ในมุมมืดด้านในสุดของบาร์เหล้าโทรมๆ ร่างสูงเพรียวของชายหนุ่มผมดำคนหนึ่งกำลังนั่งห่อไหล่อยู่อย่างหดหู่ท้อแท้ เขายกแก้ววิสกี้ในมือขึ้นกระดกรวดเดียวจนหมด จากนั้นก็กระแทกกลับลงไปบนโต๊ะไม้เก่าๆ โดยไม่สนใจจังหวะอันสนุกสนานเร้าใจของบทเพลงสไตล์ริเวอร์แดนซ์ที่เปิดดังอึกทึกอยู่ในร้าน
ยี่สิบหกปีก่อน หลังจากนายหยาง บิดาชาวจีนของ โทบี หยาง ซึ่งประกอบอาชีพเป็นพ่อค้าเร่อยู่ในแคว้นเวลส์ ได้พบรักกับมารดาชาวไอริชจนให้กำเนิดเขา แต่ชีวิตคู่ของทั้งสองคนก็ต้องจบลงในหลายปีต่อมา เมื่อจู่ๆ เธอก็หนีไปกับนักดนตรีหนุ่มเชื้อชาติเดียวกัน ทิ้งให้เขาอยู่กับบิดาและเติบโตขึ้นด้วยการตระเวนไปทั่วเกาะอังกฤษพร้อมกับรถบรรทุกสินค้าคันเล็กๆ
ที่ผ่านมาโทบีและผู้เป็นพ่อใช้ชีวิตอย่างมีความสุขตามอัตภาพ จนกระทั่งสองปีก่อน นายหยางประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์และเสียชีวิตลงอย่างกะทันหัน ทิ้งภาระหนี้สินจากการค้าขายเอาไว้ให้บุตรชายเป็นจำนวนหลายพันปอนด์ ทีแรกโทบีก็พยายามที่จะยึดอาชีพพ่อค้าเร่ตามรอยเท้าผู้เป็นพ่อ แต่ด้วยสภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำทั่วทั้งยุโรป ทำให้เขายิ่งขาดทุนหนัก ในที่สุดจึงตัดสินใจขายรถบรรทุกสินค้าซึ่งเป็นมรดกชิ้นเดียวที่มีอยู่ นำเงินไปใช้หนี้ส่วนหนึ่ง จากนั้นก็เดินทางมายังลอนดอนเมื่อสามเดือนก่อน
โทบีใฝ่ฝันอยากเป็นนักแสดงมาตั้งแต่เด็ก แต่เขาไม่เคยผ่านโรงเรียนการแสดงหรือประสบการณ์ด้านละครเวทีมาก่อน เขาจึงจำเป็นต้องรับจ้างทำงานทุกอย่างเพื่อหาเงินมาจ่ายดอกเบี้ยของหนี้เก่าและเลี้ยงชีวิตไปวันๆ ความสุขเพียงอย่างเดียวที่ชายหนุ่มผู้อาภัพพอจะหาได้ก็คือการนั่งดื่มวิสกี้ราคาถูกในบาร์โทรมๆ ของย่านไชนาทาวน์ และถ้าคืนไหนโชคดี เขาก็อาจจะมีโอกาสได้ค้างคืนกับหญิงสาวรักสนุกหรือโสเภณีใจเปลี่ยวสักคน
เช่นเดียวกับคืนนี้ เขารู้สึกได้ถึงสายตาคู่หนึ่งที่จ้องมองมาจากโต๊ะซึ่งอยู่ถัดไปหลายตัว เจ้าของสายตาคู่นั้นเป็นหญิงสาวหน้าตาสะสวย แต่ดูจากการแต่งกายฉูดฉาดไร้รสนิยมแล้ว โทบีบอกได้ทันทีว่าเป็นผู้หญิงหากิน และเขาก็ไม่มีปัญญาอุดหนุนธุรกิจของเธออย่างแน่นอน ชายหนุ่มจึงเลือกที่จะไม่สนใจเธอ
เขานั่งเหม่อลอย มองแก้ววิสกี้ว่างเปล่าพลางทอดถอนใจอยู่นาน หากก็ต้องสะดุ้งตกใจเมื่อได้ยินเสียงทักทายดังขึ้นข้างตัว
“นั่งดื่มคนเดียวไม่เหงาเหรอจ๊ะ สุดหล่อ...” เป็นเสียงของหญิงสาวคนนั้น เธอถามเขาไปพลาง มือที่ถือขวดเบียร์อยู่ก็รินมันลงไปในแก้วของโทบี แล้วยกขวดเชิญชวนให้เขาดื่มร่วมกับเธอ
“ขอบคุณครับ” ชายหนุ่มยิ้มพอเป็นมารยาท หยิบแก้วขึ้นแตะกับขวดเบียร์ในมือเธอเบาๆ พร้อมกับกระดกใส่ปากจนหมด
“ฉันชื่อเจเน็ต เธอล่ะชื่ออะไร...”
