LOGIN“มายืนทำอะไรตรงนี้วะ ซีนอารมณ์เหรอ” ธาดามองเพื่อนที่ยืนล้วงมือลงกระเป๋ากางเกงทอดสายตานิ่ง ดูดกาแฟไปเรื่อยเปื่อย เมื่อครู่เขาเพิ่งบังเอิญเดินสวนกับแฟนเก่าของกันต์ธี เลยถือโอกาสมาดูหน้ามันเสียหน่อย
“เมื่อกี้กูเจอนีรา”
“เออ มาทักกูอยู่เหมือนกัน” นายแพทย์ธาดาลอบสังเกตอาการของกันต์ธี บอกตามตรงว่าเขาก็ดูไม่ออก ที่สุดก็เลือกถามออกมา “มึงยังหวั่นไหวไหมเนี่ย”
“ไม่รู้เหมือนกัน”
“อ้าว”
“รู้สึกแปลก ๆ ว่ะ” กันต์ธียอมรับว่าตอบตัวเองไม่ค่อยถูก นาทีแรกที่เห็นนีราบอกตามตรงว่าตกใจเอามากๆ เธอเคยพูดว่าได้พบผู้ชายที่เข้ากันได้ดีตอนเรียนต่อปริญญาโทและจะเลือกใช้ชีวิตที่ต่างประเทศ หญิงสาวยังย้ำให้ฟังอีกว่าไม่ต้องรอเพราะเธอจะไม่มีวันกลับมาเหยียบไทยอีก ตอนที่เขาเห็นเธอในฐานะซูเปอร์ไวเซอร์ของบริษัทยานอกแห่งหนึ่ง มันจึงเป็นความรู้สึกตื่นตะลึง ทว่าความเจ็บปวดทุรนทุรายจากความรักมันกลับไม่หลงเหลือ บางทีเวลาก็ช่วยรักษาหัวใจเขาจริงๆ นั่นแหละ หรือถ้าเธอจะกลับมาเร็วกว่านี้สองสามปี เขาคงกระโดดข้ามโต๊ะไปดึงเธอเข้าสวมกอด และขอโอกาสเริ่มต้นใหม่
แต่กระนั้นก็ยังมีร่องรอยความผูกพันบางอย่างให้เห็นเช่นกัน เขายินดีกับความก้าวหน้าของหญิงสาว นีราคงสำเร็จการศึกษาระดับที่เธอใฝ่ฝันแล้วจริงๆ ถึงได้กลับมาเข้าทำงานกับบริษัทยาใหญ่โต และเริ่มต้นในตำแหน่งงานที่คู่ควรกับความสามารถ
“มึงมีเมียแล้วนะ แล้วเมียมึงก็แสนดีมากด้วย”
“แล้วไงวะ”
“อ้าวไอ้นี่”
“มึงจะกี่อ้าววะวันนี้ ไอ้ธาดา” นายแพทย์หนุ่มเปิดปากหัวเราะเพื่อนสนิทที่ทำหน้าตาพองโตอยู่ตลอดเวลา พอหยุดเสียงหัวเราะได้ คนมีเมียก็เริ่มพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “มึงไม่ต้องกังวล ถ้ากูจะต้องหย่ากับหวาน มันก็เป็นเพราะกูไม่ได้รักเขา ไม่เกี่ยวกับคนอื่นเลย”
“อะไรทำให้มึงมั่นใจถึงขนาดพูดปาวๆ ว่าไม่ได้รักเขาแบบนั้นวะ”
“กูแค่พูดความจริง”
“แล้วไอ้ท่าทางหึงหวงกวนประสาทของมึงมันคืออะไร” ธาดายังจำปฏิกิริยาที่ไอ้เพื่อนหมอเย่อหยิ่งนี่ทำตัวเหมือนหมาป่าจ้องจะฟัดนักธุรกิจหนุ่มที่เจอกันในร้านเหล้าคราวก่อนได้เป็นอย่างดี
“ไม่ใช่หึงหวงซะหน่อย แต่ใครจะมาหยามกูไม่ได้”
“เออ ตามใจมึง เมื่อยปากจะพูด บางทีคุณหวานเขาคงสปอยล์มึงมากเกินไป วันไหนเขาเลิกดูแลมึงแล้ว ก็อย่ามาหอนนะไอ้กันต์”
