LOGINแค่รองเท้าของคนที่ก้าวลงมาก็สะดุดตาเขาอย่างจังแล้ว ดวงตาสีนิลค่อนไปทางดุตวัดมองไล่ตั้งแต่รองเท้าส้นสูงลิ่วสีแดงสดขึ้นไปตามลำขาเสลาที่หลายคนเรียกว่าสีน้ำผึ้งนวลเนียน จนถึงชายกระโปรงยาวขึ้นเหนือเข่าเป็นคืบอวดท่อนขากลมกลึงน่ามอง จนลืมสถานะตัวเองไปเป็นการชั่วคราว นัยน์ตาเข้มเป็นประกายวามวาวขึ้นเล็กน้อย
‘ไม่ใช่ไม่รักษามารยาทนะ แต่มีของงามๆ ให้มอง ใครไม่มองก็โง่นะสิ’
แต่งตัวอย่างนี้ก็ต้องทำใจ พวกผู้ชายหน้าหม้อ ชอบนักละที่จะสอดส่ายสายตาซอกแซกมองราวกับค้นหาความลับ คิดเสียว่า ทำบุญทำทานให้กับพวกตายอดตายอยากไม่เคยเห็นของดี อยากมองก็มองไป ของของเธอยังไงก็ยังอยู่กับเธอ ไม่มีใครเอาไปได้
ทว่าวันนี้...มันก็เดิมๆ ถูกมองตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า แต่ทำไมถึงได้ระงับอารมณ์เอาไว้ไม่ได้ก็ไม่รู้ หรือเป็นเพราะปวดศีรษะข้างเดียวผนวกเข้ากับถูกผู้ชายอีกคนก่อกวนอารมณ์มาก่อน ทำให้เพลิงโทสะคุกรุ่นอยู่แล้วถูกเติมเชื้อเพลิงซ้ำจนไฟลุกพรึบทันควัน
ฟันซี่เล็กขบกัดจนแก้มนวลนุ่มขึ้นสัน ริ้วลมร้อนผ่าวไหลพล่านไปตามกระแสเลือดไปรวมตัวกันที่ดวงหน้าเรียวรูปไข่ จนเธอคิดว่าดวงหน้าขาวซีดแดงยิ่งกว่าผลขี้ก่าสุกแล้ว ดวงตาใสเป็นประกายเจิดจรัสเป็นประกายแข็งกร้าว ไม่คิดว่าคนที่ดูดีตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าจะนิสัยแย่ขนาดนี้ มองผู้หญิงตาลุกวาวอย่างไม่ให้เกียรติกันสักนิด
กลีบปากอิ่มนุ่มเบะออกอย่างดูแคลน หน้าตาหรือก็ดี...แต่นิสัยแย่ๆ มากๆ เลย หญิงสาวกำหมัดแน่นจนปลายเล็บทิ่มตำไปบนฝ่ามือนุ่ม อยากต่อยตานั้นให้เบ้าเขียวเลยเชียว ทว่าพอมองไปแล้ว...ศีรษะทุยสะบัดส่ายแรงๆ อย่างหนึ่งหุ่นคู่กรณีของเธอหุ่นสูงล่ำยิ่งกว่าหมีควาย สัดส่วนที่ต่างไม่ได้ทำให้เธอหวั่นไหวขลาดกลัวเลย ทว่าสภาพร่างกายที่ไม่พร้อมชนกับใครต่างหากล่ะ ทำให้จำยอมถอยอย่างฮึดฮัดขัดใจ ด้วยไม่อยากถูกขย้ำจนจมเขี้ยวในตอนนี้
“แทะโลมขาอ่อนฉันเสร็จแล้วใช่ไหม จะได้ไปเสียที”
