“ยังไงข้าก็ไม่ไป!!! ถ้าท่านอยากได้ผู้สืบทอด ท่านก็เอาเพ่ยเพ่ยไปสิ ข้าเห็นท่านทั้งรักทั้งหลงนางอย่างกับอะไรดี” เตียวเฟยหลิวรีบผลักลูกสาวตัวน้อยวัยห้าขวบไปให้ผู้เป็นพ่อทันที
“บ๊ะ เพ่ยเพ่ยยังเล็กนัก เจ้าจะให้นางไปดูแลตำหนักแทนข้าได้อย่างไร หลานสาวข้าที่กิริยามารยาทเรียบร้อยขนาดนี้ ข้าจะหักใจให้นางเรียนวรยุทธแล้วกลายเป็นม้าดีดกะโหลกเหมือนเจ้าน่ะเหรอ ฝันไปเถอะ!” เตียวหย่งไจ้เถียงลูกสาวคอเป็นเอ็น เขาไม่อยากให้หลานสาวเขาได้นิสัยแย่ ๆ ของลูกสาวตัวดีมานี่นา
“อ้าว แล้วทีตอนข้าอายุห้าขวบ ทำไมท่านบังคับสอนข้าทั้งที่ข้าไม่ต้องการเล่า ท่านรักข้าน้อยกว่าลูกสาวของข้าเหรอ ฮือ ʕ ´•̥̥̥ ᴥ•̥̥̥`ʔ ท่านแม่ ท่านพ่อไม่รักข้าจริง ๆ” เตียวเฟยหลิวรีบใช้วิชามารน้ำตาจระเข้ของนางเข้าไปออดอ้อนท่านแม่ทันที
เจียวไฉ่หลานได้แต่ลูบหลังลูบไหล่ลูกสาวไปตามประสา นางรู้ว่าลูกสาวเสแสร้ง แต่ตัดใจทำใจร้ายกับนางไม่ลง ใครใช้ให้นางคลอดเด็กคนนี้มาเล่า เฮ้อ
“เอาล่ะ ๆ เลิกร้องได้แล้วอาหลิว ตาเฒ่า เจ้าก็หาอาจารย์มาสอนเพ่ยเพ่ยเสียเถอะ ในเมื่อลูกสาวเจ้าไม่อยากสืบทอดก็ปล่อยนางไป ข้าจะลองคุยกับเพ่ยเพ่ยให้เองว่านางต้องการหรือไม่” เจียวไฉ่หลานได้แต่หาทางออกให้สองพ่อลูกตัวป่วน
“เฮ้อ ลำบากเจ้าอีกแล้วภรรยา เพราะเจ้าคนเดียวอาหลิว ที่ทำให้แม่เจ้าลำบาก” ยังไม่วายจะโทษลูกสาวที่แอบแลบลิ้นปลิ้นตาใส่เขาลับหลังภรรยา
เจียวไฉ่หลานรีบไล่สองพ่อลูกให้แยกย้ายไปพักผ่อน พรุ่งนี้ค่อยคุยกันอีกครั้ง ทั้งสองไม่กล้าขัดคำสั่งนางมาแต่ไหนแต่ไร หากเมื่อไหร่เจียวไฉ่หลานเอาจริง ทั้งพ่อและลูกสาวมีหวังได้หลังลายกันไปหลายวัน
วันต่อมาหลังอาหารเช้า เจียวไฉ่หลานพาหลานสาวไปนั่งเล่นที่เรือนรับรอง นางเอ่ยปากถามหลานสาวอย่างไม่อ้อมค้อม
“เพ่ยเพ่ย หลานอยากเรียนวรยุทธเพื่อป้องกันตัวบ้างหรือเปล่าลูก” นางพยายามใช้เสียงอ่อนโยนที่สุด ด้วยกลัวหลานสาวผู้แสนอ่อนหวานจะตกใจ
“อืม วรยุทธคืออะไรเหรอเจ้าคะ แล้วมันสนุกไหม” ชิวเพ่ยเพ่ยมองท่านยายด้วยแววตาใสซื่อที่สืบทอดมาจากผู้เป็นพ่อ ทำเอาคนมองใจแทบละลาย
“วรยุทธก็เหมือนกับออกกำลังกายให้ร่างกายแข็งแรง ถ้าถามยายว่าสนุกไหม ยายก็คิดว่าไม่เลวนะ เวลามีคนมารังแกเราหรือครอบครัวเรา เรายังสามารถใช้วรยุทธที่เรียนมาแก้แค้นคืนได้ด้วย” เจียวไฉ่หลานหว่านล้อมหลานสาวคนดี
