวรณ์
ผู้เป็นพ่อยืนกัดกรามด้วยความโมโห แต่ถึงกระนั้นก็ไม่ได้เหนี่ยวรั้งลูกสาวเอาไว้ เขารู้ดีว่าลูกคุณหนูอย่างดาริณไม่สามารถทนใช้ชีวิตลำบากอยู่ข้างนอกได้ อีกไม่นานลูกสาวคนสวยก็ต้องซมซานกลับมาบ้านอยู่ดี
ดีไม่ดีไม่พ้นคืนนี้เธอก็กลับมาแล้ว
หญิงสาวเดินออกมาหน้าปากซอยแล้วโบกรถแท็กซี่ให้ไปส่งยังร้านเหล้าแห่งหนึ่ง ปกติเธอมักจะไปที่นั่นเป็นประจำเวลามีปัญหาหรือมีเรื่องทุกข์ใจ
หลังควักเงินที่เหลือติดอยู่ในกระเป๋าสตางค์เพียงไม่กี่ร้อยบาทจ่ายค่าแท็กซี่ดาริณก็ถอนหายใจพรืด ยืนมองเงินทอนในมือของตัวเองตาละห้อยเงินแค่นี้จะทำอะไรได้
แม้จะคิดอย่างนั้นหญิงสาวก็ยังตัดสินใจเดินเข้าไปในร้านเหล้าอยู่ดี
หลังนั่งลงตรงโซนวีไอพีดาริณก็เรียกใช้บริการเด็กเสิร์ฟแล้วสั่งเหล้าราคาแพงมาทันที ปกติเธอก็เป็นลูกค้าประจำของทางร้านอยู่แล้วทุกคนจึงให้การต้อนรับเธอเป็นอย่างดี
ขณะนั่งจิบเหล้าไปเรื่อย ๆ ดาริณก็โทรหาเพื่อนสนิทอีกสามคน พวกเธอเรียนคณะเดียวกันทุกครั้งที่สามสาวมีปัญหาดาริณมักยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือพวกเธออยู่บ่อย ๆ เพราะฉะนั้นครั้งนี้ ดาริณจึงอยากขอความช่วยเหลือจากเพื่อนสาวของเธอบ้าง
“ดาริณ”
“ซอนญ่า”
ยกไม้ยกมือให้เพื่อนคนแรกที่เดินยิ้มแย้มมาแต่ไกล
คนมาใหม่นั่งลงฝั่งตรงข้ามจากนั้นก็เรียกเด็กเสิร์ฟเพื่อขอแก้วเปล่าและสั่งอาหารเพิ่มเติม
“คิดยังไงวันนี้ถึงชวนออกมากินเหล้าจ้ะ”
“ทะเลาะกับคุณพ่อน่ะสิ”
“แหม อย่างดาริณเนี่ยนะจะทะเลาะกับคุณพ่อ ใคร ๆ ก็รู้ว่าท่านรัฐมนตรีนพดลใจดีจะตาย”
สงสัยเมื่อก่อนสร้างภาพเยอะไปหน่อยตอนนี้พูดอะไรไปเลยไม่มีใครเชื่อ
ดาริณพ่นลมหายใจออกมาเบา ๆ ถึงเล่าความจริงไปพวกเพื่อนก็คงไม่เชื่ออยู่ดี เพราะฉะนั้นไม่เล่าน่าจะดีกว่า
“ดาริณ ซอนญ่า”
เพื่อนสาวอีกสองคนที่เพิ่งมาถึงตะโกนเรียกมาแต่ไกล คนหนึ่งนั่งลงข้างดาริณ ส่วนอีกคนนั่งลงข้าง ‘ซอนญ่า’ เมื่อแก๊งนางฟ้ามาครบองค์ประชุมทั้งสี่สาวก็ชนแก้วกันยกใหญ่
ดาริณนั่งนิ่วหน้าด้วยความกลัดกลุ้มใจ ก่อนจะตัดสินใจพูดขึ้นมาว่า
“วันนี้ฉันขอไปนอนกับพวกเธอได้ไหม”
“ทำไมล่ะ นี่ทะเลาะกับพ่อจริง ๆ เหรอเนี่ยตอนแรกคิดว่าดาริณล้อเล่นซะอีก”
ซอนญ่าทำท่าทางตกใจ
“ใช่ คืนนี้ฉันก็เลยว่าจะขอไปนอนค้างกับพวกเธอน่ะ”
