ภายใต้เก๋งจีนขนาดใหญ่ซึ่งตั้งอยู่บนสระบัวกว้าง มีสองสตรีใบหน้างดงามล้มเมืองนั่งจ้องหน้ากันอยู่ ไม่มีใครเอ่ยสิ่งใดขึ้นมาราวกับทั้งคู่กำลังแข่งกันเงียบ ใครหลบตาก่อนแพ้ ใครเอ่ยสิ่งใดขึ้นมาก่อนก็แพ้เช่นกัน
“เอาเถอะ ข้ายอมแพ้ก่อนก็ได้”
แต่ครู่ต่อมา หลิวหงเถาก็เป็นคนเอ่ยขึ้นมาก่อนพร้อมหลุบตาลงต่ำเอื้อมมือไปหยิบจอกชาที่มีไอสีขาวลอยฟุ้งขึ้นมาเป่าเบา ๆ ดื่มด่ำกับกลิ่นหอมและขนมที่สาวใช้ยกมาให้ตั้งแต่ที่นางมาถึงเรือนของคุณหนูใหญ่ตระกูลจิน
“ทำไมถึงเปลี่ยนใจมาได้ล่ะ เมื่อวานยังให้คนมาปฏิเสธข้าอยู่เลย”
หลิวหงเถารอจนกลืนขนมลงคอหมดแล้วจึงค่อยเอ่ยคำถามที่ให้อีกคนเลือกคำตอบ
“อยากจะฟังเรื่องจริงหรือเรื่องโกหกล่ะ”
จินเซียนเหม่ยมุ่นคิ้วน้อย ๆ ไม่ใช่เพราะว่าคำถามของหลิวหงเถา แต่เป็นเพราะเศษขนมที่ติดอยู่มุมปากของนางต่างหาก เร็วกว่าความคิด มือเรียวเล็กก็เอื้อมไปหยิบเศษขนมออกจากปากให้หลิวหงเถาในทันที
“เศษขนมติดอยู่ตรงริมฝีปากเจ้า เห็นแล้วขัดตาจึงช่วยเอาออกให้”
ที่จริงจินเซียนเหม่ยก็ตกใจในการกระทำของตนเองไม่น้อย แต่ก็ยังแสร้งทำหน้านิ่ง ราวกับว่าสิ่งที่ตนทำไปนั้นไม่ได้มีความหมายอะไรทั้งสิ้น
“อ้อ ขอบใจ ว่าแต่เจ้าส่งเทียบเชิญให้ข้าทำไมหรือ”
เหมือนคำถามปัจจุบันของหลิวหงเถาจะถูกละเลยไป เมื่อจินเซียนเหม่ยเลือกตอบคำถามของนางในก่อนหน้านี้แทน
“ข้าเลือกเรื่องจริง”
หลิวหงเถาย่นจมูกใส่สหาย กะว่าจะไม่พูดเรื่องนี้แล้วแต่สุดท้ายก็วกกลับมาจนได้
“เฮ้อ วันนี้ไม่รู้วันดีอะไร แม่สื่อตบเท้าเข้าจวนข้าไม่ว่างเว้นเลย นี่ถ้าไม่ใช่บอกว่านัดกับเจ้าไว้นะ ท่านแม่ไม่ปล่อยข้าออกมาแน่ ๆ ขอบใจที่ชวนมาก็แล้วกัน”
“แม่สื่อเช่นนั้นหรือ” จินเซียนเหม่ยเลิกคิ้วถามก่อนที่จะหลุดยิ้มเยาะออกมา “ตระกูลใดช่างกล้าส่งมาแย่งคน”
หลิวหงเถาฉงนกับคำว่า ‘แย่งคน’ แต่ก็เลือกปล่อยผ่านแล้วเล่าให้จินเซียนเหม่ยฟังอย่างคร่าว ๆ
“บุตรชายคนเล็กของเจ้ากรมพิธีการ บุตรชายคนรองของแม่ทัพเซียว แล้วอีกสองตระกูลข้าไม่แน่ใจว่ามาจากตระกูลใด แต่ทุกคนที่ว่าล้วนเคยประมูลภาพปักของข้าด้วยทั้งสิ้น นี่ก็แอบคิดนะว่าจริง ๆ แล้วสนใจในภาพปักของข้าจึงประมูล หรือสนใจในตระกูลของข้าจึงอยากสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกันแน่”
จินเซียนเหม่ยยกยิ้มเมื่อรู้ว่าสหายตรงหน้าตนนั้นก็ยังรู้ความ เข้าใจสถานะของตนเองว่าไม่ได้อยู่ในจุดที่คนจะสนใจนางเพราะตัวนาง แต่เป็นการสนใจนางเพราะตระกูลของนางเองต่างหาก
“แต่ข้าชอบภาพปักของเจ้ามาก และนี่คือเหตุผลที่ข้าส่งเทียบเชิญให้เจ้ามาในวันนี้”
หลิวหงเถากลืนน้ำลายลงคออึก เผลอยกนิ้วมือขึ้นมาสำรวจ แม้มันจะไม่มีรอยช้ำ แต่นางก็ยังรู้สึกเจ็บนิ้วมืออยู่ดี
“อย่าบอกนะว่าจะให้ข้าช่วยปักผ้าให้ ไม่เอาแล้วนะมือยังช้ำอยู่เลยดูสิ”
จินเซียนเหม่ยตวัดสายตามามองครู่เดียว “เจ้าก็ช่างซื่อตรง ของแบบนี้คุณหนูที่ไหนเขาจะยอมเจ็บมือปักอยู่ได้ตั้งนานสองนาน ภาพใหญ่ออกปานนั้นใครจะไปปักไหว”
คุณหนูตรงหน้าเจ้านี่แหละ!
“ข้ารู้หรอก ว่าแต่เจ้าจะให้ข้าช่วยปักผ้าให้จริง ๆ หรือ”
จินเซียนเหม่ยพยักหน้าจากนั้นก็เอี้ยวตัวไปบอกสาวใช้คนสนิทให้ยกของมาไว้ที่เก๋งนี้ ใช้เวลาเพียงไม่นาน พวกนางก็ช่วยกันยกกล่องขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่เข้ามาวางไว้ตรงหน้าหลิวหงเถา ดูจากกล่องที่แกะสลักงดงามเช่นนี้
“วังหลวงส่งมาให้หรือ”
จินเซียนเหม่ยพยักหน้ารับ หลิวหงเถาจึงเปิดฝาขึ้นจึงเห็นว่าด้านในเป็นชุดสีแดงสดปักลายหงส์ด้วยดิ้นทอง งดงามประณีตสมกับที่เป็นช่างหลวงทำ แต่ในความรู้สึกของหลิวหงเถามันดูยังขาดอะไรไปสักอย่าง จินเซียนเหม่ยเองก็จับตาดูสีหน้าของหลิวหงเถาตลอด นางถามขึ้นอย่างขอความเห็น
“ชุดอภิเษกตัวนี้ฮองเฮาพระราชทานมา ขนาดข้ายังเห็นถึงความบกพร่อง ระดับสายตาของเจ้ามองคงรู้ถึงวิธีแก้เลยใช่หรือไม่”
หลิวหงเถาเงยหน้าขึ้นมองจินเซียนเหม่ยอย่างตะลึงงัน “นี่เจ้าประเมินข้าสูงถึงเพียงนี้เชียวหรือ กดดันเลยนะ”
แม้นางจะพูดว่าตัวเองรู้สึกกดดัน แต่สมองก็หาวิธีเพิ่มลายเข้าไปอย่างไรให้ดูไม่เป็นการตบหน้าช่างหลวงจนเกินไป
หลิวหงเถาขอปากกาและหมึกจากสาวใช้ของจินเซียนเหม่ย โดยให้พวกนางช่วยหาราวไม้สำหรับกางชุดอภิเษกให้เห็นลายละเอียดทั้งหมดบนเนื้อผ้า จากนั้นนางก็นั่งหันหลังให้จินเซียนเหม่ยโดยให้เหตุผลว่า
‘หากเจ้านั่งใกล้ ๆ ข้าจะรู้สึกกดดันมาก ฉะนั้นเราห่างกันสักพักเถอะ’
จากนั้นนางก็ลงมืดวาดภาพชุดตรงหน้าพร้อมลงรายละเอียดต่าง ๆ ลงบนภาพ โดยสมาธิทั้งหมดทุ่มลงไปให้กับงานในมือ ไม่ได้สนใจผู้คนรอบนอกเลยว่าจะเดินไปไหนหรือพูดอะไรกันขึ้นมา ไม่แม้แต่จะรับรู้การมาถึงของผู้สูงศักดิ์คนนี้
“ชู่!”
