Masuk-นี่มันเรื่องบ้าอะไร ภาพพวกนี้มาอยู่ที่ฉันได้ยังไง-
อังวรีคิดทบทวนกับตัวเอง ภาพที่อยู่ในการ์ดนี้มีแต่เรื่องน่ากลัว หญิงสาวรีบปิดกล้องและถอดเอสดีการ์ดออกยัดใส่กระเป๋ากางเกงตัวเองไว้ สองมือสั่นระริกด้วยความหวาดกลัว แนบทาบหน้าอกตัวเองไว้ ตอนนี้หัวใจเธอเต้นแรงแทบไม่เป็นจังหวะ ราวกับว่ามันจะหลุดออกมาด้านนอกให้ได้
-นี่เรากำลังเจอกับเรื่องอะไรอยู่กันแน่-
พอคิดได้เช่นนั้นก็หวนให้คิดถึงเหตุการณ์เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ตอนชนเข้ากับชายแปลกหน้าสองคนนั้น
“ต้องเป็นสองคนนั้นแน่ ๆ ทั้งหน้าตาการแต่งตัวและท่าทางมีพิรุธทั้งนั้น”
อังวรีบอกกับตัวเอง ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกหวาดกลัว กลัวว่าตัวเองจะเข้าไปพัวพันกับเรื่องที่ไม่ควร พยายามทำตัวให้เป็นปกติ หญิงสาวตั้งสติอยู่ในเต็นท์ตัวเองอยู่นาน จนได้ยินเสียงร้องเอะอะโวยวายด้านนอกดังลอยมาให้ได้ยิน
“หาตัวมันให้เจอ เอาของกลับคืนมาให้ได้”
เสียงเข้มดุดันตะโกนสั่งลั่น ก่อนที่ลูกน้องที่เหลือของมันกระชากพาตัวนักท่องเที่ยวคนอื่นมารวมกันตรงลานกิจกรรม
“พวกมึงมากันกี่คน”
“พวกเราไม่ได้มาด้วยกัน”
“กูถามว่ามากันกี่คน”
“สะ...สิบคน” นักท่องเที่ยวคนหนึ่งบอกน้ำเสียงหวาดกลัว
“ตรงนี้มีแค่เก้าคนพี่” ชายฉกรรจ์คนหนึ่งบอกหลังนับนักท่องเที่ยวรวมกับเจ้าหน้าที่ทั้งหมดแล้ว
“อีกคนไปไหน”
“มะ..ไม่รู้”
“เป็นผู้หญิงใช่มั้ย”
“ไม่ได้ยินที่กูถามหรือไง หา” เมื่อไร้เสียงตอบกลับชายคนเดิมใช้ปืนดันศีรษะนักท่องเที่ยว กดจนหัวแทบทิ่มลงกับพื้น
“ใช่”
อังวรีแอบมองผ่านช่องหน้าต่างเต็นท์ที่ถูกเปิดไว้ครึ่งหนึ่ง พบกลุ่มชายฉกรรจ์จำนวนหนึ่งพร้อมอาวุธครบมือ หนึ่งในนั้นมีคนที่เคยเจอแล้วในเหตุการณ์เมื่อช่วงเช้า กำลังถือปืนขู่กลุ่มนักท่องเที่ยวให้มาล้อมวงรอบกองไฟกลางลานกิจกรรม
“มันอยู่ไหน”
“พวกเราไม่รู้”
ทันทีที่หญิงสาวตอบ ด้ามปืนเหวี่ยงตบลงใบหน้าอย่างจัง เสียงร้องเจ็บปวดดังลั่นป่า ทุกคนในทีแห่งนั้นต่างพากันร้องไห้ออกมาด้วยความหวาดกลัว โดยไม่มีใครรู้เลยว่ากำลังเผชิญหน้ากับเรื่องอะไร
“ฮือ ๆ ฉันไม่รู้จริง ๆ”
“อย่าทำอะไรพวกเราเลยนะ พวกเราไม่รู้จริง ๆ” ชายอีกคนเสริม
“หุบปาก”
