FAZER LOGIN“ค้างห้องฉันก็ได้ แต่ห้องฉันแคบนะดาริณจะอยู่ได้รึเปล่าล่ะ”
แม้ไม่ได้ปฏิเสธแต่ ‘รถเมล์’ ก็มีท่าทีลำบากใจ ดาริณรู้สึกเกรงใจเพื่อนมากแต่เธอก็ไม่มีที่พึ่งทางไหน
ถ้าเป็นเมื่อก่อนเธอคงโทรไปขอความช่วยเหลือจากทิวเขาเพราะเขาคือเพื่อนที่สนิทที่สุด แต่หลังจากที่ชายหนุ่มมีแฟนเขาคงไม่สะดวกมาดูแลเธอเฉกเช่นเมื่อก่อน
ครั้นจะให้พึ่งพาเจ้าขุนมันก็ไม่ใช่เรื่องเพราะระหว่างเธอกับเขามีสถานะเป็นเพียงแฟนปลอม ๆ เท่านั้น
ดาริณจำใจพยักหน้าตอบรับรถเมล์พร้อมทั้งยิ้มบาง ๆ
“ฉันอยู่ได้”
“แล้วทำไมดาริณไม่ไปเปิดโรงแรมล่ะ”
น้ำฟ้าถามขึ้นด้วยความสงสัย ปกติดาริณอีโก้สูงจะตาย ร้อนนิดร้อนหน่อยก็บ่นจะทนนอนห้องแคบ ๆ ของรถเมล์ได้ยังไง
“คือ...ตอนนี้ฉันไม่มีเงินน่ะ คุณพ่อยึดบัตรเครดิตกับเงินในบัญชีไปหมดแล้ว”
พูดซะน่าสงสารแต่ใช่ว่าพวกเพื่อนจะเห็นใจ สามสาวมองหน้ากันเลิ่กลั่กในเมื่อดาริณไม่มีเงินแล้วมื้อนี้ใครจ่าย
“อ้าว! แล้วถ้าดาริณไม่มีเงินแล้วมื้อนี้ใครจ่าย?”
ซอนญ่าพูดขึ้นอย่างหัวเสีย ถ้าจะให้เธอเป็นคนจ่ายเธอไม่ยอมหรอกนะ
“พวกเธอช่วยจ่ายไปก่อนได้ไหม”
“จะบ้าเหรอดาริณ ใครเขาจะมีเงินจ่ายค่าเหล้าแพง ๆ แบบนี้ ถ้าไม่มีเงินจะชวนออกมาทำไมวะ”
ซอนญ่าว่าเสียงดังพลางคว้ากระเป๋าสะพายเดินออกจากร้านไปอย่างรวดเร็ว
ใครจะโง่อยู่ให้เสียเงินล่ะ
เมื่อเห็นว่าซอนญ่าชิ่งหนีไปก่อนน้ำฟ้าจึงเตรียมชิ่งด้วยอีกคน
รถเมล์มองเพื่อนอย่างกระอักกระอ่วนใจ แต่จะให้เธอจ่ายเงินคนเดียวทั้งหมดนี้คงไม่ไหวแน่
“เดี๋ยวสิน้ำฟ้าแกรอฉันด้วย”
รถเมล์ตะโกนเรียกเพื่อนพร้อมกับถือกระเป๋าวิ่งตามเพื่อนไป
ดาริณมองตามเพื่อนสาวทั้งสามคนด้วยความผิดหวัง ที่ผ่านมาเธอเห็นทั้งสามคนเป็นเพื่อนสนิทมาโดยตลอด มีปัญหาอะไรก็คอยช่วยเหลือทุกอย่างโดยเฉพาะเรื่องให้หยิบยืมเงิน หลายครั้งที่สามสาวต้องการให้เธอเลี้ยงข้าวเธอก็ไม่เคยขัด แต่ในยามที่เธอเดือดร้อนพวกนั้นกลับไม่คิดจะมีน้ำใจช่วยเหลือเธอบ้าง
นัยน์ตาสวยพลันสั่นมีน้ำใส ๆ ไหลรื้นออกมาพอปริ่มเบ้า มือบอบบางยกเหล้าราคาแพงขึ้นมาดื่มย้อมใจหลายแก้วจนเริ่มเมา ความเศร้าเสียใจทำให้เธอลืมไปเสียสนิทว่าวันนี้ไม่มีเงินจ่ายค่าเหล้าและค่าอาหารเหมือนอย่างทุกครั้ง
