กว่าเหตุการณ์จะกลับคืนสู่ความสงบเรียบร้อย ก็ล่วงเข้ายามเหม่าแล้ว “เจ้านอนพักเถอะ ข้าเองก็จะนอนเช่นกัน” ประมุขน้อยหนุ่มเอ่ยหลังจากทำแผลให้คนเจ็บเรียบร้อยแล้ว และคงได้กลับห้องของตนเองไปแล้ว หากหลัวเซียนไม่รั้งต้นแขนเขาเอาไว้เสียก่อน “เสี่ยวชวน” “มีอะไร” “เจ้าเล่าให้ข้าฟังได้หรือไม่ว่า เกิดอะไรขึ้นกับจอมมารอู๋เซียงอี๋และปรมาจารย์หรงอ้ายเสียน” “ยังต้องเล่าอะไรเล่า เจ้าก็รู้เหมือนอย่างที่คนทั้งสองเผ่ารู้แล้วมิใช่หรือว่า ปรมาจารย์หรงอ้ายเสียนเป็นคนสังหารจอมมารอู๋เซียงอี๋ แล้วใช้พลังวิญญาณฟื้นฟูทุกสิ่งขึ้นมาใหม่ ก่อนจะดับขันไป” “ข้าอยากรู้ว่า ที่เจ้าบอกว่า เจ้าจำเหตุการณ์ในอดีตได้แล้ว เจ้าจำอะไรได้บ้าง” “ข้ารู้ว่าชาติก่อนเจ้าคือปรมาจารย์หรงอ้ายเสียน ส่วนข้าก็คือจอมมารอู๋เซียงอี๋ มิหนำซ้ำตอนข้าตาย เจ้ายังร่ายคำสาปใส่ข้าด้วยว่า ให้ข้าเกลียดชังเจ้า เพื่อให้ข้ากลับมาเอาชีวิตเจ้าคืน” ประมุขน้อยหนุ่มสานสบดวงตาดำสนิทของคนตรงหน้าแน่วนิ่ง น่าประหลาดที่ใจกลับไม่หลงเหลือความเกลียดชังอีกต่อไปแล้ว
“อึม ตอนอยู่ในห้องลับใต้หอคัมภีร์ ข้าเรียกพัดเวทย์ออกมาได้แล้ว ทั้งยังใช้พลังเวทย์จากกู่ฉินได้ด้วย แต่พลังวิญญาณของข้ายังน้อยนิดนัก คงยังสู้ใครไม่ได้ ปกป้องเจ้าก็ยังไม่ได้” “ใครอยากให้เจ้าปกป้องกัน ข้าดูแลตัวเองได้น่า แม้ข้าจะยังควบคุมพลังวิญญาณของตนเองไม่ได้ แต่ในยามคับขัน ข้าก็ปกป้องตนเอง ทั้งยังปกป้องเจ้าได้ด้วย เจ้าอย่าห่วงไปเลย ตราบใดที่พลังวิญญาณเจ้ายังไม่ฟื้นตัวดีนัก ข้าจะปกป้องเจ้าเอง ตอบแทนที่เจ้าหาเงินมาให้ข้า”“ขอบคุณเจ้า” หลัวเซียนกระชับมือแตะข้อศอกคนนำทางแน่นขึ้น แม้หนทางข้างหน้าจะมืดมน ทว่านัยน์ตาดำสนิทกลับทอประกายเจิดจ้า นี่กระมัง ความสุข อิสระเสรีที่ปรมาจารย์หรงอ้ายเสียนและตัวเขาเองต้องการมาตลอด กว่าจะฝ่าฟันมาถึงเวลานี้ได้ ช่างยากเย็นเหลือเกิน หากสิ่งที่ได้มาก็คุ้มค่ากับการรอคอยจริงๆ หลังจากเดินทางรอนแรมอยู่กลางป่าถึงสองวันสองคืน สองบุรุษต่างเผ่าก็เดินทางมาถึงเมืองหนานจิง เมืองเล็กๆ ทางทิศตะวันออกของเมืองกุ้ยหลินนั่นเอง บ้านเรือนปลูกสร้างกะทัดรัด เต็มไปด้วยผู้คนเดินไปมาขวักไขว่ พ่อค้าแม่ขายต่างร้องเร่ขายของกิน ของใช้ ช่างเป็นบรรยากาศเต็มไปด้วยชีวิตชีวายิ่งนัก และท