“ห้องฉันคงไม่ได้หรอก พอดีตอนนี้ในห้องมีญาติที่มาจากต่างจังหวัดน่ะสิ”
ซอนญ่า รีบปฏิเสธทันควัน
“ห้องฉันก็ไม่ได้เหมือนกันคืนนี้แม่ฉันบอกว่าจะมาค้างด้วย”
‘น้ำฟ้า’ เพื่อนสาวที่นั่งด้านข้างรีบปฏิเสธเช่นกัน
อากาศยามค่ำของบ้านพักตากอากาศริมทะเลมีลมพัดโชยสร้างความรู้สึกเย็นสบาย แสงไฟสีอบอุ่นส่องสว่างติดตามแนวรั้วไม้ของบ้านช่วยเพิ่มความโรแมนติก ดาริณเดินเล่นอยู่ริมชายหาดเพียงลำพัง ดวงตาเป็นประกายทอดมองไปยังสุดขอบฟ้า ร่างหนาเดินเข้ามาสวมกอดจากทางด้านหลัง สันจมูกโด่งคมเคลื่อนไล้ไปตามแก้มเนียนแล้วหอมเธอฟอดใหญ่ ก่อนจะถามคนที่ยืนมองท้องฟ้าราวกับคนเหม่อลอย “คิดอะไรอยู่” พูดชิดแก้มนุ่มจากนั้นริมฝีปากหยักก็ขบกัดตรงใบหูเล็ก ก่อนจะจับร่างเล็กให้หันมาสบตากัน “คิดถึงเรื่องของเราน่ะ ไม่น่าเชื่อเลยเนอะว่าเราสองคนจะมีวันนี้ได้” เจ้าขุนคลี่ยิ้ม แววตาลึกล้ำจดจ้องใบหน้าหญิงคนรักแล้วพูดว่า “เธอเชื่อเรื่องพรหมลิขิตไหม” “...” หญิงสาวเลิกคิ้วรอฟัง “พรหมลิขิตให้เราได้กลับมาเจอกับคนที่เราเฝ้าตามหามาสิบปี” “นายหมายถึงใคร” “จำกันไม่ได้จริง ๆ เหรอเนี่ย น่าน้อยใจจัง” พูดพลางดึงรั้งร่างเล็กเข้ามากอดก่อนจะจุมพิตลงบนหน้าผากสวยได้รูป จากนั้นก็จับเธอผละออกเล็กน้อย ดวงตาเป็นประกายมองสำรวจใบหน้าขอ
ริมฝีปากหยักเคลื่อนไซ้ไปตามท้ายทอยและซอกคอหอมกรุ่น กดจูบและขบเม้มสร้างความกระสันเสียว ร่างเล็กบิดส่ายเร่าร้อนมือสองข้างเกาะอยู่เบื้องหน้า ปลายนิ้วแกร่งเกี่ยวรั้งกางเกงชั้นในตัวจิ๋วลงมากองอยู่บนพื้น “เสียบเลยได้ไหม” เสียงพูดชิดอยู่ตรงริมแก้มเนียน ก่อนที่ริมฝีปากจะจูบซับพวงแก้มระเรื่อขณะรออีกฝ่ายเอ่ยตอบ “ไม่ไหวแล้วเหรอ” “ไม่ไหวแล้ว” พูดจบก็ถอดเสื้อยืดออกจากทางศีรษะ มือหนาเร่งปลดตะขอกางเกงแล้วรูดรั้งลงไปพร้อมกับกางเกงในบอกเซอร์อย่างรวดเร็ว จากนั้นก็สลัดมันออกจากปลายขาอย่างไม่ไยดี ก่อนที่ร่างสูงจะขยับมายืนประกบอยู่ด้านหลังคนตัวเล็ก ปลายนิ้วหนาบดบี้ส่วนที่เป็นติ่งเสียวของหญิงสาว นิ้วกร้านแหย่แยงเข้าไปในร่องรักเพื่อเบิกทางเพิ่มน้ำหล่อลื่น ร่องสวาทเปียกแฉะไปด้วยน้ำหวานที่ผลิตออกมาอย่างล้นหลาม เจ้าขุนจับท่อนเอ็นใหญ่ถูไถตรงสะโพกกลมกลึง ปลายนิ้วทำหน้าที่แหวกให้ร่องรูเบิกกว้าง จากนั้นก็เอาส่วนปลายหยักไปจ่อไว้ตรงปากทางแล้วดันเข้าไปรวดเดียวมิดด้าม ปลายลิ้นหนาแลบเลียตามแนวกระดูกสันหลังด้วยความหื่นกระหาย
