คุณหนูจวนขุนนางธรรมดา ๆ แต่มีแม่เป็นผู้สืบทอดตำหนักนักฆ่าที่ใหญ่ที่สุดในใต้หล้า นางจึงต้องเป็นคุณหนูผู้น่ารักในช่วงกลางวัน แต่เมื่อรับงานในตอนกลางคืนแล้วนั้น นางจะเปลี๊ยนไป๋ โอ้ววว คุณหนูของข้าาาาา
더 보기เตียวเฟยหลิว ลูกสาวคนเดียวของตำหนักนักฆ่าเมฆาดับ ตกหลุมรัก ชิวกัง ขุนนางขั้นห้ากรมโยธาผู้แสนหล่อเหลาและอ่อนโยนเข้าให้ นางทำทุกวิธีทางเพื่ออ่อยเขา กระทั่งชายผู้ไม่ทันกับเล่ห์เหลี่ยมสตรีตกหลุมรักนางเข้าจนได้
เตียวหย่งไจ้ผู้เป็นพ่อ เมื่อรู้ว่าลูกสาวทำอะไรลงไปก็คัดค้านหัวชนฝา เขามีลูกสาวเพียงคนเดียวไว้สืบทอดตำหนักที่สร้างมากับภรรยาอย่างยากลำบาก นางจะมีสามีอ่อนแอและหน่อมแน้มแบบนี้น่ะหรือ เขารับไม่ด๊ายยยยย
เจียวไฉ่หลานผู้เป็นภรรยา หลังฟังสามีพร่ำบ่นจนปวดประสาท นางเพียงเอ่ยเอื้อนกลับไปหาสามีประโยคเดียวว่า
“เจ้าเฒ่าน่าตาย แล้วใครกันตามใจลูกจนเสียคน ข้าบอกเจ้านานแล้วให้สั่งสอนนางให้ดี แล้วทีนี้เจ้าจะพูดมากให้ข้ารำคาญทำไม ฮึ่ย”
เตียวหย่งไจ้เมื่อเห็นภรรยารักชักจะโกรธจริงกลับไม่กล้าหือ เขากลัวต้องออกไปนอนนอกห้องที่สุด การนอนกอดภรรยา เป็นสิ่งสำคัญมากกว่าลูกสาวเจ้าเล่ห์มากนัก ใครใช้ให้ตอนเด็ก ๆ นางช่างออเซาะและฉอเลาะเรียกเขาท่านพ่อเจ้าคะ ท่านพ่อเจ้าขาตลอดเวลาเล่า เขาที่ไม่อยากให้ภรรยารักเจ็บปวดจากการคลอดลูกจึงยอมตัดใจมีนางเป็นลูกสาวคนเดียว ทั้งที่เขาก็สั่งสอนเรื่องทุกอย่างให้ ไหนจะวรยุทธอันล้ำเลิศที่นับว่าไม่เป็นสองรองใครอีก แต่ลูกสาวตัวดี กลับเห็นหมูดีกว่าเสือ เขาที่อุตส่าห์มองสามีในอนาคตให้ลูกเป็นแม่ทัพใหญ่ผู้หล่อเหลา ตอนนี้กลับกำลังจะได้ว่าที่ลูกเขยเป็นขุนนางขั้นห้ากระจอก ๆ เสียนี่ ฮือ~~ นางช่างเป็นลูกบังเกิดเกล้าของเขาจริง ๆ
หลังปลอบประโลมภรรยาจนหายโกรธ เขาบอกพ่อบ้านเตรียมสินเดิมเพื่อนำส่งลูกสาวพร้อมเข้าร่วมงานแต่งในอีกสามวันที่จะถึงทันที ในเมื่อไม่เชื่อฟังพ่อ เจ้าก็เอาสินเดิมไปแค่พอกินก็แล้วกัน หึ