ร่างสูงในชุดสีดำทมิฬลายมังกรเดินเข้ามาในเก๋ง เขายกนิ้วชี้ขึ้นไม่ให้ทุกคนส่งเสียง ทุกคนจึงได้เลี่ยงการถวายพระพรเขาแล้วปล่อยให้เขาเดินเข้ามานั่งด้านในอย่างเงียบ ๆ
“ถวายพระพรเพคะไท่จื่อเตี้ยนเซี่ย”
“ไม่ต้องมากพิธี นี่กำลังทำอะไรอยู่กันหรือ”
หลังจากประชุมเช้าเสร็จ เสด็จแม่ฮองเฮาก็ได้รับสั่งให้เขามาเยี่ยมว่าที่ไท่จื่อเฟยของตน ทำความรู้จักพูดคุยกันก่อนที่จะเข้าพิธีอภิเษก ตัวเขาจึงได้แวะมาที่นี่อย่างเลี่ยงไม่ได้
ไม่คิดว่าจะเจอ ‘ว่าที่’ ในอีกลำดับศักดิ์หนึ่งของตนด้วย!
“หม่อมฉันขอให้หงเถาช่วยแก้ชุดอภิเษกให้อีกนิดหน่อย ไม่เป็นไรใช่หรือไม่เพคะ”
ไท่จื่อยังคงสีหน้าเรียบเฉยเป็นปกติ ไม่ได้แสดงท่าทีใดเป็นพิเศษ
“เดิมทีแล้วเจ้าสาวทั่วไปมักจะปักชุดแต่งงานเอง แต่เมื่อคุณหนูจินแต่งให้เปิ่นไท่จื่อจึงไม่ได้ใส่ชุดที่ตนเองต้องการ เอาเถิด แก้ได้ตามเห็นสมควร”
จินเซียนเหม่ยยิ้มแล้วผงกศีรษะลงเป็นการแสดงคำขอบคุณ จากนั้นทั้งคู่ต่างก็ไม่มีใครเอ่ยสิ่งใดขึ้นมาอีก ทำเพียงจิบชา สายตาจับจ้องไปที่หลิวหงเถากันทั้งคู่โดยไม่รู้ตัว จวบจนหลิวหงเถาลงมือวาดภาพเสร็จ พร้อมกับที่ใส่สิ่งที่ควรเพิ่มเติมเข้าไปด้วย นางจึงวางพู่กันลงพร้อมปรบมือให้ตัวเองระรัว
“เสร็จแล้วเซียนเหม่ย งามแบบตะโกน!”
ใบหน้ายิ้มแย้มทั้งปากทั้งตาหันกลับไปมองสหาย นางสะดุ้งโหยงเมื่อพบว่าในที่แห่งนี้ไม่ได้มีเพียงจินเซียนเหม่ยเท่านั้น แต่ยังมีไท่จื่อที่กำลังมองมายังนางด้วยรอยยิ้มอีกด้วย นางผุดลุกขึ้นมาและเดินเข้าไปหาเขา
“ถวายพระพรไท่จื่อเตี้ยนเซี่ย ขอประทานอภัยเพคะที่หม่อมฉันเสียมารยาท”
“คุณหนูหลิวอย่าได้มากพิธี เป็นเปิ่นไท่จื่อเองที่บอกพวกเขาไม่ให้ส่งเสียงดัง ได้ยินคุณหนูจินบอกว่าคุณหนูหลิวกำลังช่วยนางแก้ชุดอภิเษกอยู่”
หลิวหงเถาร้องอ้อในใจแล้วเดินกลับไปหยิบชุดที่ตนร่างไว้โดยทั้งวาดทรงผมและจุดที่ต้องเพิ่มเข้าไปในชุดด้วย
“หม่อมฉันไม่ได้แก้อันใดมากเพคะ แค่เพียงขอออกความเห็นนิดหน่อยตรงที่เพิ่มผ้าด้านในชั้นที่สามอีกหนึ่งชิ้นสีขาวให้ขอบตัดกับผ้าชั้นนอกสุดสีแดง เพิ่มผ้าเนื้อบางสีส้มในชั้นที่สอง ตรงผ้าคาดเอวเป็นสีทองปักลายเดียวกับบนลายผ้า เพิ่มพู่ห้อยเหนือบริเวณตรงอกในชุดนอกสุดสี่จุด แล้วพู่ห้อยตรงเอวยาวมาถึงบริเวณเกือบถึงหน้าขาตรงนี้ ทรงผมปล่อยสยายยาวแล้วใช้รัดเกล้าระย้าอันนี้ ดูเข้ากับว่าที่ไท่จื่อเฟยมาก ๆ เพคะ”
คำว่า 'นิดหน่อย' ของหลิวหงเถาร่ายยาวจนไท่จื่อนิ่งไปสักพัก มีแค่จินเซียนเหม่ยที่พอใจกับภาพนี้มากและพยักหน้ายอมรับ
“ข้าชอบ ข้าซื้อ”
หลิวหงเถายิ้มกว้างและปรบมือให้ตัวเองอีกครั้งหนึ่ง งานที่ลูกค้าพอใจมันจะทำให้เรามีไฟในการอยากจะทำต่อ
“เปิ่นไท่จื่ออยากเห็นชุดเต็ม ๆ แล้วสิ”
“หม่อมฉันจะทำให้สุดความสามารถเพคะ แล้วข้าจะมาหาเจ้าทุกวันนะเซียนเหม่ย”
เพียงเท่านี้ก็หาเรื่องหลบหน้าแม่สื่อได้แล้ว อยากขอบคุณในความสามารถของตนเองก็วันนี้
ทางด้านจวนตระกูลหลิวหลังจากที่หลิวหงเถาออกไปก็มีแม่สื่อที่ตระกูลอื่น ๆ ส่งมาอีกหลายคน ปกติแล้วหลิวหลี่เฟยอยู่ไม่ค่อยติดเรือน แต่วันนี้เขากลับโผล่หน้ามาให้มารดาเห็นทุกครั้งที่มีแม่สื่อขอเข้าพบฮูหยินใหญ่
“ท่านแม่ขอรับ คุณชายสี่ของตระกูลถังเป็นสหายในกลุ่มเดียวกับลูก ข้ารู้ว่าเจ้านี่นิสัยไม่เอาอ่าว พึ่งพาไม่ได้ทำอะไรก็ไม่ดีสักอย่าง ที่สำคัญเจ้าชู้เรียกพ่อ”
จูม่านหลิงทำหน้าสะพรึงทั้งยังแอบจิกกัดบุตรชายเบา ๆ
“ลูกคงไม่ได้กำลังว่าตนเองอยู่ใช่หรือไม่”
“ท่านแม่ก็ ลูกไม่เจ้าชู้เลยสักนิดเดียว”
“อ้อ แสดงว่าข้ออื่น ๆ ยอมรับหมดเลยสินะ”
หลิวหลี่เฟยทำหน้างอใส่มารดา จากนั้นก็เขย่าแขนนางเบา ๆ ด้วยความงอแง
“ไม่รู้แหละ ท่านแม่อย่าไปยอมให้น้องเล็กแต่งกับบุรุษธรรมดาพวกนี้เลยนะขอรับ”
จูม่านหลิงทำหน้าฉงน จ้องตาบุตรชายนิ่งอย่างจะดูให้รู้ว่าเขารู้สึกอย่างไรตอนกล่าวประโยคนี้ออกมา
