ในยามดึกสงัดเช่นนี้บางคนอาจจะนอนหลับพักผ่อนกายาไปนานแล้ว แต่สำหรับว่าที่ฮ่องเต้องค์ต่อไปของชิงชิวยังต้องสะสางงานอีกมาก
แคว้นชิงชิวเพิ่งสถาปนาได้ไม่นาน ทุกอย่างต้องเร่งสร้างเร่งพัฒนาอีกมาก นอกจากเสด็จพ่อของเขาที่ทรงงานหนักแล้ว ตัวเขาเองก็ต้องเบ่งเบาราชกิจต่าง ๆ ให้ได้มากที่สุดเช่นกัน
‘ระวังตัวด้วย ข้าได้กลิ่นปีศาจ’
ในระหว่างที่กำลังคร่ำเคร่งกับฎีกาตรงหน้านั้น อยู่ ๆ ไท่จื่อก็ได้ยินเสียงร้องเตือนดังขึ้นมาในหัว
“หือ”
คิ้วเข้มพาดเฉียงเลิกขึ้นอย่างแปลกใจ แม้ผู้ที่ร้องเตือนจะอยู่กับเขามาตั้งแต่แรกเกิด แต่ทั้งคู่ก็ไม่ได้พูดคุยกันบ่อยนัก ซึ่งส่วนมากที่ร้องเตือนภัยมักจะเป็นเหตุการณ์ร้ายที่เขาไม่อาจต่อสู้ได้เช่น ภูติ ผี หรือปีศาจที่โดนมารครอบงำ ครั้งล่าสุดที่เคยเผอิญได้เจอก็เมื่อสิบปีก่อน ไม่คาดว่าสิบปีไล่หลังมานี้จะได้พบเจออีกหน
‘อนุญาตให้ข้าได้ปกป้องเจ้า มิเช่นนั้นเจ้าจะโดนควบคุม มันคืบคลานใกล้มากขึ้นแล้ว!’
ไท่จื่อวรยุทธ์แกร่งกล้าไม่แพ้ใครในแคว้นนี้ หากเป็นมนุษย์กับมนุษย์ด้วยกันอย่างไรเขาก็พร้อมสู้ แต่เมื่อสิ่งที่กำลังคืบคลานไม่ใช่มนุษย์ เขาก็ต้องเชื่อฟังมังกรดำ สัตว์เทพที่คุ้มครองเขามาตั้งแต่เกิด
“ได้โปรดคุ้มครองข้า”
สิ้นคำทันใดนั้นตรงอกแกร่งก็มีแสงสว่างลอดออกมาจากรอยประทับอันเป็นสัญลักษณ์ของมังกรดำ แสงจากตะเกียงไม่สว่างพอจะทำให้เห็นร่างขนาดย่อของมังกรดำได้หมดทุกรายละเอียด แต่กระนั้นก็ยังสะท้อนเป็นเงาใหญ่อยู่บนผนังห้องเด่นชัดว่าได้กางเล็บออกและตวัดหางไล่ผู้มุ่งร้ายออกไป
ตู้ม!
พลานุภาพของมังกรดำแข่งแกร่งแค่ไหน ผู้เป็นเจ้าของร่างควันนั้นเข้าใจดีที่สุด เพราะนั่นทำให้เขากลับคืนมาเป็นร่างเนื้อของมนุษย์ดั่งเดิม เสียงครึกโครมที่ดังออกมาจากห้องทรงอักษรทำให้เหล่าองครักษ์ที่อยู่ด้านนอกพร้อมใจกันกรูเข้ามาในห้องทรงอักษรอย่างถือวิสาสะ
“เตี้ยนเซี่ย!”
ไท่จื่อไม่ได้ถือสาเรื่องที่องครักษ์ไม่รอฟังคำสั่งก่อน ออกปากสั่งงานคนของตนเองในทันที
“มีผู้บุกรุก จับมันไว้ ระวังตัวด้วย”
ตามรับสั่ง เหล่าองครักษ์หลวงรีบดาหน้าเข้าไปหาบุรุษในชุดดำที่นอนก้มหน้าแน่นิ่งไป แต่เมื่อเข้ามาถึงตัวเขา ร่างทั้งร่างก็สลายหายวับไปกับตา สร้างความตื่นตะลึงให้กับคนที่ไม่เคยเจอเหตุการณ์นี้ยิ่งนัก
‘ให้คนตามไปดูบริเวณนี้ ข้าซัดพลังเทพเข้าสู่กายมัน อย่างไรก็ต้องบาดเจ็บหนักแน่’
ไท่จื่อทำตามคำแนะนำของมังกรดำ รีบสั่งให้องครักษ์เร่งออกตามหาในทันที รวมถึงตัวเขาก็ออกจากตำหนักเพื่อช่วยตามหาด้วยอีกคน
“เกิดอะไรขึ้น”
ดวงตาคมเห็นองครักษ์ที่รายงานเฉพาะเหตุการณ์ร้ายในเมืองหลวงรีบวิ่งเข้ามาหาจึงหยุดรอคำรายงานจากผู้ใต้บังคับบัญชาก่อน
“เตี้ยนเซี่ย เกิดเหตุนองเลือดขึ้นที่หอโคมเขียวพ่ะย่ะค่ะ”
คิ้วเข้มมุ่นเข้าหากัน หากคนรายงานเช่นนี้เห็นทีว่าโจทก์ที่ว่าคงไม่พ้นเป็นบุตรหลานขุนนางในราชสำนัก
“จากตระกูลใด”
“เป็นบุตรชายเจ้ากรมพิธีการกับบุตรชายแม่ทัพเซียวพ่ะย่ะค่ะ นางคณิกาให้การต่อกองปราบมาเบื้องต้นว่าบุตรชายแม่ทัพเซียวเป็นคนเริ่มการทะเลาะวิวาทก่อน ซึ่งบุตรชายเจ้ากรมพิธีการเป็นผู้ปลิดชีพบุตรชายแม่ทัพเซียวพ่ะย่ะค่ะ”
ไท่จื่อถอนหายใจออกมา “ถึงแก่ชีวิตสินะ”
ตอนแรกไท่จื่อก็คิดว่าเรื่องทั้งหมดเป็นเพียงแค่การทะเลาะวิวาทแล้วพลั้งมือเข่นฆ่ากันเท่านั้น ไม่คิดว่ามังกรดำในกายจะกระซิบขึ้นมาในหัวว่าให้เขาพาไปยังที่เกิดเหตุการณ์ เมื่อไท่จื่อมาถึงยังที่เกิดเหตุการณ์ สิ่งที่มังกรดำเพียงนึกสงสัยก็ได้รับคำตอบแล้ว
‘แม้กลิ่นอายจะอ่อนลงไปแล้ว แต่ยังคงหลงเหลืออยู่ เป็นตนเดียวกับที่พยายามทำร้ายเจ้าแน่’
อีกทางด้านหนึ่ง
เสียงของหนักทุ่มลงบนพื้นไม้ดัง ‘ตุบ’ ทำให้หลิวหงเถาที่กำลังหลับอยู่สะดุ้งตื่นขึ้นมา ฟังจากน้ำหนักแล้วอย่างไรก็น่าจะเป็นคนมากกว่าสัตว์ตัวน้อยอย่างหมาแมว ด้วยความไม่วางใจนางจึงกระซิบเรียกสาวใช้ที่นอนอยู่ไม่ห่างจากเตียงนางนัก
“ลู่หลิน ลู่หลิน…”
ปกติแล้วหลิวหงเถาชอบนอนคนเดียวมากกว่า แต่เพราะช่วงนี้นางป่วยจึงมีสาวใช้มานอนเฝ้าไข้ด้วย นางเรียกเสียงกระซิบอยู่หลายครั้งแต่ลู่หลินก็ยังนอนแน่นิ่ง ไม่มีทีท่าว่าจะขยับเขยื้อนร่างกายเลยสักนิด
“อึก แค่ก ๆ”
เสียงไอดังขึ้นมาทำให้นางสะดุ้งเฮือก มือเรียวยกขึ้นปิดปากแน่น ตอนนี้อย่าว่าแต่ส่งเสียงเรียกใครเลย แค่การขยับเขยื้อนกายบนเตียงนางก็ยังกลัวว่ามันจะดังเกินไปจนคนที่อยู่ด้านนอกนั้นได้ยิน
“ช่วย ช่วยด้วย พี่ เถา เถ่า”
คำว่า ‘ช่วยด้วย’ แฝงด้วยความทรมานของเขาทำให้นางตกใจมากพออยู่แล้ว แต่เมื่อเขาเรียกนางด้วยคำที่ไม่มีใครเรียกอีกเลยนอกจากชิงหมินยิ่งทำให้นางตกใจมากกว่าเดิม
ร่างบางผุดลุกขึ้นมาจากเตียงทั้งที่ร่างกายสวมเพียงชุดคลุมเนื้อบางเท่านั้น ผมเผ้าปล่อยสยายยาวละเอวคอดกิ่วดูเย้ายวนใจผู้คนยิ่ง ไม่ได้คิดเลยว่าสภาพของตนที่เป็นเช่นนี้จะทำให้คนที่ร้องขอความช่วยเหลือหายเจ็บหรือเจ็บมากกว่าเดิม
“หมินมิ่น!”