อีกด้าน
เจ้าขุนนั่งอยู่บนโซฟาตัวยาวในห้องวีไอพีของร้านเหล้าชื่อดังโดยมีอรวรินทร์น้าสาวที่เพิ่งกลับมาจากต่างประเทศพร้อมกับ ‘แดเนียล’ สามีชาวอิตาลีนั่งอยู่อีกฝั่ง ทั้งสามคนนัดกันมาสังสรรค์หลังจากที่ไม่ได้เจอกันหลายเดือน
อรวรินทร์เป็นคนเลี้ยงดูเจ้าขุนตั้งแต่อัญญาเสียชีวิต เมื่อก่อนสองน้าหลานลำบากมาก ตอนนั้นผู้เป็นน้าทำงานเป็นลูกจ้างร้านนวดแผนโบราณรายได้ต่อวันแค่ไม่กี่ร้อยทุกวันจึงต้องกินอยู่อย่างประหยัด
เธอได้พบกับแดเนียลเมื่อครั้งที่เขาเดินทางมาคุยธุรกิจในประเทศไทย ตอนนั้นแดเนียลมาใช้บริการที่ร้านนวดทั้งคู่จึงได้รู้จักกัน และเป็นเพราะรู้สึกถูกชะตากับอรวรินทร์เป็นอย่างมากหนุ่มชาวอิตาลีจึงมาใช้บริการนวดแผนโบราณทุกวัน
จากความใกล้ชิดก็เริ่มก่อเกิดเป็นความรัก ทั้งสองคนตัดสินใจแต่งงานกันหลังจากรู้จักกันได้เพียงไม่กี่เดือน ตอนนั้นอรวรินทร์ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าแดเนียลคือนักธุรกิจที่ร่ำรวยเป็นอันดับต้น ๆ ของประเทศอิตาลีแถมยังมีตำแหน่งผู้นำในแก๊งมาเฟียอีกด้วย
หลังจากนั้นชีวิตความเป็นอยู่ของสองน้าหลานก็ดีขึ้นจากหน้ามือเป็นหลังมือ
“สรุปแล้วคนที่พาไปนอนที่เพ้นท์เฮ้าส์กับคนในข่าวคือคนคนเดียวกันใช่ไหม”
เมื่อกลับมาถึงเมืองไทยสิ่งที่ทำให้รู้สึกเซอร์ไพรส์มากที่สุดคือข่าวซุบซิบซึ่งกำลังโด่งดังอยู่ในโซเชียลขณะนี้ ปกติอรวรินทร์ไม่ใช่คนที่จะสนใจเรื่องพวกนี้สักเท่าไหร่ แต่ที่มันสะดุดตาจนเลื่อนผ่านไม่ได้นั่นเป็นเพราะว่ามีใบหน้าหลานชายสุดที่รักปรากฏอยู่ในข่าวด้วย
คนเป็นหลานทำหน้าเลิ่กลั่กรู้สึกกระอักกระอ่วนใจไม่รู้จะเล่าให้คนเป็นน้าฟังอย่างไรดี ครั้นจะบอกความจริงเรื่องที่เขากับดาริณแค่แกล้งเป็นแฟนกันเท่านั้นก็ขี้คร้านมานั่งเล่าเหตุผลยาวเหยียดให้คนขี้สงสัยฟัง
“นายน้อยครับ”
กำลังพูดคุยอย่างออกรสออกชาติจู่ ๆ บอดี้การ์ดที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูก็เดินเข้ามาในห้องด้วยสีหน้าตื่นตระหนก เจ้าขุนละความสนใจจากน้าสาวแล้วรีบเอ่ยถามคนที่บุ่มบ่ามเข้ามาราวกับมีเรื่องเร่งด่วน
