Share

บทที่ 4 ตรวจสอบบัญชี

last update Last Updated: 2025-04-05 19:55:05

บทที่ 4 ตรวจสอบบัญชี

ยามเช้าของวันต่อมาฟางเหลียนออกจากจวนไปร่วมประชุมเช้าที่วังหลวง หลังจากเสร็จสิ้นจึงกลับมาที่จวน ก็พบว่ายามนี้บ่าวไพร่กำลังวุ่นวายอยู่ในจวน เดินขวักไขว่กันไปมา เมื่อมองไปก็เห็นฟางเมี่ยวบุตรสาวของเขาที่กำลังยืนชี้นิ้วสั่งงานเหล่าบ่าวไพร่ด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม

เขาขยี้ตาตนคราหนึ่ง นี่บุตรสาวเขาเสียใจที่มารดานางตายจนสติฟั่นเฟือนไปแล้ว?

ยามนี้มิใช่ว่านางต้องออกนอกจวนไปผลาญเงินเขาเล่นหรอกหรือ?

เอาเถิด เป็นเช่นนี้ก็ดีมิใช่หรือ?

เมื่อคิดได้เช่นนั้น เขาจึงเดินตรงไปหาบุตรสาวตนทันที

"เมี่ยวเอ๋อร์"

"ท่านพ่อ ท่านกลับมาแล้วหรือเจ้าคะ ลู่ชิง ยกน้ำชามาให้ท่านพ่อดื่มดับกระหาย"

บริการน้ำชาด้วย!!!

เสนาบดีฟางเหลียนคล้ายไม่คุ้นชินกับท่าทางเอาอกเอาใจเช่นนี้ของฟางเมี่ยวเอาเสียเลย เขารับถ้วยชามาดื่มจนหมดจอก ก่อนจะเอ่ย

"เมี่ยวเอ๋อร์ เจ้ากำลังทำสิ่งใดอยู่หรือ?"

"อ้อ ลูกกำลังจัดการจวนใหม่เจ้าค่ะ อีกไม่นานพี่ใหญ่ก็จะกลับมาที่จวนแล้ว นี่พวกเจ้า!! ตัดต้นสาลี่ต้นนั้นออกด้วย"

เสนาบดีฟางเหลียนที่ได้ยินเช่นนั้นจึงรีบเอ่ยทันที

"ไม่ได้นะ สาลี่ต้นนี้แม่เล็กซางของเจ้าชอบมาก"

ฟางเมี่ยวที่ได้ยินเช่นนั้นจึงหันไปยิ้มตาหยี

"แต่ลูกไม่ชอบนี่เจ้าคะ หรือว่าท่านแม่ตายไปแล้ว ท่านพ่อจึงคิดจะทำให้ลูกลำบากใจ"

"ไม่ใช่!! เมี่ยวเอ๋อร์ พ่อไม่ได้หมายความเช่นนั้น แต่ไหนแต่ไร มีหรือที่พ่อเคยขัดใจเจ้าน่ะ"

"เช่นนั้นก็ตัดทิ้งสิเจ้าคะ ตัดทุกต้นที่แม่เล็กซางชอบ อ้อ ตัดทุกต้นที่เหล่าอนุของท่านพ่อชอบไปด้วยเลย เหลือเพียงต้นไม้ที่ท่านแม่ชอบก็พอ พวกเจ้าจงฟัง ผู้ใดตัดไวถูกใจข้า ข้าจ่ายเลยคนละห้าสิบอีแปะ"

เหล่าบ่าวไพร่ที่ได้ยินเช่นนี้ต่างพากันสูดปากทันที นี่มันเงินมิใช่น้อยเลย

เสนาบดีฟางเหลียนลอบถลึงตาใส่บ่าวไพร่ในจวนทันที แต่ทว่าเมื่อเห็นว่าบุตรสาวตนมองอยู่จึงเปลี่ยนใบหน้าเป็นยิ้มแย้มเห็นด้วยในทันใด