เจียงไฉ่หลานได้แต่หมั่นไส้ผู้เป็นสามี ไอ้ที่ตะโกนปาว ๆ ว่าจะให้สินเดิมลูกสาวแค่พอกินนั่นน่ะ นางล่ะอยากจะเอาไม้ฟาดปากเสียจริง ๆ แค่พอกินของสามีนางคนเดียว แต่คนอื่นกินใช้ทั้งชาติก็ยังไม่หมดน่ะสิ มีอย่างที่ไหน ให้ร้านค้าทั่วแคว้นไปหนึ่งส่วน แค่หนึ่งส่วนก็มากกว่า 20 ร้านแล้ว ไหนจะกล่องเครื่องประดับกับเสื้อผ้าเกือบสามสิบกล่องนั่นอีก นี่น่ะหรือแค่พอกินของเขา อ้อ อย่าได้ถามถึงกล่องเงินหีบนั้นเลยเถอะ นางคาดว่าไม่ต่ำกว่าหนึ่งแสนตำลึง นางเห็นแวบ ๆ ว่าเขาแอบยัดแต่ตั๋วแลกเงินหนึ่งหมื่นตำลึงลงไปน่ะสิ ฮึ ไอ้แก่ปากอย่างใจอย่าง
สามวันต่อมา งานแต่งงานถูกจัดขึ้นที่จวนตระกูลชิวของเจ้าบ่าว เขาที่เพิ่งเคยพบพ่อตากับแม่ยายครั้งแรก ยังตกตะลึงกับความเยาว์วัยและหน้าตาดีของพวกเขา ไม่น่าแปลกใจที่ภรรยาเขาจะสวยน่ารักได้ขนาดนี้ เขาดีใจที่ท่านพ่อท่านแม่เขาไม่รังเกียจนางตั้งแต่แรก เขาบังเอิญช่วยนางตอนสลบจากอาการบาดเจ็บในระหว่างทางไปราชสำนักช่วงก่อนรุ่งสาง ใครใช้ให้บ้านเขาไกลที่สุดกันเล่า เขาจึงต้องออกจากบ้านก่อนใครทุกวัน
เขาเองก็ไม่คิดมาก่อนว่านางจะยอมรับคำขอแต่งงานของเขาเสียด้วยซ้ำก่อนหน้านี้ ครอบครัวเขามาจากชนบท และเพิ่งมารับตำแหน่งที่กรมโยธาได้ไม่ถึงครึ่งปี ครอบครัวเขาไม่มีเงินถุงเงินถังเหมือนขุนนางคนอื่นแต่แรก จึงทำได้แค่นำเงินเก็บมาซื้อบ้านหลังเล็ก ๆ ติดขอบประตูเมืองทิศใต้แทน
เจียงไฉ่หลานที่เพิ่งเคยพบและสนทนากับลูกเขยและครอบครัวเป็นครั้งแรก นางชอบใจพวกเขาไม่น้อย มิน่าเล่า ลูกสาวตัวแสบจึงอยากได้ลูกเขยคนนี้นัก พวกเขาเป็นคนซื่อสัตย์จริงใจเสียจนน่ากลัวว่าจะมีคนเอาเปรียบน่ะสิ นางที่เลี้ยงลูกสาวเองกับมือ มีหรือจะไม่รู้ว่าลูกสาวไม่ชอบผู้ชายกักขฬะในตำหนักพวกนั้น นางชอบคนสะอาดสะอ้านและสุภาพเหมือนลูกเขยนางตอนนี้นี่แหละ นับว่านางเลือกได้ดีไม่น้อย ส่วนสามีนางน่ะเหรอ หลังเจอความซื่อเข้าขั้นบื้อของคนบ้านนี้ เขาได้แต่กลืนคำพูดไม่ดีที่เตรียมไว้ลงท้องไปเสียหมด ถึงบางครั้งสามีนางจะบ้าบอไปบ้าง แต่เขาก็ยังคงรู้ดีรู้ชั่วอยู่ไม่น้อย
วันต่อมาตอนคารวะน้ำชาญาติผู้ใหญ่ เตียวหย่งไจ้ยังมอบซองหนาที่มีตั๋วเงินไม่น่าต่ำกว่าหมื่นตำลึงให้ลูกเขยด้วย ทำเอาภรรยาหมั่นไส้แล้วหยิกเขาจนเนื้อเขียว เขาได้แต่นึกในใจว่า ภรรยาใจร้ายกับเขาได้ยังไง ในเมื่อกะหล่ำปลีเขาถูกหมูกินไปแล้ว เขาก็ได้แต่ต้องเลี้ยงดูหมูให้อ้วนพีสิ ใช่ไหม?