“มีอะไร”
“ไอ้ชิตมันโทรมารายงานว่า คุณดาริณไปกินเหล้าเมาแล้วไม่มีเงินจ่ายค่าเหล้าครับ”
ตั้งแต่เกิดเรื่องที่ผับของชวินวันนั้นเขาก็ส่งลูกน้องคอยตามดูดาริณตลอดเวลาเพราะเกรงว่าเธอจะเกิดเรื่องอีก และก็ไม่ผิดไปจากที่เขาคิดไว้
ยัยดาริณสร้างเรื่องอีกแล้ว
“แล้วตอนนี้อยู่ไหน”
“อยู่ร้านเหล้าใกล้ ๆ นี้เองครับ”
หลังลูกน้องกล่าวรายงานคนร้อนใจก็ลุกพรวดแล้วเดินออกจากห้องไปแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย
น้าสาวมองตามหลานชายแล้วยกยิ้มเชิงขำขัน เธอไม่เคยเห็นหลานรักเป็นแบบนี้มาก่อน
คนเป็นลูกน้องเดินนำหน้าพาเจ้านายไปยังร้านเหล้าที่อยู่ไม่ไกลจากร้านที่เขานั่งดื่มอยู่
เจ้าขุนจ้องเขม็งคนที่นั่งหลับคอพับอยู่บนโซฟาของร้านแล้วถอนหายใจเอือม ๆ เขาเดินไปคุยกับเจ้าของร้านจากนั้นก็จัดการจ่ายค่าเหล้าและค่าอาหารให้หญิงสาว
เจ้าของร้านเล่าให้ฟังว่าเธอเป็นลูกค้าประจำของที่นี่ มาทุกทีจะมีเพื่อนตามมาด้วยอีกสามคน แต่ไม่แน่ใจว่าทำไมวันนี้พวกเพื่อนของเธอถึงได้พากันกลับไปเสียก่อน
หลังจัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยชายหนุ่มก็อุ้มหญิงสาวออกจากร้านพาเธอกลับไปยังเพ้นท์เฮ้าส์ส่วนตัวเป็นครั้งที่สาม
เมื่อวางร่างบางลงบนเตียงนุ่มเขาก็จัดการเช็ดหน้าให้เธอด้วยผ้าชุบน้ำเหมือนที่เคยทำ ทว่าจู่ ๆ หญิงสาวก็ทำท่าเหมือนกำลังจะอาเจียนออกมา
“อุ๊บ!”
“เธอจะอ้วกเหรอ”
คนเมาลุกนั่งเอามือปิดปากทำท่าทางพะอืดพะอมจากนั้นก็อาเจียนออกมาจริง ๆ
“แหวะ!!!”
เจ้าขุนยื่นมือข้างหนึ่งออกมารองรับเศษอาหารประหนึ่งว่ามือของตัวเองเป็นกระโถน ส่วนมืออีกข้างลูบไปตามแผ่นหลังบอบบางเพื่อให้เธออาเจียนออกมาให้หมด
“เธอไหวไหม”
เขาถามด้วยความเป็นห่วง ใบหน้าสวยยามนี้เปรอะเปื้อนไปด้วยเศษเล็กเศษน้อย
ใจหนึ่งก็สงสารแต่อีกใจก็อยากขำเธอเหมือนกัน เขาอมยิ้มหลังจากหญิงสาวทิ้งกายลงนอนอีกครั้ง
“ปวดหัว”
เสียงพูดผะแผ่วเล็ดลอดออกมาจากคนเมา เหล้าขวดเบ้อเริ่มกินคนเดียวจนหมดขวดขนาดนั้นจะไม่ให้ปวดหัวได้ไง
หลังจากล้างไม้ล้างมือเจ้าขุนก็กลับมานั่งบนเตียงอีกครั้งพร้อมกับผ้าชุบน้ำผืนใหม่ เขาเช็ดคราบสกปรกออกจากใบหน้างดงามอย่างแผ่วเบาจากนั้นก็เปลี่ยนชุดให้เธอใหม่