แม้แสงจากโคมไฟหน้าเรือนจะไม่สว่างนัก แต่ก็พอจะมองเห็นสภาพที่นอนคุดคู้ของชิงหมินอยู่ ไหนจะสีหน้าเจ็บปวดทรมานของเขาอีก
เกิดอะไรขึ้นกับเขากันแน่
“พะ พี่ เถา เถ่า ช่วย ด้วย!”
น้ำเสียงของเขากระท่อนกระแท่นแต่สามารถจับใจความได้ทั้งประโยค หลิวหงเถาไม่รู้ว่าจะสามารถช่วยเหลือเขาได้อย่างไร แต่ก็ได้ตัดสินใจดึงร่างเขาให้เข้ามาในเรือนก่อน
ทว่าดึงไปได้ถึงทางเข้าเรือนนอนเท่านั้นนางก็หมดแรงแล้ว!
“ลู่หลิน ลู่หลิน”
หลิงหงเถาร้องเรียกสาวใช้อีกครั้งเพราะอยากได้กำลังเสริม แต่ลู่หลินก็ยังนอนนิ่งเช่นเดิมจนหลิวหงเถาเดินเข้าไปเขย่าตัวแรง ๆ ทว่านางก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะตื่นขึ้น ชิงหมินที่รู้ดีว่าเพราะอะไรจึงพยายามเอ่ยปากพูด
“ไม่ตื่นหรอก ตอนเช้า ถึงจะตื่น”
แม้หลิวหงเถาจะสงสัยว่าชิงหมินทราบได้อย่างไร แต่เรื่องนั้นยังไม่สำคัญเท่าชีวิตของเขา ขาเรียวเร่งเดินกลับมาหาเขาแล้วพยายามลากร่างไร้เรี่ยวแรงเข้ามาด้านในต่อ แม้จะทะลักทุเลมากแต่สุดท้ายก็สำเร็จ
มือเรียวจับศีรษะเขาให้นอนอยู่บนตักของนางแทน เห็นดวงตาของชิงหมินเริ่มปิดสนิท นางจึงได้เขย่าตัวเขาเบา ๆ เพื่อเรียกสติ
“หมินมิ่นเกิดอะไรขึ้น เหตุใดพี่จึงได้กลิ่นเลือด”
ไม่ปล่อยให้ตนเกิดความสงสัยนาน หลิวหงเถาก็ไล่มือสัมผัสไปบนเสื้อผ้าของเขาจนพบว่าที่มาของกลิ่นนั้นมีความชื้นตรงบริเวณหน้าอก นางจึงรีบปลดชุดของเขาออกแต่ก็ต้องผงะกับภาพที่เห็น
นี่มันแผลอันใดกัน
ก่อนจะปลดเสื้อผ้าเขาออกนั้น นางแอบคิดไว้ล่วงหน้าว่าอาจจะเป็นแผลจากการโดนดาบฟัน แต่ความจริงแล้วกลับไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย มันเป็นรอยไหม้สีดำเป็นลำพาดผ่านตั้งแต่ช่วงหน้าอกไปจนถึงลำคอ โดยบริเวณคอนั้นปรากฏเป็นลักษณะของกงเล็บอย่างเด่นชัดที่สุด
“ช่วยวางมือของท่านทับที่รอยดำนี้…ได้โปรด”
หลิวหงเถาไม่เข้าใจว่าการใช้มือของตนเองนาบลงที่บาดแผลมันจะสามารถช่วยเขาได้อย่างไรกัน “พี่จะเรียกหมอ…” จนกระทั่งชิงหมินคว้ามือของนางไปวางทับไว้เสียเอง
“เชื่อข้า”
น้ำเสียงของเขาจริงจังมากจนนางรู้สึกว่าควรทำตามที่เขาบอก จนเมื่อเวลาผ่านไปได้สักครู่หนึ่งนางก็ตกใจกับผลลัพธ์
“เป็นไปได้อย่างไรกัน!”
