ชายไม่เคยคิดมาก่อนว่าตัวเองจะหลับไปนานได้ขนาดนี้ มันไม่ใช่การหลับข้ามวันข้ามคืนหลังจากอดหลับอดนอนทำรายงานส่งอาจารย์ ไม่ใช่การสลบไปเป็นอาทิตย์เพราะอาการบาดเจ็บ แต่เป็นการเข้าสู่นิทรารมณ์ยาวนานนับพันปี
ใช่ นานนับพันปีที่เขาหลับใหลไม่ได้สติ พอตื่นขึ้นมาอีกครั้งโลกก็เปลี่ยนไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ หรือถ้าจะพูดให้ถูกก็คือเขาจะไม่มีทางได้กลับไปที่โลกอันเป็นดาวบ้านเกิดของตนอีกแล้ว
สถานีอวกาศประจำหน่วยรบที่สิบเอ็ดคือสถานที่ที่ชายอยู่ในตอนนี้ มันเป็นสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ที่ลอยอยู่ในอวกาศราวกับหลุดออกมาจากภาพยนตร์อย่างไรอย่างนั้น ส่วนสาเหตุที่เขามาอยู่ที่นี่ก็เป็นเพราะว่าหน่วยลาดตระเวนของกองกำลังสมาพันธรัฐอันโดรเมดาได้ช่วยเขาออกมาจากสถานีอวกาศโบราณ
‘พวกนั้นบอกว่าเราถูกจับไปทดลอง’ พอนึกย้อนไปถึงการพูดคุยกับเจ้าหน้าที่เมื่อหลายวันก่อนชายก็รู้สึกสับสน ความทรงจำสุดท้ายของเขาคือแสงไฟที่ส่องสว่างลงมาจากฟากฟ้ายามราตรีก่อนที่ทุกอย่างจะดับวูบไป พอตื่นมาอีกครั้งเขาก็พบว่าตัวเองมาอยู่ในสถานีอวกาศแห่งนี้แล้ว
สำหรับเขามันเหมือนกับการเป็นลมไประหว่างทางกลับบ้านก่อนจะตื่นขึ้นมาพบว่าชีวิตของตัวเองได้กลับตาลปัตรไปหมด ไม่ใช่เพียงสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยและห่างไกลจากบ้านเกิดหลายล้านปีแสงเท่านั้น แม้แต่ร่างกายของเขาก็ยังต่างไปจากเดิม
ชายมองเงาสะท้อนของตนบนบานหน้าต่าง วงหน้ารูปไข่ ดวงตากลมโต จมูกโด่งรั้น และริมฝีปากอิ่มนั้นช่างดูคุ้นตาเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่ทรงผมของเขาก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย ราวกับว่าระยะเวลากว่าพันปีที่ผ่านมาร่างของเขาถูกแช่แข็งเอาไว้อย่างไรอย่างนั้น
ใช่ หากมองเพียงผิวเผินเขาไม่ได้เปลี่ยนไปเลย แต่เมื่อได้สำรวจส่วนลับของร่างกายและดูภาพที่ฉายอยู่บนจอเครื่องตรวจภายในแล้ว ชายก็จำต้องยอมรับว่าตัวเองได้กลายเป็นมนุษย์ที่มีสองเพศไปแล้วจริงๆ
เขาอยากให้เรื่องทั้งหมดเป็นเพียงความฝันตื่นหนึ่งแต่น่าเสียดายที่มันคือเรื่องจริง ชายไม่ทราบระยะเวลาที่แน่นอนว่ามันผ่านมานานแค่ไหนแล้ว แต่หญิงสาวที่ถูกช่วยมาพร้อมกันบอกว่าเธอมาจากอารยธรรมมาร์ซึ่งเคยรุ่งเรืองเมื่อหนึ่งพันปีก่อน ชายจำได้ว่ายุคที่เขาจากมาอารยธรรมบนดาวอังคารยังเป็นแค่เรื่องเพ้อฝัน ดังนั้นช่วงเวลาที่เขาจากมาคงนานกว่าหนึ่งพันปีแน่ๆ