เช้าวันต่อมา
ร่างเล็กขยับกายไปมาบนเตียงนอนกว้างขวาง แพขนตากะพริบปริบ ๆ จากนั้นดวงตากลมโตก็ค่อย ๆ ลืมขึ้น ก่อนจะไล่สำรวจห้องนอนที่เริ่มคุ้นเคย
จำได้ว่าเมื่อคืนเธออยู่ที่ร้านเหล้านี่นาอย่าบอกนะว่าเจ้าขุนเป็นคนพาเธอมาที่นี่อีกแล้ว
หญิงสาวรู้สึกหนักอึ้งอยู่ในหัวจนลุกนั่งไม่ไหว เธอใช้สองมือบีบนวดตรงขมับทั้งสองข้าง ขณะนั้นเจ้าของห้องก็เดินเข้ามาพอดี เขาแต่งกายด้วยชุดช็อปวิศวะแสดงว่ากำลังจะไปเรียนแล้ว
“เมื่อคืนนายจ่ายเงินค่าเหล้าให้ฉันเหรอ”
“อืม”
“แล้ว...นายรู้ได้ไงว่าฉันอยู่ที่นั่น”
“ฉันบังเอิญไปเจอน่ะ” บอกไม่ได้หรอกว่าเขาให้คนคอยตามดูเธอ
“แล้วนี่นายกำลังจะไปเรียนเหรอ”
“อืม”
ดาริณพยายามลุกนั่ง ยกกำปั้นขึ้นมาทุบตรงขมับ ดวงตาพร่ามัวเหมือนหน้ามืดอาจเป็นเพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ที่เธอเผลอดื่มอย่างลืมตัวยังคงคั่งค้างอยู่ในร่างกาย บวกกับเมื่อวานไม่ได้ทานข้าวตั้งแต่เที่ยง
นัยน์ตาคมไล่สำรวจสภาพของคนเมาค้างแล้วพูดขึ้นว่า
“นอนพักเถอะ สภาพนี้เธอไปเรียนไม่ไหวหรอก”
“ให้ฉันนอนอยู่ที่นี่คนเดียวเนี่ยนะ”
“ทำไม? อยากให้ฉันนอนเป็นเพื่อนเหรอ”
เขานั่งลงบนเตียงแล้วยื่นหน้าเข้าใกล้ขณะที่มุมปากกระตุกยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
อีตาบ้า! ตกใจหมดเลย
ดาริณถอยหน้าออกห่างแล้วเบือนหน้าไปอีกทาง ไม่รู้ว่าทำไมช่วงนี้เธอรู้สึกหวั่นไหวทุกทีที่อยู่ใกล้ชิดเจ้าขุน
“ฉันก็แค่กลัวว่าผู้หญิงของนายจะมาหา ถ้าเห็นฉันเข้าแล้วจะเข้าใจผิด”
ไม่รู้อะไรดลใจให้เธอพูดไปอย่างนั้น
เจ้าขุนแค่นหัวเราะรู้สึกขำขันคนที่กำลังลองเชิงเขา
“นอนไปเถอะ วันนี้ฉันมีเรียนแค่คาบเช้า เรียนเสร็จแล้วเดี๋ยวกลับมาอยู่เป็นเพื่อน
จบร่างสูงก็ลุกขึ้นแล้วเดินออกจากห้องไป
หญิงสาวปั้นหน้าบึ้งตึงใส่แผ่นหลังกว้าง แทนที่จะบอกเธอบ้างสรุปแล้วจะมีสาวมาหาที่ห้องรึเปล่า หรือพูดอะไรก็ได้เพื่อแก้ตัวแต่เขากลับปล่อยให้เธอค้างคาใจ
น่าโมโหชะมัด