“ถ้าคุณชายเหล่านี้ธรรมดาไปแล้วแบบไหนที่ลูกคิดว่าไม่ธรรมดาเล่า”
“นั่นสิ แบบไหนถึงจะเรียกว่าไม่ธรรมดา”
เสนาบดีหลิวเดินเข้ามาในจวนรับรองแล้วถอดกวานออกส่งให้พ่อบ้านเอาไปเก็บ ร่างสูงใหญ่ในชุดขุนนางเต็มพิธีการเดินเข้ามานั่งลงข้างฮูหยิน จิบชาที่คนข้างกายรินให้เสร็จก็หันมาเค้นความบุตรชายคนโปรดต่อ
“คุณหนูใหญ่ตระกูลเราได้เป็นถึงหวางเฟยนะขอรับ น้องหญิงเล็กเองก็ควรได้เป็นเช่อเฟยของตำหนักบูรพาสิ”
เสนาบดีหลิวไม่ได้ตกใจกับคำพูดของบุตรชาย แต่เป็นฮูหยินข้างกายที่นั่งไม่ติดที่
“เฟยเอ๋อร์ ยังไม่ได้อภิเษกไท่จื่อเฟยเลย เจ้าก็คิดจะให้พ่อเจ้าส่งน้องสาวเข้าไปเป็นพระชายารองแล้วหรือ ไม่ได้หรอก! เถาเอ๋อร์ไม่เหมาะกับการอยู่ในวังแม้แต่นิดเดียว ที่สำคัญนางไม่มีทางเข้าตำหนักบูรพาแน่นอนแม่มั่นใจ”
“ท่านแม่ ในอนาคตลูกต้องรับราชการนะขอรับ ไม่คิดว่าตำแหน่งของนางจะช่วยเกื้อหนุนลูกได้หรือ”
เป็นครั้งแรกที่จูม่านหลิงมองบุตรชายตนเองเปลี่ยนไป มือเรียวตบหน้าขาสามีเบา ๆ ริมฝีปากสั่นระริก
“ท่านพี่ดูสิเจ้าคะ บุตรชายคนโปรดของท่านกำลังจะใช้น้องสาวเป็นสะพานในการไต่เต้าไปสู่เป้าหมาย ถ้าน้องรู้น้องจะเสียใจเอานะเฟยเอ๋อร์ ท่านพี่พูดอะไรหน่อยสิเจ้าคะ”
เสนาบดีหลิวในยามอยู่ที่จวนจะยิ้มแย้มเป็นพ่อและสามีที่น่ารักคนหนึ่งเลยก็ว่าได้ แต่เมื่อได้คุยเรื่องการเมืองเมื่อไรใบหน้าเขาจะนิ่งเรียบราวกับเป็นคนละคน
“รอดูไปก่อนสักสามวัน แม่สื่อเดินเข้าจวนมาไม่ซ้ำหน้าแบบนี้ หากคนในวังยังนิ่งเฉยก็แสดงว่าไม่ได้สนใจตระกูลเราอีกแล้ว แต่หากฮองเฮาทรงเรียกเราเข้าเฝ้าเมื่อใด ทีนี้ต้องหาทางเกลี้ยกล่อมเถาเอ๋อร์ให้ได้แล้ว เพราะพี่เองก็ไม่ได้อยากบังคับจิตใจนางเช่นกัน”
ในที่สุดสิ่งที่เสนาบดีหลิวและฮูหยินกังวลก็ได้รับการยืนยัน เมื่อวันต่อจูม่านหลิงได้ต้อนรับแขกขบวนใหญ่อันประกอบไปด้วยนางกำนัล ขันทีและองครักษ์ส่วนพระองค์จากตำหนักคุนหนิง เพราะหลิวหงเถาไปคลุกตัวอยู่กับว่าที่ไท่จื่อเฟยเพื่อแก้ชุดอภิเษก ทำให้คนในวังพลาดโอกาสที่จะได้เห็นท่าทีของนาง“จวนเสนาบดีหลิวยินดีและเป็นเกียรติที่ได้ต้อนรับท่านกงกงเจ้าค่ะ รอสักครู่นะเจ้าคะเดี๋ยวข้าให้เด็ก ๆ ไปยกน้ำชากับขนมมาให้”“ไม่รบกวนฮูหยิน” ขันทีคนสนิทของฮองเฮาอีกคนหนึ่งยกมือห้าม พร้อมทั้งพูดถึงธุระของตนเองในวันนี้ให้แล้วเสร็จก่อนที่จะไปอีกจวนหนึ่ง“แคว้นซู่ส่งของเข้ามายังตำหนักคุนหนิง ฮองเฮาทรงเห็นว่าเหมาะกับคุณหนูหลิวจึงได้ให้เราเป็นตัวแทนมามอบให้ พระนางยังหวังอีกว่าหลังพิธีอภิเษกเตี้ยนเซี่ย ตำหนักคุนหนิงจะได้ต้อนรับฮูหยินกับคุณหนูหลิว”จูม่านหลิงยิ้มค้างไปแล้ว นางตะลึงไปชั่วขณะจนสาวใช้คนสนิทต้องเข้ามาสะกิดแขนยิก ๆ นางจึงได้รู้ตัวแล้วค้อมศีรษะลงเล็กน้อย“เช่นนั้นรบกวนท่านกงกงทูลเสด็จให้ว่าเรายินดีเจ้าค่ะ”กงกงเฒ่ายกยิ้ม สายตาจิ้งจอกมากเล่ห์เห็นเพียงเท่านี้ก็รู้แล้วว่าฮูหยินของเสนาบดีหลิวมีท่าทีอยางไร แน่นอนว่า
คืนนี้เป็นอีกคืนที่พระจันทร์เต็มดวงให้ความสว่างไสวแก่ใต้หล้า บางคนอาจจะมีความสุขที่ได้นั่งดื่มสุราเคล้าแสงจันทร์ เห็นพระจันทร์เป็นสิ่งสวยงาม แต่สำหรับบางคนแล้วนั้น พวกเขาอาจจะเห็นพระจันทร์สีเหลืองในคืนนี้ถูกย้อมไปด้วยสีแดงเลือดก็ได้ร่างสูงในชุดสีดำสนิทวิ่งขึ้นมาบนหลังคาของหอโคมเขียวขึ้นชื่อในเมือง เขามาที่นี่ไม่ใช่เพราะจะมาเสพสมร่วมระคากับสตรีในที่แห่งนี้ แต่เขามาเพื่อปลิดชีพบุรุษที่กำลังเล่นสนุกกับร่างกายของพวกนางต่างหาก“อยู่ด้วยกันเช่นนี้ก็ดี จะได้จัดการได้ง่าย ๆ”ร่างสูงกระโดดลงจากหลังคาโดยการเข้าทางหน้าต่างพร้อมห้อยโหนไปยังขื่อคานด้วยความรวดเร็ว คนที่อยู่ในห้องพิเศษห้องใหญ่นี้ไม่มีผู้ใดรับรู้การมาถึงของเขาเลยเพราะว่ากำลังมึนเมาได้ที่ อีกทั้งสตรีร่างอรชรอ่อนแอ้นในอ้อมแขนมันน่าสนใจกว่าสิ่งใดเยอะ“พรุ่งนี้ข่าวคงดังกระฉ่อนไปทั้งเมือง บุตรชายคนเล็กของเจ้ากรมพิธีการและบุตรชายคนรองของแม่ทัพเซียวเข่นฆ่ากันเพราะร่ำสุราที่หอโคมเขียวจนมึนเมา พยานรู้เห็นเหตุการณ์ก็มี ดูสิว่าจะมาสืบเรื่องราวสาวต่อยังไง”วิธีที่เขาเลือกใช้จัดการคนแม้จะเป็นการเพิ่มความเสี่ยงให้เขาสำหรับในอีกฐานะหนึ่ง แต่เขาไม่