“ผมโทบี...” เขาบอกไปตามมารยาท
“คืนนี้จะไปต่อที่ไหนหรือเปล่า ถ้าไม่มีธุระอะไร ไปปาร์ตี้กับฉันไหม...” เจ้าของชื่อเจเน็ตถือวิสาสะสอดมือเข้าไปใต้ซอกแขนแล้วบีบต้นแขนด้านในของเขาเบาๆ ขณะเดียวกันก็ขยิบตาที่ทาอายแชโดว์สีฟ้าสดข้างหนึ่งให้เขาเป็นนัยๆ
“ผมพูดตรงๆ เลยนะครับ คุณเจเน็ต... ตอนนี้ผมไม่มีปัญญาแม้แต่จะเลี้ยงเบียร์คุณซักขวด... คุณน่าจะลองชวนคนอื่นแทนนะครับ คนสวยๆ อย่างคุณ ใครก็คงอยากไปด้วยทั้งนั้นแหละ...” โทบีรีบปฏิเสธ
“โถ พ่อหนุ่มคนซื่อ... ถ้าฉันอยากไปกับคนอื่นฉันก็คงไม่มาชวนเธอหรอกจ้ะ...” พูดจบก็ก้มหน้าลงกระซิบเบาๆ “อีกอย่าง ไปกับฉันน่ะ ไม่ต้องใช้เงินหรอกนะจ๊ะ...”
ลมหายใจอุ่นๆ ที่รินรดใบหูทำให้โทบีเสียววาบ แต่ยังไม่เท่ากับวินาทีต่อมา เมื่อเจเน็ตตวัดปลายลิ้นวนใส่ร่องหูของเขาอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มรู้สึกถึงความพลุ่งพล่านของกระแสเลือดที่ถูกหัวใจสูบฉีดอย่างรุนแรง ให้ไปกองรวมกันอยู่ตรงส่วนล่างของร่างกาย จนเขาต้องลอบขยับกางเกงยีนส์ด้วยความอึดอัด แต่ยังไม่ทันไร จู่ๆ มือข้างหนึ่งของเธอก็คว้าหมับลงไปตรงนั้น
“อุ๊ยตาย เปิดปุ๊บติดปั๊บอย่างนี้ยิ่งถูกใจ... ว่าไงล่ะจ๊ะ จะไปกันเลยไหม...” หญิงสาวหัวเราะชอบใจ พลางพูดจารบเร้า
“แล้วจะไปที่ไหนกันดีล่ะครับ...” โทบีกระซิบกลับอย่างเป็นกังวล “แต่ผมไม่มีเงินเปิดห้องจริงๆ นะ...”