“ถ้าอย่างนั้นข้าเรียนก็ได้เจ้าค่ะ ท่านยายบอกว่าสนุก ข้าเลยอยากลองดูบ้าง” ชิวเพ่ยเพ่ยที่ยังไม่รู้ว่านรกคืออะไรยิ้มตอบท่านยายของนางอย่างไร้เดียงสา
เจียวไฉ่หลานเห็นว่าหลานสาวยอมแล้วจึงได้แต่ถอนหายใจอย่างโล่งอก เรื่องในภายหน้าค่อยว่ากันเถอะ ตอนนี้ปล่อยนางเข้าใจแบบนี้เสียก่อน ไม่อย่างนั้นทั้งตาเฒ่ากับลูกสาวคงได้ตีกันอีกไม่หยุดไม่หย่อน นางสุดแสนจะเบื่อหน่ายพวกเขาจริง ๆ
เตียวหย่งไจ้หลังจากภรรยามาเล่าให้ฟัง เขารีบส่งองครักษ์ลับกลับไปที่ตำหนักเพื่อแจ้งข่าวเพื่อนรักให้มาช่วยสอนหลานสาวทันที เพื่อนเขาทั้งสามคนหนีร้อนมาพึ่งเย็นจากแคว้นต่าง ๆ เพราะความสามารถอันสูงส่งของพวกเขา ทำให้มีคนใหญ่คนโตต้องการได้ตัวไป ถึงกับล้มล้างคนในตระกูลพวกเขาไปเสียหมด พวกเขานำเงินทั้งหมดมาจ้างตำหนักเขาให้แก้แค้นแทน เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจ ทั้งสามเฒ่าชราวัยเดียวกับเขาจึงขออยู่ด้วยมากระทั่งทุกวันนี้
ตาเฒ่าหลิงไท่ เก่งด้านค่ายคูประตูกล
ตาเฒ่าเซียวฟาง เก่งด้านยารักษาและยาพิษ
ตาเฒ่าหยวนซวน เก่งด้านอาวุธลับ
ตำหนักของเขาพัฒนามาได้ถึงขนาดนี้ก็ต้องขอบคุณเพื่อนรักทั้งสามไม่น้อย พวกเขาช่วยเสริมจุดด้อยจนทำให้ตำหนักของเขากลายเป็นหนึ่งในใต้หล้า รับงานครั้งใดไม่เคยผิดพลาด ค่าจ้างแต่ละครั้ง หากไม่มีเงินถึงหนึ่งแสนตำลึง จะไม่ได้รับคำรับรองงานจากตำหนัก แต่หากสมาชิกในตำหนักต้องการรับงานก็รับได้ ใครจ่ายมากกว่าหนึ่งแสนตำลึง ตำหนักจะให้ใบรับรองภารกิจสำเร็จและทำตามคำสั่งที่ได้รับจนเสร็จสิ้นทุกครั้งโดยไม่สามารถสืบสาวร่องรอยได้ ทำให้ทุกวันนี้ ชื่อเสียงตำหนักของเขาดังไปทั่วทั้งห้าแคว้น
สองวันต่อมา มีนกพิราบสื่อสารมาแจ้งข่าวเตียวหย่งไจ้กับภรรยา ว่าพวกเขาทั้งสามจะเดินทางมาสอนหลานสาวของเขาให้ เตียวหย่งไจ้ให้คนหาบ้านพักใกล้กับที่นี่เพื่อความสะดวก คนของเขาก็แสนดี เดินด้านหน้าไปขอซื้อบ้านติดกันด้วยราคาสองเท่าเอาเสียดื้อ ๆ พอเจียวไฉ่หลานรู้เข้าก็ด่าเสียจนองครักษ์ของเขาแทบตกต้นไม้ ใครใช้ให้มันไม่มาถามเขาก่อนเล่า เรื่องนี้เขาจะไม่ยุ่ง บรื๋ออออ เขากลัวภรรยาสุดที่รักที่สุด