รอยดำไหม้บนร่างกายของเขาค่อย ๆ ลดเลือนลงไปเรื่อย ๆ เมื่อใดที่มีแสงลอดออกมาจากแผล รอยไหม้จะหายไป สีหน้าที่เจ็บปวดทรมานในตอนแรกดีขึ้นตามลำดับ จนผ่านไปได้สักประมาณหนึ่งเค่อ ลมหายใจเข้าออกของเขาจึงได้กลับมาเป็นปกติพร้อมกับที่ดวงตากะพริบขึ้นลงเบา ๆ
“ขอบคุณท่าน”
ชายหนุ่มยันกายลุกขึ้นจากตักเล็ก บ่งบอกว่าร่างกายของเขาในตอนนี้ไม่ได้เป็นปัญหาอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นหลิวหงเถาเองต่างหากที่แสดงสีหน้าบิดเบี้ยวขึ้นมาแทน
“โอ๊ย”
“พี่เถาเถ่า”
มือหนาจับไหล่เล็กเอาไว้ สีหน้าฉายชัดว่าเป็นห่วงหลิวหงเถามาก ในหัวคิดไปแล้วว่าการที่นางช่วยรักษาเขาเช่นนี้จะทำให้นางได้รับผลกระทบของการกระทำไปด้วย
“ไม่เป็นไร ๆ แค่เหน็บกิน”
ชิงหมินถอนหายใจยาว เอื้อมแขนไปอุ้มร่างบางกลับไปนั่งบนเตียงแทน ส่วนเขานั่งชันเข่าอยู่ที่พื้นหน้าเตียงช่วยนวดขาให้ทั้งสองข้าง จังหวะนี้หลิวหงเถาถึงได้ถามถึงสิ่งที่เกิดขึ้น ว่าเขาไปโดนอะไรมา แล้วเหตุใดนางจึงสามารถรักษาเขาได้
“เพราะพี่เถาเถ่าเป็นผู้วิเศษกระมังถึงสามารถรักษาหมินมิ่นได้…ไม่สิ! ตั้งแต่หมินมิ่นจำความได้ ท่านก็คือผู้วิเศษของหมินมิ่นเสมอมา”
ชิงหมินไม่ตอบตรง ๆ ทั้งยังเฉไฉไปเรื่องอื่น หลิวหงเถาจึงได้ดึงแขนเขาให้ขึ้นมานั่งบนเตียงแล้วมองหน้าจะเอาคำตอบให้ได้
“บอกความจริงมาบัดเดี๋ยวนี้ เกิดอันใดขึ้นกับเจ้า มีเรื่องอะไรที่ปิดบังพี่อยู่เช่นนั้นหรือ”
ชิงหมินยิ้มเยาะตนเองในใจ จะพูดออกไปได้อย่างไรว่าตัวตนที่แท้จริงของเขาเป็นใครกันแน่ เป็นไปได้เขาอยากจะลบความทรงจำของนางอีกครั้งหนึ่ง แต่อิงจากพลังที่เหลือในตอนนี้ แค่ยังคงความมีร่างเนื้อของมนุษย์อยู่ต่อไปได้ก็เก่งมากพอแล้ว
“ที่จริงก็นับว่าข้าปิดบังท่านอยู่หลายเรื่อง”
เขามองตาหลิวหงเถานิ่ง คนฟังก็จ้องตารอเอาคำตอบอย่างตั้งใจเช่นกันโดยไม่ให้หญิงสาวได้ทันตั้งตัว มือหนาก็เอื้อมไปจับใบหน้าเล็กแล้วประทับริมฝีปากลงไปแนบชิด
“อื้อ!”
หลิวหงเถาเผยอริมฝีปากออกเล็กน้อยเพราะตั้งตัวไม่ทัน แต่นั่นเป็นการเปิดโอกาสให้ชิงหมินตวัดลิ้นชิมรสได้ถนัดถนี่ ทุกอย่างของนางสามารถทำให้เขาหลงใหลได้อยู่เสมอ เพียงแค่แตะต้องนิด ๆ ก็อยากจะทำมากกว่านี้ให้ลึกซึ้งขึ้นไปอีก
แต่แล้วก็ต้องโดนดับฝันไปเมื่อมือบางผลักอกเขาออกอย่างแรง!
“หมินมิ่น!”
“ข้ารักท่าน”
คำสารภาพรักที่ปุปปับเช่นนี้ทำเอานางตั้งตัวไม่ทันจนนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ จากที่จะต่อว่าเขาแรง ๆ ก็ถูกประโยคนี้เบนความสนใจไป และที่สำคัญยังทำให้นางลืมเลือนเรื่องที่กำลังจะเค้นถามเขาก่อนหน้านี้ด้วย
“พูดอะไรออกมานะหมินมิ่น แล้วเมื่อครู่เจ้า…จุมพิตพี่!”
ท่าทางตื่นตกใจของนางทำให้ชิงหมินหลุดหัวเราะออกมา ดวงตาหลุบลงต่ำจนเผลอมองส่วนอวบอิ่มของกายบางเข้า
ชุดที่นางใส่อยู่บางมากและยังไร้เอี๊ยมบังทรง ทำให้เห็นยอดประทุมถันดุนดันออกมาอย่างเห็นได้ชัด คอแกร่งเผลอกลืนน้ำลายคงคอ ผู้เป็นเจ้าของร่างกายมองตามสายตาเขาลงไป
“นี่…”
นางคิดไม่ทันหรืออย่างไรชิงหมินไม่รู้ แต่แทนที่นางจะคว้าผ้าห่มมาคลุมกายไว้แต่กลับโผลตัวเข้าหาเขาเพื่อปิดบังร่างกายแทน
หลิงหงเถารู้ตัวว่าตัวเองคิดผิดก็ตอนที่ชิงหมินสอดแขนเข้ากับเอวคอดกิ่วแล้วดันตัวนางนอนลงแนบเตียง
“หมินมิ่นรักพี่เถาเถ่า”
ใบหน้าของทั้งคู่อยู่แนบชิดกันมาก ไฟจากตะเกียงหัวเตียงทำให้หลิวหงเถาเห็นสายตาของเขาในยามที่เอ่ยบอกรักนางได้อย่างชัดเจน มันทั้งจริงจังและแฝงไปด้วยอารมณ์รักใคร่แบบที่นางไม่เคยเห็นสายตาแบบนี้จากเขามาก่อน
ในจังหวะที่ริมฝีปากหนากำลังลงมาแนบริมฝีปากของนางอีกครั้ง นางก็หันใบหน้าหนีจนจมูกโด่งสัมผัสไปที่ผิวแก้มของนางแทน
“นี่ก็ดึกมากแล้ว เจ้ากลับไปนอนเถิด”
“ยังไม่ง่วงเลย จะนอนได้อย่างไร”
เอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบพร่าพร้อมกับที่จมูกโด่งฝังเข้ากับลำคอขาว ริมฝีปากเย็นเฉียบจรดลงบนผิวนุ่มพร้อมตวัดลิ้นชิมรสไปด้วย แน่นอนว่าหลิวหงเถาไม่ได้ปล่อยให้เขาทำตามใจ ออกแรงดิ้นให้เขาหลุดออกไปจากร่างนาง แต่ดิ้นอีท่าไหนไม่รู้ ชุดคลุมเนื้อบางกลับหลุดออกจากกายจนเผยเนินเนื้อเรียกอารมณ์กระสันให้กายหนุ่มมากขึ้น
นางคงไม่รู้ว่ายิ่งดิ้นทุรนทุรายให้หลุดออกไปจากกายเขามากเท่าไร มันก็ยิ่งดูยั่วยวนใจมากขึ้นเท่านั้น เพื่อไม่ให้ตนเองเผลอไผลไปมากกว่านี้ ก็ต้องเป็นเขาที่เป็นฝ่ายตัดใจเสียเอง