พ่อตาแม่ยายที่มีงานมากมายรีบขอตัวลาบ้านลูกเขย พวกเขาไม่ได้ถามว่าครอบครัวสะใภ้ทำสิ่งใด เพียงขอให้พ่อตาแม่ยายวางใจว่าพวกเขาจะดูแลนางเหมือนลูกสาวคนหนึ่งเท่านั้น ฝ่ายลูกสาวตัวดีได้แต่แสร้งร้องไห้แสดงละครให้บ้านสามีรักเอ็นดู ทำเอาเตียวหย่งไจ้ถึงกับอยากลงแส้ลูกสาวจอมเสแสร้ง เขามีหรือจะไม่รู้เรื่องน้ำตาจระเข้ของนาง นางมักใช้การแสดงนี้กับคนอื่นมาตลอด ส่วนที่บ้านน่ะหรือ หึ นางทำตัวอย่างกับราชินีที่คอยชี้นิ้วสั่งคนทั้งวันเชียวล่ะ คนอย่างนางเคยกลัวใครที่ไหนกันเล่า เฮ้อ เวรกรรมของเขาจริง ๆ รีบพาภรรยากลับบ้านดีกว่า อยู่นานไปเดี๋ยวนังหนูขอเงินเพิ่มอีกจะยุ่ง
เมื่อเห็นรถม้าของพ่อกับแม่พร้อมผู้คุ้มกันกลับไปแล้ว เตียวเฟยหลิวถึงกับตะโกนขึ้นในใจว่า
“ในที่สุด ข้าก็ได้สามีสมใจ!!!”
“ฝ่า..ฝ่าบาท” ขุนนางที่เมื่อกี้ิเชิดหน้าชูคอใส่ชิวเพ่ยเพ่ยเข่าอ่อนในทันใด เขารีบคุกเข่าทำความเคารพฮ่องเต้พร้อมคนอื่น ๆ ที่เขาพามา ฮ่องเต้ไม่แม้แต่จะมองและสั่งให้พวกเขาลุกขึ้น เขาจะปล่อยให้พวกมันคุกเข่าไปฟังไปแบบนี้นี่แหละ ช่างหาเรื่องให้เขาเสียหน้ากับผู้มีพระคุณนัก“คารวะท่านเจ้าตำหนัก ข้าเพิ่งรู้ว่าท่านมาแคว้นเยี่ยจึงเสียมารยาทที่ไม่ได้มาต้อนรับท่านด้วยตัวเอง หวังว่าท่านจะไม่ถือโทษโกรธข้าหรอกนะ” ฮ่องเต้ที่อาวุโสกว่าชิวเพ่ยเพ่ยหลายปีรีบขอโทษนางก่อนอย่างไม่อายใคร“ฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องมากมารยาทกับข้า ข้ากับสามีเพียงอยากมาทำบุญที่แคว้นเยี่ย แต่ดูท่าทางแล้วคนในแคว้นของท่านคงไม่ชอบเรื่องดี ๆ เช่นนี้นัก วันนี้ข้าจึงต้องลงมือจนทำให้ท่านลำบาก ข้ากับสามีต้องขอโทษท่านเช่นกัน” ชิวเพ่ยเพ่ยไม่จำเป็นต้องใช้ราชาศัพท์กับเขา นางพูดกับเขาเหมือนคนสนิทที่เคยพบปะกันมา ทั้งที่จริงนางแค่เคยพูดคุยและติดต่อกับเขาทางจดหมายหลังถล่มจวนอ๋องไปเมื่อคราวนั้นเท่านั้น“อืม ขอบคุณท่านมากที่ไม่ถือสา ส่วนคนที่สร้างปัญหาให้ท่าน ข้าอยากขอให้ท่านจัดการแทนข้าได้หรือไม่ อีกอย่าง ข้ามีเรื่องอยากปรึกษาท่านกับสามีด้ว