“ฝ่า..ฝ่าบาท” ขุนนางที่เมื่อกี้ิเชิดหน้าชูคอใส่ชิวเพ่ยเพ่ยเข่าอ่อนในทันใด เขารีบคุกเข่าทำความเคารพฮ่องเต้พร้อมคนอื่น ๆ ที่เขาพามา ฮ่องเต้ไม่แม้แต่จะมองและสั่งให้พวกเขาลุกขึ้น เขาจะปล่อยให้พวกมันคุกเข่าไปฟังไปแบบนี้นี่แหละ ช่างหาเรื่องให้เขาเสียหน้ากับผู้มีพระคุณนัก“คารวะท่านเจ้าตำหนัก ข้าเพิ่งรู้ว่าท่านมาแคว้นเยี่ยจึงเสียมารยาทที่ไม่ได้มาต้อนรับท่านด้วยตัวเอง หวังว่าท่านจะไม่ถือโทษโกรธข้าหรอกนะ” ฮ่องเต้ที่อาวุโสกว่าชิวเพ่ยเพ่ยหลายปีรีบขอโทษนางก่อนอย่างไม่อายใคร“ฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องมากมารยาทกับข้า ข้ากับสามีเพียงอยากมาทำบุญที่แคว้นเยี่ย แต่ดูท่าทางแล้วคนในแคว้นของท่านคงไม่ชอบเรื่องดี ๆ เช่นนี้นัก วันนี้ข้าจึงต้องลงมือจนทำให้ท่านลำบาก ข้ากับสามีต้องขอโทษท่านเช่นกัน” ชิวเพ่ยเพ่ยไม่จำเป็นต้องใช้ราชาศัพท์กับเขา นางพูดกับเขาเหมือนคนสนิทที่เคยพบปะกันมา ทั้งที่จริงนางแค่เคยพูดคุยและติดต่อกับเขาทางจดหมายหลังถล่มจวนอ๋องไปเมื่อคราวนั้นเท่านั้น“อืม ขอบคุณท่านมากที่ไม่ถือสา ส่วนคนที่สร้างปัญหาให้ท่าน ข้าอยากขอให้ท่านจัดการแทนข้าได้หรือไม่ อีกอย่าง ข้ามีเรื่องอยากปรึกษาท่านกับสามีด้ว
“คุณชาย ท่านช่วยข้าด้วยสิเจ้าคะ ข้ายินดีตอบแทนท่านด้วยร่างกายอันสดใหม่ หากท่านช่วยข้าจากผู้หญิงเลวคนนี้ ฮึก” นางแพศยานี่ยังกล้ามาขอให้เขาช่วยอีกหรืออย่างไร ช่างไม่รู้จักตายเสียจริง ๆ เฟยหยุนมองผู้หญิงเสแสร้งตรงหน้าเขาตาขวาง เขาไม่เคยรู้จักนางมาก่อน ทำไมนางคนนี้ถึงได้มาหาเรื่องเขาแบบนี้ เขาอยากรู้มากจริง ๆ ว่าใครมันหาเรื่องให้ข้า!!! ชิวเพ่ยเพ่ยหรี่สายตามองสามีนางและหญิงสาวที่ยังคงเล่นละครอย่างไม่อายใคร กระทั่งเฟยหยุนทนความกดดันไม่ไหวเขารีบสั่งคนจับนางอ้าปากแล้วให้พวกเขายัดอาหารที่หญิงผู้นี้นำมาเข้าไปจนหมด เขาหมดความอดทนแล้วจริง ๆ แถมยังไม่อยากอยู่ใกล้ผู้หญิงน่าขยะแขยงเช่นนี้แม้สักนิด ชิวเพ่ยเพ่ยเห็นสามีกระดึ๊บ กระดึ๊บมาหานางหลังสั่งคนจัดการนังตัวดีแล้ว นางแอบยิ้มอย่างสมใจ หึ นับว่าเจ้ายังรู้ว่าอะไรดีนะสามี ไม่อย่างนั้นล่ะก็… เจ้าหน้าที่เห็นเหตุการณ์และกำลังจะเข้าไปช่วยผู้หญิงคนนั้น แต่คนของตำหนักเมฆาดับมากกว่าสิบคนไม่รู้มาจากไหน พวกเขายืนปิดกั้นเจ้าหน้าที่ไม่ให้ผ่านทางไปช่วยคนได้ เมื่อเห็นท่าไม่ดีแล้ว เจ้าหน้าที่คนหนึ่งรีบบอกให้คนของเขาไปตามเจ้านายม