จะให้ทำเช่นไรเล่า ก็ฟางเมี่ยวเปรียบเสมือนดวงใจของเขานี่นา

หลังจากนั้นไม่ถึงครึ่งชั่วยาม ต้นไม้ในจวนที่เหล่าอนุชื่นชอบก็ถูกตัดทิ้งจนหมด เสนาบดีฟางเหลียนทำได้เพียงยิ้มแห้ง ไม่กล้าเอ่ยสิ่งใดให้มากความ เขารู้ดีว่าบุตรสาวตนยามที่นางโมโหอาละวาดเป็นเช่นไร!!!

เมื่อจัดการทุกอย่างแล้ว ฟางเมี่ยวจึงเข้ามานั่งสนทนากับบิดาตนในเรือนใหญ่ ไม่นานนักอนุซางก็เข้ามาพร้อมกับหีบใหญ่ใบหนึ่ง เสนาบดีฟางเหลียนที่เห็นเช่นนั้นจึงหันมาเอ่ยถามฟางเมี่ยวทันที

"เมี่ยวเอ๋อร์ เจ้าให้แม่เล็กซางนำหีบนี่มาทำไมกัน? พ่อจำได้ว่ามันคือหีบเก็บสมุดบัญชีของกิจการในจวนเราไม่ใช่หรือ"

"อ้อ ลูกลืมบอกท่านพ่อไปเจ้าค่ะ นับแต่วันนี้ไปลูกจะเรียนรู้งานกิจการของท่านแม่ทั้งหมด ท่านแม่เป็นบุตรสาวจวนคหบดี ลูกเองก็เป็นบุตรสาวของท่านแม่ ย่อมต้องสานต่อกิจการทั้งหมดต่อจากท่านแม่"

ผีเข้าบุตรสาวเขาหรือไร อยู่ดีๆ จะลุกมาสานต่อกิจการเช่นนี้!!

"เอ่อ เรื่องนี้แม่เล็กเจ้าดูแลอยู่ เจ้ายังไม่รู้ความ..."

"แล้วอย่างไรเจ้าคะ แม่เล็กก็เห็นชอบนี่ ใช่หรือไม่แม่เล็กซาง?"

อนุซางหมดคำจะกล่าว นางจะตอบว่าไม่เห็นชอบได้หรือ!!!

"เอ่อ ท่านพี่ เรื่องนี้ข้าเต็มใจเจ้าค่ะ"

ฟางเมี่ยวที่ได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มตาหยี

"เห็นหรือไม่เจ้าคะท่านพ่อ แม่เล็กน่ะซื่อสัตย์ ไม่โลภหวังผลจากลูก วันนี้ลูกจึงให้นางมาช่วยสอนลูกที่นี่ ต่อหน้าท่านพ่อ แม่เล็กซาง ท่านว่าดีหรือไม่?"

"ดีเจ้าค่ะ"

ฟางเมี่ยวพยักหน้าอย่างอารมณ์ดี

หึ!! คิดว่านางไม่รู้หรือ หากสอนกันตามลำพังอนุซางย่อมสอนนางมั่วๆ เป็นแน่

เรื่องอันใดจะยอมกัน!!!

"เช่นนั้นก็ส่งบัญชีทั้งหมดมาให้ข้าดู"

อนุซางแขนขาอ่อนแรงแล้ว นางไม่กล้ามีปากมีเสียงทำได้เพียงส่งสมุดบัญชีทั้งหมดให้แก่ฟางเมี่ยว

ฟางเมี่ยวเปิดดูทีละหน้า ภาพที่ท่านแม่เฝ้าสั่งสอนนางพลันปรากฏขึ้น นางจำได้ทั้งหมด แม้จะดูเหมือนไม่ใส่ใจ แต่ทว่านางก็จำได้ว่าสินเดิมของท่านแม่มีเท่าใด