ในยามดึกสงัดเช่นนี้บางคนอาจจะนอนหลับพักผ่อนกายาไปนานแล้ว แต่สำหรับว่าที่ฮ่องเต้องค์ต่อไปของชิงชิวยังต้องสะสางงานอีกมาก แคว้นชิงชิวเพิ่งสถาปนาได้ไม่นาน ทุกอย่างต้องเร่งสร้างเร่งพัฒนาอีกมาก นอกจากเสด็จพ่อของเขาที่ทรงงานหนักแล้ว ตัวเขาเองก็ต้องเบ่งเบาราชกิจต่าง ๆ ให้ได้มากที่สุดเช่นกัน‘ระวังตัวด้วย ข้าได้กลิ่นปีศาจ’ในระหว่างที่กำลังคร่ำเคร่งกับฎีกาตรงหน้านั้น อยู่ ๆ ไท่จื่อก็ได้ยินเสียงร้องเตือนดังขึ้นมาในหัว “หือ”คิ้วเข้มพาดเฉียงเลิกขึ้นอย่างแปลกใจ แม้ผู้ที่ร้องเตือนจะอยู่กับเขามาตั้งแต่แรกเกิด แต่ทั้งคู่ก็ไม่ได้พูดคุยกันบ่อยนัก ซึ่งส่วนมากที่ร้องเตือนภัยมักจะเป็นเหตุการณ์ร้ายที่เขาไม่อาจต่อสู้ได้เช่น ภูติ ผี หรือปีศาจที่โดนมารครอบงำ ครั้งล่าสุดที่เคยเผอิญได้เจอก็เมื่อสิบปีก่อน ไม่คาดว่าสิบปีไล่หลังมานี้จะได้พบเจออีกหน‘อนุญาตให้ข้าได้ปกป้องเจ้า มิเช่นนั้นเจ้าจะโดนควบคุม มันคืบคลานใกล้มากขึ้นแล้ว!’ไท่จื่อวรยุทธ์แกร่งกล้าไม่แพ้ใครในแคว้นนี้ หากเป็นมนุษย์กับมนุษย์ด้วยกันอย่างไรเขาก็พร้อมสู้ แต่เมื่อสิ่งที่กำลังคืบคลานไม่ใช่มนุษย์ เขาก็ต้องเชื่อฟังมังกรดำ สัตว์เทพที่คุ้มครองเขามาตั้ง
ข่าวดังที่สุดของเมืองหลวงในหลายวันที่ผ่านมาย่อมเป็นเรื่องฆาตกรรมที่เกิดขึ้นกับหอโคมเขียวชื่อดัง แต่เพราะว่าเหตุการณ์มันเกิดขึ้นในช่วงใกล้วันอภิเษกขององค์ไท่จื่อ ดังนั้นเจ้ากรมยุติธรรมจึงเร่งสั่งให้ปิดคดีแล้วสรุปผลออกมาว่าเป็นเพียงเพราะเมาสุราแล้วเกิดการทะเลาะวิวาทกันเท่านั้น ผู้เสียชีวิตคือบุตรชายของแม่ทัพเซียวและผู้ที่เป็นฆาตกรก็ถูกสั่งให้จำคุก โดยสองขุนนางในราชสำนักกลายเป็นปรปักษ์กันไปตลอดกาลเมื่อมาถึงวันงานอภิเษก ข่าวทั้งหลายก็เงียบสงบลง มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ยังข้องใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น หนึ่งในนั้นคือไท่จื่อ เขาได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจโดยยังคงแอบสืบหาความจริงอยู่เรื่อย ๆวันงานอภิเษกจูจิ่วลี่และหลิวหงเถาถูกจินเซียนเหม่ยชวนมาอยู่เป็นเพื่อนเจ้าสาวด้วยกัน ความจริงหลิวหงเถาจะหาข้ออ้างปฏิเสธก็ได้หากไม่อยากมาเป็นสักขีพยานในงานแต่งผู้อื่นที่พระสวามีในอนาคตอาจจะเป็นคนเดียวกัน แต่เพราะว่านางอยากหลบหน้าชิงหมิน ไม่อยากอยู่จวนที่ทุกพื้นที่มีแต่เขาวนเวียนอยู่รอบกาย หลังจากที่จุมพิตกับเขาในคืนนั้น นางรู้สึกว่าอยู่ ๆ ก็มีความทรงจำไม่ทราบที่มาผุดขึ้น อย่างเช่นนางเคยให้น้ำแก่ขอทานผู้หน
นางหลบหน้าข้า!ชิงหมินตะโกนประโยคนี้ในใจเมื่อเห็นหลิวหงเถารีบหันกายหนี ตั้งแต่คืนนั้นพวกเขาสองคนก็ไม่ได้สทนากันอีกเลย กอปรกับชิงหมินกำลังฟื้นฟูพลังอยู่จึงไม่สะดวกไปคุยกับนางให้รู้เรื่องก็ว่า เมื่อก่อนข้าหายหน้าไปเกินหนึ่งวันต้องออกตามหาแล้ว แต่นี่หายไปหลายวันไม่ออกตามหา ที่แท้เพราะตั้งใจหลบหน้ากัน!“น้องหญิงเล็ก!”วันนี้ชิงหมินตามหลิวหลี่เฟยมาตลาด เผอิญได้พบหลิวหงเถาที่โรงเตี๊ยมเข้า ปฏิกิริยาตอบสนองแรกของนางคือตื่นตกใจอย่างกับเห็นพวกเขาเป็นผี จากนั้นก็วิ่งหนีขึ้นรถม้าไปในทันที“จะรีบไปไหนน้องหญิงเล็ก!”ขนาดหลิวหลี่เฟยวิ่งเข้าไปหาแล้วยืนเรียกข้าง ๆ รถม้า นางก็ยังไม่ยอมแม้แต่จะแง้มผ้าม่านออกมาพูดคุย ทั้งยังสั่งให้คนบังคับรถม้าออกตัวได้ ชิงหมินคิดว่าถ้าตนกระโดดขึ้นรถม้าในตอนนี้ หลิวหลี่เฟยก็คงจะตามมาด้วย ซึ่งเขาไม่อยากให้เป็นเช่นนั้นจึงได้ใช้พลังปีศาจสะกดคนบังคับรถม้าให้เปลี่ยนเส้นทางไปที่นอกเมืองแทนข้าตัดสินใจแล้ว อย่างไรวันนี้จะต้องคุยกันให้รู้เรื่องทางฝั่งหลิวหงเถา“เฮ้อ คิดว่าจะหนีไม่พ้นเสียแล้ว”คนที่คิดว่าตัวเองสามารถหลบหน้าผู้อื่นได้ถอนหายใจยาว ระหว่างนั้นก็นั่งคิดวิธีที่จะทำใ