วันที่สองที่ชิวเพ่ยเพ่ยเปิดการตรวจรักษา วันนี้ชาวบ้านน้อยกว่าเมื่อวานเกือบครึ่งหนึ่ง แต่นางยังคงตรวจรักษาพวกเขาตามปกติ เฟยหยุนยังคงคอยช่วยนางอยู่ข้าง ๆ ดังเช่นทุกครั้ง หลังจากรักษาคนไปหลายสิบคนจนใกล้จะถึงเวลาทานอาหารเที่ยง อยู่ดี ๆ ก็มีเสียงแหลมสูงมาเข้าหูให้ชิวเพ่ยเพ่ยจนระคายโสตประสาท“คุณชาย ข้านำอาหารทำเองมาให้ท่านทานเจ้าค่ะ ท่านลองดูสิว่าถูกปากหรือไม่” ไม่รู้ว่าเป็นแม่นางจากบ้านใด ถึงได้กล้าเข้ามาพูดคุยกับสามีของท่านหมอใจดีอย่างหน้าด้าน ๆ เช่นนี้ เรื่องที่เฟยหยุนเป็นสามีของหมอหญิงใจบุญต่างมีข่าวออกมานานมากแล้ว ทำให้ไม่เคยมีหญิงหรือชายคนใดกล้าล่วงเกินสองผัวเมียคู่นี้มาก่อน นี่นับว่าเป็นครั้งแรกตั้งแต่ชิวเพ่ยเพ่ยเดินทางแล้วพบเข้ากับเหตุการณ์แบบนี้ นางขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจที่ใครก็ไม่รู้เข้าหาสามีนางอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า นางได้กลิ่นยาปลุกกำหนัดมาก่อนหน้านี้แล้ว แต่ไม่คิดว่าจะมาจากในอาหารที่อยู่ตรงหน้าสามีของนาง“ข้าไม่ต้องการอาหารของเจ้า ไสหัวไป!!!” เฟยหยุนไม่คิดไว้หน้าหญิงสาวตรงหน้าเขาแม้แต่นิดเดียว เขาเห็นแล้วว่าภรรยาสุดที่รักชักไม่พอใจ ใครเล่าจะอยากหาเรื่
ชิวเพ่ยเพ่ยกับเฟยหยุนเดินทางโดยปลอมเป็นหมอตั้งแต่วันแรก นางเปิดรักษาชาวบ้านฟรีโดยให้พวกเขาไปซื้อยาจากร้านยาเมฆาดับเอาเอง หากใครยากจนจริง ๆ ชิวเพ่ยเพ่ยจะส่งคนไปแจ้งที่ร้านให้แจกยาพวกเขาแล้วเก็บเงินจากนาง นางทำเช่นนี้ไปตลอดทางที่พวกเขาท่องเที่ยว ไม่ว่าจะผ่านหมู่บ้านกันดารเพียงใด สองสามีภรรยาก็ยังคงมีรอยยิ้มแต่งแต้มไปทั่วใบหน้าอยู่เสมอ จนผู้คนที่ได้รับการรักษาจากสองสามีภรรยาต่างขนานนามพวกเขาว่าคู่รักหมอใจบุญกันเลยทีเดียว แม้ว่าเฟยหยุนจะรักษาใครไม่เป็น แต่เขาช่วยทำแผล ใส่ยาให้คนไข้ชายและดูแลพวกเขาช่วยภรรยาจนหายขาดมาตลอด ฉายาที่พวกเขาได้รับจึงไม่นับว่ามากเกินไป ชิวเพ่ยเพ่ยที่เลือกวิธีการนี้ในการท่องเที่ยวพักผ่อน ก็เพราะนางเคยฆ่าคนมาไม่น้อย พออายุมากขึ้นนางจึงอยากจะทำบุญใหญ่รักษาคนไข้ยากจนบ้างก็เท่านั้น ไหน ๆ ครอบครัวนางก็ร่ำรวยอยู่แล้ว กับอีแค่การรักษาคนทั้งห้าแคว้นฟรีไม่นับว่าเหนือบ่ากว่าแรงของนางหรอกหนา บรรดาหัวหน้าสาขาต่าง ๆ ที่ควบคุมกิจการร้านค้า พวกเขาทราบดีว่าท่านเจ้าตำหนักคนเก่ากำลังออกเดินทางรักษาคนไปทั่วทั้งห้าแคว้นแล้วโดยที่ไม่ต้องมีใครมาส่