“กูเพิ่งบอกให้เขาเลิกทำอะไรบ้าบอพวกนั้นไปเมื่อเช้านี่เอง อึดอัดว่ะ” นายแพทย์หนุ่มยกแก้วดูดน้ำกาแฟคั่วหอมๆ เข้าปาก บางทีเขาไม่ควรจะปล่อยให้เรื่องราวมันผ่านไปวันแล้ววันเล่าแบบนี้ ยิ่งอายุมากขึ้นเรื่อยๆ ข้าวหวานนั่นแหละที่จะยิ่งเสียโอกาสพบคนที่มีความต้องการตรงกันเสียที
“งั้นวันนี้ไปกินเหล้ากันไหม”
“บายว่ะ กูมีเคสที่โรงพยาบาลอื่นต่อ”
“โธ่ ไอ้คุณหมอ ทำไมมึงทำงานหนักขนาดนี้ครับ”
“หาเงินใช้หนี้บ้านเมียอยู่ไง พ่อกูไปเอาเงินบ้านเขามาแล้วไม่ยอมคืนสักที” กันต์ธีหย่อนแก้วที่เหลือเพียงน้ำแข็งลงถังขยะ เขาลองคำนวณเงินเก็บที่มีอยู่ในมือ และประกาศขายที่ดินที่เคยซื้อไว้แถวเขาใหญ่ มูลค่ามันสูงขึ้นเรื่อยๆ ตามศักยภาพของทำเลที่ตั้ง ถ้าทำเรื่องนี้สำเร็จเขาคงมีเงินมากพอที่จะปลดแอกใช้หนี้ให้กับบริษัทของบิดา
“คุณหวานเขาคงไม่ได้ใจร้ายกับมึงหรอกมั้ง”
“กูรู้” ข้าวหวานใจดีกับเขาและครอบครัวเกินไปต่างหาก ใจดีเสียจนบิดาพยายามหาช่องทางดูดเงินจากเธอ และมันทำให้ศักดิ์ศรีของเขาลดลงไปอยู่แทบเท้าผู้หญิงคนหนึ่ง เป็นความอัปยศอย่างที่สุด นายแพทย์กันต์ธีไม่ใช่แมงดา
“ไอ้กันต์ มึงนี่โคตรเป็นคนที่น่าอิจฉาที่สุดในโลกแล้วนะเว้ย มีอาชีพที่ดี มีครอบครัวที่ดี มีเมียที่รักมึงมาก ทำไมมึงไม่ใช้ชีวิตให้มีความสุขวะ”
“ก็เพราะไอ้ความรักมากของเขานี่แหละ ทำให้กูต้องยอมแต่งงานด้วยแบบเลี่ยงไม่ได้” ยายไฮโซข้าวหวานรู้ทั้งรู้ว่าเขาไม่ได้รักไม่ได้ชอบเธอเลยสักนิด หญิงสาวก็ยังยืนกรานที่จะกระโดดเข้ามาใช้ชีวิตแบบนี้ ถ้าเพียงแต่วันนั้นเธอปฏิเสธ และเลือกวิธีการยืดระยะเวลาในการใช้หนี้ให้ครอบครัวเขา บางทีทุกสิ่งทุกอย่างมันอาจจะไม่เลวร้ายเหมือนที่เป็นอยู่
“มึงก็ใจแข็งมากจนกูงง สงสารคุณหวานขึ้นมาจับใจเลย”
“กูก็สงสารเขา แต่ไม่รักมันก็คือไม่รัก บางทีกูอาจจะเหมาะกับการอยู่คนเดียวก็ได้มั้ง”
แซ็กโซโฟนเป็นเครื่องดนตรีที่มีชีวิต...