“…วันนี้เท่านี้ก่อนก็ได้ รออีกเพียงไม่นานข้าจะทำให้เรื่องของเราเป็นไปได้อย่างถูกต้อง”
***นิยายเรื่องนี้มีวางขายเล่มเต็มที่ Mebmarket***
ข่าวดังที่สุดของเมืองหลวงในหลายวันที่ผ่านมาย่อมเป็นเรื่องฆาตกรรมที่เกิดขึ้นกับหอโคมเขียวชื่อดัง แต่เพราะว่าเหตุการณ์มันเกิดขึ้นในช่วงใกล้วันอภิเษกขององค์ไท่จื่อ ดังนั้นเจ้ากรมยุติธรรมจึงเร่งสั่งให้ปิดคดีแล้วสรุปผลออกมาว่าเป็นเพียงเพราะเมาสุราแล้วเกิดการทะเลาะวิวาทกันเท่านั้น ผู้เสียชีวิตคือบุตรชายของแม่ทัพเซียวและผู้ที่เป็นฆาตกรก็ถูกสั่งให้จำคุก โดยสองขุนนางในราชสำนักกลายเป็นปรปักษ์กันไปตลอดกาลเมื่อมาถึงวันงานอภิเษก ข่าวทั้งหลายก็เงียบสงบลง มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ยังข้องใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น หนึ่งในนั้นคือไท่จื่อ เขาได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจโดยยังคงแอบสืบหาความจริงอยู่เรื่อย ๆวันงานอภิเษกจูจิ่วลี่และหลิวหงเถาถูกจินเซียนเหม่ยชวนมาอยู่เป็นเพื่อนเจ้าสาวด้วยกัน ความจริงหลิวหงเถาจะหาข้ออ้างปฏิเสธก็ได้หากไม่อยากมาเป็นสักขีพยานในงานแต่งผู้อื่นที่พระสวามีในอนาคตอาจจะเป็นคนเดียวกัน แต่เพราะว่านางอยากหลบหน้าชิงหมิน ไม่อยากอยู่จวนที่ทุกพื้นที่มีแต่เขาวนเวียนอยู่รอบกาย หลังจากที่จุมพิตกับเขาในคืนนั้น นางรู้สึกว่าอยู่ ๆ ก็มีความทรงจำไม่ทราบที่มาผุดขึ้น อย่างเช่นนางเคยให้น้ำแก่ขอทานผู้หน
นางหลบหน้าข้า!ชิงหมินตะโกนประโยคนี้ในใจเมื่อเห็นหลิวหงเถารีบหันกายหนี ตั้งแต่คืนนั้นพวกเขาสองคนก็ไม่ได้สทนากันอีกเลย กอปรกับชิงหมินกำลังฟื้นฟูพลังอยู่จึงไม่สะดวกไปคุยกับนางให้รู้เรื่องก็ว่า เมื่อก่อนข้าหายหน้าไปเกินหนึ่งวันต้องออกตามหาแล้ว แต่นี่หายไปหลายวันไม่ออกตามหา ที่แท้เพราะตั้งใจหลบหน้ากัน!“น้องหญิงเล็ก!”วันนี้ชิงหมินตามหลิวหลี่เฟยมาตลาด เผอิญได้พบหลิวหงเถาที่โรงเตี๊ยมเข้า ปฏิกิริยาตอบสนองแรกของนางคือตื่นตกใจอย่างกับเห็นพวกเขาเป็นผี จากนั้นก็วิ่งหนีขึ้นรถม้าไปในทันที“จะรีบไปไหนน้องหญิงเล็ก!”ขนาดหลิวหลี่เฟยวิ่งเข้าไปหาแล้วยืนเรียกข้าง ๆ รถม้า นางก็ยังไม่ยอมแม้แต่จะแง้มผ้าม่านออกมาพูดคุย ทั้งยังสั่งให้คนบังคับรถม้าออกตัวได้ ชิงหมินคิดว่าถ้าตนกระโดดขึ้นรถม้าในตอนนี้ หลิวหลี่เฟยก็คงจะตามมาด้วย ซึ่งเขาไม่อยากให้เป็นเช่นนั้นจึงได้ใช้พลังปีศาจสะกดคนบังคับรถม้าให้เปลี่ยนเส้นทางไปที่นอกเมืองแทนข้าตัดสินใจแล้ว อย่างไรวันนี้จะต้องคุยกันให้รู้เรื่องทางฝั่งหลิวหงเถา“เฮ้อ คิดว่าจะหนีไม่พ้นเสียแล้ว”คนที่คิดว่าตัวเองสามารถหลบหน้าผู้อื่นได้ถอนหายใจยาว ระหว่างนั้นก็นั่งคิดวิธีที่จะทำใ
‘ตาแก่ขี้จุ้นจ้าน ไล่ข้าให้มาอยู่แดนมนุษย์ตั้งนานไม่เคยมาเหลียวแลกันเลยสักนิด พอข้าอยากมีความรักดี ๆ กับเขาบ้างมายุ่งจุ้นจ้านอะไรด้วย!’‘ก็เจ้ามันลีลาท่าเยอะ จอมปีศาจผู้นี้เห็นแล้วหงุดหงิดตาจึงช่วยให้ ไม่ได้หรืออย่างไร’‘ก็ไม่ได้นะสิ เรื่องของข้าข้าจัดการเองได้‘เหอะ! ขืนปล่อยให้เจ้าจัดการเองก็คงได้เผลอฆ่ามนุษย์ไปมากกว่านี้อีกแน่ รู้ทั้งรู้ว่าการทำลายมนุษย์เท่ากับเลือกเป็นศัตรูกับเแดนสวรรค์ หากเจ้ารักนางจริงเพียงทนรอเท่านั้น แม้มันจะมีอุปสรรคไปบ้าง แต่ระหว่างเทพเซียนกับปีศาจย่อมเป็นไปได้มากกว่าปีศาจกับมนุษย์’‘ท่านหมายถึงให้ข้ารอนางหมดอายุขัยของการเป็นมนุษย์ก่อนเช่นนั้นหรือ? แล้วข้าจะมั่นใจได้อย่างไรว่าเมื่อนางกลับไปเป็นเทพเช่นเดิมแล้วจะยังรักข้า’‘น่าขัน! ทำอย่างกับว่าตอนนี้นางบอกรักเจ้าแล้ว’‘น่าขันตรงไหน ทำอย่างกับตัวเองรู้จักความรักดี’ชิงหมินนึกถึงบทสนทนาที่เกิดขึ้นระหว่างตนกับจอมปีศาจเมื่อหลายชั่วยามก่อนหน้านี้“ข้ารู้ว่าท่านรักข้าจะตาย ใช่หรือไม่”น้ำเสียงอ่อนหวานถูกใช้ถามร่างบางที่กำลังหลับตาพริ้มอยู่ในห้วงนิทรา คืนนี้ก็เป็นอีกคืนที่เขาลอบเข้ามานั่งมองนางนอนหลับ การได้มองนางนอ