“โอ๊ย รุ่นนี้แล้ว ไม่ต้องใช้ห้องหรอกจ้ะ...” ว่าแล้วก็ฉุดแขนชายหนุ่มให้ลุกขึ้นยืน
โทบีลนลานคว้าขวดเบียร์เปล่าๆ ที่เจเน็ตวางทิ้งไว้บนโต๊ะมาบังเป้ากางเกงเอาไว้ เพื่อซ่อนความผิดปกติของสรีระที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างกะทันหัน ทำให้หญิงสาวต้องหัวเราะคิกคักอีกครั้ง ก่อนจะใช้สองมือรุนหลังเขาให้เดินนำเธอออกไปทางประตูด้านข้างของร้าน
เธอจูงเขาไปยังตรอกแคบๆ ระหว่างอาคารไม่ไกลจากบาร์เหล้านัก เพราะนอกจากปากทางจะมีลังไม้และถุงขยะสุมกองอยู่เป็นเครื่องช่วยกำบังสายตาของคนที่เดินผ่านไปมาได้ดีแล้ว แสงไฟจากบริเวณถนนด้านหน้าก็ยังส่องเข้ามาไม่ถึง ทำให้โทบียอมตามใจเพื่อนใหม่ และใช้สถานที่รโหฐานแห่งนี้เป็นโมเต็ลชั่วคราว
ทันทีที่ชายหนุ่มเดินเข้าไปจนสุดตรอก เจเน็ตก็ผลักเขาให้พิงกับผนังอาคารด้านหนึ่ง แล้วโผเข้าไปจูบเขาเหมือนคนอดอยากมานาน ขณะที่กำลังพัวพันและดูดดื่มปลายลิ้นของอีกฝ่ายราวกับมันเป็นขนมมาร์ชแมลโลว์ที่หอมหวาน มือทั้งสองข้างของเธอก็จัดการปลดเข็มขัดและกระดุมกางเกงยีนส์ของเขาอย่างรวดเร็ว
พอถลกกางเกงตัวนั้นลงไปกองที่ข้อเท้าของโทบีแล้ว เจเน็ตก็หันมากระชากสาบแจ็กเก็ตหนังที่เขาสวมอยู่ให้แบะออกจากกัน จากนั้นก็เลิกชายเสื้อโปโลขึ้นไปจนถึงอกเธอผละจากริมฝีปากเขาแล้วก้มลงไปจูบเนินอกของชายหนุ่ม พลางลากปลายลิ้นไปตามแนวร่องตรงกลางระหว่างกล้ามเนื้อนูนหนา ก่อนจะตวัดไปมาบนเม็ดเนื้อเล็กๆ ที่ไวต่อความรู้สึก สร้างความเสียวซ่านให้โทบีจนเขาต้องครางออกมาเบาๆ
ฝ่ามือหนาขยำเรือนผมดัดหยิกสีบรูเน็ตต์โดยอัตโนมัติ พยายามชักชวนให้ใบหน้าของเธอเลื่อนต่ำลงไปทางด้านล่าง มือข้างที่เหลือก็จับขอบกางเกงบอกเซอร์ เตรียมปลดปล่อยร่างกายที่กำลังอึดอัดขัดข้องอยู่ให้เป็นอิสระ แต่ทันใดนั้น เสียงตวาดดังลั่นก็ขัดจังหวะขึ้น พร้อมกับเงาร่างขนาดใหญ่ของผู้ชายคนหนึ่งที่เดินตรงเข้ามาจากด้านหน้าถนน
“เฮ้ย ทำอะไรกันวะ!”
