เข้าสู่ระบบหลังจากวันนั้น เสิ่นชิงซูก็เงียบขรึมมากขึ้นก่อนหน้านี้ตอนที่ชิวเม่ยดูแลเธอ เธอยังคุยเล่นกับชิวเม่ยบ้าง แต่ตอนนี้เธอกลับเงียบขรึมลงเรื่อย ๆบางครั้งเธอก็ตื่นอยู่ แต่ก็นอนนิ่ง ๆ อยู่บนเตียง บางครั้งก็นั่ง ‘มอง’ ออกไปนอกหน้าต่าง ฟังเสียงคลื่นแล้วเหม่อลอยทั้งชิวเม่ยและโม่ไป๋ต่างสังเกตเห็นความผิดปกติของเธอชิวเม่ยพยายามหาเรื่องคุยกับเธออย่างกระตือรือร้น แต่เสิ่นชิงซูมักจะใจลอย บางครั้งคำตอบก็ไม่ตรงกับคำถามโม่ไป๋รู้ดีว่าเป็นเพราะการปิดบังของเขาที่ทำให้ความไว้วางใจและความรู้สึกปลอดภัยในใจของเสิ่นชิงซูพังทลายลงโดยสิ้นเชิงเขาพยายามจะสื่อสารกับเสิ่นชิงซูแต่เสิ่นชิงซูก็ไม่สนใจเธอเริ่มปิดกั้นตัวเองมากขึ้นเรื่อย ๆตอนแรกก็แค่ไม่ยอมสื่อสาร ต่อมาเธอก็เริ่มเข้าสู่สภาวะหลับใหลไม่แยกกลางวันกลางคืนโม่ไป๋ตระหนักว่าอาการของเธอไม่สู้ดีนักหลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดเขาก็ยอมแพ้เช้าวันนั้น เสิ่นชิงซูตื่นขึ้นมา โม่ไป๋ก็ถืออาหารเช้าเข้ามา“ตื่นแล้วเหรอครับ กินอาหารเช้าพอดีเลย”เสิ่นชิงซูไม่พูดอะไรโม่ไป๋นั่งลงข้างเตียง หยิบช้อนตักโจ๊กถั่วแดงจากในชามขึ้นมาหนึ่งช้อน ยื่นไปที่ปากของเส
โม่ไป๋มีเรื่องปิดบังเธอชิวเม่ยเห็นเสิ่นชิงซูไม่พูด ก็เลยถามว่า “คุณเสิ่น เป็นอะไรไปคะ?”“ฉันไม่เป็นไร” น้ำเสียงของเสิ่นชิงซูเรียบเฉย “แถวนี้มีคนนอกเข้ามาบนเกาะบ่อยไหม?”“น้อยมากค่ะ” เสี่ยวชิวพูด “เกาะของเราค่อนข้างห่างไกลน่ะค่ะ ไม่ค่อยมีคนมา”เมื่อได้ยินดังนั้น เสิ่นชิงซูก็ไม่ถามอะไรต่อ “ฉันเหนื่อยหน่อยแล้ว พาฉันกลับไปเถอะ”“ได้ค่ะ”ชิวเม่ยพาเสิ่นชิงซูกลับไปที่ห้องเสิ่นชิงซูล้มตัวลงนอนบนเตียง แล้วหลับตาลงชิวเม่ยเห็นว่าเธอเหนื่อยจริง ๆ ก็ช่วยห่มผ้าให้เธอ แล้วหันหลังเดินออกจากห้องไปเสียงปิดประตูดังขึ้นเสิ่นชิงซูค่อย ๆ ลืมตาขึ้นดวงตาทั้งสองข้างบอดสนิท โลกที่มืดมิด เธอทำอะไรไม่ถูกแม้แต่การเดินออกจากห้องนี้คนเดียวก็ยังเป็นปัญหาเธออดไม่ได้ที่จะนึกถึงลูกทั้งสองคนไม่รู้ว่าพวกเขาจะคิดถึงแม่ไหม จะร้องไห้งอแงหาแม่เพราะติดต่อเธอไม่ได้หรือเปล่า...เสิ่นชิงซูทั้งสับสนและสิ้นหวังไม่ว่าจะเป็นฟู่ซือเหยียนในอดีต หรือจิ้นเชวี่ยในปัจจุบัน ก็สามารถทำให้ชีวิตของเธอวุ่นวายได้อย่างง่ายดายเธอเหนื่อยมากจริง ๆ.........โม่ไป๋กลับมาถึงเกาะจินอวี๋ในเช้าวันรุ่งขึ้นตอนนั้น เสิ่นชิงซู