เมื่อทนไม่ไหวสายน้ำผึ้งจึงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงกระแทกกระทั้น เธอไม่ใช่คนเรียบร้อยอ่อนหวาน แต่เธอสวยเลิศและเชิดฉบับนางมาร...ร้ายในสายตาของหลายคน อะไรไม่ถูกไม่ต้องไม่ควร เธอเอ่ยทักด่าแกมบ่นไม่ไว้หน้าหรอกนะ ต่อให้หุ่นล่ำจนน่าซุกไซ้ซบอิง...หน้าตาหล่อเข้มมาดแมนควงเป็นแฟนพาไปวัดได้สายๆ ไม่อายใครอย่างอีตานี่ก็ตามทีเถอะ
“ก็คุณเล่นนุ่งสั้นจุ๊ดจู๋” ผุดรอยยิ้มตรงมุมปากเล็กน้อย ตวัดสายตามองลำขาเสลากลมกลึงอีกครั้ง “ให้คนเขามองไม่ใช่หรือไง ถ้าผมไม่มอง เดี๋ยวคุณก็ว่าของดีให้มอง เสือกตาเหล่ ตาเอียงโง่บรรลัยน่ะสิ”
ต้องยอมรับว่าเรือนร่างและลำขาเสลากลมกลึงราวกับท่อนลำเทียนของเธอเหมาะสมกับการแต่งกายอย่างนี้ด้วยแหละ แทนที่จะเป็นขาอ้วนทู่ราวกับท่อนซุง กลับเรียวยาวนวลเนียนจนอยากรู้นักว่าถ้าหาก...เฮ้ย!! เขาคิดอย่างนี้กับผู้หญิงที่เพิ่งเจอหน้าครั้งแรกได้ยังไงกัน บ้าแล้ว ศีรษะทุยสะบัดส่ายแรงๆ ไล่ความคิดบ้าๆ ที่ผุดขึ้นในสมองออกไปอย่างเร็ว
“ไอ้...บ้าน่ะสิ! ความสามารถอย่างฉัน ไม่จำเป็นต้องใช้รูปร่างล่อเสือล่อตะเข้หรอกย่ะ” เถียงกลับอย่างไม่ยอมรับความจริง ด้วยบ่อยครั้งการทำงานก็ต้องมีอ่อยยั่วยวนกันบ้าง แต่ก็พอหอมปากหอมคอเท่านั้นเอง ด้วยเธอไม่เอาศักดิ์ศรีลูกผู้หญิงมาแลกกับลูกค้าบางคนคิดว่าเธอไม่ได้มีหน้าที่เพียงแค่ประชาสัมพันธ์ ติดต่อตามประสานงาน ทำให้เขาเหล่านั้นได้รับบริการอันดีและพึงพอใจสูงสุด จนบางคนถือโอกาสนี้แทะโลมด้วยปากเสียๆ ที่สมควรเอาหนอนยัดให้กินแทนข้าว จิ้มไอ้ตาที่ชอบแทะโลมไปทั่ว หักมือที่ไวยิ่งปูไต่โน่นแตะนี่ ขอแค่ได้ส่วนใดของกายนุ่มนิ่มเพียงเล็กน้อยก็ยังเอา
เมื่ออีกฝ่ายมองได้เธอก็มองได้เช่นกัน นัยน์ตากลมใสราวลูกแก้วกวาดไล่จากปลายเท้าขึ้นไป “อืม...” ทำเสียงเข้มในลำคอ อย่างยั่วยุกวนอารมณ์ “ปากไม่แตก หัวไม่ปูด เลือดไม่ไหล ตาไม่ถลนออกมาให้อีกาบินลงมาจิกเล่น ไม่เห็นเป็นอะไรเลยนี่ งั้นฉันไปได้แล้วใช่ไหม” เอ่ยถามพร้อมตวัดหน้าเชิดขึ้นและหันหลังก้าวเดินฉับๆ
“อ้าว...จะไปไหนละคุณ ยังไม่ได้คุยกันเลยนะ ชนแล้วหนีหรือไง คนอะไรแต่งตัวก็ดี หน้าตาก็สวย แต่ไม่มีความรับผิดชอบเลยนี่น่า” เอ่ยเสียงเข้มประชดประชันปนถากถาง