ชายฉกรรจ์คนเดิมตะคอกเสียงเข้มพร้อมกับเล็งปืนใส่
“กูจะถามอีกแค่ครั้งเดียว ผู้หญิงอีกคนไปไหน”
เสียงเข้มเน้นถามช้าๆชัดๆ พร้อมกดปลายกระบอกปืนลงที่ศีรษะหญิงสาวคนเดิม จนหน้าของเธอแนบลงกับพื้นเก้าอี้ไม้ เสียงร้องไห้ร้องสะอื้นระงม แม้พยายามร้องขอชีวิตด้วยความหวาดกลัว แต่คนพวกนั้นกับไม่สนใจแม้แต่น้อย
อังวรีมองภาพตรงหน้ารู้สึกหดหู่หวาดกลัวไม่ต่างกัน ผู้หญิงที่พวกมันต้องการ คงหมายถึงเธอเป็นแน่ คิดได้ดังนั้นยิ่งทำให้นั่งไม่ติด
-เอาไงดีอิ้งค์ ทำยังไงดี-
หญิงสามถามตัวเองพยายามควบคุมสติ ทั้งที่คิดอะไรไม่ออกมือไม้แทบไม่มีแรง สิ่งแรกที่คิดออกคือต้องหาที่ซ่อนตัวก่อน คิดได้ดังนั้นจึงค่อยๆรูดซิปประตูหลังเต็นท์ลงให้เบาที่สุด พาตัวเองออกไปหลบซ่อนด้านหลัง ที่เป็นต้นไม้ใหญ่ มีพุ่มไม้เป็นแนวยาวพอให้หลบซ่อนตัวได้
โชคดีที่พระอาทิตย์ตกดินแล้ว ทำให้พอพรางตัวจากพวกนั้นได้ หลังอังวรีออกจากเต็นท์มาไม่นาน หนึ่งในนักท่องเที่ยวก็ชี้มาทางเต็นท์ของเธอ ชายฉกรรจ์หนึ่งในนั้นรีบวิ่งมาดูทันที
“เจอตัวมันมั้ย” ชายที่จ่อปืนใส่นักท่องเที่ยวถาม
“ไม่มีใครอยู่เลยพี่”
พอได้ยินคำตอบเท่านั้นแหละความเกรี้ยวโกรธของเขาจึงทวีขึ้น
“มึงอยากตายนักหรือไงถึงได้โกหก”
“เธอไม่ได้โกหก ผู้หญิงคนนั้นพักที่เต็นท์นั้นจริง ๆ เธออาจจะไปเข้าห้องน้ำก็ได้” ชายนักท่องเที่ยวอีกคนบอก
“มึงมาเฝ้าพวกมันไว้ ถ้าใครตุกติกฆ่าทิ้งได้เลย ส่วนมึงสองคนไปดูที่ห้องน้ำ ถ้าเจอก็ลากตัวมันมานี่”
สั่งลูกน้องเสร็จชายคนเดิมเดินมาที่เต็นท์ของอังวรี ก่อนรื้อข้าวของ ของจนกระจัดกระจาย มันหยิบกล้องถ่ายรูปขึ้นมาเปิดเช็คดูก่อนโยนทิ้งออกนอกเต็นท์ไป
อังวรีพยายามหมอบต่ำแนบกับพื้นเท่าที่ทำได้ หายใจให้เบาที่สุดซ่อนตัวในพุ่มไม้หลังต้นไม้ใหญ่ให้เงียบที่สุด แน่ใจแล้วว่าพวกมันกำลังตามหาเธออยู่ สิ่งที่ได้เห็นไปคงไม่ใช่เรื่องเล็กเป็นแน่ ไม่อย่างนั้นพวกมันคงไม่จับคนไม่รู้เรื่องมาเป็นตัวประกันอย่างไม่เกรงกลัวกฎหมายเช่นนี้
“ไม่เจอใครเลยลูกพี่ ทางนี้เจออะไรมั้ย” ลูกน้องที่ไปดูฝั่งห้องน้ำวิ่งกลับมารายงาน
“ไม่เจอ ในเต็นท์มัน ก็ไม่มีของมีแต่กล้องเหมือนมันจะถอดการ์ดออกไป”
“หรือมันรู้ตัวแล้วหนีไปแล้ว”