เหตุใดนางจึงจำได้น่ะหรือ

เพราะชาติก่อนนางเอาแต่ลักขโมยเงินท่านแม่ไปซื้อของให้เย่จิ้นหยางน่ะสิ หากขโมยจากห้องนอนไม่ได้ นางก็จะไปไถเงินเอากับผู้ดูแลร้าน เปิดบัญชีดูว่าท่านแม่มีของมีค่าใดที่นางจะเอาไปประจบเอาใจเย่จิ้นหยางได้บ้าง

เฮ้อ ข้านี้สารเลวใช้ได้เลยจริงๆ

ฟางเมี่ยวเปิดพลิกดูสมุดบัญชีทีละหน้าอย่างไม่รีบไม่ร้อน ก่อนจะต้องขมวดคิ้วมุ่น

"เอ? คล้ายว่าสมุดบัญชีร้านผ้าไหมนี่จะไม่ถูกต้อง ก่อนท่านแม่จะจากไปข้าจำได้ว่าเพิ่งรับผ้าไหมเจียงหนานมาหลายพับ เหตุใดจึงเหลือไม่ถึงสิบพับเล่า แม่เล็กให้คนในร้านขายออกไปแล้วหรือ แล้วเหตุใดจึงไม่มีบันทึกรายรับเล่า?"

อนุซางเริ่มหน้าซีดเผือดแล้ว แต่ทว่าฟางเมี่ยวกลับไม่ใส่ใจ นางตรวจดูสมุดบัญชีเล่มต่อไปอย่างตั้งใจ

"โอะ ภัตตาคารที่ท่านแม่เปิดเมื่อสามปีก่อน รับพ่อครัวคนใหม่มาหรือ แซ่ซาง แซ่เดียวกับแม่เล็กเลย ตายจริง ค่าจ้างเดือนละสิบตำลึงเชียวหรือ แพงไปหรือไม่?"

ฟางเมี่ยวทำท่าทีตกใจใหญ่โต พลางยกมือขึ้นปิดปากตนคล้ายคนทำสิ่งใดไม่ถูก เสนาบดีฟางเหลียนที่ได้ยินเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วมุ่น พลางจ้องมองอนุซางคราหนึ่ง

ฟางเมี่ยวยกยิ้มมุมปากก่อนจะเอ่ยต่อ

"โรงน้ำชานี่ สามเดือนก่อนเพิ่งรับชาชั้นดีเข้ามาใหม่ เดิมทีจะต้องทำรายได้ไม่น้อย เหตุใดยอดจึงต่ำลงเล่า ท่านพ่อดูสิเจ้าคะ ร้านค้าอีกสิบกว่าแห่งก็ยอดต่ำลง ไม่มีบันทึกรับทั้งที่มีของเข้าไม่ขาด บันทึกขายออกก็ไม่มี!!!"

อนุซางขาสั่นแล้ว นางไม่คิดว่าฟางเมี่ยวจะรู้ดีเช่นนี้ เมื่ออับจนหนทางนางจึงคิดว่ายอมสารภาพเสียดีกว่า ท่านพี่เมตตารักใคร่นางย่อมต้องไม่เอาผิดนางเป็นแน่

"ฮือ คุณหนู ท่านพี่ ข้าไม่ได้ตั้งใจ ฮึก ระยะนี้ตระกูลซางค่อนข้างลำบาก ข้าจึง เอ่อ แบ่งไปช่วยเหลือ..."

"เหลวไหล!! ข้าอุตส่าห์ไว้ใจเจ้า ให้เจ้าดูแลกิจการแทนอดีตฮูหยิน แต่เจ้ากลับชั่วช้าโลภมากเช่นนี้หรือ!!!"

"ฮือ ท่านพี่!!!"