เสียงเคาะประตูของซาคาเรียในตอนพลบค่ำบอกให้รู้ว่าถึงเวลาอาหารค่ำแล้ว หลังจากอาศัยอยู่ในเรือซีเซอร์เพนต์มาหลายวัน หญิงสาวก็เริ่มเคยชินจนไม่คิดจะใส่ใจต่อการปรากฏตัวของบริกรประจำตัว เธอเพียงแค่เหลือบตาไปมองขณะที่ชายหนุ่มเดินผ่านปลายเตียงไป แทบจะไม่ขยับตัวเสียด้วยซ้ำ แต่วันนี้อนามิกาก็ต้องรู้สึกประหลาดใจเมื่อพบว่าซาคาเรียไม่ได้ถือถาดใบใหญ่เข้ามาในห้องเหมือนทุกครั้ง เขาแค่เข้ามาเก็บถ้วยชามใช้แล้วบนโต๊ะอาหารเพียงเท่านั้นอย่าบอกว่ากัปตันบ้านั่นแกล้งลงโทษเธอเรื่องเมื่อตอนเย็นด้วยการให้อดข้าวอดน้ำนะ...“เอ่อ...” ครั้นจะเอ่ยปากถามขึ้นมา หม่อมราชวงศ์หญิงก็ห้ามใจตัวเองเอาไว้เสียก่อน...เรื่องอะไรจะยอมเสียหน้าล่ะ... ไม่ให้กินเธอก็ไม่ง้อหรอก...“หิวข้าวหรือยัง มาดมัวแซลล์” ซาคาเรียหันมาถามราวกับรู้ทันความคิดเธอ อนามิกาส่ายหน้าปฏิเสธ ทั้งที่ในกระเพาะอาหารรู้สึกแสบร้อนจนแทบจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว “กัปตันบอกให้เธออาบน้ำแต่งตัว... เสร็จแล้วจะให้คนมารับไปกินข้าว...” เขาบอกต่อด้วยสำเนียงแปร่งๆ ไม่ต่างจากทุกครั้ง“หมายความว่ายังไงคะ” หญิงสาวขมวดคิ้ว นึกฉงน“ที่ระเบียงท้ายเรือจัดโต๊ะเอาไว้... คืนนี้เธอไปกินที่น
ชายหนุ่มนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง เขาไม่ได้เชี่ยวชาญเรื่องจิตวิทยาเกี่ยวกับผู้หญิงก็จริง แต่ท่าทีและคำพูดของหญิงสาวก็พอจะบอกอะไรให้เขารู้อยู่บ้าง“เป็นของฝากสำหรับแม่... เป็นคนไทยเหมือนกับเธอนั่นแหละ”“คนไทยเหรอคะ” หม่อมราชวงศ์หญิงเบิกตากว้าง คุณเป็นลูกครึ่งไทยอย่างนั้นเหรอ”“ไม่ใช่... นีนาเป็นเหมือนแม่ของฉัน เธอเลี้ยงดูฉันมาตั้งแต่เด็ก...”“แล้วพ่อแม่แท้ๆ ของคุณล่ะ”คิ้วของอัลวาโรขมวดมุ่นอย่างไม่ชอบใจ เขาเคยคิดว่าตัวเองสนุกกับนิสัยช่างต่อปากต่อคำของอนามิกา แต่เวลานี้เขารู้สึกว่าเธอพูดมากจนเขาชักจะเกลียดน้ำหน้าเสียแล้วสิ...อัลวาโรเติบโตขึ้นมาโดยมีอัลเฟรโดเป็นบิดาเพียงคนเดียวที่เขารู้จัก ชายหนุ่มจดจำเรื่องราวในวัยเด็กได้ไม่มากนัก และนรินทร์นารถก็ไม่เคยพูดถึงเรื่องประเทศอังกฤษหรือเรื่องบิดามารดาแท้ๆ ของเขาอีกเลย บางครั้งที่เขาลืมตัวเอ่ยถามกับเธอ หญิงสาวก็จะมีท่าทางเศร้าซึมไป และอัลเฟรโดก็จะโกรธเขามาก มันจึงกลายเป็นเรื่องต้องห้ามซึ่งเขาไม่อยากพูดถึงแม้แต่น้อย“ตายไปหมดแล้ว ฉันมีแค่นีนากับอัลเฟรโดเท่านั้นที่เป็นพ่อแม่”น้ำเสียงและสีหน้าของคนตรงหน้าบอกให้รู้ว่าอนามิกากำลังเปิดหีบแพนโดราโดยไม่ตั