อากาศยามค่ำของบ้านพักตากอากาศริมทะเลมีลมพัดโชยสร้างความรู้สึกเย็นสบาย แสงไฟสีอบอุ่นส่องสว่างติดตามแนวรั้วไม้ของบ้านช่วยเพิ่มความโรแมนติก ดาริณเดินเล่นอยู่ริมชายหาดเพียงลำพัง ดวงตาเป็นประกายทอดมองไปยังสุดขอบฟ้า ร่างหนาเดินเข้ามาสวมกอดจากทางด้านหลัง สันจมูกโด่งคมเคลื่อนไล้ไปตามแก้มเนียนแล้วหอมเธอฟอดใหญ่ ก่อนจะถามคนที่ยืนมองท้องฟ้าราวกับคนเหม่อลอย “คิดอะไรอยู่” พูดชิดแก้มนุ่มจากนั้นริมฝีปากหยักก็ขบกัดตรงใบหูเล็ก ก่อนจะจับร่างเล็กให้หันมาสบตากัน “คิดถึงเรื่องของเราน่ะ ไม่น่าเชื่อเลยเนอะว่าเราสองคนจะมีวันนี้ได้” เจ้าขุนคลี่ยิ้ม แววตาลึกล้ำจดจ้องใบหน้าหญิงคนรักแล้วพูดว่า “เธอเชื่อเรื่องพรหมลิขิตไหม” “...” หญิงสาวเลิกคิ้วรอฟัง “พรหมลิขิตให้เราได้กลับมาเจอกับคนที่เราเฝ้าตามหามาสิบปี” “นายหมายถึงใคร” “จำกันไม่ได้จริง ๆ เหรอเนี่ย น่าน้อยใจจัง” พูดพลางดึงรั้งร่างเล็กเข้ามากอดก่อนจะจุมพิตลงบนหน้าผากสวยได้รูป จากนั้นก็จับเธอผละออกเล็กน้อย ดวงตาเป็นประกายมองสำรวจใบหน้าขอ
ริมฝีปากหยักเคลื่อนไซ้ไปตามท้ายทอยและซอกคอหอมกรุ่น กดจูบและขบเม้มสร้างความกระสันเสียว ร่างเล็กบิดส่ายเร่าร้อนมือสองข้างเกาะอยู่เบื้องหน้า ปลายนิ้วแกร่งเกี่ยวรั้งกางเกงชั้นในตัวจิ๋วลงมากองอยู่บนพื้น “เสียบเลยได้ไหม” เสียงพูดชิดอยู่ตรงริมแก้มเนียน ก่อนที่ริมฝีปากจะจูบซับพวงแก้มระเรื่อขณะรออีกฝ่ายเอ่ยตอบ “ไม่ไหวแล้วเหรอ” “ไม่ไหวแล้ว” พูดจบก็ถอดเสื้อยืดออกจากทางศีรษะ มือหนาเร่งปลดตะขอกางเกงแล้วรูดรั้งลงไปพร้อมกับกางเกงในบอกเซอร์อย่างรวดเร็ว จากนั้นก็สลัดมันออกจากปลายขาอย่างไม่ไยดี ก่อนที่ร่างสูงจะขยับมายืนประกบอยู่ด้านหลังคนตัวเล็ก ปลายนิ้วหนาบดบี้ส่วนที่เป็นติ่งเสียวของหญิงสาว นิ้วกร้านแหย่แยงเข้าไปในร่องรักเพื่อเบิกทางเพิ่มน้ำหล่อลื่น ร่องสวาทเปียกแฉะไปด้วยน้ำหวานที่ผลิตออกมาอย่างล้นหลาม เจ้าขุนจับท่อนเอ็นใหญ่ถูไถตรงสะโพกกลมกลึง ปลายนิ้วทำหน้าที่แหวกให้ร่องรูเบิกกว้าง จากนั้นก็เอาส่วนปลายหยักไปจ่อไว้ตรงปากทางแล้วดันเข้าไปรวดเดียวมิดด้าม ปลายลิ้นหนาแลบเลียตามแนวกระดูกสันหลังด้วยความหื่นกระหาย
