LOGINแสงอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าเป็นสัญญาณบอกว่าหมดไปอีกวัน อังวรีอยู่คนเดียวทีไร ทุกครั้งที่หลับตาลงภาพเหตุการณ์ในคืนนั้นยังตามมาหลอกหลอนเธอซ้ำแล้วซ้ำเล่า ความรู้สึกผิดที่เป็นสาเหตุให้ผู้อื่นต้องตายผุดวนเวียนในห้วงความคิดอยู่เสมอ รู้สึกเครียดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นอย่างมาก ความเศร้าเสียใจกัดกินเธอช้า ๆ หญิงสาวนั่งกอดเข่าร้องไห้อยู่ข้างเตียงนานหลายชั่วโมง
เหตุการณ์ครั้งนั้นสะเทือนใจเธอมาก ยิ่งต้องมาอยู่แปลกที่แปลกทางเช่นนี้ ยิ่งรู้สึกเหงาไม่รู้จะระบายความอัดอั้นตันใจนี้กับใคร ทำได้เพียงเก็บไว้คนเดียว
คิมหันต์กลับมาถึงบ้านระหว่างเดินผ่านห้องนอนของหญิงสาว เห็นแสงไฟส่องรอดออกมาประตู จึงถือวิสาสะเปิดเข้าไปโดยไม่ขออนุญาตเจ้าของห้องก่อน อย่างที่เขาคิดไว้ เธอไม่ได้ล็อกห้องอีกแล้ว ทั้งยังนั่งร้องไห้คนเดียวอย่างคืนที่ผ่านมา เห็นภาพสะเทือนใจเช่นนี้ก็อดเป็นห่วงไม่ได้
“เป็นอะไรไปครับ ร้องไห้อีกทำไม”
“พ่อเลี้ยง ..” ใบหน้าสวยเปื้อนหยาดน้ำตาเงยหน้ามองคนมาใหม่ราวกำลังต้องการที่พึ่งพิง
“ครับ คุณเป็นอะไรไป”
เป็นเวลาหลายวันแล้วที่อังวรีอาศัยอยู่ที่บ้านไร่แห่งนี้ ตอนนี้อาการของเธอดีขึ้นจนเกือบจะหายดี วันนี้หญิงสาวตั้งใจจะเดินลงไปชมรอบ ๆบ้านด้วยตนเองเสียหน่อย“คุณอิ้งค์ ทำไมเดินลงมาเองละคะ” ป่านทองถามเมื่อเห็นหญิงสาวเดินลงมาเอง“อิ้งค์ดีขึ้นมากแล้วค่ะป้าป่าน เลยอยากลองเดินด้วยตัวเองบ้าง”“แล้วนี่กำลังจะไปไหนคะ”“อิ้งค์อยากเดินดูรอบ ๆบ้านหน่อยค่ะ ยังไม่มีโอกาสได้ดูเลย”“ถ้าอย่างนั้นอย่าเดินไปไกลนะคะ เดี๋ยวหกล้มเป็นอะไรขึ้นมาพ่อเลี้ยงจะมาว่าป้าได้”“ค่ะ อิ้งค์จะระวังป้าป่านไม่ต้องกังวลไปนะคะ”เมื่อรับปากแล้วคนตัวเล็กก็เดินชมรอบ ๆบ้าน เป็นบรรยากาศที่ชาวคนเมืองอย่างเธอใฝ่หา อากาศบริสุทธิ์หายใจเข้าแล้วสดชื่นบ้านหลังนี้เป็นบ้านสวนสองชั้นครึ่ง ทรงสูงหลังไม่ใหญ่มาก ชั้นล่างมีห้องครัวเล็ก ๆ ห้องรับแขกและห้องทำงาน แต่ละชั้นเพดานยกสูงเป็นพิเศษทำให้ดูโปร่งโล่งสบาย ด้านบนเป็นพื้นที่ส่วนตัวมีเพียงห้องเดียวสำหรับไว้นอนเป็นห้องกว้างๆ มีพื้นที่ส่วนกลางสำหร
แสงแดดอ่อนยามเช้าส่องสว่างต้อนรับวันใหม่ แสงเหลืองทองกระทบใบหน้างาม ดวงตาโตกลมตื่นลืมตาขึ้น เห็นตัวเองนอนอยู่เคียงข้างเจ้าของบ้าน ก็พอเดาได้ว่าเมื่อคืนเขาและเธอผล็อยหลับไปด้วยกันทั้งคู่บนนี้ ร่างบางพยุงตัวเองลุกขึ้นหมายจะกลับห้องไปอย่างเงียบๆ แต่ก่อนหน้านี้บิดขี้เกียจเสียงดังไปหน่อยทำให้คนนอนข้างๆตื่นไปด้วย“นั่นคุณจะไปไหน”“จะกลับห้องค่ะ”“เดี๋ยวผมไปส่ง”“ฉันว่า ฉันพอเดินเองได้แล้ว คุณไม่ต้องอุ้ม...