LOGINวันรุ่งขึ้นเจ้าแมวนุ่มนวลตัวสีส้มก็หายไปจากบ้านเขาจริงๆ…
แม่แมวผู้โศกเศร้าให้เด็กที่ทำงานบ้าน พามันออกไปส่งเจ้าของใหม่ตั้งแต่กลางดึก และเจ้าของใหม่ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นคุณอาหนุ่มผู้แสนดีอย่างไอ้เหนือฟ้า ดูเหมือนว่ามันจะรอรับทุกอย่างต่อจากเขาไปซะหมด
เพราะเหตุนี้ตอนที่ภรรยายื่นกล่องอาหารให้ ชายหนุ่มก็แค่หลุบสายตามองและไม่ยอมรับจากมือเธอเป็นครั้งแรก
กันต์ธีคิดว่าควรจะเลิกผูกปิ่นโตของเธอสักที ข้าวหวานจะได้ไม่ต้องตาลีตาเหลือกขึ้นมาวุ่นวายตั้งแต่เช้า เขาดูแลจัดการตัวเองได้ หรือถ้าชอบทำอาหารนักก็ลองทำส่งไปให้คุณอานอกไส้นั่นกินแล้วกัน
มีหลายครั้งหลายคราที่ชายหนุ่มเกิดรู้สึกว่าเราอาจจะใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันได้ อยู่เป็นเพื่อน เป็นกัลยาณมิตรที่ดีต่อกันไปเรื่อยๆ เมื่อคิดแบบนั้นเขาก็จะปฏิบัติตัวดีกับเธอ โดยเฉพาะตลอดสองปีหลังมานี้ เราอยู่กันอย่างสงบสุขตามอัตภาพ เขายอมให้ข้าวหวานเข้ามาดูแล แทรกแซงชีวิตส่วนตัว ยอมให้มีส่วนร่วมหลายสิ่งหลายอย่าง บางทีด้วยเรื่องเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้อาจจะกลายเป็นความเคยชินของเขาไปในที่สุด แต่มันจะทำให้เดินแยกจากกันอย่างยากลำบากเข้าไปอีก
กันต์ธีเพิ่งตระหนักว่าเมื่อความต้องการที่เป็นแก่นของชีวิตไปกันไม่ได้ การอยู่ร่วมกันย่อมไม่มีทางมีความสุข ไม่ว่าจุดเริ่มต้นจะเป็นความรักหรือไม่รักก็ตาม เขาไม่ต้องการมีลูก แต่ข้าวหวานมีความต้องการที่เด่นชัดในเรื่องนี้
“ต่อไปไม่ต้องทำข้าวกลางวันให้ผมอีก”
“แล้วพี่กันต์จะกินข้าวที่ไหนคะถ้าติดเคสผ่าตัด”
“หวาน” นายแพทย์หนุ่มเรียกชื่อภรรยาเสียงหนัก และเอ่ยคำพูดต่อไปอย่างเย็นชา “ผมอายุสามสิบสาม ถ้าหาข้าวกินเองไม่เป็น ก็ปล่อยผมตายไปเถอะ”
“รับไปเถอะนะคะ ยังไงหวานก็ทำแล้ว ถ้าพี่ไม่กินก็แค่ทิ้งไป แต่ถ้าหิวขึ้นมา ยังไงก็กินรองท้องก่อนได้”
เมื่อหญิงสาวยืนกรานแบบนั้น สุดท้ายนายแพทย์กันต์ธีก็ต้องขมวดคิ้วทำหน้าตึงใส่ ยื่นมือคว้าข้าวกล่องมาแบบไม่เต็มอกเต็มใจ
ไฮโซสาวมองตามท้ายรถที่หายลับจากสายตา