ฟางเมี่ยวจ้องมองอนุซางด้วยสายตาที่เย็นชา ก่อนจะเอ่ย

"เจ้าสับเปลี่ยนคนของท่านแม่ข้า คิดว่าข้าดูไม่ออกหรือ ข้าจะส่งคนไปตามเรียกคนของท่านแม่ข้ากลับมาให้หมด ข้าจะใช้งานพวกเขา ส่วนคนของเจ้าข้าจะขายทิ้งให้หมด รวมถึงตัวเจ้าด้วย"

"ฮือคุณหนู ท่านพี่ โปรดไว้ชีวิตข้าด้วย!!!"

เสนาบดีฟางเหลียนนั้นเดิมทียังมีใจชอบพอต่ออนุซางอยู่บ้าง ด้วยท่วงท่าที่เผ็ดร้อนของนางทำให้เขานึกเสียดายไม่น้อย

อนุซางที่เห็นเช่นนั้นจึงก้มกายลงต่ำ เผยให้เห็นร่องอกขาวเนียนของตน เสนาบดีฟางแลบลิ้นเลียริมฝีปาก เป็นจังหวะเดียวกับที่ฟางเมี่ยวหันมาเห็นเข้าพอดี

"ท่านพ่อคอแห้งหรือเจ้าคะ?"

"เอ่อ"

"ลู่ชิง ยกน้ำชามาให้ท่านพ่อ ให้ดื่มจนกว่าจะหายคอแห้ง"

เสนาบดีฟางเหลียนยิ้มแห้ง ไม่ไปสนใจอนุซางอีก อย่างไรนางก็ทำผิด หากจะต้องเลือก อย่างไรบุตรสาวของเขาย่อมสำคัญกว่าอยู่ดี

"เมี่ยวเอ๋อร์ อย่างไรก็ต้องเห็นแก่หน้าตระกูลซาง"

ฟางเมี่ยวที่ได้ยินเช่นนั้นจึงหันไปส่งยิ้มเย็นชาให้บิดาตนคราหนึ่ง

"แล้วตระกูลซางเคยเห็นแก่หน้าลูกหน้าท่านแม่ของลูกบ้างหรือไม่เจ้าคะ นางยักยอกสินเดิมของท่านแม่ไปไม่น้อย ใช้ความไว้ใจของท่านแม่มาเอาเปรียบพวกเรา หรือท่านพ่อยังจะเก็บนางไว้ เห็นนางดีกว่าลูก!!!"

“แต่อย่างไรเจ้าก็เคยสนิทสนมกับนางไปมาหาสู่...”

“ท่านพ่อกำลังทำให้ลูกมีโทสะนะเจ้าคะ”

เมื่อเห็นท่าทีที่ราวกับอยากจะอาละวาดฆ่าคนของฟางเมี่ยว เสนาบดีฟางเหลียนจึงจำต้องตัดสินใจ

"ส่งอนุซางกลับจวนตระกูลซาง นับจากนี้อย่าได้เสนอหน้ามายุ่งเกี่ยวกับตระกูลฟางอีก"

"ท่านพี่!!!"

ฟางเมี่ยวรีบยกมือขึ้น ก่อนจะเอ่ย

"ช้าก่อน เมื่อครู่ข้าเห็นแม่เล็กก้มหน้าลง เสื้อผ้าดูสวมใส่ไม่เรียบร้อย คงเตรียมพร้อมที่จะมารับโทษโบยสินะ เด็กๆ ลากนางไปโบยยี่สิบไม้ แล้วค่อยส่งนางกลับจวน"

"เมี่ยวเอ๋อร์ จะเกินไปแล้วนะ!!!"

"เฮ้อ จานชามลายครามที่ท่านพ่อเพิ่งได้มาใหม่ช่างสวยงามยิ่งนัก วันนี้ลูกรู้สึกเบื่อ อีกเดี๋ยวขอเขวี้ยงจานชามเหล่านั้นเล่นระบายอารมณ์ได้หรือไม่เจ้าคะ ข้าอยากรู้ว่ามันจะทนทานหรือว่าสวยงามแต่เปราะบางกันแน่"

ฟางเมี่ยวเอียงคอจ้องมองบิดาตนพร้อมกับยิ้มตาหยี เสนาบดีฟางถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะเอ่ย

"มัวทำสิ่งใดกัน ไม่ได้ยินที่คุณหนูเอ่ยหรือ!!! ลากนางไปโบย!!!"