‘ให้ตายเถอะ...นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน?’ ชายคิดพลางถอนหายใจจากนั้นก็เหม่อมองออกไปในอวกาศด้วยความรู้สึกอันหลากหลาย ทั้งตื่นตาตื่นใจ สับสน และเศร้าใจ จริงอยู่ว่าเขาเหลือตัวคนเดียวแล้วตั้งแต่เสียคุณแม่ไปเมื่ออายุสิบเจ็ด แต่ก็ใช่ว่าเขาจะไร้เพื่อนฝูง พอคิดว่าคนเหล่านั้นตายกันไปหมดแล้วในอกมันก็รู้สึกวูบโหวงอย่างบอกไม่ถูก
“คุณชายได้เวลาเข้ารับการประเมินแล้ว” หุ่นยนต์ตัวกลมที่ลอยอยู่กลางอากาศได้เหมือนเล่นกลส่งเสียงเตือนเป็นภาษาอังกฤษที่ค่อนข้างแปร่งหู แต่ชายก็เริ่มชินแล้ว เขาดึงตัวเองออกจากห้วงความคิดอันยุ่งเหยิงแล้วสูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อตั้งสติ ต่อให้เรื่องที่ประสบพบเจอจะหนักหนาเพียงใดสุดท้ายแล้วเขาก็ยังมีชีวิตอยู่ และเขาจะต้องเดินหน้าต่อไป
เด็กหนุ่มที่อยู่มานานจนไม่รู้ว่าควรแทนตัวเองว่าอะไรเดินตามหุ่นยนต์ไปจนถึงห้องที่ใช้สำหรับการประเมิน ผนังด้านหนึ่งของห้องติดกระจกทางเดียวเอาไว้ดูคล้ายห้องสอบสวนที่เคยเห็นในภาพยนตร์ ตรงกลางห้องมีโต๊ะสนามอย่างง่ายๆ ตั้งอยู่ พร้อมกับเตาแก๊ส อุปกรณ์ครัวและวัตถุดิบอีกจำนวนหนึ่ง ของพวกนี้เป็นของที่เขาร้องขอไปเพื่อใช้ในการประเมินและเขาก็คาดหวังกับมันมากเพราะนี่จะเป็นตัวตัดสินว่าเขาจะได้ทุนสำหรับตั้งตัวเท่าไร
ใช่ “ทุนสำหรับตั้งตัว” เพราะชายเป็นเพียงเด็กนักเรียนที่ยังไม่ได้สอบเข้ามหาวิทยาลัยผู้คนในหน่วยรบที่สิบเอ็ดจึงไม่อยากเก็บเขาเอาไว้ ความสนใจของพวกเขามุ่งตรงไปที่ผู้หญิงจากอารยธรรมมาร์ เพราะเธอเป็นถึงนักศึกษาคณะวิทยาศาสตร์อาหารจากมหาวิทยาลัยชั้นนำของที่นั่น
อย่างไรก็ตามหน่วยรบที่สิบเอ็ดก็ไม่สามารถขับไล่ “มนุษย์ผู้ไร้ประโยชน์” ออกไปเฉยๆ ได้ พวกเขาจำเป็นจะต้องทำเอกสารยืนยันตัวตนและมอบเงินทุนสำหรับตั้งตัวให้กับมนุษย์ที่ถือว่าเป็นผู้ประสบภัยตามข้อกำหนดของกฎหมายสมาพันธรัฐอันโดรเมดา ด้วย แต่กระนั้นมันก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะมอบเงินให้เปล่าๆ ตัวผู้ประสบภัยจะต้องแบ่งปันความรู้เป็นการแลกเปลี่ยนกับทุนที่จะได้