@โรงพยาบาล ว่าที่คุณพ่อนั่งรออยู่หน้าห้องตรวจเลือด ใบหน้าซีดเผือดเป็นไก่ต้มเมื่อรู้ว่าในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าเขาต้องถูกแทงเข็มฉีดยาเข้าไปในร่างกาย ลูกผู้ชายตัวโตเรื่องปืนผาหน้าไม้ไม่เคยเกรงกลัว แต่พอเป็นเข็มฉีดยากลับกลายเป็นคนใจเสาะใจปลาซิวขึ้นมาเสียได้ ดาริณหัวเราะกระซิก รู้สึกขบขันมาเฟียผู้ยิ่งใหญ่ที่ไม่เคยกลัวใครหน้าไหนทว่ากับกลัวเข็มฉีดยาอันเล็กกระจิ๋วหลิ๋ว คนหน้าเข้มใช้สายตาดุดันเพ่งมองใบหน้าสวยของคนที่นั่งอยู่ด้านข้าง ริมฝีปากหนาแนบชิดใบหูเล็กแล้วพูดกระซิบ “หัวเราะเยาะเหรอ เดี๋ยวจะโดนไม่ใช่น้อยนะ” “ไม่กลัว” เธอยิ้มแป้นแล้นล้อเลียนเห็นแล้วมันน่าจับฟัดแก้มชะมัด มือหนายกขึ้นบีบแก้มดาริณด้วยความมันเขี้ยว ขณะนั้นคุณพยาบาลก็ออกมาเรียกเขาเข้าห้องเจาะเลือดพอดี “เชิญคุณภัทรดนัยค่ะ” คนถูกเรียกเดินเข้าไปด้านในด้วยท่าทางเก้ ๆ กัง ๆ ก่อนเข้าไปก็ไม่ลืมหันมามองคาดโทษคนที่หัวเราะเยาะเขาไม่หยุด คืนนี้เธอโดนแน่ดาริณ เวลาต่อมา ดาริณนอนอยู่บนเตียงตรวจโดยมีเจ้าขุนนั่งอยู่ด้านข้าง ม
“พวกมึงคิดจะทำอะไรหลานกู” คนมีอำนาจตวาดเกรี้ยวกราดมือข้างหนึ่งยกปืนขึ้นจ่อขมับคนที่คุกเข่าอยู่ เปลวไฟแห่งโทสะลุกโชนอยู่ในดวงตาสีเทาอ่อน ดวงตาดุดันจ้องเขม็งคนตรงหน้าราวกับอยากฆ่าให้ตาย ภาพชวินนั่งตัวสั่นเทาทำให้ดาวิทย์เริ่มหวาดกลัว เขานั่งลงคุกเข่าอยู่ตรงหน้าเจ้าขุนก้มหัวกราบกรานร้องขอชีวิต “เจ้าขุนฉันขอโทษ ฉันผิดไปแล้ว นายไว้ชีวิตฉันด้วย สัญญาว่าฉันจะไม่ทำแบบนี้อีก ต่อไปนี้ฉันจะกลับตัวเป็นคนดี ไว้ชีวิตฉันด้วยนะ” แค่นหัวเราะให้กับคำพูดของดาวิทย์ เขาไม่เชื่อสักนิดว่าคนอย่างดาวิทย์จะกลับตัวกลับใจเป็นคนดีได้ ถ้ามันอยากกลับตัวจริง ๆ มันคงทำไปตั้งนานแล้ว “ยูจะเอาไง” เจ้านายใหญ่หันมาถามหลานเมีย ตอนแรกเขาไม่คิดจะทำร้ายดาวิทย์ แต่มาคิด ๆ ดูแล้วถ้าปล่อยดาวิทย์ไปอีกครั้งมันต้องสร้างปัญหาอีกแน่ และที่เขากังวลมากที่สุดคือคนอย่างดาวิทย์มันต้องใช้ลูกกับเมียของเขาเป็นเครื่องมือต่อรอง เจ้าขุนยกยิ้มมุมปากจากนั้นก็พูดขึ้นว่า “ไม่ต้องให้ถึงตายนะ ทำให้พิการตลอดชีวิตและพูดไม่ได้ก็พอ” บอกความต้องการเรียบร้อยก็หันหลังให