คาซาบลังกาเป็นเมืองท่าที่สำคัญของโมร็อกโก เพราะนอกจากจะเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดแล้ว มันยังเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมของประเทศอีกด้วยเรือซีเซอร์เพนต์เข้าจอดยังท่าเทียบของสโมสรเรือสำราญ นอติก เดอ ลา มารีน รอยัล ยอชต์คลับ ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศเหนือของตัวเมือง บริเวณติดกันกับท่าเรือขนส่งสินค้าขนาดยักษ์ที่กินอาณาเขตตลอดแนวชายฝั่งเป็นระยะทางเกือบสองไมล์อัลวาโรนำเธอลงจากเรือและเดินไปขึ้นรถลิมูซีนที่จอดรอให้บริการอยู่ด้านหน้าสโมสร ก่อนจะสั่งให้คนขับพาทั้งสองไปส่งยังแหล่งจับจ่ายสินค้าภายในตัวเมืองอนามิกาค่อนข้างแปลกใจที่พบว่าเมืองแห่งความรักอันแสนโรแมนติกแห่งนี้ ช่างแตกต่างไปจากภาพในความคิดของเธอเหลือเกิน เพราะปัจจุบัน สภาพความเจริญทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมได้เปลี่ยนคาซาบลังกาให้เต็มไปด้วยตึกรามบ้านช่องและผู้คน ดูไม่แตกต่างไปจากเมืองใหญ่ของประเทศต่างๆ ในทวีปยุโรปไม่ช้าความตื่นเต้นดีใจที่มีอยู่ลึกๆ ก็ค่อยๆ กลายเป็นความผิดหวัง... สิ่งเดียวที่พอจะปลอบประโลมความรู้สึกของหญิงสาวได้บ้างก็มีเพียงภาพหอคอยสูงสีขาวทรงสี่เหลี่ยมของมัสยิดกษัตริย์ฮัสซัน ที่ 2 ซึ่งตั้งตระหง่านอยู่ริมชายฝั่งมหาสมุทร
นับตั้งแต่อัลวาโรเดินผลุนผลันออกไปในตอนเย็นเมื่อวาน เป็นเวลาเกือบยี่สิบสี่ชั่วโมงแล้วที่เขาไม่ได้กลับเข้ามาเหยียบห้องพักของเธออีก หม่อมราชวงศ์หญิงอนามิกาควรจะโล่งใจที่ไม่ต้องทนเจอผู้ชายหลงตัวเอง แถมยังคิดจะเอารัดเอาเปรียบเธออย่างนั้น แต่พอไม่ได้เห็นหน้าเขานานๆ หญิงสาวกลับรู้สึกเงียบเหงาและว้าเหว่อย่างบอกไม่ถูกตามปกติแล้ว เธอมีพวงพะยอมเป็นเพื่อนคอยอยู่ใกล้ชิดเกือบตลอดเวลา แต่ในเวลานี้คนเดียวที่เธอพอจะพูดคุยด้วยได้ก็เหลือเพียงแค่ซาคาเรีย ชายหนุ่มซึ่งมีหน้าที่คอยส่งอาหารให้วันละสามมื้อ แล้วเขาเองก็ไม่ค่อยจะยอมพูดอะไรกับเธอด้วยอนามิกากลิ้งตัวไปมาอยู่บนเตียงนอนนานเกือบชั่วโมง กว่าจะลุกขึ้นมานั่ง แล้วพบว่าเรือซีเซอร์เพนต์กำลังแล่นเข้าใกล้ชายฝั่ง... ทีแรกหญิงสาวยังคิดว่ามันเป็นเพียงภาพหลอน ต้องขยี้ตาอยู่หลายครั้งจึงมั่นใจว่าสถานที่ที่เธอมองเห็นตรงหน้าก็คือเมืองท่าที่เคยงดงามที่สุดของชายฝั่งแอฟริกาตะวันตก เท่าที่เธอเคยรู้จักจากหนังสือนำเที่ยวและโปสการ์ดต่างๆ ในร้านหนังสือที่ฝรั่งเศสไม่ผิดแน่ๆ... ที่นี่ก็คือคาซาบลังกา หรือ ‘บ้านสีขาว’ ตามความหมายชื่อภาษาสเปนของมัน...เธอมาถึงโมร็อกโกแล้วหรื