เพราะฤทธิ์สุรา หรือเพราะเสียงจอแจเบื้องนอกหรืออย่างไร หลัวเซียนก็ไม่อาจแน่ใจ ทั้งที่พยายามตั้งจิตให้มั่น ใช้ดวงตาที่สามสำรวจไปรอบๆ แล้ว แต่กลับมองเห็นเพียงภาพพร่าเบลอปรากฎขึ้นในใจ ทุกสิ่งที่เห็นคล้ายบ้านเรือน ผู้คนขวักไขว่เคลื่อนไหวอยู่ท่ามกลางสายหมอกหนา จนไม่อาจรู้เลยว่า อะไรเป็นอะไร“เป็นอะไร” อู๋เหริ่นชวนคงเห็นว่า เขาเอาแต่หลับตานิ่ง พลางย่นหัวคิ้วละกระมัง จึงเอ่ยถามออกมาเช่นนี้“เจ้าเห็นอะไรมั้ย”หลัวเซียนส่ายหน้าแทนคำตอบ ไม่รู้เลยว่า นัยน์ตาดำสนิทฉายแววสิ้นหวัง เสียจนคนมองเห็นใจสะท้าน“คืนนี้แม้แต่ตาที่สามของเจ้าก็ยังมืดหรือ สวรรค์นะสวรรค์ จะให้สหายข้ามองเห็นความงดงามในค่ำคืนนี้หน่อยก็ไม่ได้” ประมุขน้อยหนุ่มต่อว่าออกไป“ช่างเถอะ ไม่เห็นก็ไม่เป็นไร”“ได้อย่างไรกัน ถึงตาเจ้าจะมองไม่เห็น แต่ข้าจะทำให้เจ้ามองเห็นมันเอง มา” ว่าแล้วประมุขน้อยหนุ่มก็คว้ามือเขามาวางลงบนข้อศอกตนเอง แล้วพาลุกมายินชิดระเบียง“บ้านเรือนทุกหลัง ล้วนพร้อมใจกันประดับประดาโคมไฟสีแดง นับพันดวง แสงจากโคมไฟสว่างไสว ราวแสงดวงดาวเต็มท้องฟ้า พ่อแม่ ปู่ย่า แต่ละบ้านพาเด็กๆ ออกมาเดินเที่ยว ซื้อขนม อาหารอร่อยๆ กิน หนุ
“ทำไม อยากกินรึไง” หลัวเซียนพยักหน้ารับขณะที่คนนำทางหัวเราะเบาๆ นึกไม่ถึงเลยว่า คนเดินตามหลังจะชอบกินจุกจิกราวกับสตรี นี่หากไม่เห็นว่า เขาเป็นบุรุษรูปงามในทุกกระเบียดนิ้วละก็ อู๋เหริ่นชวนเองก็อยากจะคิดว่า อีกฝ่ายเป็นสตรีงามอยู่เหมือนกัน “มีไส้อะไรบ้างขอรับ” ประมุขน้อยหนุ่มมักจะแสดงความสุภาพอ่อนน้อมต่อผู้อื่นเช่นนี้เสมอ จนคนฟังชินหูเสียแล้ว จะมีก็แต่ยามอยู่กับหลัวเซียนเท่านั้นล่ะ ที่เขาจะกลายเป็นคนพูดมาก ขี้เล่น ขี้แกล้งบ้างเป็นบางคราว “อ้อ มีไส้ฟักเชื่อม ถั่วกวน ไข่เค็มลาวา ไส้ทุเรียนขอรับ” “เอาทุกไส้อย่างละลูกเลยขอรับ” อู่เหริ่นชวนหันมายิ้มกับคนเบื้องหลัง “ขออภัยด้วยขอรับ คุณชายท่านนี้ เหตุใดต้องจับข้อศอกคุณชายท่านนี้ขณะเดินด้วย หรือว่าท่าน เอ่อ...” “ข้าตาบอดน่ะขอรับท่านลุง” เอ่ยออกไปแล้ว บุรุษเซียนก็ได้แต่นึกประหลาดใจที่มิได้รู้สึกแย่กับการต้องอยู่ในโลกมืดมิดใบนี้เลย “น่าเสียดายจริงๆ บุรุษรูปงามเช่นท่าน ไม่น่าเลยจริงๆ สวรรค์ช่างกลั่นแกล้งมนุษย์แท้ๆ” พ่อค้าขายขนมเปี๊ยะรำพึงกับตนเ
ยามหนึ่งที่ประมุขน้อยหนุ่มหลับตาลงนั่นเอง ภาพจอมมารอู๋เซียงอี๋ พลิกวาดฝ่ามือในอากาศ เกร็งแขนทั้งสอง รวบรวมพลังปราณมาตามเส้นลมปราณลั่วบริเวณแขนทั้งสองข้าง เบื้องหน้านั้น ปรมาจารย์หรงอ้ายเสียนสวมเพียงผ้านุ่ง ไม่สวมเสื้อ เผยให้เห็นกายท่อนบนกำยำ กำลังนั่งขัดสมาธิหลับตานิ่งอยู่บนพื้นห้อง ภายในตำหนักฉางชุน ทันทีที่จอมมารกระแทกฝ่ามือกับแผ่นหลังของคนตรงหน้า พลังปราณร้อนก็ถูกถ่ายเทผ่านจุดซูหลัง