@โรงพยาบาล ว่าที่คุณพ่อนั่งรออยู่หน้าห้องตรวจเลือด ใบหน้าซีดเผือดเป็นไก่ต้มเมื่อรู้ว่าในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าเขาต้องถูกแทงเข็มฉีดยาเข้าไปในร่างกาย ลูกผู้ชายตัวโตเรื่องปืนผาหน้าไม้ไม่เคยเกรงกลัว แต่พอเป็นเข็มฉีดยากลับกลายเป็นคนใจเสาะใจปลาซิวขึ้นมาเสียได้ ดาริณหัวเราะกระซิก รู้สึกขบขันมาเฟียผู้ยิ่งใหญ่ที่ไม่เคยกลัวใครหน้าไหนทว่ากับกลัวเข็มฉีดยาอันเล็กกระจิ๋วหลิ๋ว คนหน้าเข้มใช้สายตาดุดันเพ่งมองใบหน้าสวยของคนที่นั่งอยู่ด้านข้าง ริมฝีปากหนาแนบชิดใบหูเล็กแล้วพูดกระซิบ “หัวเราะเยาะเหรอ เดี๋ยวจะโดนไม่ใช่น้อยนะ” “ไม่กลัว” เธอยิ้มแป้นแล้นล้อเลียนเห็นแล้วมันน่าจับฟัดแก้มชะมัด มือหนายกขึ้นบีบแก้มดาริณด้วยความมันเขี้ยว ขณะนั้นคุณพยาบาลก็ออกมาเรียกเขาเข้าห้องเจาะเลือดพอดี “เชิญคุณภัทรดนัยค่ะ” คนถูกเรียกเดินเข้าไปด้านในด้วยท่าทางเก้ ๆ กัง ๆ ก่อนเข้าไปก็ไม่ลืมหันมามองคาดโทษคนที่หัวเราะเยาะเขาไม่หยุด คืนนี้เธอโดนแน่ดาริณ เวลาต่อมา ดาริณนอนอยู่บนเตียงตรวจโดยมีเจ้าขุนนั่งอยู่ด้านข้าง ม
“พวกมึงคิดจะทำอะไรหลานกู” คนมีอำนาจตวาดเกรี้ยวกราดมือข้างหนึ่งยกปืนขึ้นจ่อขมับคนที่คุกเข่าอยู่ เปลวไฟแห่งโทสะลุกโชนอยู่ในดวงตาสีเทาอ่อน ดวงตาดุดันจ้องเขม็งคนตรงหน้าราวกับอยากฆ่าให้ตาย ภาพชวินนั่งตัวสั่นเทาทำให้ดาวิทย์เริ่มหวาดกลัว เขานั่งลงคุกเข่าอยู่ตรงหน้าเจ้าขุนก้มหัวกราบกรานร้องขอชีวิต “เจ้าขุนฉันขอโทษ ฉันผิดไปแล้ว นายไว้ชีวิตฉันด้วย สัญญาว่าฉันจะไม่ทำแบบนี้อีก ต่อไปนี้ฉันจะกลับตัวเป็นคนดี ไว้ชีวิตฉันด้วยนะ” แค่นหัวเราะให้กับคำพูดของดาวิทย์ เขาไม่เชื่อสักนิดว่าคนอย่างดาวิทย์จะกลับตัวกลับใจเป็นคนดีได้ ถ้ามันอยากกลับตัวจริง ๆ มันคงทำไปตั้งนานแล้ว “ยูจะเอาไง” เจ้านายใหญ่หันมาถามหลานเมีย ตอนแรกเขาไม่คิดจะทำร้ายดาวิทย์ แต่มาคิด ๆ ดูแล้วถ้าปล่อยดาวิทย์ไปอีกครั้งมันต้องสร้างปัญหาอีกแน่ และที่เขากังวลมากที่สุดคือคนอย่างดาวิทย์มันต้องใช้ลูกกับเมียของเขาเป็นเครื่องมือต่อรอง เจ้าขุนยกยิ้มมุมปากจากนั้นก็พูดขึ้นว่า “ไม่ต้องให้ถึงตายนะ ทำให้พิการตลอดชีวิตและพูดไม่ได้ก็พอ” บอกความต้องการเรียบร้อยก็หันหลังให