เกาะจินอวี๋โม่ไป๋หาชาวเกาะคนหนึ่งมาช่วยดูแลชีวิตประจำวันของเสิ่นชิงซูเป็นหญิงสาวอายุยี่สิบปี ชื่อเจี่ยชิวเม่ยชิวเม่ยบอกว่าเพราะเธอเกิดในฤดูใบไม้ร่วง พ่อก็เลยตั้งชื่อให้เธอว่าชิวเม่ยอยู่ที่เกาะจินอวี๋อีกสองวัน ร่างกายของเสิ่นชิงซูก็ดีขึ้นมากแล้วเธออยากจะออกไปเดินเล่นข้างนอก การนอนอยู่บนเตียงทั้งวันมันน่าเบื่อเกินไปจริง ๆเจี่ยชิวเม่ยรู้ว่าเสิ่นชิงซูมองไม่เห็น ตอนที่ดูแลเธอก็ใส่ใจมากเสิ่นชิงซูเสนอว่าจะออกไปเดินเล่นข้างนอก ชิวเม่ยก็กระตือรือร้นมาก พยุงเธอไปเดินเล่นที่ชายหาดนอกบ้านตอนนี้เป็นเวลาพลบค่ำ ลมทะเลเค็ม ๆ และเย็นเล็กน้อยชิวเม่ยช่วยจัดผ้าคลุมไหล่ให้เสิ่นชิงซู “พี่เสิ่น หนาวไหมคะ?”เสิ่นชิงซูส่ายหน้า “ฉันไม่เป็นไร ชิวเม่ย เล่าเรื่องเกาะของพวกเธอให้ฉันฟังหน่อยสิ”พอได้ยินดังนั้นชิวเม่ยก็เกาหัว “พี่เสิ่นรู้ไหมคะว่าทำไมเกาะของเราถึงชื่อเกาะจินอวี๋?”เสิ่นชิงซู “เพราะว่ามันมีรูปร่างเหมือนปลาทองเหรอ?”“ไม่ใช่ค่ะ!” ชิวเม่ยยิ้มแล้วพูดว่า “เพราะว่าบนเกาะของเรามีปลาทองค่ะ!”“ปลาทองไม่ใช่ปลาน้ำจืดสำหรับเลี้ยงสวยงามเหรอ?”“ใช่ค่ะ เกาะของเราไม่ใหญ่มาก แต่ก็มีภูเขาลูกเล็ก
“ขอโทษนะ ฉันช่วยแกไม่ได้หรอก” ซ่งหลานอินยักไหล่ แล้วลุกขึ้นเดินเข้าไปในบ้านในห้องครัว เวินจิ่งซีกำลังผัดกับข้าวไฟเตาแรงมาก เวินจิ่งซีเหงื่อท่วมหัวอุณหภูมิตอนกลางวันของเมืองอวิ๋นอยู่ที่ยี่สิบกว่าองศา ตอนเช้ากับตอนกลางคืนจะหนาวซ่งหลานอินยืนอยู่ที่ประตู พิงกรอบประตูพลางกอดอกมองแผ่นหลังที่กำลังยุ่งวุ่นวายอยู่หน้าเตาของผู้ชายคนนั้นเตาสำหรับผู้ชายแล้วมันต่ำเกินไปจริง ๆ การหั่นผักล้างผักทำให้ปวดเอวมากซ่งหลานอินเดินเข้ามา “ฉันเพิ่งไปเดินเล่นรอบ ๆ เขตเมืองเก่ามา ไม่เจอคนน่าสงสัยเลย”เวินจิ่งซีปิดไฟเตา เทซุปที่ทำเสร็จแล้วลงในจาน จากนั้นก็ยกจานขึ้น...พอหันกลับมา ก็สบเข้ากับสายตาของซ่งหลานอินอย่างไม่ทันตั้งตัวดวงตาของหญิงสาวเจือรอยยิ้ม ยังคงเป็นความชื่นชมอย่างไม่ปิดบัง“ผู้ชายรักครอบครัวแสนดีอย่างคุณเวิน ต้องเป็นผู้หญิงที่ยอดเยี่ยมขนาดไหนถึงจะคู่ควรกันนะ?”“ผมยอมเป็นพระดีกว่าที่จะมีความสัมพันธ์ใด ๆ กับคุณ” เวินจิ่งซียังคงเย็นชาเช่นเคยโชคดีที่ซ่งหลานอินชินแล้วเธอ ‘จิ๊’ เสียงหนึ่ง เดินเข้าไปใกล้หน่อย แล้วถึงพูดว่า “มีข่าวสองข่าว ข่าวดีกับข่าวร้าย จะฟังข่าวไหนก่อน?”เวินจิ่งซี