“ถ้ามันหนี แสดงว่ามันเปิดดูในนั้นแล้ว ถ้าใครเจอตัวก็ฆ่าทิ้งได้เลย”
“แล้วพวกนี้ล่ะพี่”
“ฆ่าทิ้งให้หมด”
สิ้นคำสั่งคนเป็นลูกพี่ เสียงปืนสี่นัดก็ดังขึ้น
ผ่านไปราวหนึ่งชั่วโมงหลังอังวรีติดต่อเพื่อนสนิทได้ พริมพาก็มาปรากฏตัวที่รีสอร์ต โดยมาพร้อมผู้กำกับแทนคุณที่อาสาพาเธอมาส่ง ระหว่างทางผู้กำกับหนุ่มได้เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้พริมพาฟังบ้างแล้ว“คุณจะรอในรถก่อนมั้ย” ผู้กำกับหนุ่มถามเพราะคุ้นชินกับคนที่นี่“ไม่ค่ะ ฉันจะลงไปด้วย”“ครับ งั้นตามผมมา”“สวัสดีค่ะผู้กำกับมาหาพ่อเลี้ยงหรือคะ” มาริสากล่าวทักทาย“ครับ พ่อเลี้ยงอยู่มั้ย”“พ่อเลี้ยงประชุมอยู่ค่ะ”“แล้วคุณอิ้งค์อยู่ที่นี่หรืออยู่ที่บ้าน”“อยู่ที่นี่ค่ะ ในห้องทำงานพ่อเลี้ยง”“ห้องไหนคะ”พอรู้ว่าเพื่อนรักอยู่ที่นี่ พริมพารีบพูดแทรกถามด้วยความร้อนใจ มาริสามองหน้าผู้กำกับหนุ่มสลับมองหน้าหญิงสาวแปลกหน้า เพื่อขอความเห็น เมื่อผู้กำกับแทนคุณพยักหน้า มาริสาจึงพาทั้งสองไปหาอังวรีที่ห้องทำงานของพ่อเลี้ยง“ยัยอิ้งค์”“พริม”สองสาวโผเข้าสวมก่อนกันด้วยความโล
การที่คิมหันต์พาอังวรีมาเปิดตัวที่รีสอร์ตทำให้เหล่าพนักงานพากันคิดไปต่าง ๆนานาส่วนใหญ่เห็นไปในทิศทางเดียวกันว่าเธอคนนี้คือผู้หญิงของพ่อเลี้ยงแน่นอน เพราะพ่อเลี้ยงไม่เคยพาหรือควงผู้หญิงคนไหนมาที่นี่แบบนี้มาก่อน ยกเว้นรตาเพื่อนสาวคนสนิทที่รู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก“เห็นผู้หญิงสวยๆที่มากับพ่อเลี้ยงมั้ย พวกเธอว่าเป็นใคร”“จะเป็นใครไปได้ล่ะ ก็ว่าที่แม่เลี้ยงของไร่นี้ไง”“จะเป็นไปได้เหรอ”“เป็นไปได้อย่างมากเลยล่ะ พวกเธอเคยเห็นพ่อเลี้ยงพาสาวที่ไหนมาเปิดตัวแบบนี้มั่งมั้ยล่ะ นี่คนแรกเลยนะที่ได้ยืนใกล้แถมถูกพ่อเลี้ยงประคองอีกต่างหาก พูดแล้วก็อิจฉา”“พูดถึงก็ดูเหมาะสมกันดีนะ สวยน่ารัก แต่งตัวธรรมดาดูเป็นกันเองไม่ถือตัวเหมือนพ่อเลี้ยง”“แต่เห็นคนในไร่พูดกันว่าเป็นนักท่องเที่ยวในข่าวนะ”“จะเป็นใครก็ช่างอย่าไปอยากรู้กันนักเลย เรื่องของเจ้านาย แยกย้ายกันไปทำงานได้แล้ว”หญิงสาวคนหนึ่งกล่าวเตือนเพื่อนร่วมงาน ให้สาวๆขี้เมาท์แยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตัวเองเหตุการณ์ที่กลุ่มนักท่องเที่ยวถูกสังหารหมู่ บนจุดชมวิวเปิดใหม่ของไร่คิมหันต์ เป็นข่าวใหญ่โตดังไปทั่วประเทศ ออกข่าวทีวีช่องหลักทุกช่อง ถึงสำนักข่าวจะช่วยป