‘ต้องตายจากการเป็นมนุษย์เพื่อกลับสู่การเป็นเทพ’นี่คือสิ่งที่หมินมิ่นบอกกับข้าเมื่อคืน ข้าจะต้องผ่านการใช้ชีวิตผ่านด่านเคราะห์ต่าง ๆ ไปให้ได้ก่อนเพื่อที่จะสามารถใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันกับเขาในฐานะปีศาจกับเทพเซียนได้ โชคดีมากที่ทั้งสองเผ่าสงบศึกกันแล้ว หากเป็นเมื่อก่อนที่ยังทำสงคราม ปะกันทีเป็นอันต้องหันดาบใส่กันทุกครั้งแต่หากข้าปล่อยให้ชีวิตเป็นไปตามที่ลิขิตไว้ เช่นนั้นข้าจะต้องถวายตัวเป็นเช่อเฟยของไท่จื่อหรือ ข้าก็ต้องมีอะไรกับคนที่ไม่ได้รักเช่นนั้นสิ“เหม่ออะไรอยู่หรือเถาเอ๋อร์ แม่เห็นเจ้าเอาแต่เขี่ยข้าวเล่น ไม่คีบทานเสียที”หลิวหงเถาหลุดออกมาจากภวังค์ความคิดแล้วหันไปมองหน้ามารดาที่คีบอาหารมาวางในชามให้นางเพิ่มเป็นการ ‘บังคับทาน’ อยู่กลาย ๆ “น้องเล็กดูแปลกไปขอรับท่านแม่ เมื่อวานเจอกันอยู่หน้าโรงเตี๊ยมก็เพิกเฉยใส่ ทำราวกับว่าไม่รู้จักกันเสียอย่างนั้น”หลิวหงเถาร้อง ‘เหอะ’ ออกมาเบา ๆ จากนั้นก็ตอกหน้าเขาออกไปอย่างเจ็บแสบ “ใครเขาอยากจะคุยกับอันธพาลเล่า อยู่ดี ๆ ก็ไปชกต่อยผู้อื่น ไม่โดนจับขังคุกไปก็ดีเท่าไรแล้ว”“ไม่ใช่อยู่ดี ๆ ก็ไปชกต่อยผู้อื่นเสียหน่อย พี่ย่อมมีเหตุผล”คนเป็นพี่ที่คิดว่
หลิวหงเถาและจูจิ่วลี่ขอตัวกลับทันทีหลังจากที่มื้อเที่ยงได้ร่วมโต๊ะเสวยกับไท่จื่อเฟย ด้วยเพราะจูจิ่วลี่ยังไม่อยากกลับจวนในตอนนี้ นางจึงได้ชวนหลิวหงเถาไปหาอะไรทำสนุก ๆ ต่อ“เจ้าเคยเข้าหอศิลป์หรือไม่ โครงการที่ไท่จื่อเตี้ยนเซี่ยทรงริเริ่มทำได้ไม่นานมานี้ ข้าได้ยินมาว่าที่นั่นกำลังอยากได้งานฝีมือมาประดับหอศิลป์ไว้ ในอนาคตเอาไว้สำหรับใครที่ต้องการทำการกุศลก็ให้เอางานศิลปะแขนงต่าง ๆ ส่งไปที่นั่นได้ หากภาพใดที่ขายออก รายได้จะถูกบริจาคให้เด็กยากไร้ในชนบท”หลิวหงเถาไม่ได้ติดตามข่าวสารในช่วงนี้เลย นางจึงส่ายหน้าปฏิเสธ แต่ในขณะเดียวกันนางก็ตั้งคำถามขึ้นมาด้วยว่า ‘งบราชการแผ่นดินไม่เพียงพอสำหรับเด็กยากไร้เลยหรือ’ แม้จะเห็นด้วยกับการกุศล แต่ใจมันก็ยังตั้งคำถามขึ้นมาอยู่ดี“ทำไม เจ้าอยากจะส่งผลงานอะไรทำการกุศลล่ะ ภาพจากฝีมือเจ้าจะขายได้หรือ”จูจิ่วลี่นิ่วหน้า “หยาบคาย กล่าวเช่นนี้ต่างอะไรกับการที่เอามือตบหน้าข้า…แต่ก็เอาเถอะ ตกลงจะไปด้วยกันหรือไม่”หลิวหงเถาส่ายหน้า ตอนนี้นางยังหาทางออกสำหรับชีวิตตัวเองไม่ได้เลย ไม่พร้อมจะไปช่วยเหลือใครหรอก“ข้าไม่ได้มีเวลาถึงเพียงนั้น เจ้าไม่มีสหายคนอื่นแล้วหรืออย
หากอยากบรรจงสรรค์สร้างภาพวาดที่สื่อถึงความเป็นตัวเองขึ้นมา แน่นอนว่าหลิวหงเถาคงวาดป่าท้อ สระบัว สวนบุปผาในทางสายหวานให้เข้ากับใบหน้า แต่หากนางวาดเช่นนั้นก็คงดูจะไม่แตกต่างจนมาแทนที่ทุ่งบุปผางามในแดนสรวงสวรรค์แบบภาพเดิมได้คงต้องฉีกแนวอีกแล้วในระหว่างที่คิดว่าจะวาดภาพอะไรขึ้นมาดีนั้น หลิวหงเถาก็ได้ยินคำพูดที่ว่า ‘วาดข้าสิ มังกรดำ’ ดังขึ้นมาในหัวอยู่หลายครั้งนางมองซ้ายแลขวาก็ไม่เห็นใครที่เป็นบุรุษอยู่ในที่แห่งนี้เลย ในห้องโถงที่ตั้งสำหรับการวาดภาพศิลปะนอกจากนางและจูจิ่วลี่แล้ว ก็มีสตรีอื่นอีกแค่ไม่กี่คนเท่านั้น“มองอะไรหรือ” จูจิ่วลี่ทักขึ้นเมื่อเห็นหลิวหงเถามองซ้ายมองขวา สีหน้าดูตื่นตะลึงยิ่ง“เจ้าไม่ได้ยินเสียงอันใดหรือ ข้าได้ยินเสียงบุรุษอยู่ใกล้ ๆ แถวนี้”คนที่ตอนแรกตั้งใจอยากวาดพัดแต่ตอนนี้เปลี่ยนใจมาวาดร่มด้วยอีกคนส่ายหน้า แววตาฉายความตื่นตะลึงไม่น้อย เรื่องลี้ลับผีสางอะไรพวกนี้คือสิ่งที่นางกลัวจับใจ“อย่ามาล้อกันเล่นนะ ข้าว่าหูเจ้าเพี้ยนแล้ว!”“ไม่น่าใช่นะ” หลิวหงเถามั่นใจว่าตัวเองหูไม่ได้แว่วแน่ สองมือยกขึ้นจับใบหูทั้งสองข้าง คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันยุ่งไม่น่าคิดไปเองว่าได้ยิน
“ข้าไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าความอิจฉาของข้าก็มีประโยชน์เหมือนกัน” คำพูดนี้เกิดขึ้นมาหลังจากที่ภาพวาดบนร่มของหลิวหงเถาถูกวางแทนที่ร่มลายบุปผาสวรรค์ ผู้มีพรสวรรค์เพียงแค่ไม่กี่ชั่วยามก็สามารถรังสรรค์ภาพงดงามแปลกตากว่าที่ใครทำได้ ร่มทั้งหมดที่ถูกเขียนมีแต่สีสันสวยงาม พอเจอมังกรดำตัดกับสีขาวของหลิวหงเถาไป ไม่แปลกหากจะตรึงสายตาของคนมองได้หลิวหงเถาได้รับเสียงคำชมจากทุกคนถล่มทลาย แต่เจ้าของผลงานแค่ยิ้มรับแสดงคำขอบคุณสำหรับคำชมเท่านั้น แต่สิ่งที่ทำให้นางตื่นเต้นจนร้อง ‘งื้อ’ ออกมาจากลำคอได้คือร่มสีชมพูมีพู่ห้อยระย้าของจูจิ่วลี่ต่างหาก“น่ารักมาก ข้าอยากได้อันนี้กลับจวน”เดิมทีจูจิ่วลี่รู้สึกหม่นหมองเป็นอย่างมาก ทุกคนพากันให้ความสนใจญาติตระกูลสายรองของนางกันไปเสียหมดจนละเลยคุณหนูตระกูลจินเช่นนาง โดยเฉพาะไท่จื่อที่สายตาจดจ้องเพียงแค่หลิวหงเถาเท่านั้นยังไม่ทันได้ถวายตัวเลย นี่ข้าจะแพ้ตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มเลยหรือ“ก็แค่ร่มดาดดื่นทั่วไปเท่านั้น ไม่เห็นจะน่าตื่นเต้นตรงไหน”คนเรามักมองไม่เห็นค่าในสิ่งที่ตัวเองทำและมักจะรู้สึกตายด้านกับสิ่งที่ได้รับอยู่เสมอ ต่อมความอิจฉาของหลิวหงเถาก็เช่นกัน นางดีใ