‘ตาแก่ขี้จุ้นจ้าน ไล่ข้าให้มาอยู่แดนมนุษย์ตั้งนานไม่เคยมาเหลียวแลกันเลยสักนิด พอข้าอยากมีความรักดี ๆ กับเขาบ้างมายุ่งจุ้นจ้านอะไรด้วย!’‘ก็เจ้ามันลีลาท่าเยอะ จอมปีศาจผู้นี้เห็นแล้วหงุดหงิดตาจึงช่วยให้ ไม่ได้หรืออย่างไร’‘ก็ไม่ได้นะสิ เรื่องของข้าข้าจัดการเองได้‘เหอะ! ขืนปล่อยให้เจ้าจัดการเองก็คงได้เผลอฆ่ามนุษย์ไปมากกว่านี้อีกแน่ รู้ทั้งรู้ว่าการทำลายมนุษย์เท่ากับเลือกเป็นศัตรูกับเแดนสวรรค์ หากเจ้ารักนางจริงเพียงทนรอเท่านั้น แม้มันจะมีอุปสรรคไปบ้าง แต่ระหว่างเทพเซียนกับปีศาจย่อมเป็นไปได้มากกว่าปีศาจกับมนุษย์’‘ท่านหมายถึงให้ข้ารอนางหมดอายุขัยของการเป็นมนุษย์ก่อนเช่นนั้นหรือ? แล้วข้าจะมั่นใจได้อย่างไรว่าเมื่อนางกลับไปเป็นเทพเช่นเดิมแล้วจะยังรักข้า’‘น่าขัน! ทำอย่างกับว่าตอนนี้นางบอกรักเจ้าแล้ว’‘น่าขันตรงไหน ทำอย่างกับตัวเองรู้จักความรักดี’ชิงหมินนึกถึงบทสนทนาที่เกิดขึ้นระหว่างตนกับจอมปีศาจเมื่อหลายชั่วยามก่อนหน้านี้“ข้ารู้ว่าท่านรักข้าจะตาย ใช่หรือไม่”น้ำเสียงอ่อนหวานถูกใช้ถามร่างบางที่กำลังหลับตาพริ้มอยู่ในห้วงนิทรา คืนนี้ก็เป็นอีกคืนที่เขาลอบเข้ามานั่งมองนางนอนหลับ การได้มองนางนอ
‘ต้องตายจากการเป็นมนุษย์เพื่อกลับสู่การเป็นเทพ’นี่คือสิ่งที่หมินมิ่นบอกกับข้าเมื่อคืน ข้าจะต้องผ่านการใช้ชีวิตผ่านด่านเคราะห์ต่าง ๆ ไปให้ได้ก่อนเพื่อที่จะสามารถใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันกับเขาในฐานะปีศาจกับเทพเซียนได้ โชคดีมากที่ทั้งสองเผ่าสงบศึกกันแล้ว หากเป็นเมื่อก่อนที่ยังทำสงคราม ปะกันทีเป็นอันต้องหันดาบใส่กันทุกครั้งแต่หากข้าปล่อยให้ชีวิตเป็นไปตามที่ลิขิตไว้ เช่นนั้นข้าจะต้องถวายตัวเป็นเช่อเฟยของไท่จื่อหรือ ข้าก็ต้องมีอะไรกับคนที่ไม่ได้รักเช่นนั้นสิ“เหม่ออะไรอยู่หรือเถาเอ๋อร์ แม่เห็นเจ้าเอาแต่เขี่ยข้าวเล่น ไม่คีบทานเสียที”หลิวหงเถาหลุดออกมาจากภวังค์ความคิดแล้วหันไปมองหน้ามารดาที่คีบอาหารมาวางในชามให้นางเพิ่มเป็นการ ‘บังคับทาน’ อยู่กลาย ๆ “น้องเล็กดูแปลกไปขอรับท่านแม่ เมื่อวานเจอกันอยู่หน้าโรงเตี๊ยมก็เพิกเฉยใส่ ทำราวกับว่าไม่รู้จักกันเสียอย่างนั้น”หลิวหงเถาร้อง ‘เหอะ’ ออกมาเบา ๆ จากนั้นก็ตอกหน้าเขาออกไปอย่างเจ็บแสบ “ใครเขาอยากจะคุยกับอันธพาลเล่า อยู่ดี ๆ ก็ไปชกต่อยผู้อื่น ไม่โดนจับขังคุกไปก็ดีเท่าไรแล้ว”“ไม่ใช่อยู่ดี ๆ ก็ไปชกต่อยผู้อื่นเสียหน่อย พี่ย่อมมีเหตุผล”คนเป็นพี่ที่คิดว่
หลิวหงเถาและจูจิ่วลี่ขอตัวกลับทันทีหลังจากที่มื้อเที่ยงได้ร่วมโต๊ะเสวยกับไท่จื่อเฟย ด้วยเพราะจูจิ่วลี่ยังไม่อยากกลับจวนในตอนนี้ นางจึงได้ชวนหลิวหงเถาไปหาอะไรทำสนุก ๆ ต่อ“เจ้าเคยเข้าหอศิลป์หรือไม่ โครงการที่ไท่จื่อเตี้ยนเซี่ยทรงริเริ่มทำได้ไม่นานมานี้ ข้าได้ยินมาว่าที่นั่นกำลังอยากได้งานฝีมือมาประดับหอศิลป์ไว้ ในอนาคตเอาไว้สำหรับใครที่ต้องการทำการกุศลก็ให้เอางานศิลปะแขนงต่าง ๆ ส่งไปที่นั่นได้ หากภาพใดที่ขายออก รายได้จะถูกบริจาคให้เด็กยากไร้ในชนบท”หลิวหงเถาไม่ได้ติดตามข่าวสารในช่วงนี้เลย นางจึงส่ายหน้าปฏิเสธ แต่ในขณะเดียวกันนางก็ตั้งคำถามขึ้นมาด้วยว่า ‘งบราชการแผ่นดินไม่เพียงพอสำหรับเด็กยากไร้เลยหรือ’ แม้จะเห็นด้วยกับการกุศล แต่ใจมันก็ยังตั้งคำถามขึ้นมาอยู่ดี“ทำไม เจ้าอยากจะส่งผลงานอะไรทำการกุศลล่ะ ภาพจากฝีมือเจ้าจะขายได้หรือ”จูจิ่วลี่นิ่วหน้า “หยาบคาย กล่าวเช่นนี้ต่างอะไรกับการที่เอามือตบหน้าข้า…แต่ก็เอาเถอะ ตกลงจะไปด้วยกันหรือไม่”หลิวหงเถาส่ายหน้า ตอนนี้นางยังหาทางออกสำหรับชีวิตตัวเองไม่ได้เลย ไม่พร้อมจะไปช่วยเหลือใครหรอก“ข้าไม่ได้มีเวลาถึงเพียงนั้น เจ้าไม่มีสหายคนอื่นแล้วหรืออย