ซ่านเข้าสู่ทุกเส้นลมปราณหลัก พลังปราณอุ่นๆ ชำแรกแทรกผ่านอวัยวะทุกส่วนในกาย ไล่ขับพิษเย็นกระจายทั่วร่างออกมาทางทุกขุมขน พร้อมกับเหงื่อเม็ดใหญ่ชโลมร่าง “เจ้านี่นะ รู้ว่าพรายน้ำมีพลังไอเย็นร้ายกาจ ยังจะเสี่ยงกับมันอีก” “ข้าไม่อยากให้เจ้าถึงขั้นต้องใช้วิชาลับสุดยอดนี่” “ใช้แล้วอย่างไร ข้าต้องเอาชนะมันได้อยู่แล้ว” “หากเจ้าแปลงเป็นวิหคโลหิต แม้จะเอาชนะมันได้ แต่ก็เสี่ยงถูกธาตุไฟเข้าแทรก ข้าไม่ต้องการให้เจ้าเป็นอันตราย” “เจ้าก็เลยใช้พลังกู่ฉินเวทย์วารีของเจ้าจัดการกับมัน พลังหยินปะทะหยิน มีแต่ส่งผลร้ายกับเ
“กอดสหายรู้ใจไง ตอบแทนที่เจ้าทำให้ข้ามองเห็นโคมไฟในคืนนี้” “ไม่เห็นต้องกอดเลย” ประมุขน้อยหนุ่มต่อรองไม่จริงจังเลย แทนที่จะขยับกายออกห่าง กลับขยับเข้ามาจนชิด “ข้าไม่ได้ถ่ายเทพลังปราณให้ เพื่อให้เจ้าอยากเกาะติดข้าเช่นนี้นะ” “ข้าก็ไม่ได้เกาะติดเจ้า เพราะเหตุนั้นนี่ นอนเถอะ” หลัวเซียนหลับตาลง ความอบอุ่นก่อตัวขึ้นแทนที่ความเหน็บหนาวร้าวรานเมื่อครู่ ไม่นานนักก็สัมผัสได้ว่า ลมหายใจของคนข้างกายเข้าออกเป็นจังหวะสม่ำเสมอ จึงวางใจหลับลงได้ภายในห้องพักส่วนตัว เครื่องเรือนทุกชิ้นล้วนแต่หรูหรา หลัวจุ้นซิน ว่าที่ประมุขเผ่าเซียนคนใหม่ กำลังจ้องมองความเคลื่อนไหวภายในกระจกบานยาว สูงหนึ่งหมี่เศษ การสนทนากันระหว่างสองบุรุษที่ได้ยินนั้น ทำให้เขาล่วงรู้ได้ในทันทีว่า อย่างไรหลัวเซียนก็จะไม่มาร่วมงานรับตำแหน่งประมุขของเขาอย่างแน่นอน “ศิษย์พี่ ท่านจะไม่มาร่วมเป็นเกียรติในวันแห่งความสำเร็จของข้าจริงเหรอ หรือว่าท่านยังคงผิดหวัง ที่มิได้ครองตำแหน่งประมุข ดังที่อาจารย์ตั้งเจตนารมย์ไว้แต่แรก หรือว่าท่านเกรงว่าจะถูกลอบสังหารอีก ท่านไม่ต้องห่วงหรอก พิษที
ประมุขน้อยหนุ่มกำลังเคลิ้มหลับ แต่แล้วก็ต้องสะดุ้ง ผุดลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว เมื่อมีผีเสื้อสีทองเรืองรองตัวหนึ่ง บินมาเกาะที่ปลายจมูก มันบินไปมารอบๆ ครู่หนึ่ง เมื่อเขาแบมือรับก็กลับกลายเป็นสาส์น เขียนข้อความสั้นๆ เพียงว่า“...มีคนกำลังวางแผนลอบสังหารอู๋หมิ่นเยี่ยน ในวันงานรับตำแหน่งประมุขเผ่าเซียน ที่เขาเซียนกู่…” แรกทีเดียวประมุขน้อยหนุ่มคิดจะปลุกหลัวเซียนขึ้นมาบอกเรื่องนี้ แต่เมื่อนึกขึ้นมาได้ว่า หลัวเซียนตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่า จะไม่ไปร่วมงานที่เขาเซียนกู่ จึงมิได้ปลุกเขาขึ้นมาประมุขน้อยหนุ่มต้องเร่งเดินทางไปสมทบกับศิษย์พี่ก่อนจะถึงเขาเซียนกู่ให้ได้ ลำพังพลังวิญญาณของเขาในตอนนี้ หากไม่อาจรับมือมือสังหารได้ ก็จะแปลงเป็นวิหคโลหิต จัดการพวกมันให้มอดไหม้เป็นจุนซะเลย อู๋เหริ่นชวนบอกตนเอง เก็บผีเสื้อส่งสาส์นลงในกระเป๋าเสื้อ ก้าวลงจากเตียงเบาที่สุดเท่าที่จะทำได้ ขณะกำลังก้มลงใส่รองเท้านั่นเอง ก็รู้สึกเหมือนมีมือของใครสักคน เอื้อมมาคว้าต้นแขนเขาเอาไว้ เมื่อหันไปมองจึงเห็นว่า หลัวเซียนกำลังผุดลุกขึ้นเช่นกัน “เจ้าจะไปไหน” “เจ้าไม่ได้หลับหรอกหรือ”“ข้ารู้สึกตัวตั้งแต่เจ้าลุกขึ้นแล้ว มีอะไรห
งานรับตำแหน่งประมุขคนใหม่ของเผ่าเซียน ถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ตำหนักหวงหลันที่เคยเงียบสงบ บัดนี้เต็มไปด้วยแขกเหรื่อจากสำนักต่างๆ ที่ได้รับเทียบเชิญมาร่วมงาน ท่ามกลางเสียงจอแจของผู้คนมากมายนั้น หลัวเซียนหลับตาลงเบาๆ ครู่เดียวก็ปรากฎภาพชาวเซียนยุทธ มารยุทธมากมาย แต่งกายงดงามตามรูปแบบสำนักฝึกตนของตนเอง เจ้าสำนักหลายท่าน ที่เขาเคยพบตอนไปร่วมงานเลี้ยงปักบุปผา ก็ต่างได้รับเทียบเชิญมาร่วมงานด้วยเช่นกัน แรกทีเดียวบุรุษเซียนคงจะไม่สนใจผู้คนเดินขวักไขว่ไปมาแล้ว เพราะถึงอย่างไรสำหรับที่นี่ เขาก็คือ “หลานอวี้” สตรีผู้ไม่มีตัวตน ไม่มีใครรู้จักอยู่แล้ว หากโสดประสาทไม่ได้ยินการสนทนาระหว่างศิษย์รุ่นใหม่ของสำนักเกาฉีเข้าโดยบังเอิญ “ใกล้เริ่มงานแล้ว เหตุใดคุณชายหลัวเซียนจึงยังไม่ปรากฎตัวอีก มีเพียงคุณชายหลัวจุ้นซินยืนต้อนรับแขกอยู่ตรงนั้น หรือว่าเขาจะมารับตำแหน่ง แล้วออกไปถือสันโดษ เฉกเช่นเดียวกับปรมาจารย์ของเขาล่ะ” “เจ้าไม่รู้อะไรซะแล้ว วันนี้คนที่ขึ้นรับตำแหน่งไม่ใช่คุณชายหลัวเซียนสักหน่อย แต่เป็นคุณชายหลัวจุ้นซินต่างหาก ได้
“หยุดมือได้แล้ว เจ้าไม่เหน็ดเหนื่อยบ้างหรือ”หลัวเซียนไม่เอ่ยเปล่า แกล้งหลบรัศมีกระบี่ไม่พ้น พาให้คมกระบี่ถากชายเสื้อของเขาขาดเป็นทางยาวอู๋เหริ่นชวนเบิกตากว้าง แรกทีเดียวเขาเข้าใจว่าทำร้ายอีกฝ่ายเข้าแล้ว จึงยอมหหยุดมือในทันใด“หยุดเถอะ เจ้าทำชายเสื้อข้าขาดหมดแล้ว”“ยังสู้ไม่หนำใจเลย เจ้าก็ยอมแพ้เสียแล้ว ไม่สนุกเลย” อู๋เหริ่นชวนสอดกระบี่เก็บเข้าฝัก แล้วเดินมาประจันหน้ากับคนถูกทำชายเสื้อขาด“หายโมโหแล้วใช่หรือไม่ ข้าจะได้บอกเรื่องหนึ่งกับเจ้า”“อึม” อู๋เหริ่นชวนพยักหน้ารับ แล้วก็แทบไม่อยากเชื่อหูตนเองกับสิ่งที่ได้ยิน“ข้าสละตำแหน่งประมุขเผ่าเซียนแล้ว หลังจากประชุมผู้นำเซียนยุทธจากสำนักต่างๆ ทุกคนเห็นว่า ควรมีการเลือกสรรประมุขขึ้นมาใหม่ ข้าสนับสนุนให้เจ้าสำนักเจียงเหวิน ขึ้นเป็นผู้นำเผ่าเซียนคนต่อไป”“แล้วเจ้าล่ะ”“ส่วนข้า ก็จะออกท่องโลกกว้าง ดังที่ได้ปรารถนาเอาไว้แต่แรก จากนั้นก็จะกลับไปบำเพ็ญเซียนที่ตำหนักฉางชุน”“เจ้าจะถือสันโดษงั้นหรือ”ฟังเจตนารมณ์ของอีกฝ่ายแล้ว ประมุขน้อยหนุ่มก็ใจหาย เขาจะไปขัดขวางการบรรลุเซียนของหลัวเซียนได้อย่างไรกัน“ข้าเพียงอยากใช้ชีวิตเรียบง่าย หลังเสร็จจากสอ