"ท่านพี่!!!"

เรื่องอันใดเขาจะยอมเสียจานชามลายครามไปกัน ลูกบัดซบ!!!

"ท่านพ่อกำลังก่นด่าลูกในใจอยู่หรือเจ้าคะ?"

"ผู้ใดว่ากัน พ่อกำลังชมว่าเจ้าเก่งขึ้น จัดการทุกอย่างในจวนได้อย่างเรียบร้อย ฮ่าๆ พ่อไม่สบายตัว ขอไปนอนพักก่อนนะ"

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • ข้าจะเกี้ยวท่านมาเป็นสามี   เสิ่นจื่อหลาง1-4

    หลายเดือนต่อมา เจียงซูซูมาส่งใบลาให้เสิ่นจื่อหลาง บอกเพียงว่านางต้องติดตามท่านพ่อท่านแม่ไปจัดการธุระที่บ้านเดิมซึ่งอยู่นอกเมืองหลวงเสิ่นจื่อหลางให้นางลาสามวัน และบอกให้นางรีบกลับระหว่างทางที่มุ่งหน้ากลับบ้านเดิมนั้นไม่มีปัญหา จนกระทั่งยามที่นางและครอบครัวกำลังจะเดินทางกลับ กลับมีโจรบุกเข้ามาปล้นชิงครอบครัวของนาง พวกมันจับตัวพวกนางเอาไว้ เจียงซูซูหวาดกลัวไม่น้อย แต่ก็พยายามคิดในแง่ดีเอาไว้นางไม่รู้ว่าพวกมันจับตัวนางมาไว้ที่ใด ได้ยินเพียงพวกมันบอกว่าจะสังหารท่านพ่อท่านแม่ของนางและส่งนางไปขายที่หอนางโลมเจียงซูซูพลันนึกถึงเสิ่นจื่อหลางขึ้นมา จู่ๆ ขอบตาของนางก็ร้อนผ่าว เมื่อนึกขึ้นมาได้ว่านางกับเขาชาตินี้อาจะไม่ได้เจอนางอีก นางสัญญากับเขาเอาไว้แล้วว่าจะกลับไปอยู่เคียงข้างเขาเขาเป็นถึงฮ่องเต้ผู้สูงส่งแต่นางเป็นเพียงขุนนางหญิงต่ำต้อย กลับอาจหาญที่จะไปหลงรักเขาภายใต้ใบหน้าที่แสนเย็นชาของเขามันซ่อนความอบอุ่นเอาไว้ เขาไม่เคยตำหนินาง ไม่เคยลงโทษนาง อีกทั้งยังไม่ถือตัวกับนาง นางชอบทุกอย่างที่เป็นเขา รักทุกอย่างของเขาจู่ๆ เจียงซูซูที่เข้มแข็ง น้อยครั้งนักที่นางจะร้องไห้ แต่ทว่ายามนี้นางกลับ