สามวันต่อมาเมืองอวิ๋น ตำบลซาซีกู่ โฮมสเตย์อวิ๋นเหย่ในสวนที่ปลูกต้นไม้และดอกไม้นานาชนิด อาหยวนนอนแผ่หลาอยู่บนพื้นแลบลิ้นออกมา เสี่ยวอันหนิงมือซ้ายถือกล่องเครื่องสำอางสำหรับเด็ก มือขวาถือพัฟแป้งเล็ก ๆ กำลังช่วยอาหยวนแต่งหน้าอย่างเป็นเรื่องเป็นราวเสี่ยวเนี่ยนอันนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ข้าง ๆ คนเดียว ก้มหน้าตั้งอกตั้งใจเล่นรูบิคของเขาในห้องครัวมีกลิ่นหอมของอาหารลอยออกมาเวินจิ่งซีกำลังทำอาหารซ่งหลานอินผลักเปิดประตูไม้โบราณของสวนจากด้านนอก หันกลับไปปิดประตูไม้อีกครั้ง แล้วลงกลอนไม้เสี่ยวเนี่ยนอันได้ยินเสียงความเคลื่อนไหว ก็เงยหน้าขึ้นซ่งหลานอินเดินเข้ามา ขยี้หัวของเขา “เล่นรูบิคอีกแล้วเหรอ?”“อืม!” เสี่ยวเนี่ยนอันมองซ่งหลานอิน ดวงตาสดใส “ผมต่อครบหกด้าน เร็วที่สุดใช้เวลาสามนาทีแล้วครับ”รูบิคเป็นของที่ฟู่ซือเหยียนซื้อให้และฟู่ซือเหยียนก็เป็นคนสอนเสี่ยวเนี่ยนอันเล่นด้วย“เก่งมาก!” ซ่งหลานอินพูดว่า “ถ้าพ่อของเธอรู้ว่าเธอเก่งขนาดนี้แล้ว ต้องดีใจมากแน่ ๆ”เสี่ยวเนี่ยนอันจ้องมองเธอ “น้าซ่ง ช่วงนี้น้ากับพ่อได้ติดต่อกันไหมครับ?”“ติดต่อสิ” ซ่งหลานอินแสร้งพูดอย่างสบาย ๆ ว่า “ช่วงนี
ไม่ใช่การซักถาม แต่เป็นการกล่าวถึงความจริงเจียงหมี่รั่วยกมือขึ้นช่วยเขาถอดเสื้อสูท หันหลังเดินไปที่ราวแขวนเสื้อ ยกมือขึ้นแขวนเสื้อสูท “พี่ชิงซูมีบุญคุณกับฉัน จิ้นเชวี่ย ฉันทนดูคุณบีบคั้นเธอจนตายไม่ได้”“คุณไม่กลัวผมโกรธเหรอ?”เสียงของผู้ชายคนนั้นเย็นชา แววตาที่จ้องมองเธอปราศจากอารมณ์ใด ๆ ราวกับมองคนที่ไม่เกี่ยวข้องทั้งที่ในท้องของเธอมีลูกของเขาอยู่แท้ ๆ!“ฉันกลัวคุณโกรธ แต่จิ้นเชวี่ย ฉันกลัวว่าคุณจะเสียใจมากกว่า พี่ชิงซูไม่ได้อ่อนแอเหมือนที่เห็นภายนอก จริง ๆ แล้วเธอหัวแข็งมาก เธอไม่เต็มใจที่จะอยู่ข้างกายคุณ คุณใช้ทุกวิธีเพื่อบีบบังคับเธอ ถ้าเธอทนจนถึงที่สุด ก็จะเลือกความตายเพื่อปลดปล่อยตัวเอง!”เจียงหมี่รั่วหันกลับมา มองจิ้นเชวี่ย “ฉันรักคุณ แม้จะรู้ว่าคุณมองฉันเป็นแค่เครื่องมือผลิตลูก ฉันก็ไม่เคยเสียใจหรือเสียดาย จิ้นเชวี่ย คุณจะกลัวอะไร? คุณยังมีลูกคนนี้นะ! นี่คือลูกของคุณกับพี่ชิงซู ขอแค่เด็กคนนี้เกิดมาอย่างปลอดภัย ความสัมพันธ์ระหว่างพวกคุณก็จะไม่มีวันตัดขาด ทำไมคุณต้องรีบร้อนในตอนนี้ด้วย!”จิ้นเชวี่ยมองผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้า ต้องบอกว่าเธอรู้วิธีเอาใจเขาดีมากจริง ๆ แล้ว ตอ