ชิงหมินตื่นขึ้นมาอีกทีก็ตอนช่วงเช้าของสามวันให้หลังจากที่เขาเกิดอาการกระอักเลือดออกมา ห้องนอนของเขาคับแคบไม่ได้มีเครื่องเรือนอื่นอีกนอกจากหมอน ผ้าห่มและที่นอนวางพื้น ทั้งหมดที่ว่ามานี้ล้วนเป็นสิ่งที่หลิวหงเถามอบให้ทั้งสิ้น“หมินมิ่น”เสียงหวานแสดงความดีใจออกมาอย่างเปี่ยมล้น นางรีบถามอาการของเขาเช่น ยังเจ็บอยู่หรือไม่ อยากให้ตามหมอไหม แล้วอะไรอีกมากมายจนร่างสูงที่กำลังจะลุกขึ้นมานั่งตามการช่วยเหลือของหลิวหงเถากับลู่หลินแสดงอาการสับสนออกมาในทันที หว่างคิ้วขมวดเข้าหากันมุ่น เอ่ยถามขึ้นมาด้วยท่าทางสงสัย “ท่านเป็นใครหรือ”รอยยิ้มกว้างค่อย ๆ แคบลงเรื่อย ๆ เมื่ออาการสับสนของเขามันดูจริง ไร้การเสแสร้ง “ลู่ ลู่หลิน” ริมฝีปากอิ่มสั่นระริกยามที่เอ่ยเรียกสาวใช้ “ไปตามหมอเดี๋ยวนี้!”“เจ้าค่ะคุณหนู”หลิวหงเถาจับจ้องใบหน้าหล่อเหลาอยู่ตลอด ทำให้เห็นว่าคิ้วหนาเลิกขึ้นทันทีเมื่อได้ยินลู่หลินเรียกนางว่า ‘คุณหนู’ อีกทั้งยังกวาดสายตามองไปรอบ ๆ สีหน้าดูย่ำแย่มากกว่าเดิมจนหลิวหงเถารู้สึกใจไม่ดี น้ำตาเริ่มคลอหน่วย ปริ่มจะหยดลงบนใบหน้าเนียนอยู่รอมร่อ“หมินมิ่น เจ้าเป็นอะไรไป นี่พี่เถาเถ่าอย่างไรเล่า เจ้าลืม
ตอนพิเศษที่ : 3เริ่มต้นชีวิตคู่ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยณ ห้องหอของบ่าวสาวคู่ใหม่ในวังปีศาจ สองบ่าวสาวคล้องแขนกันดื่มสุรามงคลที่เถาฮวาเฉินเป็นผู้ทำขึ้นมาเอง แน่นอนว่ารสชาติที่ได้ย่อมต่างจากสุราทั่วไปที่นางให้ผู้อื่น“รู้หรือไม่ว่าสุราที่เราให้ฉางฉ่างดื่มจะทำให้ฉางฉ่างไม่สามารถไปดื่มสุราที่ใดได้อีก”“ข้ารู้”เถาฮวาเฉินเลิกคิ้วขึ้นสงสัย “เหตุใดถึงไม่แปลกใจหรือไม่สงสัยอันใดเลย ไม่คิดบ้างหรือว่าเราอาจจะวางยาอะไรใส่ให้ฉางฉ่างดื่มกินก็ได้”หยิ่นฉางยกยิ้ม ทั้งยังเทสุราใส่จอกแล้วยกดื่มให้นางดูอีกสามครั้ง เป็นการบอกว่าเขาไม่ได้สงสัยในสิ่งนี้ ช่างขยันในการพิสูจน์ด้านการกระทำสำคัญกว่าคำพูดจริง ๆ“ท่านรู้สึกแย่หรือไม่ ที่ข้าไม่ได้บอกท่านก่อนเรื่องที่ให้ท่านพ่อเตรียมงานแต่งงานของเราไว้”ท่าทางของเถาฮวาเฉินไม่แสดงออกว่าโกรธหรือไม่ แต่เขาก็ยังอยากรู้ความรู้สึกลึก ๆ ของนาง“อือ” นางทำท่าคิดอยู่ครู่หนึ่ง แต่คนที่เฝ้ารอคำตอบกลับแอบกลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัว “อาจจะตกใจไปบ้าง แต่ก็ไม่ได้รู้สึกแย่อะไรนะ ฉางฉ่างก็อย่าคิดมาก เราเป็นคนตรง ๆ อยู่แล้ว คิดอย่างไรรู้สึกอย่างไรไม่เก็บมาคิดคนเดียวหรอก”“จริงหรือ”“จริงสิ
ตอนพิเศษที่ : 2องค์ชายเล็กของแดนปีศาจ“ว้าว~นี่เป็นครั้งแรกเลยกระมังที่เราได้มาเยือนพระราชวังของแดนปีศาจ ใหญ่โตดูมีเสน่ห์ไปอีกแบบเหมือนกันนะฉางฉ่าง”หลังจากที่ผ่านช่วงเวลาแนบชิดกันมาสามวัน คำเรียกของทั้งคู่ก็เปลี่ยนไปแล้ว จาก ‘หยิ่นฉาง’ ก็เป็น ‘ฉางฉ่าง’ และจากเถาฮวาก็เป็น ‘เถาเถ่า’“ต่อไปที่นี่ก็คือบ้านของเถาเถ่า ท่านพ่อต้องชอบท่านแน่ ไม่ต้องกังวลนะ เขาจะดีต่อท่าน”เถาฮวาเฉินพยักหน้ารับพร้อมสูดหายใจเข้าลึก ในใจคิดเหตุใดข้าจึงรู้สึกว่าเพิ่งผ่านช่วงแต่งงานแล้วก็กลับมาเยี่ยมบ้านเจ้าสาวกันนะ ว่าแต่…“จอมปีศาจจะชอบสุราของเราหรือไม่ สุราหมื่นปีแบบนี้แม้จะเป็นของหายาก แต่ไม่ได้มีใครที่จะได้ดื่มกินบ่อย ๆ ไม่แน่ว่าเขาอาจจะไม่คุ้นลิ้น อย่างช่วงงานฉลองราชย์ขององค์เง็กเซียนฮ่องเต้ เราเคยเอาสุราหมื่นปีถวายเช่นกัน แต่พระองค์มิใคร่พอใจนัก ช่างเอาใจยากจริง ๆ”หยิ่นฉางหัวเราะในลำคอเบา ๆ หากบิดาของเขาได้ยินคำบ่นนี้ของนางไม่วายหัวเราะชอบใจที่นางเอ่ยนินทาประมุขของเผ่าสรรค์เช่นนี้“ทุกคนรอเราอยู่ที่ท้องพระโรงใหญ่”“หือ ท้องพระโรงหรือ”เถาฮวาเฉินรู้สึกเอะใจกับคำพูดนี้ของเขามาก จนกระทั่งเขาพานางเดินมาถึงจ