“คุณชาย ท่านช่วยข้าด้วยสิเจ้าคะ ข้ายินดีตอบแทนท่านด้วยร่างกายอันสดใหม่ หากท่านช่วยข้าจากผู้หญิงเลวคนนี้ ฮึก” นางแพศยานี่ยังกล้ามาขอให้เขาช่วยอีกหรืออย่างไร ช่างไม่รู้จักตายเสียจริง ๆ เฟยหยุนมองผู้หญิงเสแสร้งตรงหน้าเขาตาขวาง เขาไม่เคยรู้จักนางมาก่อน ทำไมนางคนนี้ถึงได้มาหาเรื่องเขาแบบนี้ เขาอยากรู้มากจริง ๆ ว่าใครมันหาเรื่องให้ข้า!!! ชิวเพ่ยเพ่ยหรี่สายตามองสามีนางและหญิงสาวที่ยังคงเล่นละครอย่างไม่อายใคร กระทั่งเฟยหยุนทนความกดดันไม่ไหวเขารีบสั่งคนจับนางอ้าปากแล้วให้พวกเขายัดอาหารที่หญิงผู้นี้นำมาเข้าไปจนหมด เขาหมดความอดทนแล้วจริง ๆ แถมยังไม่อยากอยู่ใกล้ผู้หญิงน่าขยะแขยงเช่นนี้แม้สักนิด ชิวเพ่ยเพ่ยเห็นสามีกระดึ๊บ กระดึ๊บมาหานางหลังสั่งคนจัดการนังตัวดีแล้ว นางแอบยิ้มอย่างสมใจ หึ นับว่าเจ้ายังรู้ว่าอะไรดีนะสามี ไม่อย่างนั้นล่ะก็… เจ้าหน้าที่เห็นเหตุการณ์และกำลังจะเข้าไปช่วยผู้หญิงคนนั้น แต่คนของตำหนักเมฆาดับมากกว่าสิบคนไม่รู้มาจากไหน พวกเขายืนปิดกั้นเจ้าหน้าที่ไม่ให้ผ่านทางไปช่วยคนได้ เมื่อเห็นท่าไม่ดีแล้ว เจ้าหน้าที่คนหนึ่งรีบบอกให้คนของเขาไปตามเจ้านายม
วันที่สองที่ชิวเพ่ยเพ่ยเปิดการตรวจรักษา วันนี้ชาวบ้านน้อยกว่าเมื่อวานเกือบครึ่งหนึ่ง แต่นางยังคงตรวจรักษาพวกเขาตามปกติ เฟยหยุนยังคงคอยช่วยนางอยู่ข้าง ๆ ดังเช่นทุกครั้ง หลังจากรักษาคนไปหลายสิบคนจนใกล้จะถึงเวลาทานอาหารเที่ยง อยู่ดี ๆ ก็มีเสียงแหลมสูงมาเข้าหูให้ชิวเพ่ยเพ่ยจนระคายโสตประสาท“คุณชาย ข้านำอาหารทำเองมาให้ท่านทานเจ้าค่ะ ท่านลองดูสิว่าถูกปากหรือไม่” ไม่รู้ว่าเป็นแม่นางจากบ้านใด ถึงได้กล้าเข้ามาพูดคุยกับสามีของท่านหมอใจดีอย่างหน้าด้าน ๆ เช่นนี้ เรื่องที่เฟยหยุนเป็นสามีของหมอหญิงใจบุญต่างมีข่าวออกมานานมากแล้ว ทำให้ไม่เคยมีหญิงหรือชายคนใดกล้าล่วงเกินสองผัวเมียคู่นี้มาก่อน นี่นับว่าเป็นครั้งแรกตั้งแต่ชิวเพ่ยเพ่ยเดินทางแล้วพบเข้ากับเหตุการณ์แบบนี้ นางขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจที่ใครก็ไม่รู้เข้าหาสามีนางอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า นางได้กลิ่นยาปลุกกำหนัดมาก่อนหน้านี้แล้ว แต่ไม่คิดว่าจะมาจากในอาหารที่อยู่ตรงหน้าสามีของนาง“ข้าไม่ต้องการอาหารของเจ้า ไสหัวไป!!!” เฟยหยุนไม่คิดไว้หน้าหญิงสาวตรงหน้าเขาแม้แต่นิดเดียว เขาเห็นแล้วว่าภรรยาสุดที่รักชักไม่พอใจ ใครเล่าจะอยากหาเรื่