เป็นเวลาหลายวันแล้วที่อังวรีอาศัยอยู่ที่บ้านไร่แห่งนี้ ตอนนี้อาการของเธอดีขึ้นจนเกือบจะหายดี วันนี้หญิงสาวตั้งใจจะเดินลงไปชมรอบ ๆบ้านด้วยตนเองเสียหน่อย“คุณอิ้งค์ ทำไมเดินลงมาเองละคะ” ป่านทองถามเมื่อเห็นหญิงสาวเดินลงมาเอง“อิ้งค์ดีขึ้นมากแล้วค่ะป้าป่าน เลยอยากลองเดินด้วยตัวเองบ้าง”“แล้วนี่กำลังจะไปไหนคะ”“อิ้งค์อยากเดินดูรอบ ๆบ้านหน่อยค่ะ ยังไม่มีโอกาสได้ดูเลย”“ถ้าอย่างนั้นอย่าเดินไปไกลนะคะ เดี๋ยวหกล้มเป็นอะไรขึ้นมาพ่อเลี้ยงจะมาว่าป้าได้”“ค่ะ อิ้งค์จะระวังป้าป่านไม่ต้องกังวลไปนะคะ”เมื่อรับปากแล้วคนตัวเล็กก็เดินชมรอบ ๆบ้าน เป็นบรรยากาศที่ชาวคนเมืองอย่างเธอใฝ่หา อากาศบริสุทธิ์หายใจเข้าแล้วสดชื่นบ้านหลังนี้เป็นบ้านสวนสองชั้นครึ่ง ทรงสูงหลังไม่ใหญ่มาก ชั้นล่างมีห้องครัวเล็ก ๆ ห้องรับแขกและห้องทำงาน แต่ละชั้นเพดานยกสูงเป็นพิเศษทำให้ดูโปร่งโล่งสบาย ด้านบนเป็นพื้นที่ส่วนตัวมีเพียงห้องเดียวสำหรับไว้นอนเป็นห้องกว้างๆ มีพื้นที่ส่วนกลางสำหร
แสงแดดอ่อนยามเช้าส่องสว่างต้อนรับวันใหม่ แสงเหลืองทองกระทบใบหน้างาม ดวงตาโตกลมตื่นลืมตาขึ้น เห็นตัวเองนอนอยู่เคียงข้างเจ้าของบ้าน ก็พอเดาได้ว่าเมื่อคืนเขาและเธอผล็อยหลับไปด้วยกันทั้งคู่บนนี้ ร่างบางพยุงตัวเองลุกขึ้นหมายจะกลับห้องไปอย่างเงียบๆ แต่ก่อนหน้านี้บิดขี้เกียจเสียงดังไปหน่อยทำให้คนนอนข้างๆตื่นไปด้วย“นั่นคุณจะไปไหน”“จะกลับห้องค่ะ”“เดี๋ยวผมไปส่ง”“ฉันว่า ฉันพอเดินเองได้แล้ว คุณไม่ต้องอุ้ม...อุ๊ย!” ยังไม่ทันได้ปฏิเสธ พูดจบร่างน้อยก็ถูกคนตัวโตช้อนอุ้มขึ้นมาแล้ว“ไม่อยากหายแล้วกลับบ้านไว ๆหรือครับ เดินมากแผลจะยิ่งอักเสบเอานะ”“คุณคงอยากให้ฉันกลับแล้ว”“ผมหมายความว่า เดินมากแผลจะอักเสบ ให้ผมอุ้มดีกว่า ถ้าหายแล้วคุณจะอยู่ให้ผมอุ้มไปตลอดชีวิตเลยก็ยังได้ ผมไม่ติดอะไร”“ใครเขาจะอยู่ให้คุณอุ้มไปตลอดชีวิตกันเล่า”“ผมพูดเปิดทางไว้ เผื่อคุณสนใจ” พูดจบร่างสูงอุ้มพาคนในอ้อมกอด เดินลงไปส่งยังห้องนอน