  • ข้าจะเกี้ยวท่านมาเป็นสามี   เสิ่นจื่อหลาง 1-3

    วันเวลาเช่นนี้ผ่านไปวันแล้ววันเล่าเดือนแล้วเดือนเล่าจนล่วงมาเป็นปี เขาไม่ทันรู้ตัวว่าเปิดรับนางเข้ามาในใจตั้งแต่ยามใด รู้ตัวอีกคราสายตาของเขาก็เอาแต่มองหานางเสียแล้ว“ถวายพระพรฝ่าบาทเพคะ”เสิ่นจื่อหลางที่กำลังนั่งอ่านตำราพลันเงยหน้าขึ้นไปมองโจวกุ้ยเฟยที่กำลังเดินเข้ามาโจวกุ้ยเฟย นามเดิม โจวเย่หลัน นางเป็นหลานสาวของนายท่านโจว เป็นทายาทที่เกิดจากบุตรชายเพียงคนเดียวของโจวชิงเหยา บุตรชายของนายท่านโจวเขารับนางเข้ามาเป็นสนมได้ร่วมสองปีแล้ว นิสัยของนางค่อนข้างอ่อนหวาน เอาอกเอาใจ และมีเมตตาแต่ทว่าเขารู้ดีว่านี่คือเปลือกนอกที่นางแสดงให้เขาดูเพียงเท่านั้นสตรีวังหลังมีผู้ใดบ้างไม่ฝักใฝ่ในอำนาจ หากไม่สนอำนาจเช่นนั้นจะเข้าวังหลวงมาทำไมกัน ไปบวชชีคงเหมาะเสียกว่า!!“โจวกุ้ยเฟย เจ้ามาหาข้ามีเรื่องใดหรือ?”โจวกุ้ยเฟยฉีกยิ้มอ่อนหวาน ก่อนจะเอ่ย“ทูลฝ่าบาท วันนี้หม่อมฉันคิดค้นสูตรอาหารขึ้นมาใหม่ จึงอยากมาชวนพระองค์ไปลองชิมที่ตำหนักเพคะ”“อืม ไว้มีเวลาข้าจะไป”“ฝ่าบาทเพคะ”เสิ่นจื่อหลางที่ได้ยินว่าโจวกุ้ยเฟยเอาแต่เรียกเขา ก็เงยหน้าไปมองนางด้วยแววตาที่เย็นชาจนนางลนลานหวาดกลัวไม่น้อย“เอ่อ หม่อมฉันขอทูล

  • ข้าจะเกี้ยวท่านมาเป็นสามี   เสิ่นจื่อหลาง 1-2

    วังหลวงท้องพระโรงยามนี้เจียงซูซูอยากจะมุดแผ่นดินหนีหรือไม่ก็แทรกตัวเข้าไปหลบในเสาต้นใดต้นหนึ่งยิ่งนักบุรุษที่นางยืนด่าฉอดๆ เมื่อไม่นานมานี้ แท้จริงเขาคือฮ่องเต้ของต้าอู๋พระนามเสิ่นจื่อหลางเจียงซูซูเบะปากทำท่าคล้ายคนจะร้องไห้ เห็นทีตำแหน่งขุนนางหญิงที่นางใฝ่ฝันคงจะจบเห่แล้ว!!!เสิ่นจื่อหลางปรายตามองเจียงซูซูคราหนึ่ง ก่อนจะหันไปมองสตรีอีกสองนางที่สอบได้ลำดับรองลงไป สตรีที่ได้อันดับสองมาจากจวนตระกูลหาน ได้ยินว่านางเก่งกาจด้านการใช้อาวุธ เขาจึงมอบตำแหน่งองค์รักษ์หญิงให้แก่นาง ส่วนสตรีอีกนางมาจากจวนตระกูลสวี ได้ยินว่านางรอบรู้ อีกทั้งยังช่างสังเกต เขาจึงให้นางไปเรียนรู้การทำงานที่ศาลต้าหลี่ ดูว่านางมีความสามารถเหมาะกับตำแหน่งใดในศาลต้าหลี่แล้วค่อยมอบตำแหน่งนั้นให้นางส่วนผู้ที่สอบได้อันดับหนึ่ง เขาตั้งใจที่จะให้นางทำงานอยู่ข้างกายเขา เขาไปที่ใดนางต้องไปตามคอยเป็นหูเป็นตาแทนเขา สามารถเป็นตัวแทนเขาในการทำงานต่างๆ ได้ สตรีมักจะทำงานรอบคอบและละเอียดมากกว่าบุรุษสตรีน้อยสองนางออกไปแล้ว ยามนี้เหลือเพียงเจียงซูซู เสิ่นจื่อหลางโบกมือให้คนอื่นๆ ออกไป ก่อนจะเดินตรงเข้ามาหานาง เจียงซูซูที่เห็นเช