ชิวเพ่ยเพ่ยกับเฟยหยุนเดินทางโดยปลอมเป็นหมอตั้งแต่วันแรก นางเปิดรักษาชาวบ้านฟรีโดยให้พวกเขาไปซื้อยาจากร้านยาเมฆาดับเอาเอง หากใครยากจนจริง ๆ ชิวเพ่ยเพ่ยจะส่งคนไปแจ้งที่ร้านให้แจกยาพวกเขาแล้วเก็บเงินจากนาง นางทำเช่นนี้ไปตลอดทางที่พวกเขาท่องเที่ยว ไม่ว่าจะผ่านหมู่บ้านกันดารเพียงใด สองสามีภรรยาก็ยังคงมีรอยยิ้มแต่งแต้มไปทั่วใบหน้าอยู่เสมอ จนผู้คนที่ได้รับการรักษาจากสองสามีภรรยาต่างขนานนามพวกเขาว่าคู่รักหมอใจบุญกันเลยทีเดียว แม้ว่าเฟยหยุนจะรักษาใครไม่เป็น แต่เขาช่วยทำแผล ใส่ยาให้คนไข้ชายและดูแลพวกเขาช่วยภรรยาจนหายขาดมาตลอด ฉายาที่พวกเขาได้รับจึงไม่นับว่ามากเกินไป ชิวเพ่ยเพ่ยที่เลือกวิธีการนี้ในการท่องเที่ยวพักผ่อน ก็เพราะนางเคยฆ่าคนมาไม่น้อย พออายุมากขึ้นนางจึงอยากจะทำบุญใหญ่รักษาคนไข้ยากจนบ้างก็เท่านั้น ไหน ๆ ครอบครัวนางก็ร่ำรวยอยู่แล้ว กับอีแค่การรักษาคนทั้งห้าแคว้นฟรีไม่นับว่าเหนือบ่ากว่าแรงของนางหรอกหนา บรรดาหัวหน้าสาขาต่าง ๆ ที่ควบคุมกิจการร้านค้า พวกเขาทราบดีว่าท่านเจ้าตำหนักคนเก่ากำลังออกเดินทางรักษาคนไปทั่วทั้งห้าแคว้นแล้วโดยที่ไม่ต้องมีใครมาส่
หนึ่งปีผ่านไป ชิวเพ่ยเพ่ยและเฟยหยุนก็ยังไม่กลับมาจากการท่องเที่ยว เฟยซินเยว่เริ่มจัดการตารางเวลาการทำงานของเขาได้ดีขึ้นมาก เขาจะพักทุกสองสัปดาห์หลังจากทำงานอย่างหนัก แล้วจะเดินทางไปพักกับท่านทวดและท่านปู่ท่านย่าของเขาที่จ้วงจื่อครั้งละสามสี่วัน จากนั้นก็จะกลับไปลุยงานต่อ เป็นเช่นนี้มาตลอดทั้งปี ส่วนเฟยหยางกวงก็ฝึกทหารและศึกษาตำราพิชัยสงครามไม่ได้ขาด ส่วนการไปดื่มสุราและแต่งกลอนกับสหาย เขาเลิกไปตั้งแต่วันลาสหายแล้ว เขายังเชิญสหายมาเที่ยวที่จวนโหวได้หากต้องการ สหายทั้งสามของเขาเป็นเพียงครอบครัวธรรมดาที่ไม่ได้ร่ำรวยมากมายอันใด แต่พวกเขาล้วนคบหากันด้วยใจมาตลอดสิบปีที่รู้จักกัน ซึ่งตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา เฟยหยางกวงส่งเทียบเชิญสหายมาร่วมงานวันเกิดของเขากับพี่ชาย ไหนจะจัดงานเลี้ยงวันเกิดให้กับสหายทุกคนในวันเกิดของพวกเขา ทำให้ทั้งสี่คนยิ่งสนิทสนมกันมากขึ้นไปอีก สหายของเขาทั้งสามเพิ่งสอบขุนนางได้ในปีนี้ด้วย เขาจึงจัดงานฉลองให้พวกเขาที่จวนโหวอีกงานหนึ่ง เฟยซินเยว่ไม่เคยห้ามน้องชายของเขา เขารู้ทุกอย่างเรื่องน้องชายและน้องสาว เขาเพียงมองพวกเขาอยู่ห่าง ๆ หากมีสิ่ง