ผมรู้สึกแบบนั้นมาตลอด เพราะทุกครั้งที่ได้ยินข้าวหวานเป่าเจ้าเครื่องดนตรีชนิดนี้ เธอใส่อารมณ์ ใส่ความรู้สึกรวมถึงเสน่ห์ของเธอลงไปด้วย เธอเซ็กซี่เสมอยามเมื่อยืนอยู่บนฟลอร์และสะกดคนด้วยเสียงเพลงอย่างเช่นคืนที่เราอยู่บนเรือสำราญด้วยกันจริงอยู่คนอื่นอาจจะเห็นเธอในมุมของนักดนตรี ไฮโซสาวพราวเสน่ห์แต่เสน่ห์อย่างอื่นของเธอมีมากมายกว่านั้นถึงแม้ครั้งหนึ่งผมจะหลับหูหลับตา มองเธอผ่านหน้ากากแห่งอคติ แต่ได้โปรดเข้าใจกันบ้าง ตอนนั้นผมคือผู้ชายที่จำใจแต่งงานโดยไม่ได้รักผมไม่ถึงกับโกรธเกลียดข้าวหวาน แค่ขวางหูขวางตานิดหน่อย ผมทำนิสัยแย่ เธอก็ยังยิ้มอ่อน ผมเย็นชา เธอก็ยังทำข้าวกล่องให้ไปกินที่ทำงานทุกเช้า บอกตรงๆ ผมค่อนข้างได้ใจข้าวหวานเป็นผู้หญิงที่ทำให้ผมรู้สึกว่าเธอรักผมมาก รักแบบที่ไม่มีทางไปไหนรอดน่าขำ…ผมไปเอาความมั่นใจแบบนั้นมาจากไหนตลอดเวลาที่ผมเย็นชา เธออดทนเพราะหวังว่าผมคงอ่อนโยนขึ้นในวันหนึ่งข้างหน้าเวลาที่ผมทำนิสัยแย่ เธอมักจะยิ้มหรือนิ่งเงียบ นั่นเพราะเธอคงไม่อยากให้เราทะเลาะกันจนบานปลายการใช้ชีวิตคู่ที่เธอพยายามและเฝ้าทะนุถนอมมันเพียงฝ่ายเดีย
แสงอาทิตย์อ่อนแสงลงจนดูอ่อนโยนกับท้องทะเล เด็กน้อยหลายคนและนกนางนวลหลายตัวกำลังเล่นลมอย่างสนุกสนาน ฉันมองภาพงดงามซึ่งเกิดขึ้นตรงหน้าอย่างมีความสุข แต่ใช่ว่าชีวิตจะมีเพียงภาพอันสว่างไสวเช่นนี้เพียงอย่างเดียวคนเราล้วนมีช่วงเวลาที่หวาดกลัวที่สุดในชีวิตด้วยกันทั้งนั้น สำหรับฉันมันเกิดขึ้นตอนอายุสิบห้าคืนที่ฝนตกกระหน่ำเหมือนฟ้ารั่ว เศษกระจกแตกกระจัดกระจาย รถที่พลิกคว่ำ เลือดของฉัน พ่อและแม่ นองไปกับสายฝน กระดูกแขนขาหัก มันเจ็บปวดที่ต้องนอนมองคนที่รักตายอยู่ตรงหน้า แต่กระนั้นฉันก็ยังกลัวความตายที่กำลังคืบคลานมากัดกินฉันอีกคนความอบอุ่นของฝ่ามือมนุษย์แตะเบาๆ ที่ข้างคอของฉัน ผู้ชายที่เปียกโซกไปทั้งตัว เขายิ้มอย่างอ่อนโยนท่ามกลางความมืดและคาวเลือด นับแต่นั้นฉันฝังรอยยิ้มสว่างไสวของเขาไว้ในความทรงจำ“ไม่ต้องกลัวแล้วนะครับ น้องจะปลอดภัยแน่นอน” เขาพูดแบบนั้นและฉันก็ปลอดภัยจริงๆ แม้ต้องนอนรักษาตัวในโรงพยาบาลของคุณปู่อยู่เกือบปีอาการทางกายของฉันดีวันดีคืนเพราะอยู่ในวัยที่ร่างกายแข็งแรง ทว่าอาการทางใจมันกลับย่ำแย่ลงเรื่อยๆฉันมักหายใจไม่ออกเสมอ หัวใจเต้นแรงอย่างไร้เหตุผล โดยเฉพาะในช่วงคืนที่ฝนตก