  • ข้าจะเกี้ยวท่านมาเป็นสามี   ตอนพิเศษ เสิ่นจื่อหลาง 1-1

    (เรื่องราวเกิดขึ้นหลังขึ้นครองราชย์6ปี)“ฝ่าบาท จะออกไปจริงๆ หรือพ่ะย่ะค่ะ”ขันทีคนสนิทเอ่ยถามเสิ่นจื่อหลางอย่างร้อนรน ได้ยินว่าวันนี้ฝ่าบาทจะออกไปชิมอาหารที่ภัตตาคารโหยวเย่ว์อีกแล้ว“ไม่ต้องตามข้า ข้าเพียงไปพบสหายเท่านั้น”เขาเอ่ยเพียงเท่านั้นก่อนจะปลอมตัวเป็นองค์รักษ์เสื้อแพรออกไปที่นอกวังหลวงยามนี้อาอวี้รั้งตำแหน่งผู้บัญชาการองค์รักษ์เสื้อแพร อีกทั้งยังตงฉิน ทำงานอุทิศตนเพื่อบ้านเมือง มันทำให้เขามองเห็นตนเองเมื่อสมัยก่อนปีนี้เขามีอายุยี่สิบเจ็ดปีแล้ว ครองราชย์มาก็หลายปี แต่ทว่ายังคงไม่มีทายาทสืบทอดวันนี้เขามีนัดกับฟางเมี่ยวที่ภัตตาคารโหยวเย่ว์ นางบอกมีสูตรอาหารแปลกใหม่อยากให้เขาได้ลิ้มลองเมื่อมาถึงเขาก็พบกับหลี่เยี่ยนเฉิน น่าแปลกที่ยามนี้เขากับหลี่เยี่ยนเฉินกลายเป้นสหายสนิทกันไปเสียแล้ว“อาจื่อ เจ้าว่างมากหรือ จึงนัดพวกข้ามาพบ”“แน่นอนสิ ข้าไม่มีสิ่งใดทำ”“เหอะ”“เหอะอันใด รีบสั่งอาหารมาสิ แล้วนี่เมี่ยวเมี่ยวเล่า นางไปที่ใด?”“มาถึงก็เรียกหาภรรยาผู้อื่นเช่นนี้ใช้ได้หรือ กลับไปหาสนมเจ้าสิ!!!”“เจ้าหึงหวงหรือ ช่วยไม่ได้ เมี่ยวเมี่ยวสนิทกับข้านี่เจ้าก็รู้”“อย่าคิดว่าข้าไม่กล้าทุบ