เขาไม่ได้เจ็บอะไรหรอก แค่อยากเตือนเท่านั้นเอง ขับรถไม่ควรประมาท ควรมองทางไม่ใช่มองนั่นมองนี่ จนทำให้คนอื่นเขาเดือดร้อน นี่ดีนะที่เขาหลบทัน ไม่เช่นนั้นก็ต้องพากันไปโรงพยาบาล เสียค่ายาค่าหมอและเสียเวลาอีก ส่วนแม่เจ้าประคุณก็ต้องเสียทั้งเวลา เสียเงินทั้งค่ารักษาเขาและค่าซ่อมรถอีก เหตุแค่นิดเดียวแต่ผลลัพธ์ที่ตามมาไม่ได้นิดเลย เผลอๆ ถ้าดวงซวยก็จะกลายเป็นฆ่าคนโดยประมาทอีก
สายน้ำผึ้งหยุดกึก ตวัดหน้าบึ้งตึงแดงคล้ำอย่างระงับอารมณ์โกรธเอาไว้แทบไม่ไหว หันมามองคนปากไม่มีหูรูด
“ไม่ได้คิดหนี แต่นึกว่าคุณไม่เอาความ เพราะมัวแต่มองขาอ่อนฉันจนน้ำลายไหลย้อย ยกมือซับไม่ทัน” โต้กลับทันควัน ยกสองมือสอดไขว้ระหว่างอก ยื่นเท้าสอดไขว้มาด้านหน้าพร้อมกระดิกปลายเท้าเล็กน้อย เสียดายไม่มีหมากฝรั่งในปากจะได้เคี้ยวฉับๆ อย่างที่เคยทำเมื่อไม่พอใจใครแล้วต้องการก่อกวนอารมณ์
“มองขาอ่อนกับเอาความ คนละเรื่องกันเลยนะ คุณทำผิดแล้วก็ควรรับผิด ไม่ใช่เถียงเอาชนะข้างๆ คูๆ อย่างนี้”
“แล้วไง ฉันผิด...ฉันยอมรับ คุณจะเอายังไงว่ามา” เพราะสายตาเหลือบไปเห็นของบางอย่างในมือชายหนุ่ม กลีบปากอิ่มเคลือบด้วยลิปสติกสีสดเบะออกเล็กน้อยอย่างหยามหยัน “ว่าแค่คนอื่น ตัวเองละดีเสียเมื่อไหร่ ก็ผิดเหมือนกันนั่นแหละ” โต้กลับอย่างไม่ยอมให้อีกฝ่ายโยนข้อหาใส่แต่ฝ่ายเดียว
“ฉันผิดตรงไหน” มองจากหน้าตาแล้วอีกฝ่ายเป็นอายุคงไม่เกินยี่สิบห้าปี อย่างนี้ก็เท่ากับเป็นน้องเขาได้ ถ้ารู้จักมักจี่สักหน่อย จะพาเข้าห้องเรียนให้ครูอบรมมารยาทเสียใหม่ เป็นเด็กเป็นเล็กปากคอเราะรายเถียงคำไม่ตกฟากเอาเสียเลย
“ถามจริง คุณแน่ใจได้ยังไงว่าฉันจะตกลง แล้วเกิดไม่...แม่คุณไม่หน้าแตกหรือไง” แต่แม่เธอนะหรือที่จะปฏิเสธ มีแต่จะรีบจับเธอใส่พานยกให้แม่ภาสวรโดยเร็วนะสิ ก็อยากจะให้เธอแต่งงานมีสามีเป็นตัวเป็นจนถึงกับเคยเปรยให้เธอได้ยินอยู่ว่า ถ้ามีใครสักคนกล้าหาญมาขอเธอไปเป็นศรีภรรยาละก็...จะยกให้พร้อมกับทองสักสองสามบาท ไหนจะที่ทางอีกล่ะภาสวรส่ายศีรษะ เขามั่นใจเลว่าพ่อกับแม่จะทำสำเร็จเช่นตัวเขาเองที่ต้องสำเร็จด้วยเช่นกัน“ไม่เลย เพราะผึ้งไม่มีทางหนีมือฉันพ้น ถ้า...ป่อง” ชายหนุ่มยิ้มนัยน์ตาวาวระยับขณะสองมือวาดท้องโตขึ้นพร้อมใบหน้ารอยยิ้มละมุนละไม นัยน์ตาเข้มดุวามวาวเป็นประกายแฝงความเจ้าเล่ห์เอาไว้เต็มพิกัด ที่คนเห็นถึงกับหนาวจับขั้วหัวใจ “ผึ้งจะยอมอาย ไม่แต่งงานกับฉันได้หรือ” “ป่องเองสิยะ ไม่ย่ะ ฉันไม่ป่อง” “มีสิทธิ์เลือกหรือจ๊ะผึ้งจ๋า...