อุ๊ย!” ยังไม่ทันได้ปฏิเสธ พูดจบร่างน้อยก็ถูกคนตัวโตช้อนอุ้มขึ้นมาแล้ว“ไม่อยากหายแล้วกลับบ้านไว ๆหรือครับ เดินมากแผลจะยิ่งอักเสบเอานะ”“คุณคงอยากให้ฉันกลับแล้ว”“ผมหมายความว่า เดินมากแผลจะอักเสบ ให้ผมอุ้มดีกว่า ถ้าหายแล้วคุณจะอยู่ให้ผมอุ้มไปตลอดชีวิตเลยก็ยังได้ ผมไม่ติดอะไร”“ใครเขาจะอยู่ให้คุณอุ้มไปตลอดชีวิตกันเล่า”“ผมพูดเปิดทางไว้ เผื่อคุณสนใจ” พูดจบร่างสูงอุ้มพาคนในอ้อมกอด เดินลงไปส่งยังห้องนอน
เมื่ออีกฝ่ายเปลี่ยนเรื่องไปไกล คนอยากรู้ย้ำถามอีกครั้ง อังวรีมองจ้องสบตาเข้าไปในดวงตาคู่คม แววตาเขาเป็นประกายอยากรู้เรื่องเธอเสียเหลือเกิน จึงเอ่ยตอบไปให้หายสงสัย“ก็คงเพราะวันๆทำแต่งานมั้งคะ เลยไม่มีเวลาเจอใคร”“แล้วถ้าเจอคนมาจีบตอนนี้จะทำยังไงครับ”“ก็ต้องดูว่านิสัยเข้ากันได้มั้ย ที่สำคัญคนที่มาจีบต้องโสดจริง ฉันไม่อยากมีปัญหาทีหลังค่ะ”เธอเน้นในประโยคสุดท้ายน้ำเสียงจริงจัง บ่งบอกให้รู้ว่าเป็นคนรักความสงบ ไม่ชอบให้ใครมาวุ่นวาย ไม่ชอบเรื่องที่ควบคุมไม่ได้“แล้วคุณชอบคนที่อายุมากกว่าหรืออายุน้อยกว่า”“ชอบผู้ชายอบอุ่นค่ะ อยู่ด้วยแล้วสบายใจ ปกป้องฉันได้สามารถอยู่ด้วยกันในเวลาที่ฉันต้องการได้ อายุไม่สำคัญถ้าเด็กกว่าแต่นิสัยไม่เด็กก็ใช้ได้”“แล้วมีคนมาจีบบ้างมั้ยครับ”“ก็มีบ้างค่ะ”“แล้วมีใครเข้าตาหรือยัง”“ยังค่ะ”อังวรียู่ปากใส่คนถาม คิ้วบางขมวดเพ่งมองอย่างสงสัยเมื่อคนตัวโตถามลึกเกินไปแล้ว“ถามเยอะขนาดนี้ อย่าบอกนะคะ ว่าคุณกำลังคิดจะจีบฉันน่ะ”ปากไวเท่าความคิดรู้ตัวอีกทีก็เปล่งคำถาม ถามกลับไปแล้
“สวยจังเลยนะคะ คุณคงขึ้นมาบนนี้บ่อย”“ก็ทุกครั้งที่มีเรื่องเครียด แค่ได้มาอยู่บนนี้ มันเหมือนได้หยุดเรื่องเครียดๆพวกนั้นไว้”“ถึงจะรู้ว่าปัญหาที่ทำให้เครียดยังอยู่เหรอคะ”“ครับ อย่างน้อยการได้อยู่กับตัวเองเงียบๆ มันก็ทำให้มีสติในการแก้ไขปัญหามากขึ้น”“วันนี้ก็ด้วยหรือคะ”“วันนี้ไม่ใช่ผม แต่เป็นคุณต่างหาก”คำตอบของพ่อเลี้ยงหนุ่มทำหัวใจดวงน้อยพองโต รู้สึกซาบซึ้งใจ ไม่คิดว่าเขาจะใส่ใจความรู้สึกของเธอมากถึงเพียงนี้“ขอบคุณนะคะ”“มาขอบคุณผมเรื่องอะไรครับ”“ทุกเรื่องเลยค่ะ ทุกเรื่องที่พ่อเลี้ยงทำให้ ขอบคุณมากจริงๆนะคะ”“คุณนี่ไว้ใจคนง่ายจังนะครับ”“ก็ไม่ง่ายนะ”“แต่คุณกำลังไว้ใจผม”“นั่นก็เพราะความรู้สึกมันบอกว่าเชื่อใจคุณได้ ถ้าคุณจะทำอะไรฉันก็คงทำไปตั้งนานแล้ว ไม่แบกคนแปลกหน้าที่ไม่เห็นหน้า ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนด้วยซ้ำ ลงจากเขามาหรอก แถมเลี้ยงดูให้อยู่อย่างสุขสบายแบบนี้อีกต่างหาก”“ผมอาจกำลังทำให้คุณตายใจอยู่ก็ได้”“พูดแบบนี้คือต้องให้ฉันระวังคุณไว้ใช่มั้ย” อังวรียิ้มกรุ้มกริ่ม“แต่ฉันสัมผัสได้ว่าคุณเป็นคนดี”“แล้วถ้าผมไม่ได้ดีอย่างที่คุณคิดล่ะ”“ดี ไม่ดีใครเป็นคนตัดสินล่ะคะ เรื่องแบบนี้ก
แสงอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าเป็นสัญญาณบอกว่าหมดไปอีกวัน อังวรีอยู่คนเดียวทีไร ทุกครั้งที่หลับตาลงภาพเหตุการณ์ในคืนนั้นยังตามมาหลอกหลอนเธอซ้ำแล้วซ้ำเล่า ความรู้สึกผิดที่เป็นสาเหตุให้ผู้อื่นต้องตายผุดวนเวียนในห้วงความคิดอยู่เสมอ รู้สึกเครียดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นอย่างมาก ความเศร้าเสียใจกัดกินเธอช้า ๆ หญิงสาวนั่งกอดเข่าร้องไห้อยู่ข้างเตียงนานหลายชั่วโมงเหตุการณ์ครั้งนั้นสะเทือนใจเธอมาก ยิ่งต้องมาอยู่แปลกที่แปลกทางเช่นนี้ ยิ่งรู้สึกเหงาไม่รู้จะระบายความอัดอั้นตันใจนี้กับใคร ทำได้เพียงเก็บไว้คนเดียวคิมหันต์กลับมาถึงบ้านระหว่างเดินผ่านห้องนอนของหญิงสาว เห็นแสงไฟส่องรอดออกมาประตู จึงถือวิสาสะเปิดเข้าไปโดยไม่ขออนุญาตเจ้าของห้องก่อน อย่างที่เขาคิดไว้ เธอไม่ได้ล็อกห้องอีกแล้ว ทั้งยังนั่งร้องไห้คนเดียวอย่างคืนที่ผ่านมา เห็นภาพสะเทือนใจเช่นนี้ก็อดเป็นห่วงไม่ได้“เป็นอะไรไปครับ ร้องไห้อีกทำไม”“พ่อเลี้ยง ..” ใบหน้าสวยเปื้อนหยาดน้ำตาเงยหน้ามองคนมาใหม่ราวกำลังต้องการที่พึ่งพิง“ครับ คุณเป็นอะไรไป”
“พวกมันยอมรับสารภาพมั้ย” พ่อเลี้ยงหนุ่มถามเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เฝ้าหน้าห้องขัง“ยังไม่มีใครยอมสารภาพเลยครับ” เขากัดฟันแน่นข่มอารมณ์เมื่อได้คำตอบ พร้อมสูดหายใจเข้าลึก ๆ“ผมขอเข้าไปคุยกับพวกนั้นได้มั้ย”เมื่อได้รับอนุญาตพ่อเลี้ยงหนุ่มจึงเดินเข้าไปด้านใน คิ้วหนาขมวดเข้าหากันแน่น สีหน้าเรียบตึงดุดัน น่าเกรงขาม“ไงได้ข่าวว่าไม่มีใครยอมพูดอะไรเลย”“กูไม่มีอะไรจะพูดทั้งนั้น”“ที่จริงฉันชอบนะ พวกที่ไม่มีปากนะ เพราะว่ามันเก็บความลับได้ดีแต่ไม่ใช่กับพวกแก ไหนขอทดสอบหน่อยว่าไม่มีปากจริงมั้ย”ใบหน้าคมปรายตามองไปยังผู้ติดตาม ทันทีที่สบตากับเจ้านาย วรุตก็รู้ในทันทีว่าต้องทำอะไรภาพวิดีโอถูกเปิดผ่านสมาร์ตโฟน หันไปให้กลุ่มชายฉกรรจ์ในห้องขังดู เป็นภาพเด็กและผู้หญิง คนในครอบครัวของหนึ่งในพวกมัน ชายคนหนึ่งพอได้เห็นภาพลูกสาวและเมียตัวเองในวิดิโอ ถึงกับนั่งไม่ติดยิ่งตอนท้ายวิดิโอเป็นชายชุดดำถือปืนเล็งใส่ลูกและภรรยายื่นหน้าบ้านตัวเอง ยิ่งกระวนกระวายจนเกิดพิรุธ จากความหวาดกลัว“นี่พวกมึงจะทำอะไร”“ทำเหมือนที่พวกมึงทำมั้ง ตามเก็บปิดปาก”“จะฆ่าพวกเขาไม่ได้นะ พวกเราไม่รู้อะไรด้วย พ่อเลี้ยงคงไม่ใจเหี้ยมถึงขนาดฆ่า







