“มู่ตงเจ้าเป็นอันใดหรือไม่” หยวนฟานถามขึ้นอย่างเป็นห่วงเมื่อเห็นชายหนุ่มที่ดูร่างกายแข็งแรงมีอาการจามติด ๆ กัน “ขอบคุณท่านอาหญิงที่เป็นห่วง ข้าสบายดีขอรับ วันนี้หลังจากมอบของขวัญให้ท่านอาหยูแล้วข้ามีเรื่องขออนุญาตท่านอาทั้งสองด้วยคือว่าข้าจะขอพาอันอันกับหมิงหมิงรวมถึงสัตว์ทั้งเจ็ดตัวไปชม
หรือไม่ก็มาเชิญเจ้าไปเป็นอาจารย์สอนสตรีเหล่านั้นนะสิ หรือไม่ในเร็ว ๆ นี้อาจจะมีผู้อยากลองดีมาทดสอบความสามารถเจ้าก็เป็นได้” “ตายแล้ว! ข้าว่าแล้วเชียวตำแหน่งนี้ช่างนำพาความยุ่งยากมาให้ข้าโดยแท้หมดกันความสงบสุขของข้า” เด็กสาวคร่ำครวญแต่ไร้ซึ่งน้ำตาเมื่อได้ยินประโยคถัดมาของชายหนุ่มด้านข้าง “
เช้าวันต่อมา หนิงอันผู้ยังไม่รู้ว่าตนถูกเรียกเข้าวังทำไม กำลังนั่งกินข้าวเช้าอย่างปกติ จนกระทั่งพ่อบ้านกึ่งเดินกึ่งวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาภายในห้องทานข้าว “เรียนนายท่าน เหลียงกงกงจากในวังมาขอรับ” คำพูดนี้ทำให้หยูเจียงลุกขึ้นอย่างฉับพลันประหนึ่งมีสปริงติดอยู่ที่ก้น “พวกเรารีบออกไปรับราชโองกา
“ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่าบุตรเขยคนนี้ของท่านเป็นผู้นำเรื่องของหยูหนิงอันมาบอกกล่าวให้ท่านฟังใช่หรือไม่” น้ำเสียงของเขาฟังดูเยือกเย็นจนทำให้คนฟังขนหัวลุก “กราบทูลฝ่าบาท ชะ...ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ” หลังสิ้นคำตอบของตนชายวัยชราก็รู้สึกได้ถึงลางร้ายบางอย่าง “มู่ตงเจ้าเล่าสิ่งที่ใต้เท้
เด็กสาวยิ้มอ่อนให้หญิงงามตรงหน้า “เป็นข้าที่พูดผิดเอง พี่สาวอย่าได้โกรธเลยนะเจ้าคะ” หนิงอันกล่าววาจาออดอ้อน ทางนี้กำลังมีความสุขแต่ทางด้านท้องพระโรงนั้นกำลังเกิดการถกเถียงกันของคนสองฝ่าย “ฝ่าบาทได้โปรดคิดทบทวนใหม่เถอะพ่ะย่ะค่ะ ตั้งแต่ไหนแต่ไหร่มาบ้านเมืองของเราไม่เคยมีขุนนางหญิงมาก่อนเลย
“แต่ข้าจะต้องเข้าเฝ้าฝ่าบาทนะเจ้าคะ” หนิงอันพูดขึ้นอย่างลังเล “ฝ่าบาทแจ้งมาว่าให้คุณหนูไปสนทนากับองค์ฮองเฮาก่อนได้เลยเจ้าค่ะ จากนั้นจะให้คนมาตอบในภายหลัง” “อันอัน เจ้าไปเข้าเฝ้าฮองเฮาก็ทำตัวให้เรียบร้อยด้วยล่ะ” หยูเจียงกล่าวกำชับบุตรสาวอย่างกังวลแม้ว่าผู้เป็นใหญ่จะให้ความสนิทสนมกับบุตรสา