“ปล่อยตัวประกันมาก่อน แล้วกูจะบอกว่าเงินอยู่ไหน” เขาไม่ใช่คนโง่ที่จะได้หลงเชื่อตั้งแต่แรกว่าดาวิทย์ถูกจับตัวไปเรียกค่าไถ่ จึงให้ออสตินเป็นคนถือกระเป๋าที่บรรจุเงินสดสามสิบล้านเอาไว้ก่อน เมื่อเห็นดังนั้นชวินก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ใบหน้าเหี้ยมโหดแดงก่ำด้วยแรงโทสะ “มึงคิดจะเล่นตุกติกกับกูเหรอ” “ถ้ากูอยากเล่นตุกติกกับมึงกูโทรแจ้งตำรวจไม่ดีกว่าเหรอ ถ้าอยากได้เงินก็ปล่อยตัวประกันออกมาก่อนแล้วกูจะบอกว่าเงินอยู่ไหน” ชวินทำสีหน้าครุ่นคิด ก่อนจะหันไปทางมือขวาคนสนิทแล้วเอ่ยสั่ง “ไปเอาตัวไอ้ดาวิทย์มา” “ครับนาย” ดาวิทย์ถูกลากออกมาจากในตึกร้าง มือสองข้างถูกมัดไพล่หลัง สภาพเหมือนคนปกติไม่ได้ถูกซ้อมจนน่วมเหมือนคนที่ถูกจับตัวมา ลูกน้องคนหนึ่งแกะเชือกให้ดาวิทย์ “ทีนี้มึงบอกกูได้รึยังว่าเงินอยู่ที่ไหน” “เงินอยู่ที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ตรงหน้าทางเข้า” เมื่อรู้ที่ซ่อนเงินชวินก็คลี่ยิ้มจนกว้าง เขาส่งซิกให้ลูกน้องสองคนไปเอากระเป๋าเงินตรงจุดที่เจ้าขุนบอก พอรู้ที่ซ่อนเงินแน่ชัดสองหนุ่มเพื่อนซี้ก็หันมาส่
รถสปอร์ตคันงามแล่นไปตามท้องถนนด้วยความเร็วมุ่งหน้าไปที่บ้านของท่านรัฐมนตรี ร่างสูงโปร่งก้าวฉับ ๆ เข้าไปในบ้านของว่าที่พ่อตาอย่างไม่เกรงกลัว เมื่อเห็นหน้าลูกเขย คนร้อนใจก็รีบร้อนเข้าไปหาทันที “พวกมันติดต่อมารึยังครับ” “ติดต่อมาแล้ว มันบอกว่าให้เอาเงินไปให้มันที่นี่” ท่านรัฐมนตรียื่นกระดาษที่จดสถานที่นัดหมายให้กับเจ้าขุน เขาหยิบมันมาดูแล้วพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะเงยหน้าสบตากับคนอายุมากแล้วเอ่ยถาม “พวกมันต้องการเงินเท่าไหร่ครับ” ความจริงก็ได้ยินที่ดาริณอุทานแล้วล่ะ แต่ก็อยากถามให้แน่ใจอีกครั้ง ท่านรัฐมนตรีมีสีหน้าหวั่นวิตก ริมฝีปากขบเม้มเป็นเส้นตรง ก่อนจะค่อย ๆ ขยับพูดเสียงอ่อย “สามสิบล้าน” ได้ยินแค่นั้นเจ้าขุนก็ล้วงเอาโทรศัพท์มือถือออกจากกระเป๋ากางเกงแล้วรีบโทรหาจรณ [ครับนายน้อย] “คุณช่วยเอาเงินมาให้ผมที่บ้านท่านรัฐมนตรีนพดลหน่อย” [ได้ครับ นายน้อยจะเอาเท่าไหร่ครับ] “สามสิบล้าน” [ได้ครับ ผมจะรีบไป] หลังวางสายจากลูกน้องเขาก็กดโทรหาเพื