ตอนพิเศษที่: 1กิจกรรมที่คนคบกันเขาทำกัน ณ พระราชวังแคว้นชิงชิว “ท่านว่าเรามองนางอยู่เช่นนี้มานานแค่ไหนแล้ว”“ไม่รู้สิ หนึ่งชั่วยามได้แล้วหรือไม่ ถ้าท่านรู้สึกว่าเสียเวลาก็ไปทำงานที่คั่งค้างไว้ก่อนได้เลย ข้าขอดูนางต่ออีกหน่อย”หยิ่นฉางส่ายหน้าเบาๆ “ได้ใช้เวลาอยู่กับท่าน เช่นนี้ไม่เรียกว่าเสียเวลาหรอก แล้วอีกอย่างข้าก็ว่างมากด้วย”ตอนนี้เถาฮวาเฉินและหยิ่นฉางได้ลงมาโลกมนุษย์อีกครั้งเพื่อทำกิจกรรมที่คู่รักเขาทำกัน นั่นคือการทำอะไรก็ได้ให้ใช้เวลาร่วมกันมากที่สุด ซึ่งสิ่งที่เถาฮวาเฉินเสนอมาก็คือการนั่งมององค์หญิงสาม บุตรสาวของหลิวหงเถาที่กำลังนั่งอ่านตำราอยู่เถาฮวาเฉินละสายตาจากองค์หญิงสามเพื่อหันกลับมาจ้องมองหยิ่นฉาง “ใช้คำพูดรุกเราให้ใจเต้นรัวอีกแล้วนะ” จากนั้นก็จูงมือเขาออกจากศาลาที่องค์หญิงสามนั่งอยู่ ทั้งคู่พรางกายเอาไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้มีมนุษย์ผู้ใดสามารถมองเห็นได้“ช่วงข้าวใหม่ปลามันจะให้แผ่วได้อย่างไร”ไม่เพียงแต่พูดเท่านั้น แขนยาวยังเอื้อมไปโอบไหล่นางพร้อมซบหน้าลงหัวไหล่ด้วย เถาฮวาเฉินไม่ได้ขัดขืนทั้งยังยกมือขึ้นลูบศีรษะเขาตอบ ทั้งคู่จับมือกันเดินผ่านสวนงดงามของวังหลวงและพูด
เถาฮวาเฉินพูด :“อื้อ~สบายจัง”ข้าบิดขี้เกียจพร้อมกล่าวเสียงอู้อี้ออกมาขณะที่ดวงตายังคงปิดสนิทอยู่ ข้ารู้สึกที่นอนนั้นช่างหนานุ่ม สามารถดูดวิญญาณของข้าให้อยู่บนนี้ได้ทั้งวัน แต่เดี๋ยวก่อนนะ…“ข้ามีเตียงแบบนี้ด้วยหรือ”“...จากที่ข้าลอบเข้าไปดูที่แดนดอกท้อ ไม่มีนะท่าน”เฮือก!เพียงแค่ได้ยินเสียงของเขาเท่านั้นข้าก็เด้งตัวขึ้นมานั่ง จากที่ไม่อยากลืมตาสู้แสง ดวงตากลับแจ่มชัดไร้ความพร่ามัว“นี่ท่าน…”กำลังจะตั้งคำถามว่า ‘นี่ท่านมาอยู่ห้องของเราได้อย่างไร’ แต่สุดท้ายก็เงียบไป เพราะคิดได้ว่าตนเองต่างหากที่มาอยู่ในดินแดนของผู้อื่น“ว่าต่อสิ หรือกำลังคิดอยู่ว่าข้าได้ทำอะไรท่านหรือไม่”หยิ่นฉางถามขึ้นยิ้ม ๆ ทั้งยังถอยห่างออกจากข้าดั่งกับว่าเขาอยากให้ข้ารู้สึกปลอดภัย ไม่โดนคุกคามอยู่ นั่นจึงทำให้ข้ารู้สึกดีต่อการกระทำนี้ของเขามาก“เราเปล่าคิดเช่นนั้นสักหน่อย ว่าแต่ท่าน…”ข้าไล่สำรวจเขาทั้งร่าง ตอนแรกก็แค่รู้สึกว่าเขามีอะไรเปลี่ยนไปสักอย่าง พอสำรวจอย่างละเอียดอีกที ที่แท้เป็นเพราะชุดสีขาว“ข้าดูแปลกตาไปใช่หรือไม่ ท่านจึงได้จ้องตาไม่กะพริบถึงเพียงนี้”หยิ่นฉางถามด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ ก่อนที่จะยื่นมือม
สิ้นคำที่หยิ่นฉางปฏิเสธว่าตนไม่ใช่ ‘สุภาพชน’ เขาก็แสดงอาการตรงข้ามกับคำพูดนี้ทันทีโดยการอุ้มร่างบางเข้าสู่อ้อมแขนแล้วหายวับกลับถิ่น ณ ดินแดนปีศาจในทันทีตุบ!“โอ๊ย!”หยิ่นฉางวางเถาฮวาเฉินลงบนเตียงอย่างแรงจนร่างบางรู้สึกเจ็บจนต้องร้องออกมา ใบหน้างามชักสีหน้าใส่เขา แต่หยิ่นฉางหรือจะสน ร่ายมนตร์สร้างอาณาเขตไว้เพื่อไม่ให้เถาฮวาเฉินใช้พลังหนีออกจากที่นี่ไปได้จนกว่าจะสนทนากันให้รู้เรื่อง“ท่านรู้หรือไม่ว่าตอนนี้ ข้าก็นับว่าเป็นปีศาจที่แข็งแกร่งที่สุดตนหนึ่งในแดนปีศาจ มีทั้งประสบการณ์ด้านการต่อสู้ ไม่ว่าจะทั้งสัตว์อสูรร้ายหรือแม้กระทั่งเทพเซียนที่แข็งแกร่ง ข้าก็ผ่านมาแล้ว สำหรับท่านที่วัน ๆ หมักแต่สุรา...”พูดเพียงเท่านี้ก็เงียบไป อีกทั้งยังส่ายหน้าน้อย ๆ สองครั้ง ทำเอาคนถูกสบประมาทเดาคำว่า ‘สำหรับข้าไม่นับว่าเป็นอะไร จะบีบก็ตายจะคลายก็รอด’ จากท่าทางของหยิ่นฉางได้แล้ว“เมื่อก่อนท่านไม่ได้เป็นแบบนี้ แต่เหตุใดถึงได้เปลี่ยนมาเป็นเช่นนี้”หยิ่นฉางเลิกคิ้ว “ก็ไม่ใช่ว่าท่านบอกให้ข้าลืมเลือนเรื่องในอดีตหรอกหรือ นี่อย่างไร ข้าก็ลืมความอ่อนโยนที่เคยมีให้แล้วแสดงตัวตนที่แท้จริงออกมาแล้ว ตกลงจะเอาอย่าง
“หึ! โดนเสด็จพ่อของพวกเจ้าลงโทษเรื่องใดมาเล่า ถึงได้มากวาดลานวัดเช่นนี้”“ท่านน้า”องค์ชายแฝดทั้งสองทิ้งไม้กวาดแล้ววิ่งเข้าไปหา ‘ท่านน้าหยิ่นฉาง’ ผู้ที่เวลาไม่สามารถทำอะไรเขาได้เลย เมื่อก่อนมีรูปลักษณ์เช่นไรตอนนี้ก็ยังเป็นเช่นเดิมไม่แปรเปลี่ยน“พวกเจ้านี่นะ โตจนป่านนี้แล้วยังทำตัวเหมือนกับลูกลิงอยู่ได้ รักษาภาพลักษณ์องค์ชายแห่งแคว้นบ้างเถิด”องค์ชายใหญ่พ่นลมหายใจออกจากจมูกอย่างแรง ก่อนที่จะเอ่ยด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด“ท่านน้า ภาพลักษณ์ของพวกเราไม่เหลือตั้งแต่ที่เสด็จพ่อให้มากวาดลานวัดเช่นนี้แล้วขอรับ”“แต่ข้าว่าไม่เหลือตั้งแต่ไปก๊งเหล้าที่ร้านนั้นแล้วละ”อ๋องน้อยกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ก่อนที่จะเดินเข้ามารวมกลุ่มด้วย ที่จริงเขาไม่ได้โดนลงโทษให้มากวาดลานวัดเช่นนี้ แต่มีหรือที่องค์ชายแฝดจะปล่อยให้เขารอดไปได้ ทั้งยังกล่าวว่า…‘มีสุขร่วมเสพ มีทุกข์ก็ต้องร่วมฝ่าฝันไปด้วยกัน’“หือ” หยิ่นฉางเลิกคิ้วถาม “ร้านใดกันที่ทำให้ท่านอ๋องน้อยแห่งตำหนักชินอ๋องถึงขั้นไปลิ้มลองได้”องค์ชายรองเป็นคนอธิบายคำถามนี้ “เป็นร้านสุราดอกท้อข้างทางเล็ก ๆ ร้านหนึ่งขอรับท่านน้า คนขายเป็นพ่อค้าหน้าหยก รสชาติสุราเป็นร