ตอนพิเศษที่ : 3เริ่มต้นชีวิตคู่ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยณ ห้องหอของบ่าวสาวคู่ใหม่ในวังปีศาจ สองบ่าวสาวคล้องแขนกันดื่มสุรามงคลที่เถาฮวาเฉินเป็นผู้ทำขึ้นมาเอง แน่นอนว่ารสชาติที่ได้ย่อมต่างจากสุราทั่วไปที่นางให้ผู้อื่น“รู้หรือไม่ว่าสุราที่เราให้ฉางฉ่างดื่มจะทำให้ฉางฉ่างไม่สามารถไปดื่มสุราที่ใดได้อีก”“ข้ารู้”เถาฮวาเฉินเลิกคิ้วขึ้นสงสัย “เหตุใดถึงไม่แปลกใจหรือไม่สงสัยอันใดเลย ไม่คิดบ้างหรือว่าเราอาจจะวางยาอะไรใส่ให้ฉางฉ่างดื่มกินก็ได้”หยิ่นฉางยกยิ้ม ทั้งยังเทสุราใส่จอกแล้วยกดื่มให้นางดูอีกสามครั้ง เป็นการบอกว่าเขาไม่ได้สงสัยในสิ่งนี้ ช่างขยันในการพิสูจน์ด้านการกระทำสำคัญกว่าคำพูดจริง ๆ“ท่านรู้สึกแย่หรือไม่ ที่ข้าไม่ได้บอกท่านก่อนเรื่องที่ให้ท่านพ่อเตรียมงานแต่งงานของเราไว้”ท่าทางของเถาฮวาเฉินไม่แสดงออกว่าโกรธหรือไม่ แต่เขาก็ยังอยากรู้ความรู้สึกลึก ๆ ของนาง“อือ” นางทำท่าคิดอยู่ครู่หนึ่ง แต่คนที่เฝ้ารอคำตอบกลับแอบกลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัว “อาจจะตกใจไปบ้าง แต่ก็ไม่ได้รู้สึกแย่อะไรนะ ฉางฉ่างก็อย่าคิดมาก เราเป็นคนตรง ๆ อยู่แล้ว คิดอย่างไรรู้สึกอย่างไรไม่เก็บมาคิดคนเดียวหรอก”“จริงหรือ”“จริงสิ
ตอนพิเศษที่ : 2องค์ชายเล็กของแดนปีศาจ“ว้าว~นี่เป็นครั้งแรกเลยกระมังที่เราได้มาเยือนพระราชวังของแดนปีศาจ ใหญ่โตดูมีเสน่ห์ไปอีกแบบเหมือนกันนะฉางฉ่าง”หลังจากที่ผ่านช่วงเวลาแนบชิดกันมาสามวัน คำเรียกของทั้งคู่ก็เปลี่ยนไปแล้ว จาก ‘หยิ่นฉาง’ ก็เป็น ‘ฉางฉ่าง’ และจากเถาฮวาก็เป็น ‘เถาเถ่า’“ต่อไปที่นี่ก็คือบ้านของเถาเถ่า ท่านพ่อต้องชอบท่านแน่ ไม่ต้องกังวลนะ เขาจะดีต่อท่าน”เถาฮวาเฉินพยักหน้ารับพร้อมสูดหายใจเข้าลึก ในใจคิดเหตุใดข้าจึงรู้สึกว่าเพิ่งผ่านช่วงแต่งงานแล้วก็กลับมาเยี่ยมบ้านเจ้าสาวกันนะ ว่าแต่…“จอมปีศาจจะชอบสุราของเราหรือไม่ สุราหมื่นปีแบบนี้แม้จะเป็นของหายาก แต่ไม่ได้มีใครที่จะได้ดื่มกินบ่อย ๆ ไม่แน่ว่าเขาอาจจะไม่คุ้นลิ้น อย่างช่วงงานฉลองราชย์ขององค์เง็กเซียนฮ่องเต้ เราเคยเอาสุราหมื่นปีถวายเช่นกัน แต่พระองค์มิใคร่พอใจนัก ช่างเอาใจยากจริง ๆ”หยิ่นฉางหัวเราะในลำคอเบา ๆ หากบิดาของเขาได้ยินคำบ่นนี้ของนางไม่วายหัวเราะชอบใจที่นางเอ่ยนินทาประมุขของเผ่าสรรค์เช่นนี้“ทุกคนรอเราอยู่ที่ท้องพระโรงใหญ่”“หือ ท้องพระโรงหรือ”เถาฮวาเฉินรู้สึกเอะใจกับคำพูดนี้ของเขามาก จนกระทั่งเขาพานางเดินมาถึงจ
ตอนพิเศษที่: 1กิจกรรมที่คนคบกันเขาทำกัน ณ พระราชวังแคว้นชิงชิว “ท่านว่าเรามองนางอยู่เช่นนี้มานานแค่ไหนแล้ว”“ไม่รู้สิ หนึ่งชั่วยามได้แล้วหรือไม่ ถ้าท่านรู้สึกว่าเสียเวลาก็ไปทำงานที่คั่งค้างไว้ก่อนได้เลย ข้าขอดูนางต่ออีกหน่อย”หยิ่นฉางส่ายหน้าเบาๆ “ได้ใช้เวลาอยู่กับท่าน เช่นนี้ไม่เรียกว่าเสียเวลาหรอก แล้วอีกอย่างข้าก็ว่างมากด้วย”ตอนนี้เถาฮวาเฉินและหยิ่นฉางได้ลงมาโลกมนุษย์อีกครั้งเพื่อทำกิจกรรมที่คู่รักเขาทำกัน นั่นคือการทำอะไรก็ได้ให้ใช้เวลาร่วมกันมากที่สุด ซึ่งสิ่งที่เถาฮวาเฉินเสนอมาก็คือการนั่งมององค์หญิงสาม บุตรสาวของหลิวหงเถาที่กำลังนั่งอ่านตำราอยู่เถาฮวาเฉินละสายตาจากองค์หญิงสามเพื่อหันกลับมาจ้องมองหยิ่นฉาง “ใช้คำพูดรุกเราให้ใจเต้นรัวอีกแล้วนะ” จากนั้นก็จูงมือเขาออกจากศาลาที่องค์หญิงสามนั่งอยู่ ทั้งคู่พรางกายเอาไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้มีมนุษย์ผู้ใดสามารถมองเห็นได้“ช่วงข้าวใหม่ปลามันจะให้แผ่วได้อย่างไร”ไม่เพียงแต่พูดเท่านั้น แขนยาวยังเอื้อมไปโอบไหล่นางพร้อมซบหน้าลงหัวไหล่ด้วย เถาฮวาเฉินไม่ได้ขัดขืนทั้งยังยกมือขึ้นลูบศีรษะเขาตอบ ทั้งคู่จับมือกันเดินผ่านสวนงดงามของวังหลวงและพูด