ระหว่างที่ชิวเพ่ยเพ่ยกับเฟยหยุนออกไปท่องเที่ยว เฟยซินเยว่กำลังตาลายกับสมุดบัญชีที่เขาได้รับมาตรวจสอบเป็นจำนวนมาก เขานับถือท่านแม่ของเขาจริง ๆ ที่นางสามารถจัดการบัญชีจำนวนมากได้โดยไม่มีอาการเบื่อหน่ายเช่นที่เขาเป็น ยิ่งตอนนี้ร้านของตำหนักเมฆาดับรวมทั้งห้าแคว้นอาจมีมากกว่า 500 ร้านค้าแล้ว นางยังคงสามารถตรวจสอบได้อย่างละเอียดจนไม่มีใครกล้าโกงนางแม้แต่อีแปะเดียว หลังจากเฟยซินเยว่หัวหมุนวุ่นวายอยู่เกือบสองสัปดาห์ วันนี้ท่านตาทวดมาเยี่ยมเขาถึงเรือนอย่างน่าแปลกใจ เฟยซินเยว่รีบหยุดงานที่กำลังทำอยู่แล้วเดินไปพยุงท่านตาทวดเข้ามานั่งอย่างห่วงใย ตอนนี้ท่านตาทวดอายุมากแล้ว เขายังจำได้ว่าตอนเด็ก ๆ ท่านมักเล่นกับเขาอย่างสนุกสนานและดูแลเขาเป็นอย่างดี เวลาเขาถูกท่านแม่พาซ้อมวรยุทธจนบอบช้ำก็เป็นท่านตาที่มานั่งทายาแล้วบ่นท่านแม่ให้เขาฟัง จนเขาหายจากอาการเจ็บช้ำไปเลย“ท่านตาทวดมาได้อย่างไรขอรับ” หลังพาท่านตาทวดนั่งแล้วเขารีบสอบถามอย่างสงสัย“อืม ข้าเป็นห่วงกลัวว่าเจ้าจะทำงานหนักไม่ไหวน่ะสิ แล้วเจ้าเป็นอย่างไรบ้างอาเยว่”“ข้าสบายดีขอรับท่านตา งานเหล่านี้ท่านแม่สอนข้ามานานแล้วขอรับ
วันเดียวกันนั้นเอง มีราชโองการไปที่ค่ายทหารแต่งตั้งเฟยหยางกวงเป็นแม่ทัพเมืองหลวงแทนเฟยหยุน บรรดาทหารตั้งแต่บนลงล่างที่รู้จักเขามาตั้งแต่อายุ 5 ขวบ ไม่มีใครคัดค้าน พวกเขารู้ดีถึงความสามารถของชายหนุ่มผู้เป็นลูกชายแม่ทัพคนเก่าว่าเขาเก่งกาจขนาดไหน ส่วนคนอื่น ๆ ในราชสำนักนั้นพวกเขาไม่คิดจะสนใจ ถึงอย่างไรก็ไม่เกี่ยวอะไรกับการงานของพวกเขาอยู่ดี ข่าวลือในเมืองหลวงแพร่กระจายไปทั่วทุกหัวมุมหลังราชโองการประกาศได้เพียงวันเดียว คราแรกขุนนางหน้าใหม่ที่ไม่รู้เรื่องในอดีตคิดกีดกันเฟยหยางกวงและคิดว่าเขาใช้เส้นสายเพื่อรับตำแหน่งแทนบิดาจึงคัดค้านกันหัวชนฝา แต่พอท่านเสนาบดีกรมโยธาเล่าประวัติความเป็นมาของหลานชายคนรองกลางท้องพระโรงเสียยืดยาว พร้อมตบท้ายว่าหลานชายคนโตของเขาคือเจ้าตำหนักเมฆาดับในตำนานเท่านั้นแหละ ขุนนางเหล่านั้นต่างหุบปากฉับกับแทบไม่ทัน พวกเขาเกือบหาเรื่องตายแล้วไหมเล่า ทำไมขุนนางแก่ ๆ พวกนั้นไม่บอกกันก่อนล่วงหน้า เฮ้อ ฮ่องเต้พอเห็นว่าขุนนางเหล่านั้นกลัวตำหนักเมฆาดับมากกว่าเขาเสียอีกก็นึกขำ ไอ้พวกโง่ที่ไม่รู้ดีชั่ว เขาเกือบต้องลำบากจัดสอบขุนนางใหม่อีกแล