หนึ่งปีผ่านไป ชิวเพ่ยเพ่ยและเฟยหยุนก็ยังไม่กลับมาจากการท่องเที่ยว เฟยซินเยว่เริ่มจัดการตารางเวลาการทำงานของเขาได้ดีขึ้นมาก เขาจะพักทุกสองสัปดาห์หลังจากทำงานอย่างหนัก แล้วจะเดินทางไปพักกับท่านทวดและท่านปู่ท่านย่าของเขาที่จ้วงจื่อครั้งละสามสี่วัน จากนั้นก็จะกลับไปลุยงานต่อ เป็นเช่นนี้มาตลอดทั้งปี ส่วนเฟยหยางกวงก็ฝึกทหารและศึกษาตำราพิชัยสงครามไม่ได้ขาด ส่วนการไปดื่มสุราและแต่งกลอนกับสหาย เขาเลิกไปตั้งแต่วันลาสหายแล้ว เขายังเชิญสหายมาเที่ยวที่จวนโหวได้หากต้องการ สหายทั้งสามของเขาเป็นเพียงครอบครัวธรรมดาที่ไม่ได้ร่ำรวยมากมายอันใด แต่พวกเขาล้วนคบหากันด้วยใจมาตลอดสิบปีที่รู้จักกัน ซึ่งตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา เฟยหยางกวงส่งเทียบเชิญสหายมาร่วมงานวันเกิดของเขากับพี่ชาย ไหนจะจัดงานเลี้ยงวันเกิดให้กับสหายทุกคนในวันเกิดของพวกเขา ทำให้ทั้งสี่คนยิ่งสนิทสนมกันมากขึ้นไปอีก สหายของเขาทั้งสามเพิ่งสอบขุนนางได้ในปีนี้ด้วย เขาจึงจัดงานฉลองให้พวกเขาที่จวนโหวอีกงานหนึ่ง เฟยซินเยว่ไม่เคยห้ามน้องชายของเขา เขารู้ทุกอย่างเรื่องน้องชายและน้องสาว เขาเพียงมองพวกเขาอยู่ห่าง ๆ หากมีสิ่ง
ระหว่างที่ชิวเพ่ยเพ่ยกับเฟยหยุนออกไปท่องเที่ยว เฟยซินเยว่กำลังตาลายกับสมุดบัญชีที่เขาได้รับมาตรวจสอบเป็นจำนวนมาก เขานับถือท่านแม่ของเขาจริง ๆ ที่นางสามารถจัดการบัญชีจำนวนมากได้โดยไม่มีอาการเบื่อหน่ายเช่นที่เขาเป็น ยิ่งตอนนี้ร้านของตำหนักเมฆาดับรวมทั้งห้าแคว้นอาจมีมากกว่า 500 ร้านค้าแล้ว นางยังคงสามารถตรวจสอบได้อย่างละเอียดจนไม่มีใครกล้าโกงนางแม้แต่อีแปะเดียว หลังจากเฟยซินเยว่หัวหมุนวุ่นวายอยู่เกือบสองสัปดาห์ วันนี้ท่านตาทวดมาเยี่ยมเขาถึงเรือนอย่างน่าแปลกใจ เฟยซินเยว่รีบหยุดงานที่กำลังทำอยู่แล้วเดินไปพยุงท่านตาทวดเข้ามานั่งอย่างห่วงใย ตอนนี้ท่านตาทวดอายุมากแล้ว เขายังจำได้ว่าตอนเด็ก ๆ ท่านมักเล่นกับเขาอย่างสนุกสนานและดูแลเขาเป็นอย่างดี เวลาเขาถูกท่านแม่พาซ้อมวรยุทธจนบอบช้ำก็เป็นท่านตาที่มานั่งทายาแล้วบ่นท่านแม่ให้เขาฟัง จนเขาหายจากอาการเจ็บช้ำไปเลย“ท่านตาทวดมาได้อย่างไรขอรับ” หลังพาท่านตาทวดนั่งแล้วเขารีบสอบถามอย่างสงสัย“อืม ข้าเป็นห่วงกลัวว่าเจ้าจะทำงานหนักไม่ไหวน่ะสิ แล้วเจ้าเป็นอย่างไรบ้างอาเยว่”“ข้าสบายดีขอรับท่านตา งานเหล่านี้ท่านแม่สอนข้ามานานแล้วขอรับ