“เหตุใดจึงแค้นเล่า เขาจำเรื่องราวในภพก่อนได้อย่างนั้นหรือ” ผู้ฟังนิทานวัยสิบหกปีผู้หนึ่งเอ่ยถามขัดจังหวะขึ้น“ย่อมจำได้อยู่แล้ว ก็จอมมารอู๋เซียงอี๋ได้อธิษฐานต่อแม่น้ำวั่งชวน หอวั่งเซียง สะพานไน่เหอเอาไว้ ก่อนดื่มน้ำแกงยายเมิ่งไว้นี่นาว่า จะไม่ขอลืมเลือนหนี้แค้นที่ปรมาจารย์หรงอ้ายเสียนได้ก่อไว้ไปชั่วชีวิต”“เช่นนั้น เขาทำอย่างไร อย่าบอกนะว่า หาทางเอาชีวิตหลัวเซียนน่ะ” หนุ่มน้อยอีกคนถามขึ้นบ้าง“เจ้าหนุ่ม อย่าเพิ่งขัดจังหวะสิ เดิมทีประมุขน้อยอู๋เหริ่นชวนก็หมายเอาชีวิตหลัวเซียนอยู่หรอก ทว่าเหตุการณ์กลับตาลปัตร หลัวเซียนกลับเป็นคนช่วยชีวิตเขาเอาไว้ ระหว่างที่ประมุขน้อยอู๋เดินทางไปร่วมงานเลี้ยงปักบุปผาที่เจียงหนานขณะประมุขน้อยเดินหลงอยู่ในป่า ได้ถูกปีศาจงูจงอางจับตัวไปกักขังไว้ในถ้ำ หลัวเซียนตามไปช่วย ฆ่าปีศาจงูด้วยกู่ฉินพิฆาต ทั้งยังปกป้องประมุขน้อยอู๋ จนตนเองได้รับบาดเจ็บ เช่นนี้แล้ว ประมุขน้อยยังจะทวงหนี้แค้นได้อีกเรอะ...”ฟังเรื่องราวจริงบ้างเท็จบ้าง ปนเปกันไปนั่นแล้ว อู๋เหริ่นชวนก็ส่ายหน้าไปมาด้วยความเบื่อหน่ายเต็มทียกกาสุราขึ้นดื่ม แล้วก็ต้องขัดใจนัก เมื่อพบว่าไม่มีสุราเหลืออยู่เลย
“ข้านำกระจกหมื่นลี้จากห้องใต้หอคัมภีร์ออกมาไว้ที่ห้องข้า รู้ว่าเจ้าถูกจับตัวมายังเขาเซียนกู่ จึงเร่งเดินทางมาที่นี่ ข้ารู้ว่าอาจช่วยอะไรเจ้าไม่ได้มาก แต่ก็มิอาจนิ่งดูดายได้”“ช่วยอะไรไม่ได้ที่ไหนกัน เจ้ามาได้ถูกเวลาพอดีเลยต่างหาก”“องค์ชาย” หลัวเซียนประสานมือคารวะนอบน้อม“โปรดเล่าให้ทุกท่าน ณ ที่นี้ฟังทีว่า ตอนข้าไปยังแคว้นไป่ลี่นั้น เป็นอย่างไรบ้าง” หลัวเซียนเอ่ยขึ้นบ้าง หลังจากเป็นฝ่ายเงียบงันมาครู่ใหญ่“ทุกท่าน ข้าคือองค์ชายหนิงจิ้ง รัชทายาทแห่งแคว้นไป่ลี่ ทั้งสองท่านนี้ เป็นสหายของข้า ตอนข้าออกไปล่าสัตว์นั้น บังเอิญได้ยินเสียงฉิน ท่วงทำนองไพเราะดังแว่วมา จึงตามเสียงฉินไป จนได้พบกับหลัวเซียนและอู๋เหริ่นชวน ดวงตาของเขาพิการทั้งสองข้าง แต่ก็มีฝีมือดีดฉินล้ำเลิศนัก ข้าจึงเชิญเขาไปเป็นแขกที่วังไป่ลี่ แม้ข้าจะมิได้เป็นเซียนยุทธเช่นทุกท่าน เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา แต่ก็ถือสัจจะเป็นที่ตั้ง มิใช่เพียงกษัตริย์ที่ตรัสแล้วไม่คืนคำ แม้แต่รัชทายาทเช่นข้า ก็เช่นกัน”ฟังคำตรัสขององค์ชายแล้ว บรรดาเซียนยุทธก็ต่างประจักษ์ถึงความจริงว่า หลัวจุ้นซินอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ร้ายที่เกิดขึ้นจริงแท้แน่นอน“เมื