เมื่อคืนเธอตัดสินใจส่งข้อความไปรบกวนเหนือฟ้ากลางดึก ชายหนุ่มคนนั้นก็ใจดีกับเธอเสมอมา เขายอมรับเจ้านุ่มนวลไปเลี้ยงดูต่อ เจ้านายคนเก่าจึงรีบสั่งให้คนงานขนทุกอย่างของเจ้าแมวเด็กออกไปให้หมด กลัวว่าช้ากว่านั้นเพียงนิดเดียวเธออาจจะตัดใจจากมันไม่ลง
การเฝ้าหลงรักสิ่งที่ไม่ควรรักเป็นเรื่องทรมาน เธอรู้ซึ้งแก่ใจดีที่สุด แต่ก็ยังอดทนสู้สุดกำลัง คนที่เป็นฝ่ายหลงรักเท่านั้น ถึงจะรับรู้ถึงสิ่งที่เธอพยายามทำ
อาจฟังดูเป็นเรื่องที่โง่เขลาสำหรับใครหลายคน แม้กระทั่งในสายตากันต์ธีเอง สิ่งที่เธอทำแต่ละอย่างช่างไร้ความหมายและไร้สาระ แต่ชายหนุ่มไม่รู้หรอกว่าทุกๆ วันของการตื่นนอนมาตอนเช้า เพื่อที่จะได้ทำหน้าที่ดูแลเขา ในห้วงยามนั้นมันเป็นความสุขใจของเธอในฐานะภรรยาที่ได้ดูแลสามี
มีความสุขที่ได้ทำอะไรเพื่อคนที่รัก เพราะถ้าไม่รักคนอย่างข้าวหวานไม่มีทางยื่นมือเข้าไปยุ่งเกี่ยว หรือแม้กระทั่งปรายหางตาจะเหลียวแล ทว่ากันต์ธีไม่ได้รักเธอเขาถึงไม่เคยตระหนักรู้ นี่คือความแตกต่างระหว่างเธอที่รักเขามาตลอดกับเขาที่อยู่กับเธอเพียงเพราะคำว่าหน้าที่ของสามี
ไม่ใช่จะดื้อดึงหรือดื้อรั้น เพียงแต่เธอรู้สึกมาโดยตลอดว่ากันต์ธีไม่ได้ไร้เยื่อใยเสียทีเดียว ระหว่างเรามีสายใยบางๆ อยู่ในนั้น และเธอจะถนอมไม่ยอมให้มันขาดสะบั้นไปง่ายดาย
ระหว่างที่ข้าวหวานพยายามทะนุถนอมความสัมพันธ์สุดความสามารถ นายแพทย์ผู้เอาแต่ใจก็เดินหน้าหงิกหน้างอหิ้วข้าวกล่องมายังห้องพัก อาการหงุดหงิดของกันต์ธีเกิดขึ้นบ่อยครั้งในช่วงสองเดือนมานี้ แต่ทุกครั้งเมื่ออยู่ในช่วงเวลาของการปฏิบัติหน้าที่ หมอหนุ่มก็ยังคงความเป็นมืออาชีพเช่นเดิม
แต่ก็นั่นแหละไอ้อารมณ์ขึ้นลงอย่างไม่ปกติของศัลยแพทย์มือดีกลับทำให้บรรดาผู้ร่วมงาน บุคลากร เจ้าหน้าที่พยาบาล รวมถึงผู้แทนยาที่ต้องประสานงานต่างอกสั่นขวัญแขวนไปตามๆ กัน
“หมอกันต์จะให้น้องดีเทลเข้าพบเลยไหมคะ”
ชายหนุ่มเหลือบสายตามองปฏิทินตั้งโต๊ะ กันต์ธีเป็นหมอประเภทที่ไม่ชอบให้ผู้แทนยามาเดินดักหน้าดักหลังในช่วงชีวิตที่เร่งรีบ เขาจะจัดสรรวันว่างช่วงใกล้สิ้นเดือนที่เตรียมไว้ให้บริษัทยาได้พรีเซนต์ ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ใจร้ายจนเกินไปเพราะเขาทราบดีว่ามันอยู่ในช่วงที่พนักงานขายต้องปิดยอดและโรงพยาบาลก็จำเป็นต้องสั่งยาล็อตใหม่เข้ามาเพิ่มเช่นเดียวกัน “ให้เข้ามาสิครับ”