ฉันปล่อยเชื้อไว้เต็มที่ทุกครั้งที่เราปั่มปั๊มกัน ใครจะไปรู้ ตอนนี้ผึ้งอาจมีผึ้งตัวเล็กๆ ซุกอยู่ในท้องแล้วก็ได้ แต่ถ้าผึ้งยังไม่มั่นใจ เอาเป็นว่าเดี๋ยวฉันซ้ำให้นะจ๊ะเมียจ๋า” ภาสวรช้อนร่างนุ่มนิ่มขึ้นไปวางบนเตียงนอนพร้อมปลดเปลื้องเสื้อผ้าจากสองกายหลุดออกไปอย่างเร็วแทบเป
“ความจริงผึ้งควรดีใจนะที่เกิดเหตุการณ์นั้น เพราะทำให้ฉันมั่นใจในความรู้สึกของตัวเอง” ไม่เข้าใจ ศีรษะทุยเอียงเล็กน้อย ไอ้ที่เขาพูดมาหมายความว่ายังไงภาสวรยกมือขึ้นลูบท้ายทอยอย่างเขินๆ “ฉันแค่อยากมั่นใจ สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างเรา ไม่ใช่แค่ความผูกพันทางกาย แต่เป็นสายใยเชื่อมใจสองดวง เชื่อมคนสองคนให้ร่วมจับมือฝ่าฟันปัญหาและอุปสรรค เติมเต็มความสุขพร้อมสร้างสุขด้วยกันตลอดจวบจนแก่เฒ่า” สายน้ำผึ้งไม่รู้เลยว่าตอนนี้หัวใจของเธอเริ่มละลายจากการกระทำและคำพูดที่จริงใจและเปี่ยมด้วยรักที่หัวใจรับรู้“ฉันขอโทษที่ฟังความเพียงข้างเดียว แล้วปรักปรำและทำร้ายเธออย่างไม่น่าอภัย ฉันรู้ว่าทำใจลืมยากกับการถูกข่มเหงร่างกายโดยไม่ยินยอม ฉันไม่เถียงที่ส่วนหนึ่งคืออยากลบล้างความรู้สึกผิดที่เกาะกุมใจ แต่ที่มากกว่านั้นคืออยากเติมความรู้สึกผูกพันและรักใคร่ระหว่างกัน พร้อมอยู่ดูแลกันด้วยรักไปตลอดตราบจนชั่วชีวิต” ภาสวรดันร่างเพรียวพาลงไปยืนบนพื้น ขณะที่เขาทรุดกายคุกเข่า “ทำอะไรน่ะคุณภาส” พยายามดึงเอาร่างใหญ่ให้ลุกขึ้น แต่กลับสู้แรงเขาไม่ได้และยังถูกจับมือเอาไว้“ก่อนที่ฉันจะดูแลเธอไปตลอดชีวิตได้ก็ต้อง... บอกรักและขอแ
“บางครั้งคนเราก็ทำอะไรที่ไม่ชอบลงไปจากความเข้าใจผิดของตัวเอง ฉันเป็นหนึ่งในนั้น ที่ยังดื้อดึงดันลุยไปข้างหน้าอย่างไม่สนใจสิ่งใด” ขนาดรู้ว่าไม่ใช่ เขาก็ยังไม่ยอมหยุด...