“ประมุขอู๋ ท่านคงไม่ปกป้องตัวหายนะผู้นี้ จนไม่นึกถึงความสงบสุขของทั้งสองเผ่าหรอกนะ”“ตัวหายนะที่เจ้าอ้างถึง คือบุตรชายคนเดียวของข้า เหตุใดข้าจะปกป้องเขาไม่ได้เล่า” ประมุขอู๋ลี่หมิงประกาศกร้าว“ท่านเจ้าสำนักเกาคงยังไม่ทราบว่า ข้าได้ฝึกวิชาในคัมภีร์มหาเวทย์สำเร็จแล้ว ต่อให้ข้ากลายเป็นวิหคโลหิต ก็ยังสามารถควบคุมตนเองได้ ไม่ทำร้ายผู้อื่นอีก”“ลมปากของเจ้า ผู้ใดเชื่อก็โง่เต็มทีแล้ว” เจ้าสำนักเกาฉียังคงดื้อดึง ไม่ฟังเหตุผลอยู่นั่นเอง“เรื่องบาดหมางระหว่างสำนักของท่านกับข้า หากจะโทษ ก็ต้องโทษบรรดาศิษย์ของพวกท่าน ที่นินทาศิษย์พี่ของข้า ข้าจึงเล่นงานตอบด้วยพิษเห็ดหัวเราะ เรื่องเล็กๆ เพียงเท่านั้น ท่านยังอุตส่าห์เก็บมาใส่ใจ มองข้าด้วยอคติ จนลุกลามใหญ่โตกลายเป็นเรื่องของคนทั้งเผ่าเลยเรอะ แทนที่ท่านจะกล่าวโทษข้า ด้วยอคติส่วนตัวเช่นนี้ มิสู้รามือสักนิด แล้วใคร่ครวญให้ดีก่อนดีหรือไม่ขอรับ”“ไม่ต้องมาสั่งสอนข้า!” เจ้าสำนักเกาฉีตวาดลั่น ยกมือเป็นสัญญาณให้บรรดาศิษย์ของตนดาหน้าเข้าหาคนพรรคมารโลหิต ทว่าเจียงเหวินกลับมิอาจนิ่งดูดายได้ รีบร้องห้ามขึ้นเสียก่อน“ช้าก่อน!”“เจ้าสำนักเจียง ท่านเองก็เข้าข้างปร
เมื่อพระอาทิตย์ตกดิน ค่ายกลในเจดีย์ก็พลันหยุดทำงาน พร้อมๆ กับคนจากเผ่ามนุษย์คนสุดท้าย จบชีวิตลง ภายใต้คมกระบี่กรีดฟ้าเช่นกัน“เอาล่ะ ไม่มีผู้ใดรบกวนท่านแล้ว ซ้ำค่ายกลก็หยุดทำงานแล้ว เรามาคัดคัมภีร์กันเถอะ”หลัวจุ้นซินเสกกระดาษ พู่กัน และหมึกออกมาจากทั้งสองมือ ทั้งยังเสกโต๊ะเขียนหนังสือพร้อมเก้าอี้ขึ้นมาด้วยอู๋เหริ่นชวนยิ้มน้อยๆ หัวเราะเบาๆ ยามหย่อนกายลงบนเก้าอี้ ถือพู่กันไว้ในมือ จรดลงกับกระดาษนิ่งนึกอยู่ครู่ก็เขียนตัวอักษรลงไปเพียงอักษรตัวแรกปรากฏบนกระดาษ ปลายกระบี่กรีดฟ้าก็พุ่งมาพาดบนคอของประมุขน้อยหนุ่ม“ท่านจะทำอะไร”“ข้าต้องแน่ใจสิว่า เจ้าจะไม่แพร่งพรายเนื้อหาในคัมภีร์แก่ผู้อื่นอีก”“ท่านไม่ต้องห่วงหรอก หากข้าให้คัมภีร์แก่ท่านแล้ว ข้าจะฆ่าตัวตายเอง เก็บกระบี่ของท่านเสียก่อนเถิด หากข้าตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ เขียนข้อความผิดขึ้นมาจะทำอย่างไร”นั่นละ หลัวจุ้นซินจึงต้องสอดกระบี่เก็็บ็บเข้าฝักประมุขน้อยหนุ่มจึงจรดพู่กันเขียนข้อความต่อไป บทแล้วบทเล่า ยื้อเวลาให้ถึงยามห้าย การคัดคัมภีร์จึงเสร็จสิ้นลง“เอาล่ะ ข้าคัดเสร็จแล้ว เชิญท่านฝึกวิชาในคัมภีร์บทนี้ได้เลย”หลัวจุ้นซินรับกระดาษมากมายม