ครู่เดียวประตูห้องตรวจก็ถูกเคาะเบาๆ และผลักออก ผู้แทนยาที่คุ้นเคยกันโผล่หน้าขึ้นก่อน ทว่าเมื่อหญิงสาวอีกคนเดินตามเข้ามา ทุกอย่างในห้องก็เหมือนถูกดีดนิ้วให้หยุดลง
ดวงตาสีดำคมปลาบมีรอยวูบไหว ก่อนเจ้าของจะข่มมันให้เรียบนิ่งไว้ นานไม่รู้กี่ปีแล้วที่เขาไม่เคยเจอผู้หญิงคนนี้…นีรา
ผู้แทนยาเอ่ยแนะนำว่าเธอเข้ามาเป็นซูเปอร์ไวเซอร์ของทีม หลังจากนั้นก็เป็นการพูดคุยเกี่ยวกับข้อมูลยาและส่งยอดตามปกติ กว่าจะรู้ตัวอีกครั้งการสนทนาเป็นการเป็นงานก็จบลง มีผู้แทนยาจากบริษัทอื่นหมุนเวียนเข้ามาใหม่ คนแล้วคนเล่า กระทั่งการเข้าพบจนครบทุกบริษัท นายแพทย์กันต์ธีก็เริ่มหิวโซ
มือหนาใหญ่กำลังจะแกะกล่องข้าวที่ภรรยาสาวเตรียมไว้ให้ ทว่าเสียงเคาะห้องก็ดังขึ้นอีกครั้ง ชายหนุ่มขมวดคิ้วมุ่นด้วยความหงุดหงิด จ้องเขม็งไปยังบานประตูที่ถูกเลื่อนออก แล้วก็พบว่าเป็น
นีรา…“หมอไปกินข้าวกับนิสักมื้อได้ไหมคะ”
“เอ่อ…ช่วงเย็นผมมีเคสอื่นรออยู่ ไม่มีเวลาออกไปไหนเลย”
“ไม่นานหรอกค่ะ ในโรงพยาบาลนี่ก็ได้ นิแค่อยากพูดคุยในสิ่งที่ไม่เคยได้บอกหมอ ยังไงซะเราก็เลี่ยงการพบกันไม่ได้อยู่ดี นิเลยอยากจะเคลียร์ให้มันชัดเจนก่อนที่จะร่วมงานกันค่ะ”
“ไม่จำเป็นหรอกครับ ผมสั่งยากับบริษัทคุณเพราะต้องใช้มันกับคนไข้ เรื่องอื่นไม่ต้องกังวล ทำหน้าที่ของคุณให้ปกติเถอะ”
แซ็กโซโฟนเป็นเครื่องดนตรีที่มีชีวิต...ผมรู้สึกแบบนั้นมาตลอด เพราะทุกครั้งที่ได้ยินข้าวหวานเป่าเจ้าเครื่องดนตรีชนิดนี้ เธอใส่อารมณ์ ใส่ความรู้สึกรวมถึงเสน่ห์ของเธอลงไปด้วย เธอเซ็กซี่เสมอยามเมื่อยืนอยู่บนฟลอร์และสะกดคนด้วยเสียงเพลงอย่างเช่นคืนที่เราอยู่บนเรือสำราญด้วยกันจริงอยู่คนอื่นอาจจะเห็นเธอในมุมของนักดนตรี ไฮโซสาวพราวเสน่ห์แต่เสน่ห์อย่างอื่นของเธอมีมากมายกว่านั้นถึงแม้ครั้งหนึ่งผมจะหลับหูหลับตา มองเธอผ่านหน้ากากแห่งอคติ แต่ได้โปรดเข้าใจกันบ้าง ตอนนั้นผมคือผู้ชายที่จำใจแต่งงานโดยไม่ได้รักผมไม่ถึงกับโกรธเกลียดข้าวหวาน แค่ขวางหูขวางตานิดหน่อย ผมทำนิสัยแย่ เธอก็ยังยิ้มอ่อน ผมเย็นชา เธอก็ยังทำข้าวกล่องให้ไปกินที่ทำงานทุกเช้า บอกตรงๆ ผมค่อนข้างได้ใจข้าวหวานเป็นผู้หญิงที่ทำให้ผมรู้สึกว่าเธอรักผมมาก รักแบบที่ไม่มีทางไปไหนรอดน่าขำ…ผมไปเอาความมั่นใจแบบนั้นมาจากไหนตลอดเวลาที่ผมเย็นชา เธออดทนเพราะหวังว่าผมคงอ่อนโยนขึ้นในวันหนึ่งข้างหน้าเวลาที่ผมทำนิสัยแย่ เธอมักจะยิ้มหรือนิ่งเงียบ นั่นเพราะเธอคงไม่อยากให้เราทะเลาะกันจนบานปลายการใช้ชีวิตคู่ที่เธอพยายามและเฝ้าทะนุถนอมมันเพียงฝ่ายเดีย
แสงอาทิตย์อ่อนแสงลงจนดูอ่อนโยนกับท้องทะเล เด็กน้อยหลายคนและนกนางนวลหลายตัวกำลังเล่นลมอย่างสนุกสนาน ฉันมองภาพงดงามซึ่งเกิดขึ้นตรงหน้าอย่างมีความสุข แต่ใช่ว่าชีวิตจะมีเพียงภาพอันสว่างไสวเช่นนี้เพียงอย่างเดียวคนเราล้วนมีช่วงเวลาที่หวาดกลัวที่สุดในชีวิตด้วยกันทั้งนั้น สำหรับฉันมันเกิดขึ้นตอนอายุสิบห้าคืนที่ฝนตกกระหน่ำเหมือนฟ้ารั่ว เศษกระจกแตกกระจัดกระจาย รถที่พลิกคว่ำ เลือดของฉัน พ่อและแม่ นองไปกับสายฝน กระดูกแขนขาหัก มันเจ็บปวดที่ต้องนอนมองคนที่รักตายอยู่ตรงหน้า แต่กระนั้นฉันก็ยังกลัวความตายที่กำลังคืบคลานมากัดกินฉันอีกคนความอบอุ่นของฝ่ามือมนุษย์แตะเบาๆ ที่ข้างคอของฉัน ผู้ชายที่เปียกโซกไปทั้งตัว เขายิ้มอย่างอ่อนโยนท่ามกลางความมืดและคาวเลือด นับแต่นั้นฉันฝังรอยยิ้มสว่างไสวของเขาไว้ในความทรงจำ“ไม่ต้องกลัวแล้วนะครับ น้องจะปลอดภัยแน่นอน” เขาพูดแบบนั้นและฉันก็ปลอดภัยจริงๆ แม้ต้องนอนรักษาตัวในโรงพยาบาลของคุณปู่อยู่เกือบปีอาการทางกายของฉันดีวันดีคืนเพราะอยู่ในวัยที่ร่างกายแข็งแรง ทว่าอาการทางใจมันกลับย่ำแย่ลงเรื่อยๆฉันมักหายใจไม่ออกเสมอ หัวใจเต้นแรงอย่างไร้เหตุผล โดยเฉพาะในช่วงคืนที่ฝนตก
สถานตากอากาศบางปูในวันสุดสัปดาห์ผู้คนหนาแน่นกว่าปกติ โดยเฉพาะในช่วงเข้าใกล้ปลายปีแบบนี้กันต์ธีหยิบหมวกปีกกว้างสวมบนศีรษะของภรรยาสาวที่กำลังท้องแก่ อีกมือก็ก้มลงจูงเด็กชายเขตต์วัยสามขวบกว่าที่อยู่ในวัยอยากรู้อยากเห็นสิ่งรอบตัว ที่สำคัญคือลูกเขาซนมากอย่างที่เคยบอกนั่นแหละ หมอหนุ่มยังคงเป็นมนุษย์เย็นชาที่ไม่ชอบเด็กเอาเสียเลย ทว่าเขากลับรักเด็กคนนี้จับจิตจับใจ“เดินรอแม่ด้วยสิลูก” ผู้เป็นพ่อเอ่ยปากเตือน