แน่นอนว่าสำหรับอดีตเด็กหออย่างชายแล้วเขาย่อมเลือกที่จะแบ่งปันสูตรอาหาร เพราะดูเหมือนว่าผู้คนในยุคนี้จะไม่ค่อยกินอาหารปรุงสุกกันสักเท่าไร ส่วนมากจะเป็นอาหารสำเร็จรูปจำพวกเจลลี อาหารเหลว หรือไม่ก็อาหารสังเคราะห์อบกรอบที่มีหน้าตาเหมือนอาหารเม็ดสำหรับสัตว์เท่านั้น
‘พวกเขาบอกว่าถ้าทำได้ดีก็จะทำเรื่องขอใบประกอบวิชาชีพให้ด้วยสินะ’ เด็กหนุ่มคิดพลางตวงข้าวสารใส่หม้อ ยุคนี้ไม่มีหม้อหุงข้าวดังนั้นเขาจึงต้องหุงข้าวด้วยหม้อปรุงอาหารธรรมดาๆ แต่มันก็ไม่ได้ยากเกินไปนัก หลังจากซาวข้าวเรียบร้อยแล้วก็เติมน้ำให้ท่วมเหนือระดับข้าวสารขึ้นมาประมาณหนึ่งข้อนิ้วมือ จากนั้นจึงนำไปตั้งไฟโดยปิดฝาเอาไว้ เริ่มแรกใช้ไฟแรงก่อนพอน้ำเดือดแล้วค่อยลดไฟลง ระหว่างที่รอน้ำเดือดชายก็หันไปจัดการกับไข่ไก่ซึ่งเป็นตัวเอกของการทำอาหารในครั้งนี้
เขาตอกไข่ใส่ชามแยกไว้ตามรายการอาหารที่คิดจะทำเพื่อที่จะได้หยิบใช้ได้สะดวก พอตอกไข่เสร็จยังไม่ทันได้ปรุงอะไรหูก็ได้ยินเสียงน้ำเดือด เด็กหนุ่มหันไปลดไฟลงเพื่อให้ข้าวค่อยๆ สุก จากนั้นก็หันกลับไปปรุงรสไข่ที่จะใช้ทำไข่เจียว อย่างไรก็ตามเพราะเครื่องปรุงที่ทางกองทัพจัดเตรียมมาให้นั้นมีอยู่อย่างจำกัด ชายจึงใช้แค่เกลือในการปรุงรสเท่านั้น เช่นเดียวกันกับไข่คนที่นอกจากเกลือกับนมแล้วก็ไม่ได้เติมอะไรเข้าไปอีก
เมื่อเตรียมไข่เสร็จเรียบร้อยแล้วชายก็หยิบกระทะก้นแบนมาตั้งบนเตา ใส่น้ำมันลงไปเล็กน้อยพอให้ไข่ไม่ติดกระทะ รอจนน้ำมันร้อนได้ที่ก็ตอกไข่ใส่ลงไป ปรับเป็นไฟอ่อนแล้วก็ปิดฝาเอาไว้เพื่อให้ไข่ค่อยๆ สุกทั่วกัน ไม่นานก็ได้ไข่ดาวที่ไข่ขาวเรียบเนียนสวยมาหนึ่งฟอง
‘จริงๆ อยากทำไข่ดาวกรอบมากกว่านะ’ เด็กหนุ่มคิดพลางตักไข่ดาวใส่จาน เขาเลือกทำไข่ดาวแบบนี้เพราะไม่แน่ใจว่าผู้คนในโลกอนาคตจะชอบอาหารที่ไหม้เกรียมหรือเปล่า หากพวกเขาไม่ชอบไข่ดาวกรอบของโปรดคงถูกตัดสินว่าเป็นผลงานที่ผิดพลาดก็เป็นได้
ถัดจากไข่ดาวชายก็หยิบกระทะก้นกลมมาตั้งไฟ ครั้งนี้เขาใส่น้ำมันลงไปค่อนข้างมากเพราะตั้งใจจะทอดไข่เจียว พอน้ำมันเดือดก็เทไข่ที่ตีไว้แล้วลงไป รอจนไข่ด้านล่างที่สัมผัสกับน้ำมันเปลี่ยนเป็นสีเหลืองทองดูกรอบดีแล้วก็ใช้ไม้พายช่วยพลิกกลับด้าน มันค่อนข้างลำบากอยู่สักหน่อยเมื่อไม่มีตะหลิว แต่ชายก็ใช้ไม้พายสองอันช่วยพลิกไข่ได้ในที่สุด รอจนไข่เหลืองกรอบทั้งสองด้านแล้วก็จะได้ไข่เจียวกลิ่นหอมน่ารับประทานมาหนึ่งที่