“ที่ทุกท่านมาถึงเขาเซียนกู่แห่งนี้ คงเพราะเห็นข้ากลายร่างเป็นวิหคโลหิตในวันรับตำแหน่งของท่านประมุขหลัว หลายท่านคงมาเพราะคัมภีร์มหาเวทย์ในหัวข้า ข้าคิดใคร่ครวญมาตลอดทั้งคืนแล้ว ว่าควรจะให้คัมภีร์แก่ใครดี แล้วข้าก็คิดขึ้นมาได้ว่า ในฐานะที่ประมุขหลัวจุ้นซิน เป็นประมุขเผ่าเซียน เขาสมควรได้รับคัมภีร์มหาเวทย์นี้”สิ้นคำประกาศก้องนั้น เซียนยุทธทั้งหลายดูจะไม่ประหลาดใจสักเท่าไหร่ตรงกันข้ามกับคนเผ่ามนุษย์ที่ต่างมองหน้ากัน สนทนากันเบาๆ สีหน้าและแววตาบ่งบอกถึงความไม่พอใจอย่างชัดแจ้ง“คัมภีร์มหาเวทย์เป็นของเผ่ามนุษย์ เจ้าจะให้คนเผ่าเซียนครอบครองได้อย่างไร” ชายวัยกลางคน หน้ากระดูกจากพรรคหวันซา ต่อว่าขึ้น“นั่นสิ เจ้าควรจะคืนคัมภีร์มหาเวทย์ให้เผ่ามนุษย์ แล้วฆ่าตัวตายไปซะ คัมภีร์จะได้ไม่ตกถึงมือผู้ใดอีก” ชายร่างกำยำ ดวงตาสามเหลี่ยมจากพรรคเหม่ยลี่ต่อว่าขึ้นบ้าง“ใช่ๆ” คนของแคว้นไป่ลี่เองก็เห็นด้วยกับคนเผ่าเดียวกันเช่นกัน“ข้าตัดสินใจแล้ว หากข้าไม่มอบคัมภีร์ให้ประมุขหลัว ท่านว่าจะเป็นเช่นไร ข้าเป็นคนเผ่ามาร ย่อมไม่อยากให้เกิดสงครามขึ้นระหว่างเผ่ามารกับเผ่าเซียนอีกเป็นครั้งที่สองอย่างแน่นอน แต่คัมภีร์
“ยามนี้คงไม่มีเรื่องใดสำคัญไปกว่าคัมภีร์มหาเวทย์แล้ว ท่านเจียงเหวินขอรับ ก่อนนักพรตผู้นั้นจะให้ข้าท่องคัมภีร์มหาเวทย์ไว้ แล้วทำลายมันทิ้ง ท่านเคยบอกข้าว่า หากคัมภีร์นี้ตกอยู่ในมือของคนชั่วช้า ใจอัมหิต ยุทธภพ หรือแม้แต่เซียนภพย่อมลุกเป็นไฟ ข้าจึงกังวลว่า จะทำเช่นไรดี จึงจะไม่ทำให้เกิดเหตุการณ์เช่นนั้นขึ้น หากข้าให้ท่านประมุขจุ้นซินได้คัมภีร์ไปก่อนผู้อื่น เจ้าสำนักอื่นๆ ย่อมไม่พอใจเป็นแน่ ท่านว่า ข้าควรทำเช่นไรดีขอรับ แม้ข้าจะอ่อนอาวุโส ทั้งยังไร้ฝีมือ แต่ข้าก็ไม่ปรารถนาจะให้สงครามดังเมื่อร้อยปีก่อนเกิดขึ้นอีก”“ที่เจ้าพูดมาก็มีเหตุผล”“ขอรับ ข้าไม่เพียงอาศัยคำพูดลอยๆ หลังจากแยกย้ายกันที่เจียงอู่ ข้ามาอยู่ที่เซียนกู่ ตามสัญญาสันติภาพระหว่างสองเผ่า ท่านเจ้าสำนักคงไม่รู้ว่า หลัวเซียนถูกทำร้ายในงานวันประลองยุทธของสำนักเซียนเอง ข้าจึงต้องพาเขาหลบหนีไปยังเผ่ามนุษย์ นึกไม่ถึงเลยว่า จะพบนักพรตท่านนั้น และได้คัมภีร์มหาเวทย์มา นับจากนั้น พรรคหวันซา พรรคเหมยลี่ คนของแคว้นไป่ลี่ก็ล้วนแล้วแต่ตามล่าข้ากับหลัวเซียนเพื่อสิ่งนี้ ที่พวกเขามายังเซียนกู่ ก็คงเพื่อแย่งชิงคัมภีร์มหาเวทย์ ยามนี้ ดูท่าแล้ว ปร