หนูน้อยที่อยู่ในช่วงพลังงานล้นเหลือก็ก้าวเท้าช้าลง ปล่อยมือจากบิดาและหันไปประคบประหงมมารดาแทน“คับ” เด็กชายเขตต์ยิ้มแฉ่งให้กับผู้เป็นแม่ที่ยังเดินอุ้ยอ้าย ฝีเท้าเล็กๆ ก็ขยับช้าลงฉับพลันกันต์ธีมองความอ่อนโยนของลูกชาย โชคดีที่เขตต์ได้รับนิสัยน่ารักแบบนี้มาจากฝั่งของข้าวหวาน เขาจำได้ วันที่รู้ว่าในท้องของภรรยาเป็นลูกสาวเขาก็บอกกับลูกชายคนโตว่าต่อไปจะมีน้องน้อยที่น่ารักเหมือนตุ๊กตาออกมาเป็นเพื่อนเล่นอีกคน เด็กชายเขตต์ก็ดีอกดีใจ ทุกวันนี้พี่ชายตัวโตก็มักจะวิ่งเข้าโอบกอดท้องกลมเหมือนลูกแตงโมของมารดาอยู่ทุกวัน“น้องเขตต์จับมือคุณพ่อไว้นะคะ” คุณแม่ยังสาวรีบเตือนบุตรชายเมื่อเดินพ้นระยะจากลานจอดร
พ้นจากช่วงงานยุ่งติดพันมาพักใหญ่ ในที่สุดคู่สามีภรรยานักบริหารก็หาเวลาว่างมาล่องเรือสำราญกันได้สำเร็จแม้จะเป็นการมาพักผ่อนเพียงช่วงสั้นๆ ราวสามสี่คืน แต่นายแพทย์กันต์ธีก็เปี่ยมไปด้วยสุขที่เห็นภรรยาสาวผ่อนคลายลง เธอดูสดใสและเปล่งปลั่งขึ้นจนเขารู้สึกได้ ผิวขาวน้ำนมของหญิงสาวเหมือนจะเปล่งรัศมีเรืองแสง ยิ่งยามที่เธอเฉิดฉายอยู่ในชุดสีแดงแบบนี้ด้วย เขาไม่เหลือสายตาไปมองใครเลยแม้แต่วินาทีเดียว“เรือลำเดิมเลยค่ะพี่กันต์ จำได้หรือเปล่า”“จำได้สิครับ” ชายหนุ่มเดินโอบไหล่บอบบางพาไปยังบริเวณราวเหล็กด้านข้างเรือ ตั้งใจว่ารอให้แดดร่มลมตกกว่านี้ก่อนค่อยชักชวนภรรยาสาวขึ้นไปบนชั้นดาดฟ้าสำหรับดินเนอร์มื้อค่ำ“ที่บอกว่าจำได้เนี่ย คือจำว่ามากับหวาน หรือมากับดีเทลยาคนนั้นที่พากันเข้าห้องไปคะ” หญิงสาวเปิดปากกระแนะกระแหน ในใจก็นึกว่าจะไม่จิกกัดเขาเรื่องนี้อยู่แล้วเชียว แต่เมื่อก้าวขามาอยู่บนเรือสำราญ หัวใจมันคันยุบยิบ ปล่อยไปกันต์ธีก็เหมือนจะลอยตัว วันนี้เลยขอเคลียร์สิ่งที่ค้างคาสักหน่อย แล้วเธอจะมูฟออนจากเรื่องสาวๆ ของเขาเสียที“โธ่ หวาน”“อย่ามาทำเสียงแบบนั้นกลบเกลื่อนค่ะพี่กันต์ มันไม่ได้ผล” ไฮโซสาวยกแข