เมื่ออีกฝ่ายเปลี่ยนเรื่องไปไกล คนอยากรู้ย้ำถามอีกครั้ง อังวรีมองจ้องสบตาเข้าไปในดวงตาคู่คม แววตาเขาเป็นประกายอยากรู้เรื่องเธอเสียเหลือเกิน จึงเอ่ยตอบไปให้หายสงสัย“ก็คงเพราะวันๆทำแต่งานมั้งคะ เลยไม่มีเวลาเจอใคร”“แล้วถ้าเจอคนมาจีบตอนนี้จะทำยังไงครับ”“ก็ต้องดูว่านิสัยเข้ากันได้มั้ย ที่สำคัญคนที่มาจีบต้องโสดจริง ฉันไม่อยากมีปัญหาทีหลังค่ะ”เธอเน้นในประโยคสุดท้ายน้ำเสียงจริงจัง บ่งบอกให้รู้ว่าเป็นคนรักความสงบ ไม่ชอบให้ใครมาวุ่นวาย ไม่ชอบเรื่องที่ควบคุมไม่ได้“แล้วคุณชอบคนที่อายุมากกว่าหรืออายุน้อยกว่า”“ชอบผู้ชายอบอุ่นค่ะ อยู่ด้วยแล้วสบายใจ ปกป้องฉันได้สามารถอยู่ด้วยกันในเวลาที่ฉันต้องการได้ อายุไม่สำคัญถ้าเด็กกว่าแต่นิสัยไม่เด็กก็ใช้ได้”“แล้วมีคนมาจีบบ้างมั้ยครับ”“ก็มีบ้างค่ะ”“แล้วมีใครเข้าตาหรือยัง”“ยังค่ะ”อังวรียู่ปากใส่คนถาม คิ้วบางขมวดเพ่งมองอย่างสงสัยเมื่อคนตัวโตถามลึกเกินไปแล้ว“ถามเยอะขนาดนี้ อย่าบอกนะคะ ว่าคุณกำลังคิดจะจีบฉันน่ะ”ปากไวเท่าความคิดรู้ตัวอีกทีก็เปล่งคำถาม ถามกลับไปแล้
“สวยจังเลยนะคะ คุณคงขึ้นมาบนนี้บ่อย”“ก็ทุกครั้งที่มีเรื่องเครียด แค่ได้มาอยู่บนนี้ มันเหมือนได้หยุดเรื่องเครียดๆพวกนั้นไว้”“ถึงจะรู้ว่าปัญหาที่ทำให้เครียดยังอยู่เหรอคะ”“ครับ อย่างน้อยการได้อยู่กับตัวเองเงียบๆ มันก็ทำให้มีสติในการแก้ไขปัญหามากขึ้น”“วันนี้ก็ด้วยหรือคะ”“วันนี้ไม่ใช่ผม แต่เป็นคุณต่างหาก”คำตอบของพ่อเลี้ยงหนุ่มทำหัวใจดวงน้อยพองโต รู้สึกซาบซึ้งใจ ไม่คิดว่าเขาจะใส่ใจความรู้สึกของเธอมากถึงเพียงนี้“ขอบคุณนะคะ”“มาขอบคุณผมเรื่องอะไรครับ”“ทุกเรื่องเลยค่ะ ทุกเรื่องที่พ่อเลี้ยงทำให้ ขอบคุณมากจริงๆนะคะ”“คุณนี่ไว้ใจคนง่ายจังนะครับ”“ก็ไม่ง่ายนะ”“แต่คุณกำลังไว้ใจผม”“นั่นก็เพราะความรู้สึกมันบอกว่าเชื่อใจคุณได้ ถ้าคุณจะทำอะไรฉันก็คงทำไปตั้งนานแล้ว ไม่แบกคนแปลกหน้าที่ไม่เห็นหน้า ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนด้วยซ้ำ ลงจากเขามาหรอก แถมเลี้ยงดูให้อยู่อย่างสุขสบายแบบนี้อีกต่างหาก”“ผมอาจกำลังทำให้คุณตายใจอยู่ก็ได้”“พูดแบบนี้คือต้องให้ฉันระวังคุณไว้ใช่มั้ย” อังวรียิ้มกรุ้มกริ่ม“แต่ฉันสัมผัสได้ว่าคุณเป็นคนดี”“แล้วถ้าผมไม่ได้ดีอย่างที่คุณคิดล่ะ”“ดี ไม่ดีใครเป็นคนตัดสินล่ะคะ เรื่องแบบนี้ก