ขณะเดียวกัน หลัวจุ้นซินเองก็กำลังจับจ้องเจดีย์ขังมารในอุ้งมือด้วยแววตาเหี้ยมเกรียม อยากรู้นักว่าป่านนี้ ศิษย์พี่ของเขาจะมีสภาพเป็นเช่นไรแล้ว บอกตนเองเช่นนั้นแล้ว ประมุขเผ่าเซียนก็ร่ายคาถาตามที่ได้รับสืบทอดมาจากท่านอาจารย์ “...เทียน ชื่อเต้า ตี้ชื่อเต้า หยิน ชื่อเต้า หยาง ชื่อเต้า เก๋ย หว่อ ซื่อ โหยว…” ไม่ว่าจะท่องอีกสักกี่หน ประตูเจดีย์ก็ไม่มีทีท่าว่าจะเปิดออก หรือเขาจะจำผิด… ไม่สิ เขาเข้าไปในหอคัมภีร์ คัดลอกคาถาบทนั้นด้วยลายมือตนเอง จะผิดพลาดได้อย่างไร เช่นนี้แล้ว หากหลัวเซียนตายไปแล้ว เขาจะเข้าไปดูดซับเอาปราณเซียนได้อย่างไร เหตุใดสวรรค์จึงกลั่นแกล้งเขา ด้วยเรื่องบัดซบเช่นนี้ได้ ขณะเดียวกัน หลัวเซียนปรือตาขึ้นช้าๆ พบว่า รอบกายของเขายังคงว่างเปล่า แสงจากตะเกียงจุดสว่างจากทุกมุมภายในเจดีย์ บอกให้รู้ว่า บัดนี้กลไกต่างๆ ได้หยุดทำงานแล้ว เมื่อหยัดกายลุกขึ้น จึงไม่มีพลังเวทย์วารีพุ่งเข้ามาทำร้ายเขาอีก พลันบุรุษเซียนก็ต้องเบิกตากว้างขึ้น ริมฝีปากหยักได้รูปเผยอขึ้นน้อยๆ เมื่อพบเงาร่างของบุรุษผู้หนึ่งปรากฎขึ้นตรงหน้าจากเลือนราง ค่อยๆ ชัดเจนขึ้น ที่น่าประหลาดก็คือ หางเป
“มีสิ อันที่จริง ข้าก็มิได้ห่วงใยเขาเท่าไหร่หรอก เพียงเวทนาที่เขาดวงตาพิการเท่านั้น เรื่องคัมภีร์มหาเวทย์ ข้าให้ท่านได้อยู่แล้ว จะว่าไปข้าก็ไม่รู้จะเอาไปทำอะไร สู้ให้คนที่คู่ควรยังดีซะกว่า ส่วนศิษย์พี่ของท่าน ท่านอยากทำอะไรก็ตามใจเถอะ ข้าจะไม่ยุ่ง” “ไม่คิดว่า ประมุขน้อยจะเฉลียวฉลาด รู้จักรักษาตัวรอดเช่นนี้”“แน่อยู่แล้ว ชีวิตน้อยๆ ของข้าเพิ่งจะลืมตาดูโลกได้เพียงสิบกว่าปีเท่านั้น ใครเล่าจะอยากตายก่อนวัยอันสมควร ขอเพียงท่านดูแลข้าเป็นอย่างดี ระหว่างที่ข้าอยู่บนเขาเซียนกู่ คัมภีร์มหาเวทย์ก็จะตกเป็นของท่านทันที”แม้จะระแวงอู๋เหริ่นชวนอยู่ แต่ความอยากได้คัมภีร์มหาเวทย์นั้นมีมากกว่า เมื่อเดินทางมาถึงเขาเซียนกู่ เขาจึงจัดให้ประมุขน้อยหนุ่มพักที่เรือนรับรอง มีการเฝ้ายามแน่นหนา ป้องกันมิให้เซียนยุทธ ชาวยุทธทั่วหล้าเข้ามาช่วงชิงคัมภีร์มหาเวทย์ได้ทว่าสำหรับหลัวเซียนกลับตรงกันข้าม เพียงเดินทางมาถึงก็ถูกจำขังในเจดีย์ขังมารเจดีย์ขังมารเป็นเจดีย์เจ็ดชั้น หลังคาทรงเก๋งจีน ลดหลั่นกันลงมา สามารถเพิ่มลดขนาดได้ตามใจผู้ใช้ ถือเป็นของวิเศษประจำเผ่าเซียนเลยก็ว่าได้ ทันทีที่ก้าวเข้ามาในห้องกว้าง ชั้นล่า