สถานตากอากาศบางปูในวันสุดสัปดาห์ผู้คนหนาแน่นกว่าปกติ โดยเฉพาะในช่วงเข้าใกล้ปลายปีแบบนี้กันต์ธีหยิบหมวกปีกกว้างสวมบนศีรษะของภรรยาสาวที่กำลังท้องแก่ อีกมือก็ก้มลงจูงเด็กชายเขตต์วัยสามขวบกว่าที่อยู่ในวัยอยากรู้อยากเห็นสิ่งรอบตัว ที่สำคัญคือลูกเขาซนมากอย่างที่เคยบอกนั่นแหละ หมอหนุ่มยังคงเป็นมนุษย์เย็นชาที่ไม่ชอบเด็กเอาเสียเลย ทว่าเขากลับรักเด็กคนนี้จับจิตจับใจ“เดินรอแม่ด้วยสิลูก” ผู้เป็นพ่อเอ่ยปากเตือน หนูน้อยที่อยู่ในช่วงพลังงานล้นเหลือก็ก้าวเท้าช้าลง ปล่อยมือจากบิดาและหันไปประคบประหงมมารดาแทน“คับ” เด็กชายเขตต์ยิ้มแฉ่งให้กับผู้เป็นแม่ที่ยังเดินอุ้ยอ้าย ฝีเท้าเล็กๆ ก็ขยับช้าลงฉับพลันกันต์ธีมองความอ่อนโยนของลูกชาย โชคดีที่เขตต์ได้รับนิสัยน่ารักแบบนี้มาจากฝั่งของข้าวหวาน เขาจำได้ วันที่รู้ว่าในท้องของภรรยาเป็นลูกสาวเขาก็บอกกับลูกชายคนโตว่าต่อไปจะมีน้องน้อยที่น่ารักเหมือนตุ๊กตาออกมาเป็นเพื่อนเล่นอีกคน เด็กชายเขตต์ก็ดีอกดีใจ ทุกวันนี้พี่ชายตัวโตก็มักจะวิ่งเข้าโอบกอดท้องกลมเหมือนลูกแตงโมของมารดาอยู่ทุกวัน“น้องเขตต์จับมือคุณพ่อไว้นะคะ” คุณแม่ยังสาวรีบเตือนบุตรชายเมื่อเดินพ้นระยะจากลานจอดร
พ้นจากช่วงงานยุ่งติดพันมาพักใหญ่ ในที่สุดคู่สามีภรรยานักบริหารก็หาเวลาว่างมาล่องเรือสำราญกันได้สำเร็จแม้จะเป็นการมาพักผ่อนเพียงช่วงสั้นๆ ราวสามสี่คืน แต่นายแพทย์กันต์ธีก็เปี่ยมไปด้วยสุขที่เห็นภรรยาสาวผ่อนคลายลง เธอดูสดใสและเปล่งปลั่งขึ้นจนเขารู้สึกได้ ผิวขาวน้ำนมของหญิงสาวเหมือนจะเปล่งรัศมีเรืองแสง ยิ่งยามที่เธอเฉิดฉายอยู่ในชุดสีแดงแบบนี้ด้วย เขาไม่เหลือสายตาไปมองใครเลยแม้แต่วินาทีเดียว“เรือลำเดิมเลยค่ะพี่กันต์ จำได้หรือเปล่า”“จำได้สิครับ” ชายหนุ่มเดินโอบไหล่บอบบางพาไปยังบริเวณราวเหล็กด้านข้างเรือ ตั้งใจว่ารอให้แดดร่มลมตกกว่านี้ก่อนค่อยชักชวนภรรยาสาวขึ้นไปบนชั้นดาดฟ้าสำหรับดินเนอร์มื้อค่ำ“ที่บอกว่าจำได้เนี่ย คือจำว่ามากับหวาน หรือมากับดีเทลยาคนนั้นที่พากันเข้าห้องไปคะ” หญิงสาวเปิดปากกระแนะกระแหน ในใจก็นึกว่าจะไม่จิกกัดเขาเรื่องนี้อยู่แล้วเชียว แต่เมื่อก้าวขามาอยู่บนเรือสำราญ หัวใจมันคันยุบยิบ ปล่อยไปกันต์ธีก็เหมือนจะลอยตัว วันนี้เลยขอเคลียร์สิ่งที่ค้างคาสักหน่อย แล้วเธอจะมูฟออนจากเรื่องสาวๆ ของเขาเสียที“โธ่ หวาน”“อย่ามาทำเสียงแบบนั้นกลบเกลื่อนค่ะพี่กันต์ มันไม่ได้ผล” ไฮโซสาวยกแข