  • ข้าจะเกี้ยวท่านมาเป็นสามี   ตอนพิเศษ หลี่เยี่ยนเฉินและฟางเมี่ยว

    เขาจำได้ดีว่าในปีนั้นเป็นช่วงฤดูร้อน ฮ่องเต้เย่หมิงหล่างมีรับสั่งให้เหล่าขุนนางตามออกไปล่าสัตว์อีกครา หลังจากที่เกิดเหตุการณ์น่ากลัวที่เหล่านักฆ่าลอบสังหาร ก็มีการเพิ่มกำลังการคุ้มกันแน่นหนาขึ้น“วันนี้พี่เยี่ยนช่างรูปงามยิ่งนัก”หลี่เยี่ยนเฉินปรายตามองฟางเมี่ยวคราหนึ่ง ก่อนจะเบือนหน้าหนี นางตามมาเกี้ยวพาเขาอีกแล้วฟางเมี่ยวจ้องมองหลี่เยี่ยนเฉินด้วยท่าทีหยอกเย้า ไม่ได้ใส่ใจท่าทีที่เอือมระอาของเขาเลยแม้แต่น้อย“พี่เยี่ยน”“หยุดเรียกข้าสักที”เขารีบควบม้าหนีนางไปทันที ฟางเมี่ยวไม่ยอมลดละรีบควบม้าตามเขาไปอย่างรวดเร็วแต่ทว่าม้าของนางกลับพยศ มันวิ่งเข้าป่าไม่หยุดจนเกือบจะชนเข้ากับต้นไม้ใหญ่ หลี่เยี่ยนเฉินตื่นตระหนกยิ่ง รีบกระโดดเข้ามาคว้าตัวนางลงจากหลังม้า ก่อนที่คนทั้งสองจะกลิ้งตกลงเขาไปด้วยกันฮ่องเต้เย่หมิงหล่างสั่งให้คนออกตามหาพวกเขาทั้งสองคนแต่กลับไม่พบฟางเมี่ยวขยับกายเล็กน้อย นางรู้สึกปวดไปทั้งตัว แต่ว่าเมื่อได้มองเห็นหลี่เยี่ยนเฉินที่นอนสลบอยู่ ก็ตกใจไม่น้อย บนหน้าผากของเขามีเลือดไหลซึมออกมา คาดว่าอาจจะถูกกิ่งไม้แหลมขูดหน้าผาก ฟางเมี่ยวรีบใช้ผ้าสะอาดที่นางนำติดมาด้วยซับเลือดให้เขา

  • ข้าจะเกี้ยวท่านมาเป็นสามี   บทที่ 56 บทสรุป

    รัชศกจื่อหลางปีที่ 1ยามนี้เสิ่นจื่อหลางขึ้นเป็นฮ่องเต้ได้หนึ่งปีแล้ว นับแต่ที่เขาขึ้นครองราชย์นั้นนับว่าเป็นช่วงที่รุ่งเรืองไม่น้อย แคว้นต่างๆ ยอมศิโรราบ แคว้นใดคิดเป็นกบฏจะถูกสังหารอย่างไม่ละเว้น ผู้ทำผิดถูกลงโทษไม่เว้นว่าจะเกิดในตระกูลใด เด็กๆ ที่ยากจนได้มีสถานที่เรียน ซึ่งทางราชสำนักเป็นคนต่อตั้งขึ้นสำหรับครอบครัวที่ยากจนสามปีต่อมาอาอวี้ที่มีอายุจะครบสิบห้าปีแล้วสามารถสอบเป็นจอหงวนได้สำเร็จ หลังจากนั้นอีกหลายปี เพราะความสามารถของเขาที่เก่งกาจทั้งบุ๋นและบู๊ จึงได้รับตำแหน่งผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพร ทำงานรับใช้ฝ่าบาทอย่างใกล้ชิดฟางเจี๋ยพี่ชายของนางได้รับตำแหน่งเสนาบดีกรมกลาโหม ส่วนท่านพ่อนั้นก็ออกมาพักผ่อนและเลี้ยงลูกๆ ของฟางเจี๋ยและหลิวจืออยู่ที่จวนส่วนหลี่เยี่ยนเฉินนั้นยามนี้สงครามสงบ ไม่มีสิ่งใดให้ต้องทำ เขาจึงติดตามภรรยาไปค้าขายต่างแคว้นอย่างมีความสุข ทั้งคู่ยังไม่มีบุตรจนหลี่ฮูหยินร้อนใจ สั่งให้ฟางเมี่ยวห้ามออกจากจวนไปทำงาน อยู่ทำลูกกับหลี่เยี่ยนเฉินทุกวันยามที่มีเวลาว่าง ฟางเมี่ยวมักจะไปที่หลุมศพของจางเสวี่ยฮุ่ย บอกเรื่องราวความเป็นไปในแต่ละช่วงเวลาให้นางฟังฟางเมี่ยวเชื

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status