เถาฮวาเฉินพูด :“อื้อ~สบายจัง”ข้าบิดขี้เกียจพร้อมกล่าวเสียงอู้อี้ออกมาขณะที่ดวงตายังคงปิดสนิทอยู่ ข้ารู้สึกที่นอนนั้นช่างหนานุ่ม สามารถดูดวิญญาณของข้าให้อยู่บนนี้ได้ทั้งวัน แต่เดี๋ยวก่อนนะ…“ข้ามีเตียงแบบนี้ด้วยหรือ”“...จากที่ข้าลอบเข้าไปดูที่แดนดอกท้อ ไม่มีนะท่าน”เฮือก!เพียงแค่ได้ยินเสียงของเขาเท่านั้นข้าก็เด้งตัวขึ้นมานั่ง จากที่ไม่อยากลืมตาสู้แสง ดวงตากลับแจ่มชัดไร้ความพร่ามัว“นี่ท่าน…”กำลังจะตั้งคำถามว่า ‘นี่ท่านมาอยู่ห้องของเราได้อย่างไร’ แต่สุดท้ายก็เงียบไป เพราะคิดได้ว่าตนเองต่างหากที่มาอยู่ในดินแดนของผู้อื่น“ว่าต่อสิ หรือกำลังคิดอยู่ว่าข้าได้ทำอะไรท่านหรือไม่”หยิ่นฉางถามขึ้นยิ้ม ๆ ทั้งยังถอยห่างออกจากข้าดั่งกับว่าเขาอยากให้ข้ารู้สึกปลอดภัย ไม่โดนคุกคามอยู่ นั่นจึงทำให้ข้ารู้สึกดีต่อการกระทำนี้ของเขามาก“เราเปล่าคิดเช่นนั้นสักหน่อย ว่าแต่ท่าน…”ข้าไล่สำรวจเขาทั้งร่าง ตอนแรกก็แค่รู้สึกว่าเขามีอะไรเปลี่ยนไปสักอย่าง พอสำรวจอย่างละเอียดอีกที ที่แท้เป็นเพราะชุดสีขาว“ข้าดูแปลกตาไปใช่หรือไม่ ท่านจึงได้จ้องตาไม่กะพริบถึงเพียงนี้”หยิ่นฉางถามด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ ก่อนที่จะยื่นมือม
สิ้นคำที่หยิ่นฉางปฏิเสธว่าตนไม่ใช่ ‘สุภาพชน’ เขาก็แสดงอาการตรงข้ามกับคำพูดนี้ทันทีโดยการอุ้มร่างบางเข้าสู่อ้อมแขนแล้วหายวับกลับถิ่น ณ ดินแดนปีศาจในทันทีตุบ!“โอ๊ย!”หยิ่นฉางวางเถาฮวาเฉินลงบนเตียงอย่างแรงจนร่างบางรู้สึกเจ็บจนต้องร้องออกมา ใบหน้างามชักสีหน้าใส่เขา แต่หยิ่นฉางหรือจะสน ร่ายมนตร์สร้างอาณาเขตไว้เพื่อไม่ให้เถาฮวาเฉินใช้พลังหนีออกจากที่นี่ไปได้จนกว่าจะสนทนากันให้รู้เรื่อง“ท่านรู้หรือไม่ว่าตอนนี้ ข้าก็นับว่าเป็นปีศาจที่แข็งแกร่งที่สุดตนหนึ่งในแดนปีศาจ มีทั้งประสบการณ์ด้านการต่อสู้ ไม่ว่าจะทั้งสัตว์อสูรร้ายหรือแม้กระทั่งเทพเซียนที่แข็งแกร่ง ข้าก็ผ่านมาแล้ว สำหรับท่านที่วัน ๆ หมักแต่สุรา...”พูดเพียงเท่านี้ก็เงียบไป อีกทั้งยังส่ายหน้าน้อย ๆ สองครั้ง ทำเอาคนถูกสบประมาทเดาคำว่า ‘สำหรับข้าไม่นับว่าเป็นอะไร จะบีบก็ตายจะคลายก็รอด’ จากท่าทางของหยิ่นฉางได้แล้ว“เมื่อก่อนท่านไม่ได้เป็นแบบนี้ แต่เหตุใดถึงได้เปลี่ยนมาเป็นเช่นนี้”หยิ่นฉางเลิกคิ้ว “ก็ไม่ใช่ว่าท่านบอกให้ข้าลืมเลือนเรื่องในอดีตหรอกหรือ นี่อย่างไร ข้าก็ลืมความอ่อนโยนที่เคยมีให้แล้วแสดงตัวตนที่แท้จริงออกมาแล้ว ตกลงจะเอาอย่าง
“หึ! โดนเสด็จพ่อของพวกเจ้าลงโทษเรื่องใดมาเล่า ถึงได้มากวาดลานวัดเช่นนี้”“ท่านน้า”องค์ชายแฝดทั้งสองทิ้งไม้กวาดแล้ววิ่งเข้าไปหา ‘ท่านน้าหยิ่นฉาง’ ผู้ที่เวลาไม่สามารถทำอะไรเขาได้เลย เมื่อก่อนมีรูปลักษณ์เช่นไรตอนนี้ก็ยังเป็นเช่นเดิมไม่แปรเปลี่ยน“พวกเจ้านี่นะ โตจนป่านนี้แล้วยังทำตัวเหมือนกับลูกลิงอยู่ได้ รักษาภาพลักษณ์องค์ชายแห่งแคว้นบ้างเถิด”องค์ชายใหญ่พ่นลมหายใจออกจากจมูกอย่างแรง ก่อนที่จะเอ่ยด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด“ท่านน้า ภาพลักษณ์ของพวกเราไม่เหลือตั้งแต่ที่เสด็จพ่อให้มากวาดลานวัดเช่นนี้แล้วขอรับ”“แต่ข้าว่าไม่เหลือตั้งแต่ไปก๊งเหล้าที่ร้านนั้นแล้วละ”อ๋องน้อยกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ก่อนที่จะเดินเข้ามารวมกลุ่มด้วย ที่จริงเขาไม่ได้โดนลงโทษให้มากวาดลานวัดเช่นนี้ แต่มีหรือที่องค์ชายแฝดจะปล่อยให้เขารอดไปได้ ทั้งยังกล่าวว่า…‘มีสุขร่วมเสพ มีทุกข์ก็ต้องร่วมฝ่าฝันไปด้วยกัน’“หือ” หยิ่นฉางเลิกคิ้วถาม “ร้านใดกันที่ทำให้ท่านอ๋องน้อยแห่งตำหนักชินอ๋องถึงขั้นไปลิ้มลองได้”องค์ชายรองเป็นคนอธิบายคำถามนี้ “เป็นร้านสุราดอกท้อข้างทางเล็ก ๆ ร้านหนึ่งขอรับท่านน้า คนขายเป็นพ่อค้าหน้าหยก รสชาติสุราเป็นร