“ปล่อยตัวประกันมาก่อน แล้วกูจะบอกว่าเงินอยู่ไหน” เขาไม่ใช่คนโง่ที่จะได้หลงเชื่อตั้งแต่แรกว่าดาวิทย์ถูกจับตัวไปเรียกค่าไถ่ จึงให้ออสตินเป็นคนถือกระเป๋าที่บรรจุเงินสดสามสิบล้านเอาไว้ก่อน เมื่อเห็นดังนั้นชวินก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ใบหน้าเหี้ยมโหดแดงก่ำด้วยแรงโทสะ “มึงคิดจะเล่นตุกติกกับกูเหรอ” “ถ้ากูอยากเล่นตุกติกกับมึงกูโทรแจ้งตำรวจไม่ดีกว่าเหรอ ถ้าอยากได้เงินก็ปล่อยตัวประกันออกมาก่อนแล้วกูจะบอกว่าเงินอยู่ไหน” ชวินทำสีหน้าครุ่นคิด ก่อนจะหันไปทางมือขวาคนสนิทแล้วเอ่ยสั่ง “ไปเอาตัวไอ้ดาวิทย์มา” “ครับนาย” ดาวิทย์ถูกลากออกมาจากในตึกร้าง มือสองข้างถูกมัดไพล่หลัง สภาพเหมือนคนปกติไม่ได้ถูกซ้อมจนน่วมเหมือนคนที่ถูกจับตัวมา ลูกน้องคนหนึ่งแกะเชือกให้ดาวิทย์ “ทีนี้มึงบอกกูได้รึยังว่าเงินอยู่ที่ไหน” “เงินอยู่ที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ตรงหน้าทางเข้า” เมื่อรู้ที่ซ่อนเงินชวินก็คลี่ยิ้มจนกว้าง เขาส่งซิกให้ลูกน้องสองคนไปเอากระเป๋าเงินตรงจุดที่เจ้าขุนบอก พอรู้ที่ซ่อนเงินแน่ชัดสองหนุ่มเพื่อนซี้ก็หันมาส่
รถสปอร์ตคันงามแล่นไปตามท้องถนนด้วยความเร็วมุ่งหน้าไปที่บ้านของท่านรัฐมนตรี ร่างสูงโปร่งก้าวฉับ ๆ เข้าไปในบ้านของว่าที่พ่อตาอย่างไม่เกรงกลัว เมื่อเห็นหน้าลูกเขย คนร้อนใจก็รีบร้อนเข้าไปหาทันที “พวกมันติดต่อมารึยังครับ” “ติดต่อมาแล้ว มันบอกว่าให้เอาเงินไปให้มันที่นี่” ท่านรัฐมนตรียื่นกระดาษที่จดสถานที่นัดหมายให้กับเจ้าขุน เขาหยิบมันมาดูแล้วพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะเงยหน้าสบตากับคนอายุมากแล้วเอ่ยถาม “พวกมันต้องการเงินเท่าไหร่ครับ” ความจริงก็ได้ยินที่ดาริณอุทานแล้วล่ะ แต่ก็อยากถามให้แน่ใจอีกครั้ง ท่านรัฐมนตรีมีสีหน้าหวั่นวิตก ริมฝีปากขบเม้มเป็นเส้นตรง ก่อนจะค่อย ๆ ขยับพูดเสียงอ่อย “สามสิบล้าน” ได้ยินแค่นั้นเจ้าขุนก็ล้วงเอาโทรศัพท์มือถือออกจากกระเป๋ากางเกงแล้วรีบโทรหาจรณ [ครับนายน้อย] “คุณช่วยเอาเงินมาให้ผมที่บ้านท่านรัฐมนตรีนพดลหน่อย” [ได้ครับ นายน้อยจะเอาเท่าไหร่ครับ] “สามสิบล้าน” [ได้ครับ ผมจะรีบไป] หลังวางสายจากลูกน้องเขาก็กดโทรหาเพื