พอตักไข่เจียวใส่จานแล้วชายก็ลองเปิดฝาหม้อที่หุงข้าวเอาไว้ดู พิจารณาจนมั่นใจว่าข้าวสุกทั่วกันดีแล้วเขาจึงยกหม้อลงจากเตา จากนั้นก็หันไปทำอาหารจานถัดไป
หม้อด้ามขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ถูกนำมาตั้งบนเตาไฟ เพราะไม่มีเนยให้ใช้ชายจึงใส่น้ำมันลงไปเล็กน้อย จากนั้นก็เทไข่ที่ตีผสมกับนมแล้วลงไป ใช้ไม้พายคนอย่างสม่ำเสมอเพื่อไม่ให้ไข่ที่ก้นหม้อไหม้ไปเสียก่อน คนไปได้ครู่หนึ่งเขาก็ยกหม้อลงจากเตา คนต่ออีกสักพักก็นำไปตั้งไฟใหม่ ทำซ้ำๆ อยู่อย่างนี้จนได้ไข่คนนุ่มฟูน่ารับประทาน
‘เท่านี้ก็ได้สามจานแล้ว’ ชายบอกกับตัวเองก่อนจะหยิบกระทะก้นแบนที่หุ่นยนต์ล้างทำความสะอาดดีแล้วมาใช้อีกครั้ง เขาใส่น้ำมันลงไปก่อนรอจนร้อนได้ที่ก็ปรับเป็นไฟอ่อน จากนั้นจึงค่อยเทไข่ที่ตีผสมกับเกลือและน้ำตาลตามลงไป คราวนี้เขาไม่ได้เทลงไปจนหมดในคราวเดียว แต่ใส่ทีละน้อยกะให้ไข่แผ่เต็มกระทะได้พอดี ระหว่างเทก็เอียงกระทะไปมาเพื่อให้ไข่แผ่เป็นแผ่นสวย พอเริ่มสุกก็ใช้ไม้พายม้วนทบขึ้นไปจากนั้นก็เทไข่ลงไปอีก ทำซ้ำๆ อย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนส่วนผสมหมด เสร็จแล้วก็ตักขึ้นมาวางพักบนเขียง หั่นเป็นชิ้นขนาดพอดีคำ เพียงเท่านี้ก็ได้ไข่ม้วนอย่างง่ายมาอีกหนึ่งจาน
‘เอาล่ะ! ต่อไปก็ของยากแล้ว’ ชายบอกกับตัวเองขณะยื่นกระทะที่เพิ่งใช้เสร็จให้หุ่นยนต์นำไปล้าง ส่วนตัวเองก็คิดทบทวนวิธีการทำอาหารจานไข่ที่ยากที่สุดในบรรดาห้าจานและเมื่อกระทะพร้อมแล้วเขาก็เริ่มลงมือทำทันที
เหมือนครั้งก่อนๆ ที่ชายเริ่มต้นด้วยการใส่น้ำมัน พอน้ำมันร้อนแล้วก็เทไข่ที่ปรุงรสแล้วลงไป ใช้ไม้พายคนไปเรื่อยๆ เพื่อไม่ให้ไข่จับตัวเป็นก้อนแข็ง แต่ก็ไม่ได้คนจนออกมาเป็นไข่คน พอเห็นว่าไข่เริ่มจับตัวกันดีแล้วเขาก็เอียงกระทะและเริ่มสะบัดข้อมือเพื่อแต่งรูปทรงของไข่ให้ออกมาเป็นรูปทรงของลูกรักบี้ เด็กหนุ่มนึกทึ่งอยู่ไม่น้อยที่การเคลื่อนไหวของตนยังคงคล่องแคล่วไม่เปลี่ยนทั้งๆ ที่ถูกทำให้หลับไปนานกว่าพันปี เขามองผลงานของตนอย่างพึงพอใจ ก่อนจะปิดไฟที่เตาแล้วตักข้าวสวยใส่จาน
ชายบรรจงแต่งข้าวให้เข้ากับรูปทรงของไข่ที่เพิ่งทำเสร็จ จากนั้นก็ตักไข่วางลงไปก่อนจะใช้มีดกรีดให้ไข่คลี่ออกมาปกคลุมตัวข้าวเอาไว้ ไข่ด้านในที่แม้จะสุกแต่ก็เหลวอยู่เล็กน้อยดูแล้วชุ่มฉ่ำน่ารับประทานเป็นอย่างยิ่ง แต่น่าเสียดายที่เขาไม่สามารถลิ้มรสพวกมันได้