“ต้าเกอ วันนี้กระบวนท่าไม่เลวเลย ฝีมือท่านพัฒนาขึ้นมาก”“เป็นเอ้อร์ตี้ออมมือให้ต่างหาก มิเช่นนั้นเราคงไม่เสมอกันเช่นนี้ เอาเป็นว่าขอบคุณที่ทำให้ต้าเกอไม่เสียหน้าก็แล้วกัน ไม่สิ! ต่อให้แพ้ แต่แพ้เอ้อร์ตี้ ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกอายอะไร”“ต้าเกอก็ชมข้าเกินไปแล้ว มา! เอ้อร์ตี้คารวะให้ท่านหนึ่งจอก”“ได้เลย”สองบุรุษหน้าตาคล้ายกันเกือบสิบส่วนเอื้อนวาจาเยินยอกันเองก่อนที่จะยกจอกสุราชนกัน ทั้งสองคนที่ว่าก็คือองค์ชายใหญ่และองค์ชายรองของแคว้นชิงชิวนั่นเอง ก่อนทั้งสองกลับวังตนเองทั้งคู่ได้ชวนกันมาร่ำสุราที่ร้านข้างทางเล็ก ๆ ร้านหนึ่ง“อือ สุราดี”รสชาติของสุราทำให้ทั้งสองพอใจเป็นอย่างมาก ขนาดที่ทั้งคู่หันไปชมเถ้าแก่ร้านหน้าละอ่อนไม่หยุด“เถ้าแก่ สุราดอกท้อของท่านรสชาติดียิ่ง ท่านทำเองหรือว่ารับมาขาย”เถ้าแก่ร่างบางตัวเล็กเงยหน้าขึ้นมาก่อนที่จะแย้มยิ้มรับคำชมนั้นอย่างภูมิใจ“แน่นอนว่าข้าย่อมหมักเอง คุณชายทั้งสองสนใจซื้อในปริมาณมากหรือไม่ ข้าน้อยจะคิดราคาให้เป็นพิเศษเลย”“โอ้ เช่นนั้นข้าขอสั่งสักสิบไหได้หรือไม่ เถ้าแก่เชิญคิดราคามาได้เลย”“สิบไหเป็นห้าตำลึงเงินก็แล้วกัน ราคากันเอง”ไม่เพียงองค์ชายทั้
หลิวหงเถาพูด:เวลาของโลกมนุษย์และดินเแดนเบื้องบนต่างกัน หนึ่งวันของแดนสวรรค์เท่ากับหนึ่งปีของโลกมนุษย์ ระยะเวลารวมที่ข้าเซียนจากแดนแห่งการชำระล้างจากไปเป็น 40 วัน ของแดนสวรรค์ ในเมืองมนุษย์ก็เท่ากับ 40 ปีใช่! ตอนนี้ข้าตายจากการเป็นมนุษย์และได้กลับมายังดินแดนชำระล้างแล้ว พลังบริสุทธิ์ที่คุ้นเคยทำให้ข้ารู้สึกร่างกายคล้ายกับได้รับการเยียวยา พลังวิญญาณแข็งแกร่งขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก …ที่แท้ความรู้สึกของการเลื่อนขั้นเป็นเช่นนี้ข้าเดินเข้าไปที่ห้องโถงใหญ่อันมีดอกไม้นานาชนิดประดับตกแต่งไว้ ทั้งการจัดโต๊ะ ทั้งบรรยากาศโดยรอบให้ความรู้สึกถึงงานเลี้ยงฉลองไม่มีผิด ทันใดนั้นข้าก็ได้ยินเสียงของสตรีผู้หนึ่งดังขึ้น“ยินดีต้อนรับเซียนเถาฮวา ไม่ใช่สิ! ยินดีต้อนรับเทพเถาฮวากลับสู่แดนชำระล้าง ทั้งหมดนี้คืองานฉลองการต้อนรับกลับบ้าน”คนแรกที่ข้าเห็นยามเดินเข้ามาในห้องโถงคือท่านหัวหน้าดินแดน สิ้นประโยคของนางก็เกิดคลื่นพลังมากมายหลากสีขึ้นมาในห้องโถง พร้อมกับการปรากฏตัวของเทพเซียนองค์อื่น ๆ“ยินดีต้อนรับเถาฮวาเฉิน” พวกนางกล่าวต้อนรับข้าด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ข้าจึงมอบรอยยิ้มจริงใจส่งกลับไปให้ทุกคนเช่นกัน“ขอบคุณ
เมื่อยามที่ก้าวเท้าเดินเข้าไปในตำหนักแล้วได้ยินเสียงอ้อแอ้ของเด็กหญิง เสียงพูดไม่ชัดของเด็กชาย เสียงใสของสตรีอันเป็นที่รัก มันทำให้ข้ารู้สึกถึงคำว่า ‘ครอบครัว’นึกอยากขอบคุณเสด็จอาในวันนั้นที่บอกให้เขาอย่าได้สัญญาว่าจะไม่แตะต้องนาง มิเช่นนั้นคืนวันเหล่านี้ก็คงไม่เกิดขึ้นในชีวิตเขา“เสด็จพ่อ”‘อีเกอ’ พระโอรสองค์แรกของเขาวิ่งเข้ามาเกาะขา ร่างสูงก้มตัวลงแล้วอุ้มบุตรชายขึ้นแนบอก กดจมูกหอมแก้มซาลาเปาอย่างหมั่นเขี้ยว การที่มีคนหน้าตาคลายคลึงนางเพิ่มมาถึงสามช่างดีจริง ๆ“ฝ่าบาท…”ฮองเฮาคู่บัลลังก์ของเขาเพียงแค่ส่งยิ้มมอบให้เท่านั้น ไม่ได้ลุกขึ้นทำความเคารพ เพราะเขาเคยห้ามไว้ไม่ให้นางทำในเวลาส่วนตัวเช่นนี้“เป็นอย่างไรบ้าง ตำหนักใหม่ถูกใจฮองเฮาหรือไม่”ฮ่องเต้หนุ่มถามนางขึ้นมาด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำแฝงความนุ่มนวลไว้หลายส่วน นางพยักหน้ารับเบา ๆ แล้วส่งบุตรีคนที่สามมาให้เขาอุ้ม ใบหน้าหล่อเหลาปรากฏรอยยิ้มเมื่อเห็นเหงือกสีชมพูอ่อนไร้ฟันแย้มยิ้มดีใจที่เขาจะอุ้มนาง“เสี่ยวเม่ยของพ่อ”ไทเฮาโปรดหลานสาวคนนี้มากกว่าใคร ฮ่องเต้หนุ่มทราบว่าพระมารดาอยากมีองค์หญิงน้อยมาตลอด แต่ว่าสภาพร่างกายไม่เอื้อต่อการมีบุต