“คุณจะพูดยังไงก็ได้ เพราะคุณเป็นฝ่ายได้เปรียบ” ให้เขาพูดดีและจริงใจแค่ไหน ทว่าความเลวร้ายที่เกิดขึ้นใช่ว่าจะลบเลือนได้เพียงแค่คำพูดไม่กี่คำ เพราะทุกการกระทำของเขา คือลิ่มเหล็กตอกย้ำความเจ็บช้ำและปวดร้าวฝังตรึงอยู่ในใจมิรู้คลาย “ปล่อยฉันเถอะคุณภาส ถ้าคุณรักฉันอย่างที่พูด ช่วยปล่อยฉันไปเถอะ ปล่อยให้ฉันไปมีชีวิตของฉัน” สายน้ำผึ้งอ้อนวอนเสียงสั่นพร่าและแหบเครือ“ไม่!!” ภาสวรผวากอดสายน้ำผึ้งเต็มรัก แค่เธอจากมาไม่กี่วันเขารู้สึกคล้ายรอบกายว่างเปล่า มองไปทางไหนก็ล้วนแล้วแต่มืดมนจนมองแทบไม่เห็นทาง “ไม่! ไม่มีวันที่ฉันจะปล่อยเธอไป” เขารัดร่างนุ่มนิ่มแนบอก “แม้ต้องบังคับให้เธออยู่ด้วย...ฉันก็จะทำ!” อยากผลักไส แต่เรี่ยวแรงกลับแห้งเหือดหายไปไหนหมดก็ไม่รู้ เธอจึงได้แต่อยู่ในอ้อมกอดที่ช่วยไล่ความหนาวเหน็บออกไปจนหมดสิ้น แต่สายน้ำผึ้งก็ยังพยายามเรียกเอาคำพูดและการกระทำของภาสวรที่ทำให้เธอกลายเป็นผู้หญิงไร้ค่า ไร้ศักดิ์ศรีขึ้นมากลบ “
ภาสวรคลี่ยิ้มปากกว้าง “คุณเลยหวังใช้มือผมจัดการสั่งสอนสายน้ำผึ้งว่างั้นเถอะ” เจสันหัวเราะกลั้วคอ “ผมเอาคืนเล็กน้อย แต่คุณได้ประโยชน์เต็มๆ แล้วอย่างนี้จะตกลงรับข้อเสนอผมไหมล่ะ” ถ้าเขาไม่รับก็ต้องใช้เวลาควานหาตัวสายน้ำผึ้งที่ยังทำตัวดำดินมุดอยู่ในรูอีกนาน ในเมื่อมีคนพาตัวเธอมาเสิร์ฟให้ถึงมือ มีหรือจะไม่เอา“แล้วคุณมีแผนการยังไงบ้าง” ภาสวรเอ่ยถามและรับฟังด้วยใบหน้ายิ้มระรื่น แม้ต้องอดทนที่ต้องมองสายน้ำผึ้งอยู่ไกลๆ แต่เพื่อวันแห่งความสุขเขาจำต้องยอมอดกลั้นที่เธอรู้สึกคล้ายถูกมองและถูกตามเมื่อสองสามวันก่อน...ก็เป็นอีตาหมีควายนี่น่ะสินะ แต่แปลกในเมื่อเขาเจอเธอแล้วทำไมถึงได้ไม่จับตัวไว้ตั้งแต่วันนั้นละ เชื่อได้หรือว่าเขาปล่อยเธอให้ลอยนวลโดยไม่ลากเข้าห้องแล้วขย้ำขยี้ให้แหลกละเอียดยิ่งกว่าแก้วที่ถูกตกลงบนพื้นแล้วถูกรถทับซ้ำอีกครั้ง ภาสวรยิ้ม “ถูกแล้วผึ้ง ฉันตามติดแต่ยอมอดทนตามที่เจสันแนะนำ เพราะกลัวเธอหนีไปอีกครั้งจนหาไม่เจอ รู้ไหมฉัน...หงุดหงิดแทบเป็นบ้าที่ต้องทำอย่างนั้น” เขาหงุดหงิดแทบเป็นบ้าเลยจริงๆ แต่ช่วงเวลาที่ห่างหายไม่ได้อยู่ใกล้กันก็มีส่วนดีด้วยเหมือนกัน เพราะทำให้เขาล่วงรู้ความ