เด็กหนุ่มกลืนน้ำลายลงคออย่างเสียดายก่อนจะหยิบจานอาหารทั้งห้าใส่เข้าไปในท้องของหุ่นยนต์รูปร่างคล้ายตู้เย็นลอยได้ เจ้าหุ่นตัวนี้จะนำอาหารของเขาไปเข้ารับการประเมินจากผู้ประเมินที่อยู่อีกห้องหนึ่ง หากผลตอบรับเป็นที่น่าพอใจเขาก็น่าจะได้เงินเพียงพอสำหรับตั้งตัวได้อย่างสบายๆ แต่ถ้าไม่เป็นอย่างนั้นเขาก็คงจะได้แค่เงินทุนขั้นต่ำตามกฎหมายคือสามร้อยสตาร์ที่เพียงพอต่อการดำรงชีพเพียงหนึ่งวันเท่านั้น
๐๐๐
ณ อีกฟากหนึ่งของกระจกเหล่ากรรมการผู้นั่งสังเกตการณ์อยู่ต่างตกอยู่ในภวังค์ ทั้งนี้ก็เนื่องมาจากท่วงท่าการทำอาหารของมนุษย์โบราณผู้นั้นช่างงดงามประหนึ่งการร่ายรำในตำนาน ยิ่งไปกว่านั้นอาหารที่ทำออกมาก็ดูน่ารับประทานเป็นอย่างมาก
“เขามีฝีมือขนาดนี้ไม่ใช่ว่าควรให้เป็นที่ปรึกษาด้านอาหารปรุงสุกหรอกหรือ?” หนึ่งในคณะกรรมการประเมินผลเสนอขึ้นมา อาหารปรุงสุกแทบจะหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์ของสมาพันธรัฐอันโดรเมดาแล้ว มันจะดีกว่าหากได้พ่อครัวเก่งๆ เพิ่มขึ้นมาแม้จะเพียงแค่คนเดียวก็ตาม
“อาหารจานไข่แบบนี้พ่อครัวจากสถาบันวิจัยอาหารปรุงสุกก็ทำได้” กรรมการอีกคนพูดขึ้น จริงอยู่ว่าพวกเขาคุ้นเคยกับไข่ในรูปของผงโปรตีนเสริม แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะไม่เคยเห็นหรือลิ้มลองอาหารปรุงสุกจากไข่มาก่อน ยิ่งไข่ดาวที่ต้องใช้ทักษะอย่างมากในการทำจนได้รับการขนานนามว่าเป็นหนึ่งในร้อยรายการอาหารที่ต้องกินให้ได้ก่อนตายนั่นแล้วพวกเขาล้วนเคยได้กินกันมาก่อน ส่วนไข่ทอดจานอื่นๆ นั้นดูอย่างไรก็แค่การทอดไข่ด้วยวิธีที่แตกต่างกันเท่านั้น ไม่ได้แปลกใหม่อะไรเลย ถึงแม้ว่าไข่ทอดบางจานพวกเขาจะไม่เคยเห็นมาก่อนก็ตาม
“นั่นสิ ทอดไข่ต่างวิธีกันเพื่อเพิ่มจำนวนเมนูที่ทำได้ แบบนี้ค่อนข้างมักง่ายไปหน่อย” กรรมการอีกคนกล่าว “แต่ก็ถือว่าเขามีทักษะในการทำอาหารพอสมควร ก็ควรออกใบประกอบวิชาชีพผู้ปรุงอาหารให้เขานะ”
“ระดับต่ำสุดก็น่าจะได้ ว่าแต่ข้าวที่เขาทำมันกินได้แน่หรือ?” อีกเสียงหนึ่งเห็นด้วยกับการออกใบประกอบวิชาชีพผู้ปรุงอาหาร อย่างไรก็ตามเขาก็ยังมีข้อสงสัยบางประการ หากข้าวที่มนุษย์โบราณผู้นี้ทำขึ้นมามีปัญหาการออกใบอนุญาตก็จำเป็นต้องระงับไป