ทริปล่องเรือสำราญล่มไม่เป็นท่าเพราะนายแพทย์หนุ่มป่วยจนไข้ขึ้นถึงแม้กันต์ธีจะพยายามผงกหัวแล้วร้องโวยวายเสียงแหบพร่า บอกกับหญิงสาวว่าให้เตรียมตัวไปทริป แต่ด้วยสภาพของเขาที่มันตรงกันข้าม พอเริ่มงอแงหนักข้อขึ้น ไฮโซสาวก็เปลี่ยนมายืนเท้าเอว พลิกจากลูกโอ๋เป็นดุเสียงเข้มแทน“ก็ได้ค่ะ ถ้าพี่ยืนยันจะไปล่องเรือ หวานจะได้ไม่ต้องขนของกลับมาที่นี่”“ทำไมล่ะ” คนป่วยเบิกตาโต เสียงแห้งไปกว่าเดิมอีกพันเท่า พร้อมกับทิ้งตัวลงนอนหมดเรี่ยวหมดแรง“ก็หวานจะเอาวันหยุดของเรา ย้ายของซะหน่อย ถ้าพี่กันต์อยากไปเที่ยวมาก งั้นเรื่องขนของกลับมาที่นี่ค่อยว่ากันทีหลังก็ได้ค่ะ”ได้ยินเหตุผลของหญิงสาว คนดื้อก็เด้งตัวขึ้นมาอีกครั้ง สีหน้าซีดเผือดเริ่มกลับมามีสีเลือดพร้อมกับทำเสียงจริงจัง จนคนที่แอบมองอยู่ต้องอมยิ้ม “ได้ยินกรมอุตุบอกว่าช่วงนี้คลื่นลมแรง เราอยู่บ้านก็ดีเหมือนกัน”“พูดง่ายๆ แบบนี้ค่อยน่ารักหน่อยค่ะ”“แล้วรักไหม” ไม่ใช่เพราะพิษไข้นี่หรอกที่ทำให้เขาอยากออดอ้อน แต่เพราะความรักที่ท่วมท้นล้นเอ่อ ในหัวใจมันรู้สึกหวานๆ คล้ายอยากให้เธอเติมคำว่ารักเข้ามาเพิ่ม อยากได้ยินอยู่แบบนั้นราวกับมันเป็นเสียงดนตรีบรรเลงที่อยา
หลังส่งมารดาขึ้นรถกลับบ้านเรียบร้อยแล้ว นายแพทย์หนุ่มก็เดินเข้าครัวเพื่ออุ่นซุปเยื่อไผ่กระดูกอ่อน เดือดพลุ่งทั่วหม้อเขาก็ยกลงตักใส่ถ้วยกระเบื้อง พยายามฝืนกลืนให้ตัวมีแรง ในใจคิดไปว่าฝีมือมารดาคงอร่อยมากหากได้กินในช่วงเวลาปกติ ทว่าตอนนี้ปากของเขาเริ่มขมปร่าไม่รู้รสชาติเสียแล้ว กลิ่นที่ควรหอมฟุ้งจากน้ำต้มซุปกระดูกหมูก็ไม่พาเข้าสู่โสตประสาทใดๆเมื่อท้องอุ่นขึ้น คนใกล้ป่วยก็พาตัวเองไปยังห้องนอนกว้างข้าวหวานมักหาเวลามานอนค้างด้วยที่นี่เป็นบางครั้ง แต่หลังจากค่ำคืนที่หญิงสาวกลับไป เขาจะยิ่งทุรนทุรายด้วยความคิดถึงกว่าเดิมเมื่อต้องอยู่เพียงลำพัง เฉกเช่นคืนนี้ที่หลานสาวเจ้าสัวต้องควงปู่เพชรไปงานเลี้ยงที่สมาคม ส่วนเขาเร่งมือเคลียร์งานจึงไปกับเธอไม่ได้ ช่วงเวลาของการได้พบหน้าในตอนกลางวันมันไม่เพียงพอ ทั้งที่รู้สึกอ่อนเพลียขนาดนี้ แต่กันต์ธีก็ยังหลับไม่ลง‘นอนหรือยังคะ’ ข้อความที่เด้งขึ้นจากแอปพลิเคชันสนทนา ทำให้คนที่กำลังน้อยอกน้อยใจเปิดปากยกยิ้ม เขารีบพิมพ์กลับไปทันทีแบบไม่เล่นตัว‘ยังไม่นอน คิดถึงข้าวหวานจัง’ครู่ต่อมาเสียงโทรศัพท์ก็แผดร้องขึ้น ชายหนุ่มที่นอนเหยียดยาวอยู่บนเตียงยกขึ้นปัดรับด้