วินาทีนั้นหัวใจของเธอเต้นถี่รัวจวนเจียนจะหลุดออกมาจากหน้าอก สองขาที่ยืนอยู่เหมือนจะอ่อนแรงจนแทบทรุดลงไปนั่งกับพื้น กลิ่นลมหายใจสะอาดสดชื่น ผสมผสานกับกลิ่นอาฟเตอร์เชฟที่ติดค้างอยู่บนใบหน้า และกลิ่นอายเฉพาะตัวของผู้ชาย มอมเมาให้สมองของเธอปั่นป่วนราวกับพายุหม่อมราชวงศ์หญิงก็รู้สึกหวิวๆ ในช่องท้อง สลับกับอาการเสียวแปลบปลาบคล้ายคนเป็นเหน็บชาเวลาใกล้จะหาย มันเป็นอาการที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับเธอมาก่อน แล้วมันก็ทำให้เธอเกือบโผเข้าไปซบแผ่นอกกว้างตรงหน้าโดยไม่รู้ตัว“คุณมันบ้า... หลงตัวเอง...” อนามิการีบหลับตาลง ข่มสติตัวเองพร้อมๆ กับพยายามควบคุมลมหายใจที่กระชั้นถี่ให้สงบลง ไม่มีเสียงตอบจากกัปตันหนุ่ม มีเพียงสัมผัสอุ่นๆ นุ่มละมุนที่แตะลงบนเปลือกตาของเธอเบาๆ...“เธอจะยอมฉัน...” เสียงอัลวาโรยังคงเป็นเสียงกระซิบทันทีที่ได้ยินคำพูดของเขา หม่อมราชวงศ์หญิงก็ต้องลืมตาโพลง กัดริมฝีปากตัวเองแล้วจ้องเขม็งเข้าไปในแววตาของเขา...เธอเป็นราชนิกุลที่สืบทอดศักดิ์ศรีและสายเลือดมาจากบรรพบุรุษผู้สูงส่ง...เธอจะไม่ยอมหวั่นไหวไปกับอารมณ์หรือถ้อยคำปลุกปั่นใดๆ เป็นอันขาดคิดแล้วก็รีบผลักร่างกัปตันหนุ่มเต็มแรงจนเขาเซถอย
ดวงตาของหม่อมราชวงศ์อนามิกายังจับจ้องอยู่ที่โคมไฟแก้วเจียระไนบนเพดานกลางห้องเหมือนเมื่อหลายนาทีก่อน ตลอดเวลาที่นั่งอยู่ตามลำพังในห้องขังอันหรูหรา ในใจก็คอยครุ่นคิดถึงเหตุผลที่เธอต้องกลายมาเป็นเชลยอยู่บนเรือโจรสลัดลำนี้หญิงสาวเลิกกังวลถึงเรื่องความปลอดภัยของตัวเองนานแล้ว เพราะหากกัปตันอัลวาโรคนนั้นคิดจะทำร้ายเธอจริงๆ ล่ะก็ เธอคงไม่รอดมาจนถึงตอนนี้ เพียงแต่ยังไม่เข้าใจว่าชายหนุ่มต้องการอะไรกันแน่เสียงปลดล็อกไฟฟ้าที่ประตูห้องทำให้อนามิกาตื่นตัวขึ้นมาอีกครั้ง แม้จะไม่นึกกลัวเขาอีก แต่ตราบใดที่เธอกับพวงพะยอมยังถูกขังอยู่ที่นี่ หญิงสาวก็ยังวางใจอะไรไม่ได้มาก อนามิกาจึงรีบลุกขึ้นจากเตียงแล้วหันไปมองตามสัญชาตญาณทันที และพบว่าผู้ที่ปรากฏตัวขึ้นที่ประตูห้องก็ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นคนที่กำลังวนเวียนอยู่ในความคิดของเธอนั่นเอง“ตื่นแล้วเหรอ...” อัลวาโรเริ่มต้นบทสนทนาด้วยประโยคที่พอจะคิดออก แต่พอพูดไปแล้วกลับต้องขมวดคิ้วด้วยความหงุดหงิดตัวเองที่ถามอะไรโง่ๆ ออกไป“คุณคิดว่าวันๆ ฉันจะนอนตั้งแต่เช้ายันค่ำเลยเหรอคะ”“ก็ไม่แน่หรอก... เธออาจจะอยากต้อนรับฉันด้วยการนอนรอบนเตียงก็ได้นี่” กัปตันหนุ่มเหน็บกลั