เธอพกความช้ำชอกรวดร้าวกับขาดรอนและน้ำตากลับบ้าน ที่เพียงย่างเท้าเหยียบลงไปบนพื้น แข้งขาก็อ่อนแรง แต่จำต้องกัดฟันพาเรือนกายอ่อนระโหยโรยแรงก้าวเดินเข้าไปภายใน เพื่อเก็บเสื้อผ้าและข้าวของที่จำเป็น รีบเดินทางออกจากบ้าน หาเช่าที่พักใช้เป็นที่หลบภัยชั่วคราว ก่อนภาสวรรู้ตัวและตามล่าเอาตัวกลับไปทรมานให้ตกนรกทั้งเป็นจนไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด หลบหนีรอดอุ้งมือมาได้ตั้งหลายวัน จนตอนนี้เคลียร์งานเสร็จเรียบร้อยและจะเดินทางกลับบ้านก่อนต่อด้วยเดินทางไปหางานทำยังดินแดนที่ได้ขึ้นชื่อว่าไข่มุกแห่งอันดามัน ซึ่งเธอได้โทรติดต่อสอบถามบ้างแล้ว แต่ใครจะคาดคิดเล่าภาสวรดักรอเหมือนกับรู้ล่วงหน้าอย่างนั้นแหละ แม้หวาดหวั่นกริ่งเกรงจากรัศมีสายตาของคนตัวใหญ่ จนใบหน้าขาวนวลผุดผ่องค่อนไปทางซีดเผือด ทว่าสายน้ำผึ้งก็ยังเชิดขึ้นสูง ไม่ยอมมองพ่อหมีควายตัวโคร่งที่ยืนสอดมือเข้าในกระเป๋ากางเกง ใบหน้าเข้มกรุ้มกริ่ม สายตาคู่นั้นฉายแวววามวาวที่เธอคุ้นเคย และรีบสาวเท้าเป็นวิ่งเดินเลี่ยงไปที่ลิฟต์ซึ่งเปิดพอ“อะไรกันสายน้ำผึ้ง เจอหน้าผัวเก่าทั้งที นอกจากไม่ถามไถ่ไม่เจอกันหลายวัน คิดถึงกันบ้างไหม แล้วเป็นไงบ้างสบายดีหรือเปล่า ยังคิดห
“ถ้าพี่สรไม่รังเกียจ...หนูเอมจะยอมปวารณาตัวเป็นทาส...รัก” แม้เป็นเสียงกระซิบ แต่ก็ดังเข้าไปถึงหัวใจเจสันจนเขาต้องจดจำคำนี้ไม่มีวันลืม “ทาสเสน่หา...ทาสรักของพี่สรตลอดไปค่ะ” “ถ้าอย่างนั้นเราต้องรีบบอกแม่หนูเอม แล้วไปจดทะเบียนกันนะ” เขาอยากมั่นใจ แค่สายใจสายสัมพันธ์สวาทผูกรัดเธอไว้ไม่พอ ยังต้องใช้ฐานะทางกฎหมายและสังคมมัดเธอไว้อีกชั้น ผู้หญิงดีๆ มีความอดทน ทำให้เขารู้สึกประหนึ่งได้พบลาภก้อนใหญ่ มีค่าดังราวกับเพชรในโคลนตม อย่างนี้มีหรือที่เขาจะปล่อยทิ้งไปได้นะ เป็นอย่างนั้นนะ...โง่บรมแล้วล่ะ “แล้วพี่สรจะบอกรักหนูเอมทุกๆ วันใช่ไหมคะ” ก็แหม...คำรักหวานๆ เธออยากฟังซ้ำหลายๆ ครั้งนี่น่า“ไม่ล่ะ คำนี้ถ้าพูดทุกวัน เดี๋ยวจะไม่มีความหมาย คล้ายไม่จริงใจมากกว่า ไว้ใช้ในโอกาสสำคัญๆ ดีกว่านะ แต่ไม่ต้องห่วงนะ” เขารีบบอกดักคอไว้ก่อน เพราะไม่อยากเห็นหน้าเศร้าๆ จากคนตัวเล็ก “ความรักไม่จำเป็นต้องเอ่ยพูด แต่แสดงออกทางความรู้สึก...ที่หนูเอมลืมไปเลย ฉันเอ่ยบอกรักครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่” “ค่ะ...หนูเอมจะรอดู” เฌอเอมทาบมือบนท่อนแขนกำยำ เอนกายอิงอกกว้าง อบอุ่นวาบไปทั้งร่างกายและหัวใจ หลังจากบอกมารดาเป็นที่เรียบร้