“ต้าเกอ วันนี้กระบวนท่าไม่เลวเลย ฝีมือท่านพัฒนาขึ้นมาก”“เป็นเอ้อร์ตี้ออมมือให้ต่างหาก มิเช่นนั้นเราคงไม่เสมอกันเช่นนี้ เอาเป็นว่าขอบคุณที่ทำให้ต้าเกอไม่เสียหน้าก็แล้วกัน ไม่สิ! ต่อให้แพ้ แต่แพ้เอ้อร์ตี้ ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกอายอะไร”“ต้าเกอก็ชมข้าเกินไปแล้ว มา! เอ้อร์ตี้คารวะให้ท่านหนึ่งจอก”“ได้เลย”สองบุรุษหน้าตาคล้ายกันเกือบสิบส่วนเอื้อนวาจาเยินยอกันเองก่อนที่จะยกจอกสุราชนกัน ทั้งสองคนที่ว่าก็คือองค์ชายใหญ่และองค์ชายรองของแคว้นชิงชิวนั่นเอง ก่อนทั้งสองกลับวังตนเองทั้งคู่ได้ชวนกันมาร่ำสุราที่ร้านข้างทางเล็ก ๆ ร้านหนึ่ง“อือ สุราดี”รสชาติของสุราทำให้ทั้งสองพอใจเป็นอย่างมาก ขนาดที่ทั้งคู่หันไปชมเถ้าแก่ร้านหน้าละอ่อนไม่หยุด“เถ้าแก่ สุราดอกท้อของท่านรสชาติดียิ่ง ท่านทำเองหรือว่ารับมาขาย”เถ้าแก่ร่างบางตัวเล็กเงยหน้าขึ้นมาก่อนที่จะแย้มยิ้มรับคำชมนั้นอย่างภูมิใจ“แน่นอนว่าข้าย่อมหมักเอง คุณชายทั้งสองสนใจซื้อในปริมาณมากหรือไม่ ข้าน้อยจะคิดราคาให้เป็นพิเศษเลย”“โอ้ เช่นนั้นข้าขอสั่งสักสิบไหได้หรือไม่ เถ้าแก่เชิญคิดราคามาได้เลย”“สิบไหเป็นห้าตำลึงเงินก็แล้วกัน ราคากันเอง”ไม่เพียงองค์ชายทั้
หลิวหงเถาพูด:เวลาของโลกมนุษย์และดินเแดนเบื้องบนต่างกัน หนึ่งวันของแดนสวรรค์เท่ากับหนึ่งปีของโลกมนุษย์ ระยะเวลารวมที่ข้าเซียนจากแดนแห่งการชำระล้างจากไปเป็น 40 วัน ของแดนสวรรค์ ในเมืองมนุษย์ก็เท่ากับ 40 ปีใช่! ตอนนี้ข้าตายจากการเป็นมนุษย์และได้กลับมายังดินแดนชำระล้างแล้ว พลังบริสุทธิ์ที่คุ้นเคยทำให้ข้ารู้สึกร่างกายคล้ายกับได้รับการเยียวยา พลังวิญญาณแข็งแกร่งขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก …ที่แท้ความรู้สึกของการเลื่อนขั้นเป็นเช่นนี้ข้าเดินเข้าไปที่ห้องโถงใหญ่อันมีดอกไม้นานาชนิดประดับตกแต่งไว้ ทั้งการจัดโต๊ะ ทั้งบรรยากาศโดยรอบให้ความรู้สึกถึงงานเลี้ยงฉลองไม่มีผิด ทันใดนั้นข้าก็ได้ยินเสียงของสตรีผู้หนึ่งดังขึ้น“ยินดีต้อนรับเซียนเถาฮวา ไม่ใช่สิ! ยินดีต้อนรับเทพเถาฮวากลับสู่แดนชำระล้าง ทั้งหมดนี้คืองานฉลองการต้อนรับกลับบ้าน”คนแรกที่ข้าเห็นยามเดินเข้ามาในห้องโถงคือท่านหัวหน้าดินแดน สิ้นประโยคของนางก็เกิดคลื่นพลังมากมายหลากสีขึ้นมาในห้องโถง พร้อมกับการปรากฏตัวของเทพเซียนองค์อื่น ๆ“ยินดีต้อนรับเถาฮวาเฉิน” พวกนางกล่าวต้อนรับข้าด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ข้าจึงมอบรอยยิ้มจริงใจส่งกลับไปให้ทุกคนเช่นกัน“ขอบคุณ
เมื่อยามที่ก้าวเท้าเดินเข้าไปในตำหนักแล้วได้ยินเสียงอ้อแอ้ของเด็กหญิง เสียงพูดไม่ชัดของเด็กชาย เสียงใสของสตรีอันเป็นที่รัก มันทำให้ข้ารู้สึกถึงคำว่า ‘ครอบครัว’นึกอยากขอบคุณเสด็จอาในวันนั้นที่บอกให้เขาอย่าได้สัญญาว่าจะไม่แตะต้องนาง มิเช่นนั้นคืนวันเหล่านี้ก็คงไม่เกิดขึ้นในชีวิตเขา“เสด็จพ่อ”‘อีเกอ’ พระโอรสองค์แรกของเขาวิ่งเข้ามาเกาะขา ร่างสูงก้มตัวลงแล้วอุ้มบุตรชายขึ้นแนบอก กดจมูกหอมแก้มซาลาเปาอย่างหมั่นเขี้ยว การที่มีคนหน้าตาคลายคลึงนางเพิ่มมาถึงสามช่างดีจริง ๆ“ฝ่าบาท…”ฮองเฮาคู่บัลลังก์ของเขาเพียงแค่ส่งยิ้มมอบให้เท่านั้น ไม่ได้ลุกขึ้นทำความเคารพ เพราะเขาเคยห้ามไว้ไม่ให้นางทำในเวลาส่วนตัวเช่นนี้“เป็นอย่างไรบ้าง ตำหนักใหม่ถูกใจฮองเฮาหรือไม่”ฮ่องเต้หนุ่มถามนางขึ้นมาด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำแฝงความนุ่มนวลไว้หลายส่วน นางพยักหน้ารับเบา ๆ แล้วส่งบุตรีคนที่สามมาให้เขาอุ้ม ใบหน้าหล่อเหลาปรากฏรอยยิ้มเมื่อเห็นเหงือกสีชมพูอ่อนไร้ฟันแย้มยิ้มดีใจที่เขาจะอุ้มนาง“เสี่ยวเม่ยของพ่อ”ไทเฮาโปรดหลานสาวคนนี้มากกว่าใคร ฮ่องเต้หนุ่มทราบว่าพระมารดาอยากมีองค์หญิงน้อยมาตลอด แต่ว่าสภาพร่างกายไม่เอื้อต่อการมีบุต