สองปีต่อมาหลังชิวเพ่ยเพ่ยมอบตำหนักเมฆาดับให้บุตรชายคนโตดูแล นางเห็นว่าตำแหน่งของเขามั่นคงแล้วจึงปล่อยให้เขาจัดการงานทั้งหมดด้วยตัวเอง องครักษ์เงาของเขาก็เป็นนางที่ไปพบเข้ากับเด็กกำพร้าขอทานแล้วนำมาฝึกฝนร่วมกันตั้งแต่ยังเด็ก ทุกวันนี้คนอื่น ๆ ก็ดูแลบุตรชายคนรองกับบุตรสาวนางอย่างลับ ๆ ไม่ว่าพวกเขาจะทำสิ่งใดนางรู้ทุกอย่าง เพียงแค่นางไม่จำเป็นต้องบอกพวกเขา ชิวเพ่ยเพ่ยเห็นสามีกลับมาก็รีบลากเขาเข้าห้องเพื่อปรึกษาสิ่งที่นางคิดเอาไว้สักพักแล้วทันที เฟยหยุนคิดว่าภรรยารักจะให้เขาชื่นใจจึงเข้าห้องไปอย่างเริงร่า แต่พอเห็นภรรยาสั่งเขานั่งลงดี ๆ เขาจึงรู้ว่าสิ่งที่เห็นไม่ได้เป็นอย่างที่เขาคิดสักนิด ฮือ ภรรยาใจร้าย“ท่านพี่จะลาออกเมื่อไหร่กัน”“หืม ทำไมเจ้าถามอีกแล้วล่ะเพ่ยเพ่ย มีอะไรหรือเปล่า”“ถ้าท่านยังไม่ลาออกเสียที ข้าจะหนีไปเที่ยวคนเดียวสักสองสามปีน่ะสิ ตอนนี้ลูกโตกันหมดแล้ว ข้าก็อยากลองไปเที่ยวอย่างอิสระดูบ้างอย่างไรเล่า ท่านก็รู้ว่าข้าดูแลตำหนักเมฆาดับมาตั้งแต่ยังเด็ก จึงไม่เคยมีวัยเด็กอย่างคนอื่นเขา” นางมุ่ยหน้าพูดตามความจริง“อ่า ภรรยาอยากไปเที่ยวกับสามีเหรอ” เฟยหยุน
ชิวเพ่ยเพ่ยที่สอนบุตรชายคนโตในทุกสิ่งที่นางเรียนรู้มาตลอดชีวิตตั้งแต่เขาอายุห้าขวบ นางเห็นว่าตอนนี้เขาน่าจะดูแลตำหนักเมฆาดับแทนนางได้แล้ว ชิวเพ่ยเพ่ยส่งจดหมายไปบอกท่านตาที่พักผ่อนกับท่านยายที่จ้วงจื่อนอกเมืองมาตลอดสองสามปีที่ผ่านมา พวกท่านชมชอบบรรยากาศธรรมชาติที่มีน้ำพุร้อนที่นั่นมากนัก ยิ่งมีคนมาพักผ่อนพอให้ท่านได้พูดคุยคลายเหงาก็ยิ่งไม่อยากจากไปไหน นางได้รับจดหมายตอบกลับจากท่านในช่วงเย็นของวันพอดี ท่านตาบอกว่าแล้วแต่นางจะตัดสินใจ หากเห็นว่าหลานชายคนโตเหมาะสม ท่านก็ไม่คัดค้าน เพียงแค่ให้นางช่วยดูแลอยู่ห่าง ๆ ก่อนจะปล่อยมือเมื่อทุกอย่างเข้าที่เข้าทางแล้วก็พอ ชิวเพ่ยเพ่ยอ่านจดหมายที่คนของนางส่งมาให้แล้วก็ยิ้มอย่างสบายใจได้เสียที ตำหนักเมฆาดับนี้เป็นท่านตาที่ส่งมอบให้นางมา ตอนนี้นางต้องการมอบให้ลูกชายคนโตเช่นกัน อย่างไรการเคารพท่านตาคือสิ่งที่นางทำมาตลอดตั้งแต่เด็กแล้ว วันต่อมาชิวเพ่ยเพ่ยบอกสามีนางว่าจะพาบุตรชายเดินทางไปสาขาใหญ่ตำหนักเมฆาดับบนภูเขาสักหลายวัน เฟยหยุนได้แต่ทำหน้างอคอหักด้วยไม่อยากจากภรรยารักแม้แต่นิดเดียว ชิวเพ่ยเพ่ยจึงต้องใช้ไม้ตายว่ากลับ
댓글