ทริปล่องเรือสำราญล่มไม่เป็นท่าเพราะนายแพทย์หนุ่มป่วยจนไข้ขึ้นถึงแม้กันต์ธีจะพยายามผงกหัวแล้วร้องโวยวายเสียงแหบพร่า บอกกับหญิงสาวว่าให้เตรียมตัวไปทริป แต่ด้วยสภาพของเขาที่มันตรงกันข้าม พอเริ่มงอแงหนักข้อขึ้น ไฮโซสาวก็เปลี่ยนมายืนเท้าเอว พลิกจากลูกโอ๋เป็นดุเสียงเข้มแทน“ก็ได้ค่ะ ถ้าพี่ยืนยันจะไปล่องเรือ หวานจะได้ไม่ต้องขนของกลับมาที่นี่”“ทำไมล่ะ” คนป่วยเบิกตาโต เสียงแห้งไปกว่าเดิมอีกพันเท่า พร้อมกับทิ้งตัวลงนอนหมดเรี่ยวหมดแรง“ก็หวานจะเอาวันหยุดของเรา ย้ายของซะหน่อย ถ้าพี่กันต์อยากไปเที่ยวมาก งั้นเรื่องขนของกลับมาที่นี่ค่อยว่ากันทีหลังก็ได้ค่ะ”ได้ยินเหตุผลของหญิงสาว คนดื้อก็เด้งตัวขึ้นมาอีกครั้ง สีหน้าซีดเผือดเริ่มกลับมามีสีเลือดพร้อมกับทำเสียงจริงจัง จนคนที่แอบมองอยู่ต้องอมยิ้ม “ได้ยินกรมอุตุบอกว่าช่วงนี้คลื่นลมแรง เราอยู่บ้านก็ดีเหมือนกัน”“พูดง่ายๆ แบบนี้ค่อยน่ารักหน่อยค่ะ”“แล้วรักไหม” ไม่ใช่เพราะพิษไข้นี่หรอกที่ทำให้เขาอยากออดอ้อน แต่เพราะความรักที่ท่วมท้นล้นเอ่อ ในหัวใจมันรู้สึกหวานๆ คล้ายอยากให้เธอเติมคำว่ารักเข้ามาเพิ่ม อยากได้ยินอยู่แบบนั้นราวกับมันเป็นเสียงดนตรีบรรเลงที่อยา
หลังส่งมารดาขึ้นรถกลับบ้านเรียบร้อยแล้ว นายแพทย์หนุ่มก็เดินเข้าครัวเพื่ออุ่นซุปเยื่อไผ่กระดูกอ่อน เดือดพลุ่งทั่วหม้อเขาก็ยกลงตักใส่ถ้วยกระเบื้อง พยายามฝืนกลืนให้ตัวมีแรง ในใจคิดไปว่าฝีมือมารดาคงอร่อยมากหากได้กินในช่วงเวลาปกติ ทว่าตอนนี้ปากของเขาเริ่มขมปร่าไม่รู้รสชาติเสียแล้ว กลิ่นที่ควรหอมฟุ้งจากน้ำต้มซุปกระดูกหมูก็ไม่พาเข้าสู่โสตประสาทใดๆเมื่อท้องอุ่นขึ้น คนใกล้ป่วยก็พาตัวเองไปยังห้องนอนกว้างข้าวหวานมักหาเวลามานอนค้างด้วยที่นี่เป็นบางครั้ง แต่หลังจากค่ำคืนที่หญิงสาวกลับไป เขาจะยิ่งทุรนทุรายด้วยความคิดถึงกว่าเดิมเมื่อต้องอยู่เพียงลำพัง เฉกเช่นคืนนี้ที่หลานสาวเจ้าสัวต้องควงปู่เพชรไปงานเลี้ยงที่สมาคม ส่วนเขาเร่งมือเคลียร์งานจึงไปกับเธอไม่ได้ ช่วงเวลาของการได้พบหน้าในตอนกลางวันมันไม่เพียงพอ ทั้งที่รู้สึกอ่อนเพลียขนาดนี้ แต่กันต์ธีก็ยังหลับไม่ลง‘นอนหรือยังคะ’ ข้อความที่เด้งขึ้นจากแอปพลิเคชันสนทนา ทำให้คนที่กำลังน้อยอกน้อยใจเปิดปากยกยิ้ม เขารีบพิมพ์กลับไปทันทีแบบไม่เล่นตัว‘ยังไม่นอน คิดถึงข้าวหวานจัง’ครู่ต่อมาเสียงโทรศัพท์ก็แผดร้องขึ้น ชายหนุ่มที่นอนเหยียดยาวอยู่บนเตียงยกขึ้นปัดรับด้