“เครื่องตรวจสอบคุณภาพอาหารบอกว่าไม่มีอะไรผิดปกติ” ชายคนแรกที่อยากให้มนุษย์โบราณผู้นี้เป็นที่ปรึกษาด้านอาหารปรุงสุกกล่าว ก่อนจะสั่งให้หุ่นยนต์ยกอาหารจานที่มีข้าวเป็นส่วนประกอบเข้ามา ทันทีที่ฝาครอบจานอาหารถูกเปิดออกทุกคนในห้องก็เผลอสูดลมหายใจเข้าลึกเพราะถูกยั่วยวนด้วยกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ของไข่และนม กรรมการคนนั้นกลืนน้ำลายลงคออย่างไม่อาจหักห้ามใจตนเอง เขารีบคว้าช้อนแล้วตักไข่กับข้าวเข้าปากทันที
ไข่ทอดเนื้อนุ่มไม่แข็งกระด้างจนเกินไปแต่ก็ไม่คาวแม้ว่าเนื้อไข่บางส่วนจะดูเยิ้มคล้ายไม่สุก ส่วนข้าวที่กินคู่กันนั้นก็ทั้งนุ่มทั้งหอม ไม่เละหรือแข็งกระด้างเหมือนข้าวตามปกติ อาหารจานนี้นับว่าเป็นอาหารระดับภัตตาคารห้าดาวเลยทีเดียว
“เป็นยังไงบ้าง?” เหล่ากรรมการที่เหลือเอ่ยถามแต่ดูเหมือนว่ากรรมการคนแรกจะไม่สนใจอะไรแล้ว เขารีบตักคำต่อไปเข้าปากอย่างรวดเร็ว กรรมการที่นั่งข้างกันเห็นดังนั้นก็ลองตักข้าวหน้าไข่ทอดด้านที่ยังไม่ถูกตักกินดูบ้าง แล้วเขาก็ต้องเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง
“อ—อร่อย!” ทันทีที่ลิ้นได้ลิ้มรสไข่ทอดและข้าวร้อนๆ เขาก็อุทานออกมาด้วยสีหน้าเปี่ยมสุข จากนั้นก็ทำท่าจะตักคำต่อไป ทว่ากรรมการอีกคนรีบคว้าจานไปเสียก่อน
“ไหนให้ผมชิมบ้าง” กล่าวแล้วก็จ้วงข้าวกับไข่เข้าปากไปคำหนึ่ง พลันใบหูรูปสามเหลี่ยมที่ควรถูกเก็บซ่อนไว้ก็ชี้ตั้งขึ้นมา เช่นเดียวกับพวงหางนุ่มฟูที่สะบัดแรงอย่างไร้การควบคุม กรรมการคนสุดท้ายที่ยังไม่ได้ชิมข้าวหน้าไข่ทอดจึงลุกมาแย่งจานข้าวบ้างแต่เผ่าสุนัขป่ามีหรือจะยอมปล่อยมือ กรรมการคนสุดท้ายจึงได้แต่หยิบช้อนของตัวเองมาตักข้าวกินทั้งๆ อย่างนั้น
“ข—ข้าวนี่ทำไมถึงนุ่มแต่ไม่เละแบบนี้ล่ะ?” พอกินเข้าไปแล้วกรรมการผู้นั้นก็อดไม่ได้ที่จะถามออกมา มันจะประหลาดเกินไปแล้ว ปกติข้าวถ้าไม่แข็งก็เละไปเลยไม่ใช่หรือ? ความพอดีเช่นนี้มันคืออะไรกัน?
“ใช่ไหมล่ะ นุ่มกว่าข้าวหุงแล้วก็ไม่เละเหมือนข้าวต้มด้วย แบบนี้แล้วจะไม่ให้เขามาเป็นที่ปรึกษาด้านอาหารปรุงสุกได้ยังไง” กรรมการคนแรกได้ทีก็หาพวกทันที และเพราะหลักฐานก็เห็นอยู่คาตา กินอยู่คาปาก กรรมการอีกสามคนที่เหลือจึงไม่อาจโต้แย้งได้เหมือนในตอนแรก
๐๐๐